บทที่ 1052 ผู้ที่มามีเจตนาร้าย
“ฟื้นคืนชีพ!” กงซุนหว่านเอ๋อร์ตอบรับด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“นี่ก็คือสาเหตุที่บุพกาลถูกเรียกว่าจักรพรรดิ ขณะเดียวกันก็เป็นสาเหตุที่ว่าทําไมปีนั้น ทั้งๆ ที่จักรพรรดิแสสามารถกําราบราชวงศ์จักรพรรดิเซิ่งได้อย่างราบคาบ ทว่าเมื่อจักรพรรดิเซิ่ง ฝ่าทะลุขั้น เขากลับจําต้องยอมถอยให้อย่างกริ่งเกรง!”
“แท้จริงแล้วผู้แข็งแกร่งขอบเขตบุพกาลแข็งแกร่งมากขนาดไหน ไม่มีใครรู้ได้ อีกทั้งสองจักรพรรดิใหญ่ก็ไม่เคยเปิดศึกกันมาก่อน ความสามารถเพียงอย่างเดียวของพวกเขา ที่คนทั้งโลกรับรู้ก็คือสามารถชุบชีวิตเทียนจุนได้!”
กงซุนหว่านเอ๋อร์มองป๋ายเสี่ยวฉุนและราชาผียักษ์ นางรู้ดีว่าสําหรับคนที่ไม่เคยได้ยินข้อมูลนี้มาก่อน คําพูดเหล่านี้ของตนจะสร้างความสั่นสะเทือนให้คนทั้งสองได้มากแค่ไหน
แล้วก็เป็นจริงดังคาด ลมหายใจของป๋ายเสี่ยวฉุนถี่รัว ราชาผียักษ์เองก็มีคลื่นยักษ์ถาโถมในหัวใจ เมื่อได้ฟังคําบอกเล่าจากกงซุนหว่านเอ๋อร์ รากฐานและความแข็งแกร่งของสองราชวงศ์ ก็เหมือนมุมหนึ่งของภูเขาน้ำแข็งที่ถูกเปิดเผยอยู่เบื้องหน้าพวกเขา
“ขอแค่นักพรตครึ่งเทพฝ่าทะลุสู่ขอบเขตเทียนจุน สร้างเมล็ดพันธุ์แห่งเต๋าขึ้นมาได้ ก็จะ สามารถแบ่งเมล็ดพันธุ์แห่งเต๋าของตนเสี้ยวหนึ่งส่งไปไว้ในตําหนักแห่งเต๋าของราชวงศ์ และเมื่อเขาตายไป จักรพรรดิบุพกาลก็จะอาศัยเมล็ดพันธุ์แห่งเต๋าของคนผู้นี้ ปลุกเขาให้ฟื้นคืนชีพกลับมาอีกครั้ง!”
กงซุนหวานเอ๋อร์หยุดชะงักไปครู่หนึ่ง เพื่อรอให้ป๋ายเสี่ยวฉุน และราชาผียักษ์ย่อยข้อมูลที่ตนให้ไปก่อนจะเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“ดังนั้นในสถานการณ์ที่จักรพรรดิไม่ลงมือ บนแผ่นดินหย่งเหิงแห่งนี้ พลังการต่อสู้ของ เทียนจุนจึงเป็นขอบเขตที่สูงที่สุด!
“แต่ว่าการฟื้นคืนชีพก็หาใช่จะทําได้อย่างสมบูรณ์แบบ ไม่เพียงแต่บุพกาลจะต้องจ่ายค่า ตอบแทน ขณะเดียวกันทุกครั้งที่เทียนจุนถูกชุบชีวิต ตัวของเขาเองก็จะถูกลดทอนพลังไปหนึ่งส่วนตลอดกาล!”
“ค่าตอบแทนเช่นนี้ทําให้ถึงแม้นักพรตเทียนจุนจะสามารถฟื้นคืนชีพได้อีกครั้ง แต่หากไม่ถึงที่สุดจริงๆ ก็ไม่มีใครยอมปล่อยให้ตัวเองตายเด็ดขาด” กล่าวมาถึงตรงนี้ กงซุนหว่านเอ๋อร์ก็หยุดไปอีกครั้ง ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ด้วยรู้ว่าเรื่องบางเรื่องที่แม้ตอนนี้ป๋ายเสี่ยวฉุน และราชาผียักษ์จะยังไม่รู้ แต่เนื่องจากเดิมที่มันก็ไม่ใช่ความลับอะไรอยู่แล้ว รอจนพวกเขาไป ถึงราชวงศ์จักรพรรดิเซิ่งก็ย่อมได้รู้ด้วยตัวเอง
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่มีความจําเป็นที่ต้องปิดบัง ดังนั้นนางจึงเอ่ยต่อ
“เพราะฉะนั้นแม้ว่าครั้งนี้ร่างจริงของข้าจะถูกพวกเจ้าจับตัวไป ต่อให้ตายแล้วจะสามารถ ฟื้นคืนชีพได้ ทว่าเพราะพิจารณาถึงสถานการณ์โดยรวม พิจารณาถึงความรู้สึกของเทียนจุนคนอื่นๆ และยิ่งเพื่อแสดงให้เห็นถึงพระกรุณาธิคุณ จะอย่างไรจักรพรรดิแสก็ต้องแลกตัวข้ากลับไป!”
ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนฉายแสงคมกริบ ตอนนี้เขารู้ชัดเจนแล้วว่าต้องทําอย่างไรถึงจะ กลายมาเป็นเทียนจุน และยิ่งรู้ถึงความน่าตะลึงของสองจักรพรรดิใหญ่ ทว่าตอนนี้ข้อสงสัยที่ใหญ่ที่สุดในใจของเขา…กลับเป็นการชุบชีวิตที่กงซุนหวานเอ๋อร์พูดถึง ซึ่งไม่ว่าจะทําอย่างไรก็ไม่จางหายไปจากใจของเขาเสียที
“สรุปแล้วนักพรตทงเทียน..ตายหรือไม่!” จุดลึกในดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนแฝงความเย็นเยียบไว้เสี้ยวหนึ่ง เขาพอจะจําได้คลับคล้ายคลับคลาว่าก่อนที่โลกทงเทียนจะแตกออก
ท่ามกลางเรือนกายที่แตกสลายของนักพรตทงเทียน มันมีอะไรบางอย่างที่ลักษณะเหมือน เมล็ดพันธุ์บินออกมา
“เขาเป็นเพียงแค่ว่าที่เทียนจุน ไม่มีทางสร้างเมล็ดพันธุ์แห่งเต๋าขึ้นมาได้…”
ป๋ายเสี่ยวฉุน ครุ่นคิด แล้วก็หวนนึกไปถึงกระบี่ใหญ่โลกสายเหนือที่นับตั้งแต่ตนมาถึงดินแดนเซียนนิรันดร์กาลแห่งนี้ แม้ขีดจํากัดในการใช้ของตนจะหายไป ทว่ามันกลับไม่ยอมรับตนเป็นนายเสียที
ขบคิดอยู่นาน ก่อนที่ป๋ายเสี่ยวฉุนจะฝังเรื่องนี้ไว้ในส่วนลึกของหัวใจ
ครั้นจึงเงยหน้ามองกงซุนหว่านเอ๋อร์ สําหรับเรื่องที่นางบอกว่าจะถูกจักรพรรดิแสแลกตัวกลับไป เขาไม่สนใจแม้แต่น้อย สิ่งที่เขาต้องการมีเพียงใบรับรองการเข้าพวก อีกทั้งนาทีที่กงซุนหว่านเอ๋อร์ ยอมตกลง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ตระหนักได้แล้วว่ากงซุนหว่านเอ๋อร์ต้องรู้เรื่องอะไรบางอย่างที่ตนไม่รู้แน่นอน ดังนั้นนางถึงได้มีความมั่นใจมากพอ ที่จะยอมให้ป๋ายเสี่ยวฉุนจับตัวไป หลังจากที่ได้ร่างจริงมาครอบครองแล้ว
“หลังบุพกาลคือขอบเขตอะไร?” ป๋ายเสี่ยวฉุนถาม
“หลังบุพกาล?” กงซุนหว่านเอ๋อร์คลี่ยิ้ม ประกายแห่งความปรารถนาในดวงตาเผยแจ่ม แจ้ง เงียบไปนานกว่าที่นางจะเอ่ยตอบเสียงเบาๆ
“หลังบุพกาล ก็คือ…ผู้บงการ!”
“จนถึงทุกวันนี้ บนโลกใบนี้เคยมีผู้บงการปรากฏแก่สามท่านเท่านั้น พวกเขาไม่ได้ทยอย กันปรากฏตัว แต่คือบรรพบุรุษของมวลมนุษยชาติที่ยิ่งใหญ่ทั้งสามท่านซึ่งอยู่ในยุคสมัย เดียวกัน!”
“พวกเขาเป็นใคร เจ้าน่าจะพอรู้อยู่แล้ว ตํานานเทพนิยายที่เล่าสืบกันมาในโลกนิรันดร์กาล แห่งนี้ย่อมต้องเป็นความจริง!” กงซุนหว่านเอ่อร์สูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนเงยหน้ามองท้องฟ้า
ราชาผียักษ์เงียบงัน เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าเช่นกัน แล้วเขาก็ได้เห็นใบหน้าครึ่งซีก รวมถึง มือใหญ่สองข้างที่กลายมาเป็นเทือกเขาไร้ขอบเขตสิ้นสุด!
ทุกครั้งที่ราชาผียักษ์มองท้องฟ้าที่แปลกประหลาดแห่งนี้ จิตใจของเขาจะสะเทือนเลือน ลั่นไม่ต่างอะไรไปจากป๋ายเสี่ยวฉุน
“ส่วนเรื่องที่ว่าจะฝ่าทะลุขอบเขตบุพกาลไปเป็นผู้บงการได้อย่างไรนั้น เรื่องนี้ไม่ใช่สิ่งที่ข้าจะสามารถรู้ได้ เกรงว่าจักรพรรดิใหญ่สองท่านเองก็กําลังแสวงหาวิธีการอยู่เช่นกัน” กงซุนหว่านเอ๋อร์ยกยิ้ม ถอนสายตากลับมาจากท้องฟ้าเบื้องบน แล้วมองไกลๆ ไปยังมหาสมุทรหย่งเหิง
บนมหาสมุทรหย่งเหิง ตรงจุดสิ้นสุดเส้นสายตาของนางมีหมอกบางๆ ปรากฏขึ้นมาแล้ว หากขยับไปเบื้องหน้าอีกนิดหมอกนี้จะเปลี่ยนมาเป็นหนาขึ้น ซึ่งพอจะมองเห็นวงแหวนขนาดใหญ่ยักษ์วงหนึ่งได้รำไร
และจุดศูนย์กลางของวงแหวนนั้น..ซึ่งก็คือสถานที่อันเป็นแกนกลางสําคัญของมหาสมุทร หย่งเหิง ที่นั่นคือผืนแผ่นดินแห่งหนึ่ง
บางทีหากใช้คําว่าเกาะมาบรรยายน่าจะเหมาะสมกว่า ที่นี่คือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของแผ่นดินหย่งเหิง ที่นี่คือสถานที่อันเป็นต้นกําเนิดของทุกคนบนแผ่นดินหย่งเหิง!
ที่นี่เคยเป็นสถานที่ที่มีรูปปั้นอันน่าครั่นคร้ามสามรูปตั้งตระหง่าน!
คือรูปปั้นที่เกิดขึ้นหลังจากที่เรือนกายของผู้บงการตายไป!
ป๋ายเสี่ยวฉุนเงยหน้าขึ้นมองไกลๆ ไปยังจุดที่ตั้งของรูปปั้น สายตาของเขาซับซ้อน ทั้งยิ่ง มากด้วยการย้อนทวนความทรงจํา เขาถูกนําส่งออกมาจากตรงนั้น ยามนี้เมื่อเดินทางผ่านมา เมื่อทอดสายตามองไปสิ่งที่เขาเห็นมีเพียงรอยเท้าขนาดใหญ่ยักษ์บนพื้นที่โล่งว่าง กลางเกาะที่ห่างไปไกล
คิดๆ ดูแล้วก่อนหน้าที่เรือนกายของผู้บงการขุยจะระเบิดแตก เขาคงเคยยืนอยู่ตรงนั้น และในร่างของเขาก็คือโลกทงเทียน
บนเรือรบกิ้งก่ากระดูกขาวมีแต่ความเงียบสงัด ไม่มีใครเอ่ยสิ่งใด ปล่อยให้เรือรบลํานี้ ทะยานผ่านไอหมอกของที่แห่งนี้ไป จนกระทั่งมาบินอยู่เหนือเกาะ ก็ยังไม่หยุดชะงัก ยังคงทะยานจากไปไกล
ทว่าสายตาของป๋ายเสี่ยวฉุนกลับไม่เคยย้ายออกมาจากตรงนั้น ไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ และเมื่อเรือรบจากไปไกล เมื่อไอหมอกปกคลุมเกาะถูกทิ้งไว้ข้างหลังอีกครั้ง เมื่อมองไปเห็นลูกคลื่นที่ซัดสาดอยู่บนมหาสมุทรหย่งเหิงเบื้องหน้า ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวเหยียด
“ผู้บงการ…”
ราวกับว่าการเดินทางที่ผ่านมาก่อนหน้านี้ ทุกคนได้พูดคุยเรื่องทุกอย่างจบสิ้นไปแล้ว ดังนั้นระยะทางช่วงหลังคนทั้งสามจึงเงียบงันกันไปตลอดทาง ราชาผียักษ์คิดถึงแดนทุรกันดาร ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดถึงสํานักสยบธาร ส่วนในใจกงซุนหว่านเอ๋อร์ยามนี้ก็ให้ปลงอนิจจัง
ด้านหนึ่งก็เพราะตนได้กลายมาเป็นจิตสํานึกหลัก ส่วนอีกด้านหนึ่งก็เพราะเมื่อขยับเข้าไป ใกล้ราชวงศ์จักรพรรดิเซิ่ง แม้มองภายนอกนางจะเหมือนเป็นปกติ ทว่าในใจกลับรู้สึกจําใจไม่น้อย
โดยเฉพาะเมื่อเรือรบอยู่ห่างจากดินแดนเซียนของราชวงศ์จักรพรรดิเซิ่งอีกไม่ไกลแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนผุดลุกขึ้นยืน
“กงซุนหว่านเอ๋อร์ ใกล้จะถึงแล้ว คงต้องล่วงเกินเจ้าแล้ว”
กงซุนหว่านเอ๋อร์พยักหน้ารับด้วยสีหน้าเฉยเมยอย่างเห็นได้ชัด นางเข้าใจดีว่าการผนึกร่างนางถือเป็นเรื่องที่จําเป็น นี่ไม่ใช่การทําร้ายนาง แต่เป็นการแสดงถึงท่าทีอย่างหนึ่ง ขณะเดียวกันก็จะทําให้ตอนจักรพรรดิแสแลกตัวนางกลับไปเป็นไปอย่างราบรื่นมากขึ้น
“พี่ชาย เจ้าเบามือหน่อย…หว่านเอ๋อร์กลัวเจ็บ” กงซุนหว่านเอ๋อร์พลันเอ่ยเสียงแผ่วออด อ้อน เมื่อเสียงนั้นดังเข้าหูป๋ายเสี่ยวฉุนก็ทําเอาเขาใจสั่น ลมหายใจของราชาผียักษ์ก็ยิ่งกระชั้น
มองกงซุนหว่านเอ๋อร์แวบหนึ่งพลางพึมพําในใจ ก่อนที่ป๋ายเสี่ยวฉุนจะยกมือขวาขึ้นทํามุทราชี้ไป ทันใดนั้นพลังอมตะของเขาก็แผ่ออกมา ก่อกลายเป็นตราผนึกที่ผสานรวมเข้าไปในร่างของกงซุนหว่านเอ๋อร์ แล้วผนึกทุกสัดส่วนของนางเอาไว้ ปราณของกงซุนหว่านเอ๋อร์อ่อนแอลงไปทันควัน นางที่นั่งอยู่ตรงนั้นหน้าซีดขาว ลมหายใจก็หอบหนัก
ทว่ายิ่งเป็นอย่างนี้ นางก็ยิ่งดูน่าสงสาร ทําให้ความงามของนางยิ่งสะดุดตา
ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่กล้าหันไปมอง เพียงยืนอยู่บนหัวเรือ แล้วหันหน้าไปยังดินแดนเซียนของราชวงศ์จักรพรรดิเซิ่งที่ขยับเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ
ไม่นานแผ่นดินของดินแดนเซียนก็ค่อยๆ มาปรากฏอยู่ในสายตา และเวลานี้เองหัวใจของ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็พลันสะท้าน หรี่ตาลงทันควัน เพราะจู่ๆ บนแผ่นดินของดินแดนเซียนแห่งนั้น ก็มีปราณขุมหนึ่งที่แข็งแกร่งประดุจกระบี่แหลมคมถูกชักออกมาจากฝัก ระเบิดขึ้นกะทันหัน!
เมื่อปราณนั้นระเบิด ก็เหมือนนภากาศถูกเขย่าคลอน ลมกระโชกแรง ก้อนเมฆกลิ้งตลบ เสียงกึกก้องที่ดังเกินกว่าเสียงคลื่นบนมหาสมุทรหย่งเหิง มาพร้อมกับปราณกระบี่ขุมหนึ่งที่ทะยานออกจากผืนแผ่นดินแล้วพุ่งขึ้นฟ้าโดยตรง!
ปราณกระบี่นี้หนาพอหมื่นจั้ง เสียงเกริกก้องดังไม่ขาดสาย มันทะยานไปด้วยพลังอํานาจเหี้ยมหาญ คล้ายจะบดขยี้ทุกอย่างให้แหลกลาญ ท่ามกลางความว่างเปล่าที่แตกสลาย
พลังอํานาจนี้ยิ่งนานก็ยิ่งแกร่งกร้าว เป็นเหตุให้กิ้งก่าที่อยู่เบื้องใต้เรือรบกระดูกขาวตัวสั่น นัยน์ตาฉายประกายแสงดํามืดรุนแรง
อีกทั้งความว่างเปล่ารอบเรือรบลํานี้ก็เหมือนถูกปิดผนึก จึงกลายมาเป็นแรงกดดันที่กล้าแกร่งขุมหนึ่ง ซึ่งคล้ายจะบดขยี้ทุกอย่างที่อยู่ภายในให้แหลกเหลว!
สีหน้าราชาผียักษ์เคร่งเครียด ทั้งเลือดสดยังซึมออกมาตรงมุมปาก
กงซุนหว่านเอ๋อร์หน้า เปลี่ยนสี ป๋ายเสี่ยวฉุนที่ยืนอยู่บนหัวเรือก็ถูกพลานุภาพสยบนี้ทําให้ใจสั่น จนกระทั่งปราณกระบี่บุกตะลุยมาโผล่อยู่หน้าเรือรบ ก่อนจะกลายมาเป็นเงาร่างของชายวัยกลางคน ที่สวมชุดคลุมยาวสีขาวเส้นผมขาวโพลน ใบหน้าหล่อเหลาแต่เย็นชาคนหนึ่ง!
ซึ่งกวาดตามองมายังเรือรบด้วยสายตาเย็นชา จนเหมือนว่าบัดนี้มีสายฟ้าระเบิดเปรี้ยงลงมาพร้อมกับสายตานี้
การปรากฏตัวของเขาทําให้นภากาศสั่นสะเทือน ทําให้ลูกคลื่นในมหาสมุทรหย่งเหิงเงียบกริบ ทําเอากิ้งก่ากระดูกขาวตัวสั่นจนไม่กล้าเคลื่อนหน้าไปต่อ ได้แต่หยุดชะงักรออยู่ที่เดิม
“กู่เทียนจวิน!” กงซุนหว่านเอ๋อร์ไม่เหลือท่าทางออดอ้อนอีกต่อไป ดวงตานางฉายแสงดํามืด แต่กลับมากด้วยความกริ่งเกรง ปากก็เอ่ยชื่อที่ฝังแน่นอยู่ในความทรงจําของนาง ออกมาทีละคํา!
กู่เทียนจวินที่สวมชุดขาวผมขาว กวาดตามองกงซุนหว่านเอ๋อร์ปราดหนึ่ง ตอนที่มองมายัง ป๋ายเสี่ยวฉุนเขาก็เอ่ยเสียงเรียบเฉย แต่ไม่ยอมให้ปฏิเสธ
“ในเมื่อเอาคนมาส่งแล้ว พวกเจ้าก็กลับไปได้แล้ว”
วินาทีที่ประโยคนี้ดังออกมาราชาผียักษ์ขุ่นเคืองทันควัน ประกายเย็นเยียบเปล่งวาบในดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุน ต่อให้พลานุภาพสยบของอีกฝ่ายจะแข็งแกร่ง ทว่าความหมายในคําพูดนี้ ของอีกฝ่ายนับว่าล้ำเส้นเกินกว่าที่เขาจะทนรับได้
ผู้มามีเจตนาร้าย!