บทที่ 834 จักรพรรดิหมิงมาเยือน
ทุกคนอึ้งค้างกันไปหมด ไม่ว่าจะเป็นราชาผียักษ์ ราชาชิงชัย หรือว่าราชาเก้านรกภูมิที่ถึงแม้เวลานี้พวกเขาจะยังต้านทานการโจมตีจากคลื่นเสียงอย่างสุดกำลัง แต่กระนั้นสีหน้าของพวกเขาก็ยังเหยเกอย่างห้ามไม่ได้ ต้องรู้ว่าการต่อสู้ในตอนนี้อันตรายอย่างมาก หรืออาจถึงขั้นพูดได้ว่าเป็นศึกที่ยากจะบอกได้ว่าจะเป็นหรือตาย!
ไม่ว่าใครก็ตามล้วนเกิดความกดดันหนักอึ้งในใจ ความพิสดารของเด็กหญิงคนนั้นทำให้ทุกคนรู้สึกเหมือนมีหินก้อนใหญ่กดทับอยู่ที่หัวใจ ทั้งยังยากจะจินตนาการได้ด้วยว่าหลังจากจบเรื่องครั้งนี้ผลลัพธ์ที่ออกมาจะร้ายแรงมากแค่ไหน
ทว่า…ท่ามกลางการประลองเวทคาถาที่เคร่งเครียดและดุเดือดอำมหิตนี้ การปรากฏตัวของป๋ายเสี่ยวฉุน…เสียงร้องโหยหวนเกินจริง รวมไปถึงการแบกกระดองเต่าคลานมาบนพื้น ทุกอย่างนี้ล้วนทำให้ทุกคนที่มองเห็นตาค้างกันไปหมด
ราชาผียักษ์ตะลึงงันพูดไม่ออก ขณะเดียวกันราชาเทพจุติก็ยืนอึ้งอยู่ตรงนั้น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงต้าเทียนซือเลย
แล้วก็เป็นเช่นนี้ ภายใต้สายตาทึ่มทื่อของคนมากมาย พวกเขาเห็นคาตาตัวเองว่าป๋ายเสี่ยวฉุนแผดเสียงร้องพลางแบกกระดองเต่าเคลื่อนหน้าไปอย่างรวดเร็ว และไม่นานก็มาหยุดอยู่ข้างกายราชาผียักษ์
“ป๋าย…” ราชาผียักษ์อ้าปากหมายจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ยังไม่ทันพูดจบก็ถูกป๋ายเสี่ยวฉุนคว้าขาข้างหนึ่ง พอเขาหมุนตัวกลับได้ ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็พาอีกฝ่ายทะยานไปข้างนอก
เดิมทีราชาผียักษ์ก็อ่อนแอมากพออยู่แล้ว พอถูกป๋ายเสี่ยวฉุนกระชากลากถูไปอย่างนี้ เขาก็เกิดลังเลอยู่พักหนึ่ง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ต่อต้าน ปล่อยให้ป๋ายเสี่ยวฉุนลากตัวเองออกไปเหมือนลากรูปปั้นรูปหนึ่งท่ามกลางสายตาของคนมากมายที่มองมา
“อ๊าก…อ๊าก…”
“ท่านพ่อตา ต่อให้ตาย ข้าก็ต้องช่วยท่านออกไปให้ได้!!”
“อ๊าก…อ๊าก…” ป๋ายเสี่ยวฉุนร้องโหยหวนพลางคลานเร็วๆ ไปข้างหน้า ราชาผียักษ์ที่อยู่ด้านหลังเขาตอนนี้หัวสมองขาวโพลนไปแล้ว
“แบบนี้ก็ได้เหรอ…” ไม่ว่าจะอยู่ข้างในหรือข้างนอกบ่อเสียง แทบทุกคนที่มองเห็นภาพนี้ต่างก็หอบหายใจดังเฮือกอย่างอดไม่ไหว ยิ่งใบหน้าสีเลือดของเด็กหญิงก็ยิ่งอึ้งตะลึงอย่างที่หาดูได้ยาก ราวกับว่าต่อให้เป็นนางก็ยังคาดไม่ถึงว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะใช้วิธีการเช่นนี้เข้ามาข้างใน ทั้งยังลากคนออกไปคนหนึ่งด้วย…
หากลากออกไปแค่คนเดียวก็ยังพอว่า แต่นี่ภายใต้การคลานอย่างรวดเร็วของป๋ายเสี่ยวฉุน เมื่อเห็นว่าราชาผียักษ์ใกล้จะออกไปจากบ่อเสียงแห่งนี้ได้แล้ว ทว่าเวลานี้เอง ราชาเทพจุติกลับร้อนใจขึ้นมา เขาพลันสูดลมดังเฮือก หดร่างให้เล็กลงไปอีกเล็กน้อย ทำให้แรงต้านทานเพิ่มมากขึ้น แล้วรีบพูดรัวเร็ว
“ป๋ายฮ่าว เจ้า…เจ้าก็ลากตัวข้าผู้เป็นราชาออกไปด้วยเถอะ”
พอจบคำพูดของเขา สายตาของทุกคนก็แข็งค้างไปอีกครั้ง
ปากอ้าพะเยิบพะยาบ บัดนี้บรรยากาศดุเดือดโหดร้ายของทั้งสนามรบอาจไม่ถึงขั้นหายไปอย่างไร้ร่องรอย แต่ก็กำลังจางหายไปอย่างรวดเร็ว
ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่สนใจราชาเทพจุติแม้แต่น้อย ยังคงเคลื่อนตัวไปข้างหน้าเร็วจี๋ พอเห็นว่ามาถึงริมขอบของบ่อเสียงแล้ว เขาก็ออกแรงโยนราชาผียักษ์ออกไปข้างนอก สตรีธุลีแดงปิติยินดี หัวใจเต็มไปด้วยความซาบซึ้ง รีบถลาพรวดออกไปประคองรับร่างของราชาผียักษ์ที่เหมือนจะยังไม่คืนสติจากอาการตะลึงลานก่อนหน้านี้
ป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นว่าราชาผียักษ์ปลอดภัยแล้วถึงได้ผ่อนลมหายใจออกมา และกำลังจะออกมาจากบ่อเสียงนั่นเช่นกัน
“ป๋ายฮ่าว คือว่า…เจ้ายังจำซานซานได้ไหม? นางยังรอเจ้าอยู่ที่นครเทพจุตินะ”
ราชาเทพจุติร้อนใจเสียแล้ว เขารีบพูดเร็วปรื๋อ คำพูดของเขาทำให้สีหน้าของทุกคนเปลี่ยนมาเป็นปั้นยากในชั่วพริบตา ส่วนป๋ายเสี่ยวฉุนที่หวนนึกถึงซวีซานก็ให้รู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อยจึงถลึงตาใส่ราชาเทพจุติอยู่ใต้หม้อกระดองเต่า แล้วก็ครุ่นคิดว่าเมื่อครู่นี้เด็กหญิงไม่ได้ขัดขวางตน ดูท่าอีกฝ่ายคงขยับตัวไม่ได้จริงๆ
ดังนั้นจึงกัดฟันกรอด ครั้นจึงแบกกระดองเต่ามุดกลับเข้าไปในบ่อเสียงอีกครั้ง
เขายังคงแผดเสียงร้องดังอ๊ากๆๆ ไปตลอดทาง
ภายใต้สายตาจับจ้องของคนจำนวนนับไม่ถ้วน เขาก็มาหยุดอยู่ข้างกายของราชาเทพจุติ ก่อนจะคว้าร่างอีกฝ่ายเหมือนกับที่ทำต่อราชาผียักษ์ แล้วลากราชาเทพจุติออกไปจากคลื่นบ่อเสียงสะท้านฟ้าแห่งนี้ ระหว่างทางเสียงบ่นก็ดังสอดแทรกมาพร้อมกับเสียงร้องตะโกนของป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นระยะ
“ราชาเทพจุติ ข้าว่า…อ๊าก ท่านอ้วนเกินไปหน่อยไหม!!”
“ช่วยทำตัวให้ผอมลงอีกนิดได้หรือเปล่าเนี่ย ข้าลากท่านไม่ไหวแล้วนะ…อ๊าก”
ราชาเทพจุติมีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกอย่างเห็นได้ชัด รีบสูดลมติดๆ กันหลายครั้ง ทำให้ร่างของเขาหดเล็กลงเรื่อยๆ สุดท้ายจึงมีขนาดเท่าคนปกติ แล้วจึงถูกป๋ายเสี่ยวฉุนโยนออกไปนอกบ่อเสียง
ตอนนี้พวกเจ้าพระยาสวรรค์สิบคนก็เริ่มร้อนใจบ้างเหมือนกัน แต่พวกเขาตบะไม่มากพอ มิอาจเปล่งเสียงพูดได้ จึงได้แต่ส่งสายตาน่าสงสารมองป๋ายเสี่ยวฉุนตาปริบๆ นัยน์ตามีแวววิงวอนขอร้อง พอป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นเข้า ใจก็อ่อนยวบ
“เอาเถอะๆ แม้ว่าพวกเจ้าจะเกลียดข้า แต่ข้าเป็นคนใจกว้างมาก อย่างไรซะแพะหนึ่งตัวก็ไล่ไปแล้ว จะไล่แพะสองตัวก็คงไม่ต่างกัน…”
คิดมาถึงตรงนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ถอนหายใจยาวเหยียด รู้สึกว่าภารกิจของตัวเองหนักอึ้งเกินไป ดังนั้นจึงแผดเสียงร้องแล้วคลานเข้าคลานออกอีกครั้ง
ทำอย่างนี้ซ้ำไปซ้ำมา…ไม่นาน เขาก็แข็งใจย้ายสายตาประหลาดไปมองต้าเทียนซือ และราชาชิงชัยที่ยังคงหยิ่งทระนงในตัวเองทว่าประกายดวงตากลับมีแววแห่งการฝืนทนวาบผ่าน รวมไปถึงพวกคนฟ้าอย่างเฉินฮ่าวซง ก่อนจะทำการลากพวกเขาออกไปทีละคน
ทุกคนที่อยู่ข้างนอกเห็นคาตาตัวเองว่าป๋ายเสี่ยวฉุนลากคนในบ่อเสียงออกมาคนแล้วคนเล่า ไม่นานในรัศมีพันลี้ก็เหลือแค่…ราชาเก้านรกภูมิคนเดียวที่ยืนบื้ออยู่ตรงนั้น
ในใจเขาเริ่มก่นด่าป๋ายเสี่ยวฉุนแล้ว เขายืนรออยู่ตรงนี้มานานมาก แต่กลับพบว่าป๋ายเสี่ยวฉุนดันไม่แยแสตน ทั้งยังช่วยทุกคนที่อยู่ข้างกายตนออกไปหมดแล้วด้วย
แม้เขาจะรู้ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนและโจวหงบุตรชายของตนเคยมีข้อพิพาทกันมาก่อน แต่ก็ยังรู้สึกว่าอีกฝ่ายไม่เห็นต้องทำกันถึงขนาดนี้ แบบนี้มันเด่นชัดเกินไปหน่อยไหม อย่างน้อยก็ทิ้งคนไว้อยู่เป็นเพื่อนข้าสักสองสามคนสิ…
ส่วนเด็กหญิงตอนนี้ก็โมโหจนแทบบ้าแล้ว ใบหน้าของนางบิดเบี้ยวไม่น่ามอง นางรู้สึกว่าตัวเองใกล้จะคลั่งเต็มที เวทคาถานี้ไม่มีผลกับป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยังพอทำเนา แต่นี่อีกฝ่ายกลับยังมีหน้ามาช่วยศัตรูคนแล้วคนเล่าออกไปต่อหน้าต่อตาตน…
ที่ยิ่งทำให้นางเดือดแค้นก็คือพวกต้าเทียนซือที่พอถูกช่วยออกไปไว้ข้างนอก็รีบพากันนั่งขัดสมาธิฟื้นคืนอาการบาดเจ็บอย่างเร่งด่วนทันที และเมื่อเป็นฝีมือของครึ่งเทพ อาการบาดเจ็บของพวกเขาจึงดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ขนาดราชาผียักษ์เอง ตอนนี้ก็ไม่ได้อ่อนกำลังอีกต่อไป แต่ใช้เวทลับฟื้นคืนอาการบาดเจ็บให้หายดีได้เกินครึ่ง
หากยังเป็นอย่างนี้ต่อไป เกรงว่าอีกไม่นานเท่าไหร่ พลังการต่อสู้ของพวกครึ่งเทพเหล่านี้ก็คงฟื้นคืนสู่จุดสูงสุดอีกครั้ง
“ป๋ายเสี่ยวฉุน!!” เด็กหญิงกรีดร้องเสียงแหลม เสียงนี้ดังกระหึ่มไปสี่ทิศ ทำให้ทุกคนที่ได้ยินอึ้งค้างกันไปอีกครั้ง ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ตัวแข็งทื่อ กลัดกลุ้มอยู่ในใจ แต่ยังไม่ทันรอให้คนเหล่านี้ได้ใคร่ครวญ ต้าเทียนซือ ราชาชิงชัย ราชาเทพจุติและราชาผียักษ์ สี่ครึ่งเทพผู้ยิ่งใหญ่พลันลืมตาโพลง คนทั้งสี่เดินออกมาหนึ่งก้าวพร้อมกัน ก่อนที่พวกเขาซึ่งยืนอยู่บนท้องฟ้าจะร่ายวิชาอภินิหารของใครของมันโจมตีลงไปยังบ่อเสียงพันลี้
ขณะเดียวกันราชาเก้านรกภูมิที่ถูกกักตัวอยู่ในบ่อเสียงก็ร้องคำราม พลังการต้านทานทั่วร่างบัดนี้ได้ไต่ทะยานไปถึงจุดสูงสุด ครั้นจึงลงมือแทบจะพร้อมเพรียงกับครึ่งเทพผู้ยิ่งใหญ่สี่ท่านที่อยู่ข้างนอก
เสียงการโจมตีพลันดังกัมปนาทเกินเสียงของคลื่นเสียงแหลมบาดแก้วหู บ่อเสียงพันลี้พังทลายลงอย่างต่อเนื่อง ยืนหยัดอยู่ได้แค่ไม่ถึงสิบชั่วลมหายใจก็แตกกระจายออกเป็นเสี่ยงๆ ราชาเก้านรกภูมิกระอักเลือดอย่างบ้าคลั่ง ร่างทรุดโทรมแก่ชราลงอีกไม่น้อย ถอยกรูดไปข้างหลังด้วยอาการบาดเจ็บสาหัส
พวกต้าเทียนซือเองที่พอบ่อเสียงพันลี้พังทลายลงก็ถูกโจมตีให้ถอยร่นออกไป ขณะที่แต่ละคนเตรียมจะร่ายใช้เวทอภินิหารต่ออีกครั้ง ทว่าพอบ่อเสียงพันลี้แตกออก เด็กหญิงก็กรีดร้องเสียงแหลม เลือดสีม่วงกลุ่มนั้นเลื้อยขยุกขยิกแล้วกลายมาเป็นเรือนกายของเด็กหญิง ก่อนที่นางจะยกมือทั้งคู่ขึ้นแล้วโบกไปยังท้องฟ้าอย่างแรง
การโบกครั้งนี้ทำให้ท้องฟ้าบิดเบือนทันใด แปดทิศกระหึ่มไปด้วยเสียงอึกทึก วิญญาณทั่วทั้งแดนทุรกันดารที่เดิมทีกำลังบินมาก็พลันเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างพรวดพราด และความเร็วในการขยับเข้ามาใกล้ก็เหมือนจะเพิ่มขึ้นอีกไม่น้อย พริบตาเดียววิญญาณที่มารวมตัวกันอยู่ที่นี่ก็มากเกินหลายพันล้านดวง ทั้งพวกมันยังห้อตะบึงตรงมาหาเด็กหญิง
เมื่อมองออกไป วิญญาณพยาบาทจำนวนนับไม่ถ้วนที่เปล่งเสียงร้องคำรามพากันบินมามืดฟ้ามัวดิน และจำนวนก็ยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่นานก็เหมือนจะเกินหมื่นล้าน พวกมันเบียดเสียดกันแน่นขนัด นับไม่หวาดไม่ไหว วิญญาณทุกตัวต่างก็ล้อมวนอยู่รอบกายของเด็กหญิง กลายมาเป็นพายุหมุนลูกหนึ่ง!
กลางพายุวิญญาณลูกนี้ยังมีใบหน้าขนาดใหญ่ยักษ์ที่เกิดจากการรวมตัวกันของวิญญาณจำนวนเหลือคณนา ใบหน้านี้ใหญ่พอๆ กับนภากาศ ซึ่งนั่นก็คือใบหน้าของเด็กหญิง ดวงตาของนางฉายความเย็นเยียบอึมครึม ทั้งยังมากด้วยความเดือดดาล ทำให้แผ่นดินสั่นไหว
“วันนี้ พวกเจ้าไม่ว่าใครก็อย่าหวังว่าจะรอด!” วิญญาณพยาบาทจำนวนนับไม่ถ้วนรวมตัวกันกลายมาเป็นเสียงประหลาดแปร่งหูที่ดังออกมาจากปากของเด็กหญิง และพอนางอ้าปากก็มีพายุกระหน่ำสีดำลูกแล้วลูกเล่าถูกปล่อยออกมา
พายุเหล่านี้แฝงเร้นไว้ด้วยพลังน่ากลัวสะเทือนฟ้าสะเทือนดิน พอแผ่กระจายอย่างต่อเนื่อง พายุทุกลูกก็พากันพองขยายอย่างไม่หยุดยั้ง ต่อให้เป็นพวกต้าเทียนซือก็ยังหน้าเปลี่ยนสี ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งหอบหายใจด้วยความตื่นตระหนก ขณะที่ถอยกรูดไปข้างหลังอย่างรวดเร็ว เขาก็เห็นเหมือนว่าพายุหมุนเหล่านั้นทำท่าเหมือนจะระเบิดออกอย่างพร้อมเพรียงกัน
และหากมันระเบิดเมื่อไหร่ ลำพังแค่อานุภาพของตัวพายุเองก็จะทำให้สี่ด้านแปดทิศนี้ถูกทำลายจนวินาศวอดวาย แต่เวลานี้เอง ทันใดนั้น…น้ำเสียงถอนหายใจที่ฟังดูแก่ชราดั่งคนผ่านกาลเวลามาเนิ่นนานก็พลันดังออกมาจากความว่างเปล่า!
ก่อนที่เงาร่างซึ่งสวมชุดคลุมยาวสีดำจะเดินออกมาจากในความว่างเปล่าและปรากฏตัวอยู่ท่ามกลางพายุหลายลูกที่หมุนคว้างซึ่งส่งเสียงอึกทึกกึกก้อง เงาร่างนั้นมองเห็นใบหน้าได้ไม่ชัดเจน ไม่ว่าใครก็ตามที่มองเห็นเขาล้วนสัมผัสได้ถึงกาลเวลาอันไร้ที่สิ้นสุด ราวกับว่าคนชุดดำที่อยู่ในสายตาของพวกเขานี้ได้เดินทะลุมิติออกมาจากห้วงเวลาในอดีตกาลที่ไม่รู้ว่ายาวนานมากเท่าไหร่
“ท่านปู่คนเฝ้าสุสาน!” ป๋ายเสี่ยวฉุนตะลึงงัน
“จักรพรรดิหมิง!!” ต้าเทียนซือรวมไปถึงครึ่งเทพทั้งหลายต่างก็หน้าเปลี่ยนสี ดวงตาเผยความเคารพนอบน้อมออกมาทันใด แม้แต่ต้าเทียนซือผู้แข็งแกร่งก็ยังเป็นเช่นนี้ เขาสูดลมหายใจเข้าลึก สีหน้าเปลี่ยนมาเป็นเครียดขรึม
คำเรียกขานที่พวกเขาเรียกคนเฝ้าสุสานทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนเบิกตากว้าง ยืนอึ้งไปทันใด
ทุกอย่างนี้พูดแล้วเหมือนยาว ทว่าในความเป็นจริงกลับเกิดขึ้นในชั่วพริบตา เมื่อคนเฝ้าสุสานปรากฏตัว ลมพายุเหล่านั้นก็เหมือนจะไม่ได้อยู่ในห้วงมิติเดียวกับเขา ไม่ว่าพวกมันจะหมุนคว้างดุเดือดรุนแรงแค่ไหนก็ไม่สามารถทำร้ายคนชุดดำได้แม้แต่ปลายเล็บ เรือนกายของเขายังคงเดินออกมาทีละก้าว จนกระทั่งมาหยุดอยู่ตรงหน้าใบหน้าขนาดใหญ่ยักษ์ของเด็กหญิง ก่อนที่เขาจะยกมือขวาที่แห้งเหี่ยวขึ้นแล้วกดเบาๆ ลงไปที่ใบหน้าของนาง