Skip to content

A Will Eternal 849

บทที่ 849 เข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า

โจวอีซิงเพิ่งจะเหยียบเข้ามาในริมเขตของพื้นที่ต้องห้ามแม่น้ำอเวจี ป๋ายเสี่ยวฉุนก็สัมผัสได้ทันที และเมื่อโจวอีซิงมาถึง มองปราดเดียวเขาก็เห็นป๋ายเสี่ยวฉุนและคนข้างกายอย่าง…ป๋ายฮ่าวได้ทันที!

ชั่วขณะที่มองเห็นป๋ายฮ่าว ในใจของโจวอีซิงก็สั่นสะท้านอย่างบ้าคลั่ง ลมหายใจหอบรัว เขารู้ดีว่าทั้งในด้านฐานะและตัวตน ป๋ายฮ่าวที่อยู่เบื้องหน้าผู้นี้ก็คือบุคคลที่สูงศักดิ์ที่สุดแห่งแดนทุรกันดาร

“ป๋ายฮ่าวคือจักรพรรดิหมิงจริงๆ ด้วย…นายท่านของข้าคืออาจารย์ของจักรพรรดิหมิง!” แม้ว่าก่อนหน้าที่จะมาที่นี่ โจวอีซิงจะมีการคาดเดามาก่อน ทั้งยังมั่นใจมากด้วย แต่เมื่อได้มาเห็นกับตาตัวเองเข้าจริงๆ จิตใจของเขาก็ยังคงสั่นคลอนมิอาจสงบลงได้เป็นนาน

บุคคลยิ่งใหญ่เช่นนี้ วันปกติเขาไม่มีทางได้เข้าใกล้เลย เวลานี้โจวอีซิงจึงเดินปรี่ขึ้นหน้าไปทั้งที่ตัวยังสั่น และเขาก็ไม่มีทางลืมความสัมพันธ์ระหว่างป๋ายเสี่ยวฉุนและป๋ายฮ่าว ดังนั้นคนแรกที่เขาคารวะก็คือป๋ายเสี่ยวฉุน หลังจากนั้นจึงเป็นป๋ายฮ่าว

“อีซิงคารวะนายท่าน! คารวะใต้เท้าจักรพรรดิหมิง!” ลมหายใจของโจวฉีซิงแสดงให้เห็นถึงความตื่นตระหนกในใจ เขายืนก้มหน้าคารวะอยู่ตรงนั้น ในใจก็ให้ตื่นเต้นเป็นกำลัง ทั้งความตื่นเต้นนั้นยังมิอาจอำพรางไว้ได้มิด

“เชวียเอ๋อร์ของข้าล่ะ? เจ้าก็พาเขามาด้วยใช่ไหม” มองเห็นท่าทางที่ทั้งตื่นเต้นทั้งเคารพยำเกรงของโจวอีซิง จิตใจของป๋ายเสี่ยวฉุนก็โปร่งโล่งสบาย ลำพองใจสุดขีด รู้สึกว่าแม้ตนจะไม่สามารถป่าวประกาศให้ทุกคนรู้ได้ว่าตัวเองสูงส่งแค่ไหน ทว่าความเคารพเลื่อมใสจากคนข้างกายที่ควรได้รับยังไงก็ต้องได้รับ ดังนั้นจึงเอ่ยถามถึงซ่งเชวีย

ในใจของป๋ายเสี่ยวฉุนเต็มไปด้วยความรอคอยอยากเห็นสีหน้าของซ่งเชวียหลังจากที่อีกฝ่ายรู้ตัวตนของเขา

สีหน้าของป๋ายฮ่าวที่ยืนอยู่ข้างๆ เริ่มเปลี่ยนมาเป็นเหยเก

เขารู้จักอาจารย์ของตัวเองดียิ่งนัก ดังนั้นจึงให้ความร่วมมือโดยการปล่อยพลานุภาพสยบของจักรพรรดิหมิงออกมา โจวอีซิงหอบหายใจดังเฮือก ยิ่งมีท่าทางยำเกรงกว่าเดิม รีบร้อนปล่อยซ่งเชวียออกมาจากในถุงเก็บของทันที

คราวนี้ซ่งเชวียอยู่ในถุงเก็บของแค่ไม่กี่วัน เขาจึงไม่ได้อึดอัดจนเกือบขาดใจตายอย่างที่เคยเป็น อีกทั้งดูเหมือนเขาจะเคยชินกับการถูกโยนไว้ในถุงเก็บของบ่อยๆ เสียแล้ว

สภาพจิตใจของเขาจึงนับว่าไม่เลว ยิ่งช่วงเวลาก่อนหน้านี้ได้อยู่ข้างกายป๋ายเสี่ยวฉุน มีทรัพยากรในการฝึกตนที่มากพอ โรคภัยที่ติดตัวมาก็หายไปแล้วเจ็ดแปดส่วน ตบะก็ยิ่งมีการพัฒนา ตอนนี้จึงอยู่ห่างจากก่อกำเนิดช่วงกลางอีกไม่ไกลแล้ว

เวลานี้เพิ่งจะปรากฏตัว ใบหน้าของซ่งเชวียก็เผยความเคารพเลื่อมใสออกมาตามจิตใต้สำนัก ตอนที่เขาหันไปมองรอบกาย คนแรกที่เขามองเห็นไม่ใช่ป๋ายเสี่ยวฉุน แต่เป็นป๋ายฮ่าว

สำหรับเรื่องที่ป๋ายฮ่าวได้กลายเป็นจักรพรรดิหมิง เขาเองก็รู้เช่นกัน ความดีใจเพิ่งจะบังเกิดขึ้น ทว่าเวลานี้เอง เขาก็พลันสัมผัสได้ว่าข้างกายป๋ายฮ่าว

นอกจากโจวอีซิงแล้วยังมีเงาร่างที่ดูเหมือนว่าเขาจะคุ้นเคยมากอีกเงาหนึ่งยืนอยู่

อึ้งงันไปครู่ ซ่งเชวียยังนึกว่าตัวเองตาฝาด ท่ามกลางสติที่หลุดลอย เขาพลันเบิกตากว้าง มองมายังป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ ร่างก็สั่นเทิ้มอย่างรุนแรง หอบหายใจอย่างต่อเนื่องพร้อมยกนิ้วขวาขึ้นชี้ป๋ายเสี่ยวฉุน

โจวอีซิงที่อยู่ข้างกันจับตามองภาพเหตุการณ์อย่างใกล้ชิดโดยไม่กล้าขัดจังหวะการพบหน้ากันระหว่างป๋ายเสี่ยวฉุนและซ่งเชวีย ส่วนป๋ายฮ่าวก็ยิ่งมีสีหน้าปั้นยาก แต่มองออกว่าป๋ายเสี่ยวฉุนดูท่าจะชอบใจอยู่ไม่น้อย ดังนั้นจึงอดทนไม่ส่งเสียงออกไป

“เจ้า…” ซ่งเชวียร้องอุทานเสียงขาดหาย

เขาคาดไม่ถึงจริงๆ ว่าจะได้มาเจอป๋ายเสี่ยวฉุนที่นี่

สำหรับเขาแล้วนี่เป็นเรื่องที่เหนือการคาดคิดสุดๆ จิตใจของเขาเวลานี้ปั่นป่วนวุ่นวายจนไม่ทันสงสัยว่าเหตุใดป๋ายเสี่ยวฉุนถึงได้มาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ รวมไปถึงไม่ได้สังเกตดูปฏิกิริยาตอบสนองของโจวอีซิงและป๋ายฮ่าว

“ไฮ้ เชวียเอ๋อร์” ป๋ายเสี่ยวฉุนไอแห้งๆ หนึ่งที ก่อนจะยกมือโบกทักทายซ่งเชวียพร้อมยิ้มตาหยี ในใจรื่นรมย์จนมิอาจหาคำใดมาบรรยายได้

พอได้ยินคำเรียกว่าเชวียเอ๋อร์ อารมณ์ของซ่งเชวียก็ระเบิดออกทันใด แต่เมื่อมีประสบการณ์ในแดนทุรกันดารมาก่อน เขาก็รู้สึกว่าตัวเองเติบโตกว่าเดิมเยอะมากแล้ว ดังนั้นจึงข่มกลั้นความไม่สบอารมณ์ของตัวเองเอาไว้ นัยน์ตาโชนแสงคมกริบ พลังอำนาจพวยพุ่งพร้อมกับความมั่นใจอย่างแรงกล้าที่ระเบิดออกมาจากร่างของเขา

“เจ้าบังอาจกล้ามาเผยกายต่อหน้าจักรพรรดิหมิงเชียวรึ!” ซ่งเชวียแค่นเสียงเย็นเนิบช้า จะอย่างไรเขากับป๋ายเสี่ยวฉุนก็เป็นลูกศิษย์สำนักสยบธารเหมือนกัน ต่อให้ในใจจะไม่ยอมแพ้ป๋ายเสี่ยวฉุนมากแค่ไหน แต่ในช่วงเวลาคับขันเช่นนี้เขาก็ยังอดทนข่มกลั้นเอาไว้ ไม่ได้พูดชื่อป๋ายเสี่ยวฉุนออกมา ทั้งยังแอบบอกเป็นนัยให้ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้ว่าป๋ายฮ่าวคือจักรพรรดิหมิงด้วย

“ข้ามอบโอกาสให้เขาแล้ว หากเขาฉลาดก็ต้องรีบหนีไป หรือไม่ก็หาวิธีมาคลี่คลายปัญหา หากเขาปฏิกิริยาตอบสนองช้าแล้วมาตายอยู่ที่นี่ก็โทษข้าไม่ได้”

ในใจของซ่งเชวียคิดเช่นนี้ ตอนที่มองมายังป๋ายเสี่ยวฉุนจึงแอบส่ายหัวไปด้วย เขารู้สึกว่าตอนนี้ตนกับอีกฝ่ายอยู่คนละระดับกันแล้ว

ย้อนนึกถึงว่าหลังจากตนมาอยู่แดนทุรกันดารก็ได้กลายมาเป็นสัตว์เลี้ยงของจักรพรรดิหมิง

ในสายตาเขา ตัวตนนี้ไม่ใช่สิ่งที่ป๋ายเสี่ยวฉุนผู้อยู่เบื้องหน้าจะมาเปรียบเทียบได้ และความคิดที่อยากจะข่มหัวป๋ายเสี่ยวฉุนของเขา มาวันนี้ก็ได้กลายเป็นจริงแล้ว

“นี่แหละหนาชะตาชีวิต ป๋ายเสี่ยวฉุนเอ๋ยป๋ายเสี่ยวฉุน ชะตาชีวิตของเจ้าไม่ดี เมื่อมาอยู่ในแดนทุรกันดารก็ได้แต่กลายมาเป็นนักโทษที่ทางการประกาศจับ ใครเห็นใครก็ร้องตะโกนเอาชีวิต แต่ข้าซ่งเชวียกลับจับผลัดจับผลูได้มาเป็นสัตว์เลี้ยงของจักรพรรดิหมิง วันหน้าย่อมต้องได้รับหน้าที่สำคัญ ความหมายในการดำรงอยู่ของข้าช่างยิ่งใหญ่นัก” ซ่งเชวียมองเหยียดป๋ายเสี่ยวฉุน ทว่าแววตานั้นฉายความเวทนา ย้อนนึกถึงอดีตระหว่างตนกับป๋ายเสี่ยวฉุน ซ่งเชวียก็ได้แต่ถอนหายใจเบาๆ อยู่ในใจ ครุ่นคิดว่าหากเป็นไปได้จะหาโอกาสช่วยอีกฝ่ายสักหน่อย จะอย่างไรซะก็เป็นคนสำนักสยบธารเหมือนกัน

ขณะเดียวกัน เขาที่สงบสติอารมณ์ได้แล้วก็เริ่มเกิดความสงสัยในข้อที่ว่าเหตุใดป๋ายเสี่ยวฉุนถึงมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ และดูจากท่าทางแล้วก็เหมือนจะไม่มีความขัดแย้งกับป๋ายฮ่าวด้วย

ทว่าชั่วขณะที่ความคิดของเขาเพิ่งเกิดขึ้นมาในสมอง ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับกระแอมเบาๆ หนึ่งที เขารู้จักซ่งเชวียดีนักล่ะ แน่นอนว่าย่อมมองออกถึงการเตือนโดยไม่มีเจตนาร้ายของอีกฝ่าย

เมื่อเป็นเช่นนี้เขาจึงรู้สึกว่าเชวียเอ๋อร์ผู้นี้ไม่เลว ในช่วงเวลาคับขัน อีกฝ่ายก็ยังคิดจะปกป้องอาเขยน้อยอย่างตน พอคิดอย่างนี้เขาก็อดใจไม่ไหวอีกต่อไป

“ช่างเถอะๆ ไม่รับเอาความเลื่อมใสจากเขาก็ได้” ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกว่าในฐานะที่ตนเป็นอาเขยน้อยก็นับว่าดูแลหลานของตัวเองได้ดีไม่น้อย ดังนั้นหลังจากกระแอมไอก็ไม่ได้สนใจซ่งเชวียอีก เพียงหันไปมองป๋ายฮ่าวลูกศิษย์ของตัวเองและชี้ไปยังโจวอีซิง

“ฮ่าวเอ๋อร์ โจวอีซิงผู้นี้ติดตามอาจารย์มานานหลายปี อยู่ในแดนทุรกันดารแห่งนี้ก็คอยรับใช้จัดการเป็นธุระให้ข้าอยู่หลายครั้ง ตอนนี้ข้าจะจากไปแล้วก็ให้เขาติดตามเจ้าก็แล้วกัน”

ประโยคนี้ของป๋ายเสี่ยวฉุนที่ดังเข้าหูโจวอีซิงปานประหนึ่งเสียงจากสรวงสวรรค์ ทำให้ในสมองของโจวอีซิงมีคลื่นยักษ์แห่งความปิติยินดีซัดสาดดังอึงอล ลมหายใจก็ยิ่งถี่รัว รู้สึกเหมือนเรื่องดีเทียมฟ้าตกกระแทกลงมาบนหัว เขาตื่นเต้นจนตัวสั่นเทิ้ม ซาบซึ้งใจในตัวป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างที่ไร้คำบรรยาย

“นายท่าน…ขอบพระคุณ…ขอบพระคุณมากนายท่าน!!”

เขาคืออาจารย์หลอมวิญญาณที่รับการสืบทอดมาจากตระกูล

ดังนั้นความเคารพเลื่อมใสและความกระตือรือร้นอันเร่าร้อนที่มีต่อจักรพรรดิหมิงจึงไม่ใช่สิ่งที่ป๋ายเสี่ยวฉุนจะทำความเข้าใจได้

เพราะนั้นเมื่อได้ยินประโยคนี้ของป๋ายเสี่ยวฉุน โจวอีซิงจึงถึงกับอาการหลุดทันที

เขาเข้าใจดีว่า หากตนกลายมาเป็นคนของจักรพรรดิหมิง ถ้าเช่นนั้นก็เท่ากับว่าได้เป็นทูตตัวแทนที่ช่วยจักรพรรดิหมิงจัดการเรื่องราวในโลกมนุษย์ ระดับความสูงส่งของตัวตนเช่นนี้ ไม่พูดว่าเทียบเคียงได้กับสี่ราชสวรรค์ผู้ยิ่งใหญ่ แต่ก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่นัก

ส่วนตระกูลของเขา นับจากนี้ไปก็ต้องถึงขั้นที่ว่าไม่กล้าจัดเขาเป็นผู้สืบทอดอีกต่อไป เพราะว่าตำแหน่งผู้สืบทอดของตระกูลไม่คู่ควรกับตัวตนของโจวอีซิงในเวลานี้อีกต่อไปแล้ว

เขาจะกลายมาเป็นที่พึ่งที่แท้จริงของตระกูล ไม่ว่าจะเป็นบุรพาจารย์หรือคนในตระกูลก็ต้องให้ความเคารพเขาสูงสุด!

ขณะที่โจวอีซิงกำลังดีใจเป็นบ้าเป็นหลัง ซ่งเชวียที่อยู่ข้างกันกลับเบิกตาถลน ความมั่นใจ ความภาคภูมิใจทั้งหมดก่อนหน้านี้เหมือนถูกแช่แข็งไปในบัดดล ทั้งยังเกิดแววว่าจะพังทลายลงมา เขามองภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเบื้องหน้าด้วยความเหลือเชื่อ รู้สึกว่าตัวเองน่าจะมองผิดไป…

“เจ้า…เจ้าเรียกจักรพรรดิหมิงว่าฮ่าวเอ๋อร์?!” ซ่งเชวียตัวสั่น มองป๋ายเสี่ยวฉุนแล้วก็หันไปมองโจวอีซิง

“เจ้า…เจ้าเรียกเขาว่านายท่าน?!”

“เข้าใจอะไรผิดกันตรงไหนหรือเปล่า นี่…นี่มันไม่ถูกสิ…” ซ่งเชวียส่ายหัวอย่างแรง คำพูดก็สับสนสลับกันให้มั่วไปหมด ภาพเหตุการณ์นี้สร้างความสะเทือนขวัญให้กับเขามากเกินไป มากเกินขีดจำกัดที่เขาจะแบกรับเอาไว้ได้

ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ผงะตกใจ ในใจให้กลัดกลุ้ม เห็นทีเรื่องนี้คงกระตุ้นอารมณ์ของซ่งเชวียรุนแรงเกินไป ตนควรจะอธิบายยังไงถึงจะไม่ทำให้ซ่งเชวียตกใจจนสติหลุดดีนะ…

ส่วนโจวอีซิงที่ต่อให้จะตื่นเต้นแค่ไหน พอได้ยินคำพูดของซ่งเชวีย สีหน้าของเขาก็ยังเหยเกอย่างห้ามไม่ได้ ได้แต่ถอนหายใจอยู่ในใจ เขารู้สึกว่าตัวเองเห็นใจซ่งเชวียผู้นี้อย่างมาก…

ป๋ายฮ่าวเองก็รู้สึกเห็นใจซ่งเชวียยิ่งนัก ยามนี้จึงได้แต่ยิ้มจืดแล้วหันไปคารวะป๋ายเสี่ยวฉุน

“รับคำสั่งท่านอาจารย์!” สำหรับการเลือกทูตตัวแทน หากคนอื่นเป็นคนเสนอมา เขาต้องพิจารณาอย่างรอบคอบแน่นอน แต่ตอนนี้พอออกมาจากปากป๋ายเสี่ยวฉุน ป๋ายฮ่าวก็ตกปากรับคำทันทีโดยไม่แม้แต่จะคิดลังเล

เขารับคำด้วยคำพูดอย่างที่เคยใช้เป็นประจำ

ในอดีตที่ผ่านมา ทุกครั้งที่ป๋ายเสี่ยวฉุนสั่งความ เขาล้วนเอ่ยตอบรับด้วยประโยคนี้ ทว่าวินาทีที่ประโยคนี้ของเขาดังออกมากลับเหมือนมีสายฟ้าหลายร้อยล้านเส้นที่ผ่าเปรี้ยงลงมาในสมองของซ่งเชวียติดต่อกัน!

“เจ้า…เจ้าเรียกเขาว่าอาจารย์?!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!