Skip to content

A Will Eternal 1033

บทที่ 1033 คนรู้จักคนแรก

ลมหนาวไม่มีอะไรแตกต่างไปจากเดิม ทว่าพอมันพัดมาโดนร่างของคนทั้งสามกลับทำให้อันธพาลสามคนนี้ตัวสั่นสะท้านรุนแรง เหงื่อแตกพลั่กๆ ออกมาจากทั่วร่าง

“เซียน…คนผู้นี้ต้องเป็นเซียนแน่นอน!!” ซุนอู่ตัวสั่นเทิ้ม ใกล้จะร้องไห้รอมร่อ พอนึกถึงว่าตัวเองดันมาปล้นเซียน ในสมองของเขาก็มีเสียงดังอื้ออึง รู้สึกเพียงว่าตัวเองคงมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นานแล้ว

“เซียนจะนับเป็นอะไรได้ เมื่อหลายปีก่อนข้าเคยเห็นว่ามีเซียนคนหนึ่งถูกลูกหลงโดนมีดฟันตาย!”

ขณะที่ซุนอู่ตัวสั่น อันธพาลอีกคนที่อยู่ข้างกายเขาซึ่งอาจจะเป็นเพราะขาดสติ หรือไม่ก็เพราะหวาดกลัวถึงขีดสุดแล้ว ยามนี้เขาที่ดวงตาแดงก่ำถึงได้หยิบขวานเล่มหนึ่งออกมาจากด้านหลัง ร้องคำรามแล้ววิ่งกระโจนเข้าใส่ป๋ายเสี่ยวฉุน ก่อนจะเงื้อขวานจามลงไปที่ศีรษะของป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างแรง!

“ในเมื่อล่วงเกินเซียนไปแล้ว จะซ้ายจะขวาก็ต้องตาย ถ้าอย่างนั้นก็ต้องสู้ให้เต็มที่!” อันธพาลผู้นี้ร้องคำราม วินาทีที่ขวานนั้นร่วงลงไป เสียงเปรี๊ยะอีกเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมา ด้ามขวานที่ทำมาจากไม้พลันแตกกระจาย คมขวานฟาดลงไปบนศีรษะของป๋ายเสี่ยวฉุนแต่กลับเหมือนฟันลงบนหินผาที่แข็งแกร่งมิอาจทำลาย เมื่อด้ามขวานแตก แรงสะท้อนนั้นก็ทำให้หัวขวานกลายมาเป็นแสงเจิดจ้าที่ม้วนกระเด็นกลับมาเสียบใบหน้าของชายอันธพาลผู้นั้นดังสวบ

เร็วเกินไป แม้แต่เลือดสดก็ยังไม่ทันได้ไหล รอยแผลทั้งหมดล้วนถูกขวานนั้นอุดทับ ร่างของอันธพาลผู้นั้นสั่นเทิ้ม ถอยหลังมาหลายก้าวคล้ายอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ยังไม่ทันได้เปิดปากก็ร่วงตุ้บลงไปกองกับพื้น ขาดใจตายเสียก่อน

ซุนอู่กับอันธพาลอีกคนหนึ่งตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อไปหมดแล้ว คนทั้งสองร้องโหยหวนล้มลุกคลุกคลานหนีไปราวกับคนบ้า ปรารถนาอยากให้มีขางอกออกมาอีกหลายๆ ข้างยิ่งนัก

พวกเขาหวาดกลัวถึงขีดสุดแล้ว ถึงขั้นที่ว่าไม่กล้าอยู่ในอำเภอแห่งนี้ต่ออีก พอปล้นม้าเร็วมาได้ก็รีบเผ่นหนีไปทั้งที่ยังมืดค่ำ

นอกวัด ท่ามกลางลมหนาวเหน็บ พักใหญ่ศพที่หัวขวานปักเข้าไปแสกหน้าถึงได้มีเลือดสดไหลออกมาแล้วซึมหายเข้าไปในดินโคลนใต้ร่างที่นอนแน่นิ่งไม่ไหวติงของเขา

ส่วนป๋ายเสี่ยวฉุนนั้น ตอนนี้ลืมตาสะลึมสะลือขึ้นมา เขามองไปยังป่าไผ่ที่ห่างไปไกล แล้วก็มองมายังซากศพสภาพน่าสยดสยองข้างกายแวบหนึ่ง เขาไม่ได้มีอารมณ์มาสนใจคนธรรมดาพวกนี้แม้แต่น้อย เพียงแต่ว่าเสียงเอะอะที่ปลุกให้ตื่นทำให้เขาหงุดหงิดเล็กน้อย พอคลานลุกขึ้นมาได้ก็เดินโซซัดไปยังจุดที่กาเหล้าถูกเหยียบจมดิน หยิบกาขึ้นมาแล้วเดินโงนเงนกลับมาพิงผนังวัดอีกครั้ง ก่อนจะดื่มเหล้าลงไปคำใหญ่โดยไม่สนใจว่ามันสกปรก

มีเพียงเมามายไม่มีสติเท่านั้น ความคิดของเขาถึงจะไม่วุ่นวาย ไม่หวนนึกไปถึงความทรงจำในอดีตที่เจ็บปวด และไม่ใคร่ครวญถึงอนาคตที่เลื่อนลอย

ดื่มไปดื่มมา ท้องฟ้าที่ห่างไปไกลก็ยิ่งเป็นสีดำเข้มข้นคล้ายว่าแสงอรุณกำลังจะมาเยือน ม่านฟ้ารัตติกาลกำลังจะสาดน้ำหมึกสุดท้ายออกไป แต่ทันใดนั้นป๋ายเสี่ยวฉุนก็พลันนิ่วหน้า สายตาของเขาเผยความเหลือเชื่อออกมา เงยหน้าพรวดจ้องเขม็งไปยังป่าไผ่เบื้องหน้าอย่างไม่กล้าเชื่อ แม้แต่ร่างกายก็สั่นสะท้านอย่างที่มิอาจควบคุม

มือที่ถือกาเหล้าก็สั่นเทิ้มจนกาเหล้าแทบจะหลุดออกจากมือ

และเวลานี้เอง ในป่าไผ่เบื้องหน้าก็มีเงาร่างสูงใหญ่ร่างหนึ่งเดินออกมาช้าๆ เงาร่างนี้สวมชุดยาวสีดำ ตลอดทั้งร่างคล้ายผสานรวมเป็นหนึ่งกับความมืดมิด ทั้งยังมีกลิ่นอายของภูตผีอันน่าสะพรึงกลัวแผ่ออกมารอบด้าน ราวกับว่าวัดแห่งนี้รวมไปถึงทุกสิ่งที่อยู่โดยรอบได้ตกลงไปยังความมืดครึ้มอึมครึม

เขาเองก็มองป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่เช่นกัน ทั้งยังก้าวเข้ามาทีละก้าวจนกระทั่งหยุดอยู่เบื้องหน้าป๋ายเสี่ยวฉุน ยืนอยู่ตรงนั้นเนิ่นนานถึงได้ถอนหายใจออกมายาวเหยียด เสียงถอนหายใจนี้แฝงไว้ด้วยความโชกโชนในประสบการณ์ แฝงไว้ด้วยความสะท้อนใจ สุดท้ายกลายมาเป็นเสียงแก่ชราที่ดังก้องอยู่ในหูของป๋ายเสี่ยวฉุน

“ยังมีอีกไหม ข้าก็อยากดื่มเหมือนกัน”

“พี่…ผียักษ์…” ป๋ายเสี่ยวฉุนเหม่อมองเงาร่างสูงใหญ่แต่กลับแก่ชราเบื้องหน้าด้วยสายตาเลื่อนลอย ก่อนที่ดวงตาของเขาจะพลันพร่ามัว

คนที่มาก็คือราชาผียักษ์!

นี่เป็นคนรู้จักคนแรกที่ป๋ายเสี่ยวฉุนได้พบเจอ…นับตั้งแต่เขาตื่นขึ้นมาในแผ่นดินหย่งเหิงแห่งนี้!

ราชาผียักษ์แก่กว่าตอนอยู่ในโลกทงเทียนอย่างเห็นได้ชัด

โดยเฉพาะบนใบหน้าของเขาที่มีรอยแผลเป็นเส้นหนึ่งซึ่งเห็นได้ชัดว่าในเวลาครึ่งปีกว่านับตั้งแต่ที่โลกทงเทียนพังทลายและถูกส่งมายังแผ่นดินหย่งเหิง เขาเองก็คงผ่านประสบการณ์ที่อันตรายมาเช่นกัน

บัดนี้บนร่างของเขาก็มีความเหนื่อยล้าแผ่อวลออกมา เขาทรุดลงพิงผนังข้างกายป๋ายเสี่ยวฉุน แล้วแย่งกาเหล้าในมือของป๋ายเสี่ยวฉุนไป ก่อนจะเอากรอกปากดื่มไปอึกใหญ่

ลมหายใจของป๋ายเสี่ยวฉุนถี่กระชั้น ถลันพรวดลุกขึ้นยืน รีบแผ่อำนาจจิตออกไปรอบด้าน

“ไม่ต้องตามหาแล้ว จื่อโม่อยู่ที่ไหนข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน ที่นี่…มีแต่ข้า”

ราชาผียักษ์ไม่ได้เงยหน้า เขายังคงดื่มเหล้าต่อไป น้ำเสียงของเขาฟังดูเหนื่อยล้าและยิ่งมากด้วยความอ้างว้าง

ป๋ายเสี่ยวฉุนเหมือนหมดสิ้นเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี เขานั่งลงช้าๆ ทว่าลมหายใจกลับยังถี่รัว แย่งกาเหล้ากลับมาจากมือของราชาผียักษ์ พอเอามาวางตรงปากถึงรู้ว่าไม่มีเหล้าแล้ว เขาเขย่ากาเหล้าแรงๆ อยู่หลายที แต่ก็ยังไม่มีเหล้าหยดออกมา

ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงโยนกาเหล้าไปไว้ข้างๆ อย่างแรง

ราชาผียักษ์ไม่ได้เอ่ยอะไร เพียงมองป๋ายเสี่ยวฉุนเงียบๆ

“ท่านหาข้าเจอได้อย่างไร?” เนิ่นนาน ป๋ายเสี่ยวฉุนถึงถามขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบพร่า

“ข้าหาเจ้ามาครึ่งปีแล้ว!” ราชาผียักษ์หยิบเหล้าอีกกาหนึ่งออกมาจากในถุงเก็บของ หลังจากดื่มไปอึกใหญ่ก็โยนมาให้ป๋ายเสี่ยวฉุน พลางเล่าเนิบช้า

ตอนนั้นที่โลกพังทลาย เนื่องจากป๋ายเสี่ยวฉุนต่อสู้กับนักพรตทงเทียนจึงบาดเจ็บสาหัส ตอนที่ถูกนำส่งออกมาเขาหมดสติไป ทว่าราชาผียักษ์ที่อยู่ในนครจักรพรรดิขุยของแดนทุรกันดารกลับไม่ได้หมดสติ

เขามองเห็นกับตาตัวเองว่าป๋ายเสี่ยวฉุนถูกส่งมายังดินแดนเซียนแห่งที่สามของราชวงศ์จักรพรรดิแสพร้อมกับตน

ดังนั้นเขาจึงเริ่มตามหา แล้วก็ได้เห็นศพมากมายเช่นเดียวกับป๋ายเสี่ยวฉุน ในใจราชาผียักษ์เจ็บปวดอย่างถึงที่สุด แต่เขาเชื่ออยู่อย่างหนึ่งก็คือ ป๋ายเสี่ยวฉุน…ต้องไม่ตายแน่นอน

ภายใต้ความเชื่อมั่นนี้ เขาใช้เวลาตามหามาครึ่งปีกว่า ในที่สุดวันนี้ เขาก็ได้พบกับ…ป๋ายเสี่ยวฉุนที่หมดอาลัยตายอยาก

เมื่อเทียบกับอารมณ์ห่อเหี่ยวของป๋ายเสี่ยวฉุนแล้ว อันที่จริงอารมณ์ของราชาผียักษ์ก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่าไหร่นัก

เมื่อผ่านศึกใหญ่ในแดนทุรกันดาร โลกพังทลาย ลูกสาวหายสาบสูญ เรื่องราวทั้งหมดนี้ล้วนทำให้ราชาสวรรค์ผู้ยิ่งใหญ่ของราชวงศ์จักรพรรดิขุยอย่างเขากลายมาเป็นคนที่ไม่เหลืออะไร

และภรรยากับสนมของเขาที่เคยอยู่ในนครผียักษ์ ตอนนี้ก็ไม่รู้ไปอยู่ที่ไหน เรื่องทั้งหมดนี้ล้วนทำให้ในใจของราชาผียักษ์ผู้แข็งแกร่งเกิดความเคว้งคว้าง

ประชากรของตน รวมไปถึงความเจริญรุ่งเรืองในอดีต เพียงชั่วพริบตา…เมื่อโลกทงเทียนพังทลาย ทุกอย่างก็เป็นเหมือนเมฆหมอกที่ลอยผ่านไป กลายเป็นเพียงอดีต ซึ่งสิ่งที่วางอยู่ตรงหน้าเขาในแผ่นดินหย่งเหิงอันไม่คุ้นเคยแห่งนี้ก็คือ…การเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง

สำหรับเขาที่มีอายุอยู่มาจนปูนนี้ ทุกครั้งที่พอนึกว่าต้องเริ่มต้นใหม่ เขาก็อดทอดถอนใจด้วยความขมขื่นไม่ได้ และในเวลานี้เขาก็ได้ค้นพบประโยชน์อันมหัศจรรย์ของสุราในแผ่นดินหย่งเหิง

เหล้าของที่นี่ไม่เพียงแต่ทำให้คนธรรมดาเมาได้ ยังทำให้เซียนเมามายได้เช่นกัน

“ท่านเห็นหรือยัง…” ป๋ายเสี่ยวฉุนที่ถือกาเหล้าค้างไว้พักใหญ่เอ่ยขึ้นอย่างซึมกะทือ เขาไม่ได้พูดว่าเห็นอะไร แต่ราชาผียักษ์กลับเข้าใจดี

“เจ้าเป็นคนที่รอดคนชีวิตคนแรกซึ่งข้าได้พบ ทว่าข้าผู้อาวุโสเชื่อมั่น แม้ขณะที่นำส่งจะมีคนตายไปไม่น้อย ทว่าตอนนี้คนที่มองเห็นท้องฟ้าเช่นเดียวกับพวกเราก็ต้องมีอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน!” ราชาผียักษ์เงียบไปนานกว่าจะเอ่ยด้วยเสียงทุ้มหนัก

ป๋ายเสี่ยวฉุนเงยหน้าขึ้น มองท้องฟ้ายามค่ำคืนอย่างเหม่อลอย เงียบงันไปนาน

เวลานี้ใต้ท้องฟ้ารัตติกาล บนดินแดนเซียนห้าแห่งของแผ่นดินหย่งเหิง ในพื้นที่ที่แตกต่างกัน ในเขตที่แตกต่างกัน ในจังหวัดที่แตกต่างกัน ในนครและในผืนป่าที่แตกต่างกันก็มีคนของแผ่นดินทงเทียนที่พัดเพพเนจรซึ่งกำลังเงยหน้ามองท้องฟ้าที่ไม่คุ้นเคยอยู่เช่นกัน

พวกเขาก็เหมือนดวงดารดาษที่มองไม่เห็น ซึ่งหากมีตบะมากพอให้ทะยานไปทั่วแผ่นดินหย่งเหิงก็ต้องเห็นได้ว่า…ท่ามกลางแผ่นดินที่เป็นเหมือนท้องฟ้ามากหมู่ดาวแห่งนี้ ดวงดาวเล็กๆ น้อยๆ ต่างก็แผ่ประกายแสงแห่งความดิ้นรนและไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตาออกมา

หลี่ชิงโหว บุรพาจารย์ธาราเทพ เสินซ่วนจื่อ สวีเป่าไฉ

โจวจื่อโม่ ซ่งจวินหว่าน…

และยังมีเถี่ยตั้น ปีนั้นตอนอยู่ในสงครามของแดนทุรกันดาร เนื่องจากความบ้าคลั่งของป๋ายเสี่ยวฉุน มันจึงถูกหลงลืมไป ทว่ามันคอยมองป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่ไกลๆ ตลอดเวลา จนกระทั่งโลกทั้งใบพังทลาย จนกระทั่งถูกนำส่งมายังแผ่นดินหย่งเหิงที่แปลกหน้าแห่งนี้ มันที่มองเห็นผู้คนที่ไม่คุ้นเคยก็รู้สึกกลัวเล็กน้อย แต่ถึงแม้มันจะสัมผัสไม่ได้ถึงปราณของป๋ายเสี่ยวฉุน แต่กลับสัมผัสได้ถึงคลื่นขุมหนึ่งที่ทั้งคุ้นเคยและทั้งแปลกใหม่ ดังนั้นมันจึงออกตามหา และมันก็ได้พบซ่งจวินหว่าน…

ซึ่งคลื่นที่ทำให้มันรู้สึกทั้งคุ้นเคยแล้วก็ไม่คุ้นเคยนี้มาจากในท้องของซ่งจวินหว่าน…

ที่คุ้นเคยคือสายเลือด ที่ไม่คุ้นเคยคือปราณ เถี่ยตั้นไม่เข้าใจ เพียงแต่รอยยิ้มงดงามของซ่งจวินหว่านกลับทำให้มันรู้ว่า มันจะต้องปกป้องปราณขุมนี้ ปกป้องสายเลือดนี้!

มันเชื่อว่าสักวันหนึ่ง ตัวเองที่อยู่ในฟ้าดินแปลกหน้าใบนี้ จะต้องได้พบกับ…เงาร่างที่คุ้นเคยนั่นอีกครั้ง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!