Skip to content

A Will Eternal 822

A Will Eternal
BC

บทที่ 822 เสี่ยวฉุนลงมือ

เมื่อเห็นวิกฤตอันตราย ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ให้ร้อนใจ แต่เขาก็เข้าใจดีว่าต่อให้ตนปรากฏตัวตอนนี้ก็ช่วยอะไรไม่ได้ ไม่เพียงแต่ช่วยสตรีธุลีแดงไม่ได้ แม้แต่ตัวเองก็อาจต้องตายอยู่ที่นี่ด้วย

C

แต่พอเขาเห็นว่าสตรีธุลีแดงถูกกงซุนหว่านเอ๋อร์โจมตีจนถอยร่นอย่างต่อเนื่อง ปราณบนร่างก็ยิ่งอ่อนแอทุกขณะราวกับว่าอาจตายได้ทุกเมื่อ ในใจของเขาก็เริ่มคิดไม่ตก

ทว่าขณะที่ความคิดของป๋ายเสี่ยวฉุนยังตีกันวุ่นวายอยู่นั้น กงซุนหว่านเอ๋อร์ที่ขยับเข้าไปใกล้สตรีธุลีแดงก็ยกมือขวาขึ้นเตรียมจะลงมืออีกครั้ง แต่ทันใดนั้นดวงตาทั้งคู่ของนางกลับเปล่งแสงวาบ รีบถอยหลังออกห่างอย่างรวดเร็ว

เพียงแต่ว่าชั่วขณะที่นางถอยออกไป สตรีธุลีแดงที่ถูกข่มให้ตกเป็นรองมาตลอดเวลากลับพลันเงยหน้าขึ้น บนดวงหน้าที่ซีดขาวเวลานี้มีความเย็นยะเยียบวาบผ่าน ดวงตาทั้งคู่ที่หม่นแสงลุกโชนไปด้วยไอเย็นชา!

“ในที่สุดเจ้าก็เข้ามาใกล้ข้ามากพอแล้ว…” วินาทีที่สตรีธุลีแดงเปิดปาก นางก็พลันกางแขนทั้งสองข้างออก ดวงตาทั้งคู่ของนางมีเงามายาหนึ่งปรากฏขึ้น…นั่นไม่ใช่เงาร่างของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็น…นครแห่งหนึ่ง!!

นครแห่งนี้ใหญ่ไม่เป็นรองนครผียักษ์เลยแม้แต่น้อย สิ่งปลูกสร้างหลังหนึ่งที่อยู่ในนครนี้สมบูรณ์แบบอย่างมาก ทั้งยังมีกำแพงเมืองโอบรอบสี่ทิศ และหากมองไปอย่างละเอียดจะเห็นได้ว่าในนครแห่งนั้นมีฝูงชนที่เดินกันขวักไขว่

“ธุลีแดง…” ริมฝีปากทั้งคู่ของสตรีธุลีแดงขยับเบาๆ สองคำนี้ที่เปล่งผ่านริมฝีปากของนางสะท้อนก้องไปทั้งนภากาศ ทันใดนั้นท้องฟ้าก็พลันสั่นสะเทือน พื้นดินสั่นไหว ปราณขุมหนึ่งที่สั่นคลอนแปดทิศระเบิดตูมออกมาจากในดวงตาของสตรีธุลีแดง

แล้วจู่ๆ ความว่างเปล่าใต้ฝ่าเท้าของกงซุนหว่านเอ๋อร์ก็เกิดการเปลี่ยนแปลง นครแห่งหนึ่งขนาดเท่าฝ่ามือโผล่พรวดออกมา กลางนครแห่งนี้มีโซ่ตรวนจำนวนนับไม่ถ้วนที่พุ่งขึ้นมารัดพันร่างของกงซุนหว่านเอ๋อร์เอาไว้…นครแห่งนี้ โซ่ตรวนพวกนี้ล้วนไม่ใช่ของจริง แต่เป็นเพียงภาพมายา ขนาดและรูปร่างของพวกมันเหมือนกับนครที่สะท้อนกลับหัวอยู่ในดวงตาของสตรีธุลีแดงก่อนหน้านี้ไม่มีผิดเพี้ยน!

ชั่ววินาทีที่นครแห่งนี้เผยตัว กงซุนหว่านเอ๋อร์ก็หน้าเปลี่ยนสี ร่างของนางเหมือนถูกนครนี้เล็งเป้าเอาไว้ พอถูกโซ่ตรวนรัดพัน นางก็ถึงกับมิอาจสลัดได้หลุด และเมื่อนครแห่งนั้นลดตัวลงสู่พื้นดิน นางก็เหมือนถูกพันธนาการให้ร่วงดิ่งลงไปเบื้องล่างตามนครแห่งนั้นด้วย

และท่ามกลางขั้นตอนการร่วงดิ่งนี้ยังมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าว่าร่างกายของนาง…กำลังหดเล็กลงอย่างต่อเนื่อง!!

ราวกับว่าหากหดย่อจนถึงท้ายที่สุดเมื่อไหร่ นางจะกลายมาเป็นคนจิ๋วคนหนึ่งที่ร่วงลงไปในนครแห่งนั้นและถูกปิดผนึกไว้ด้านในตลอดกาล และเวทลับนี้ก็คือท่าไม้ตายสุดท้ายของ…สตรีธุลีแดง!

ส่วนที่นางร่ายออกมาตอนนี้ยังไม่ใช่ทั้งหมด เป็นเพียงแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น เพราะยังจำเป็นต้องใช้ร่วมกับท่าไม้ตายที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งถึงจะสำแดงอานุภาพของมันออกมาได้อย่างเต็มที่

ท่าไม้ตายนี้น่ากลัวยิ่งกว่าเลือดอาคมก่อนหน้านี้เสียอีก และการนำมาใช้ก็ทำให้สตรีธุลีแดงต้องจ่ายค่าตอบแทนมหาศาล นางจำต้องเผาผลาญอายุขัยของตัวเองถึงจะร่ายใช้ได้ และตอนนี้นางที่เดิมทีก็บาดเจ็บสาหัสอยู่แล้ว เมื่อฝืนร่ายคาถานี้ เลือดสดจึงพุ่งทะลักออกจากปาก อ่อนระโหยไปทั้งร่าง ลมหายใจไม่เป็นจังหวะอีกต่อไป ขณะที่ร่างโซเซยืนได้ไม่มั่นคง นางก็กัดปลายลิ้นของตัวเองเพื่อบังคับให้ตัวเองมีสติ ก่อนจะยกมือทั้งคู่ทำมุทราเพื่อร่ายท่าไม้ตายนี้ให้สมบูรณ์!

ป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นว่าเกิดเหตุพลิกผันจึงจับตามองสถานการณ์การรบอย่างไม่ให้คลาดสายตา ทว่าเวลานี้เอง กงซุนหว่านเอ๋อร์ที่ลดตัวลงต่ำและร่างหดเล็กลงอย่างต่อเนื่องจนเหลือเพียงครึ่งเดียวก็พลันหัวเราะร่า

“ใช้เวทลับผียักษ์อย่างธุลีแดงจื่อโม่ (ธุลีแดงจื่อโม่มาจากคำว่า 红尘紫陌 ธุลีแดงในที่นี้หมายถึงฝุ่นผงที่ตลบอบอวลยามรถม้าวิ่งผ่าน คำว่าจื่อโม่ในสมัยโบราณกวีมักนำมาใช้เรียกเส้นทางชานเมืองของเมืองหลวง ธุลีแดงจื่อโม่จึงเปรียบเปรยถึงโลกมนุษย์ที่เจริญรุ่งเรืองมีคนสัญจรกันขวักไขว่) เชียวหรือนี่…เจ้านี่ก็สู้สุดชีวิตเหมือนกันนะ…ก็ดี ข้าอยากจะเห็นนักว่าเจ้ายังมีชีวิตเหลืออีกเท่าไหร่ จะมากพอให้ร่ายใช้วิชานี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบหรือไม่!” ระหว่างที่พูด กงซุนหว่านเอ๋อร์ก็ยกมือขวาขึ้น ร่างของนางเหมือนจะหดเล็กลงไปอีกนิดหน่อย ทำให้นิ้วมือของนางกลายมาเป็นเส้นสีดำที่ชี้เข้าใส่สตรีธุลีแดง

การชี้ครั้งนี้ฟ้าดินสั่นสะเทือน นภากาศพลิกตลบอบอวล และทันใดนั้นรอบกายของสตรีธุลีแดงมีวงแสงสีดำชั้นหนึ่งปรากฏขึ้น พอวงแสงนี้เผยตัว สตรีธุลีแดงก็สั่นสะท้านไปทั้งร่าง ฉับพลันนั้นพลังชีวิตจำนวนมากของนางที่ระเหยกลายเป็นไอสีขาวก็ถูกวงแสงสีดำดูดออกมาจากทวารทั้งเจ็ดและรูขุมขนทั่วร่างนาง!!

ลมปราณของสตรีธุลีแดงยุ่งเหยิงทันใด ใบหน้าของนางซีดขาวจนไร้สีเลือด เมื่อนางยกมือข้างหนึ่งทำมุทรา ร่างทั้งร่างก็มีแสงสีแดงเปล่งวาบ ก่อนที่แสงนั้นจะพุ่งเข้าไปโจมตีแสงสีดำรอบกาย แสงสีดำสั่นไหวคล้ายอ่อนกำลังลงกว่าเดิมเล็กน้อย ทว่ากลับยังคงแผ่แรงดึงดูดออกมาอย่างต่อเนื่อง

แรงดึงดูดนี้รุนแรงเกินไป ไม่ว่าจะสตรีธุลีแดงจะดิ้นรนต้านทานเช่นไรก็ยังมิอาจสกัดกั้นได้ และวงแสงสีดำนั้นก็ถูกนางโจมตีครั้งแล้วครั้งเล่าจนอ่อนกำลังลงทุกขณะ แต่ถึงกระนั้นมันก็ยังคงดำรงอยู่เหมือนกับไม่มีทางแหลกสลายไปได้!

นั่นเป็นเพราะอาการบาดเจ็บของนางสาหัสอย่างถึงที่สุด และท่าไม้ตายก่อนหน้านี้ก็เผาผลาญพลังของนางไปเยอะมากเช่นกัน เดิมทีสตรีธุลีแดงก็อ่อนแอมากพออยู่แล้ว นี่ยังเบิกอายุขัยไปใช้ล่วงหน้า จึงเป็นเหตุให้เวลานี้พลังของนางแทบจะแห้งขอด

สตรีธุลีแดงหัวเราะขื่น นางเข้าใจดีว่าครั้งนี้ตนประมาทมากเกินไป เดิมนึกว่าต่อให้อีกฝ่ายจะวางแผนซุ่มโจมตีไว้ร้ายกาจแค่ไหน ตนพากองทัพผียักษ์มานับหมื่นก็ยังต้องเป็นฝ่ายได้เปรียบ แต่ไม่ว่าจะอย่างไรนางก็คิดไม่ถึงว่ากองทัพผียักษ์นับหมื่นนี้กลับต้องกลายมาเป็นแรงผลักดันที่พาตัวนางไปสู่ความตาย!

ตอนที่อีกฝ่ายยังไม่ได้กลืนกินกองทัพผียักษ์นับหมื่น เขามีตบะแค่ก่อกำเนิดเท่านั้น แล้วก็เพราะได้กินผู้ฝึกวิญญาณนับหมื่นเข้าไป ตบะถึงได้ไต่ทะยานไปสู่คนฟ้าอย่างพิลึกพิลั่น ไม่เพียงแต่สามารถกำราบตนได้ ทั้งยังทำให้ตนไม่อาจหนีพ้นเคราะห์ใหญ่หลวงครั้งนี้!

ตอนที่มา สตรีธุลีแดงไม่เคยคิดแม้แต่น้อยว่าวันนี้จะเป็นวันต้องห้ามของตน!

ธุลีแดงจื่อโม่นั้นคือท่าไม้ตายสุดท้ายของนางแล้ว เดิมทีคิดว่าต่อให้ตัวเองต้องตายก็ต้องผนึกร่างของอีกฝ่ายเอาไว้ให้ได้ แต่คาดไม่ถึงเลยว่าเพิ่งจะร่ายคาถานี้ไปได้แค่ครึ่งเดียว ตัวเองกลับไม่เหลือพลังให้ร่ายท่อนที่เหลืออีกต่อไป

แรงดึงดูดของวงแสงสีดำนี้รุนแรงมากเกิน พลังชีวิตของนางถูกดูดออกไปอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้เส้นผมของนางกลายเป็นสีขาวไปแล้ว ใบหน้าที่งามล้ำก็เกิดรอยยับย่น กลายมาเป็นหญิงชราภายในชั่วพริบตาเดียว

ชีวิตของนาง วิญญาณของนาง ตบะของนาง ทั้งหมดทั้งมวลนี้ล้วนถูกดูดหายไปอย่างรวดเร็ว จิตสำนึกของนางเริ่มพร่าเลือน ลมหายใจรวยริน แต่นางไม่ยอมแพ้ ทว่าแค่ไม่ยอมแพ้นั้นไม่มีประโยชน์ สุดท้ายแล้วนางก็ยังอับจนหนทาง มิอาจร่ายใช้ท่าไม้ตายครึ่งสุดท้ายออกมาได้

“ข้าจะต้องตายแล้วหรือ…” สตรีธุลีแดงพึมพำอย่างขมขื่น ไม่นานหนังตาของนางก็เริ่มหนักอึ้ง ดูเหมือนว่าแม้แต่เรี่ยวแรงให้ลืมตาก็ยังไม่มี

ร่างของกงซุนหว่านเอ๋อร์ยังคงหดเล็กลงอย่างต่อเนื่อง ทว่าเสียงหัวเราะของนางกลับดังกระหึ่มไปแปดทิศ

รอบด้านเงียบสงัด คนหลายสิบคนที่อยู่บนพื้นมีแต่ความสิ้นหวังเต็มหัวใจ มีเพียงป๋ายเสี่ยวฉุนเท่านั้นที่ลมหายใจวุ่นวายถี่รัว แสดงให้เห็นถึงความไม่สงบในใจของเขา เขาจ้องมองภาพเหตุการณ์นี้เขม็ง มองความสดสาวของสตรีธุลีแดงที่กำลังถดถอยไปสู่ความแก่ชรา ไม่ว่าเพื่อตัวเขาเองหรือเพื่อสตรีธุลีแดง เขาก็เข้าใจดีว่าตนมิอาจแกล้งตายได้อีกต่อไปแล้ว

ต่อให้ตัวตนจะถูกเปิดเผย เขาก็จำเป็นต้องลงมือ หาไม่แล้วไม่เพียงแต่สตรีธุลีแดงต้องตายเท่านั้น กงซุนหว่านเอ๋อร์ที่หลุดพ้นจากพันธนาการมาได้ก็ย่อมไม่มีทางปล่อยทุกคนที่อยู่ที่นี่รวมถึงตัวเขาเองไป

“สมควรตาย สมควรตาย สมควรตายนัก!!” เส้นเลือดฝอยสีแดงแผ่ขึ้นเต็มดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุน ร่างที่สั่นสะท้านของเขาพลันกระโดดผลุงขึ้นมาจากบนพื้น ปากก็ร้องคำรามดังสนั่นจนเส้นเอ็นปูดโปนขึ้นบนหน้าผาก ความเร็วระเบิดขึ้นถึงขีดสุด ขณะที่กงซุนหว่านเอ๋อร์ซึ่งร่างกำลังหดเล็กอึ้งงัน ป๋ายเสี่ยวฉุนก็พุ่งกระโจนออกมาแล้ว

ชั่วขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนพุ่งตัวออกมา มือขวาของเขายกขึ้นกำเป็นหมัดแน่น ทันใดนั้นเบื้องหน้าของหมัดเขาก็มีน้ำวนสีดำลูกหนึ่งปรากฏ น้ำวนนั้นได้ดูดเอาพลังกล้ามเนื้อ พลังชีวิตทั้งหมดของเขาไป นอกจากนี้ด้านหลังของเขายังมี…เงาร่างสูงส่งที่สวมชุดจักรพรรดิ สวมมงกุฎจักรพรรดิเผยกายขึ้นมา!

ปราณแห่งความเผด็จการไร้ผู้ใดทัดเทียมระเบิดตูมออกมาจากร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนพร้อมๆ กับเสียงคำรามแหบโหยของเขา เพียงแค่แวบเดียวเขาที่มีความเร็วสูงสุดก็พุ่งเข้าไปต่อยลงบนวงแสงสีดำรอบกายสตรีธุลีแดง…อย่างแรง!!

นั่นก็คือ…หมัดจักรพรรดิไม่ดับสูญ

พลังกล้ามเนื้อสองเท่าระเบิดออกมาอย่างบ้าคลั่ง…โดยไม่คำนึงถึงสิ่งใด หมัดนี้ต่อยแรงจนเสียงสะเทือนเลือนลั่นดังก้องไปทั้งชั้นฟ้า หมู่เมฆกลิ้งซัดไล่หลังกันอย่างรุนแรง อีกทั้งบนพื้นดินยังมีลมพายุบ้าระห่ำที่หอบทั้งเม็ดทรายทั้งก้อนหินให้ปลิวว่อน ทำให้ความว่างเปล่าแปดทิศหมุนคว้างกลายเป็นน้ำวน

ยิ่งเงาจักรพรรดิด้านหลังของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งเผด็จการเกินผู้ใด เงานั้นก็ต่อยหมัดออกมาเช่นกัน และความเผด็จการที่แฝงเร้นอยู่ในหมัดก็เป็นดั่งเจตจำนงที่บังคับเบียดแทรกเข้าไปในฟ้าดินแห่งนี้ จนกลายมาเป็น…เจตจำนงที่สามซึ่งปรากฏอยู่ที่นี่!

“จงแตกออก!!”

ตูมๆๆๆ!

ขณะที่กงซุนหว่านเอ๋อร์ยังอึ้งตะลึง เสียงกัมปนาทสั่นสะเทือนฟ้าดินก็ดังก้องไปทั่ว วงแสงสีดำที่เดิมทีอ่อนกำลังไปไม่น้อยเพราะการดิ้นรนของสตรีธุลีแดงก่อนหน้านี้ มาบัดนี้เมื่อเจอหมัดน่าครั่นคร้ามซึ่งเทียบเท่าได้กับพลังคนฟ้าของป๋ายเสี่ยวฉุน มันก็ปริออกทีละชุ่น แล้วระเบิดตูมพังทลาย!!

ท่ามกลางเศษซากที่แตกกระจายออกเป็นเสี่ยงๆ พลังชีวิตที่ถูกมันดูดเอาไปก่อนหน้านี้ก็พากันสลายตัวออกมาด้วย พลังชีวิตพวกนั้นเป็นของสตรีธุลีแดง ยามนี้มันจึงกลับเข้ามาหาสตรีธุลีแดงอีกครั้ง ทำให้สตรีธุลีแดงเหมือนคนถูกป้อนอาหารในชั่วพริบตา และยังมีบางส่วนที่ผสานรวมเข้ามาในร่างของป๋ายเสี่ยวฉุน ทำให้กระดูกคงกระพันของป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ในขอบเขตกระดูกกำลังได้ฝ่าทะลุขั้นที่หนึ่ง ขั้นที่สอง ตรงดิ่งสู่ขั้นที่สามในทันใด!

เส้นผมของสตรีธุลีแดงกลับคืนมาเป็นสีดำอีกครั้ง รอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าก็หายวับไป เผยให้เห็นดวงหน้างามแฉล้มอีกครั้ง ลมหายใจของนางที่หอบรัวแสดงให้เห็นถึงความตื่นเต้นที่รอดพ้นความตายมาได้อย่างหวุดหวิด และเมื่อถูกแรงกระตุ้นนี้โจมตี ความมีชีวิตชีวาของนางจึงพลันหวนกลับมา หลังจากที่ดวงตาทั้งคู่ของนางเปิดขึ้น แสงประหลาดก็สาดส่องออกมาจากดวงตาของนาง ก่อนที่นางจะยกมือทั้งคู่ขึ้นทำมุทราแล้วชี้ไปยังกงซุนหว่านเอ๋อร์ที่ร่างหดเล็กลงเหลือเท่าฝ่ามือ

“จื่อโม่!!”

AC

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!