บทที่ 1208 นามเลื่องลือไปทั่วหล้า
ป๋ายเสี่ยวฉุนโกหกอีกครั้งหนึ่งแล้ว…ตอนนี้ไม่ใช่ว่าเขาไม่เหลือแสงแห่งบุพกาลให้ใช้ แต่เหลืออีกแค่สามเส้นเท่านั้น
เพียงแต่จักรพรรดิแสไม่อาจล่วงรู้ สำหรับเขาแล้ว ตั้งแต่เริ่มต้นศึกนี้มาเขาก็เป็นฝ่ายถูกกระทำมาโดยตลอด และป๋ายเสี่ยวฉุนก็ไม่ใช่คนที่จะพูดจาตามหลักของคนปกติทั่วไป เขาไม่เพียงแต่ไม่ปฏิเสธ กลับเป็นฝ่ายบอกด้วยตัวเอง…เพียงแต่ว่าทุกครั้งที่เขาอ้าปากเอ่ย ล้วนต้องบอกว่าเป็นเส้นสุดท้ายแล้ว…
เมื่อเป็นเช่นนี้จึงทำให้จักรพรรดิแสไม่สามารถวิเคราะห์จำนวนที่แน่ชัดได้ สิ่งที่วางอยู่ตรงหน้าเขาจึงไม่ใช่การวิเคราะห์ของตัวเขาเองอีกต่อไป แต่กลายมาเป็นว่าเขาจะเชื่อป๋ายเสี่ยวฉุนดีหรือไม่…
แน่นอนว่าต่อให้ตายเขาก็ไม่มีทางเชื่อใจป๋ายเสี่ยวฉุน…ทว่า หากเจ้าไม่เชื่อ ก็เป็นการพิสูจน์ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนโกหก และคำโกหกของเขาก็เป็นตัวแทนที่จะบอกว่า…เขายังมีแสงแห่งบุพกาลให้ใช้อีกหลายเส้น!
แต่หากเชื่อ…สิ่งที่รอจักรพรรดิแสอยู่ก็คือการลงมือหยั่งเชิงเพราะความไม่เชื่อ แต่ก็เหมือนจะเชื่อซึ่งแลกมาด้วยบทเรียนที่เจ็บปวดในทุกๆ ครั้ง
การพลิกแพลงแนวความคิดและการทำให้ใจของอีกฝ่ายไขว้เขวเช่นนี้ก็คือความฉลาดของป๋ายเสี่ยวฉุน อีกทั้งหลักการนี้ก็ง่ายดายมาก จักรพรรดิแสเองก็เข้าใจดี แต่ยิ่งเป็นหลักการที่ง่ายดายและยิ่งเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ง่ายมากเท่าไหร่ เมื่อต้องเผชิญกับมันเข้าจริงๆ ก็ยิ่งทำให้คนมิอาจจัดการได้มากเท่านั้น
มาถึงตอนนี้ ต่อให้เป็นจักรพรรดิเซิ่งก็ไม่สามารถวิเคราะห์ได้ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนยังเหลือแสงแห่งบุพกาลอีกกี่เส้นกันแน่…แต่ทว่าเขาก็ดันเข้าใจได้ดีไม่ต่างจากจักรพรรดิแสว่า แสงแห่งบุพกาลของป๋ายเสี่ยวฉุนไม่มีทางไร้ที่สิ้นสุด!
เพียงแต่ไม่ว่าจะเป็นเขาหรือจักรพรรดิเซิ่งต่างก็เกิดความกริ่งเกรง ไม่กล้าเทหมดหน้าตักเพื่อทดลองหาคำตอบ และตอนนี้…จะสู้ก็สู้กันไม่ได้ จะหยั่งเชิงก็ไร้ประโยชน์ ต่อให้พวกเขาไม่เต็มใจแค่ไหน แต่ก็จำเป็นต้องยอมรับว่า…นับแต่นี้ไป บนดินแดนเซียนนิรันดร์กาลแห่งนี้…จะต้องมีคู่ต่อสู้ที่ไม่ใช่บุพกาล แต่ก็เหมือนบุพกาล…เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน!
คนที่พวกเขาไม่เห็นอยู่ในสายตา แต่กลับมีพลังการต่อสู้ที่พวกเขาจำเป็นต้องให้ความสนใจ!
สุดท้ายจักรพรรดิแสก็ได้แต่ถอนหายใจยาวเหยียดด้วยไม่อาจทำอะไรได้มากไปกว่านี้
สายตาที่มองป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นประกายล้ำลึก ทั้งในใจก็ยอมรับแล้วว่านับจากนี้ไปต้องเสียดินแดนเซียนไปแห่งหนึ่ง ครั้นแล้วจึงหมุนกายกลับ หอบเอาร่างพวกเทียนจุนจักษุไพศาลจากไปอย่างเฉียบขาด!!
นครหินยักษ์ในเวลานี้ได้กลายมาเป็นซากปรักหักพัง คนรอบด้านที่เดิมทีมีอยู่หลายล้านตายกันไปเกินครึ่ง ส่วนพวกคนที่โชคดีเหลือชีวิตรอดมาได้ แต่ละคนล้วนเคียดแค้นและเจ็บปวด ทั้งยังเต็มไปด้วยความอึดอัดกดดันอย่างที่มิอาจหาคำมาบรรยายได้
พวกเขาเจ็บปวดที่ถูกจักรพรรดิแสมองข้าม พวกเขาเคียดแค้นที่จักรพรรดิแสไม่สนใจความเป็นความตายของพวกเขา เมื่อครู่นี้…หากป๋ายเสี่ยวฉุนไม่อาจต้านทานสุริยาสีชาดนั้นเอาไว้ได้ สิ่งที่วางอยู่ตรงหน้าพวกเขาทุกคนก็มีเพียงความตายอย่างเดียวเท่านั้น
ท่ามกลางความเงียบงัน ก็ไม่รู้ว่าใครเป็นคนแรกที่สูดลมหายใจเข้าลึก ครั้นแล้วจึงเงยหน้าขึ้นมองป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่บนฟ้าพลางคุกเข่าลง ไม่นานนักพรตแทบทั้งหมดที่อยู่ตรงนั้นก็พากันคุกเข่าตาม
“ถวายบังคมจักรพรรดิทงเทียน!”
“ถวายบังคมจักรพรรดิทงเทียน!!” ในใจของผู้คนบนดินแดนเซียนนิรันดร์กาล บุพกาลก็คือจักรพรรดิผู้มีรากฐานลึกล้ำมิอาจสั่นคลอน ไม่ว่าใครก็ตามที่กลายมาเป็นบุพกาล ก็จะถูกเรียกขานว่าองค์จักรพรรดิ!
และถึงแม้ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะไม่ใช่บุพกาล
แต่เขาก็สามารถทำให้จักรพรรดิแสจนปัญญา ศึกระหว่างคนทั้งสองทำให้ในใจของผู้คนมากมายมองป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นบุพกาลนานแล้ว ดังนั้นการเรียกขานของพวกเขาในเวลานี้จึงเปลี่ยนจากราชาทงเทียน กลายมาเป็น…จักรพรรดิทงเทียน!!
ขณะเดียวกัน ในบรรดานักพรตที่เหลืออยู่ พวกคนของโลกทงเทียนที่ซ่อนตัวในกลุ่มคนและโชคดีรอดชีวิตจากสุริยาสีชาดร่างจำแลงของจักรพรรดิแสมาได้ บัดนี้ก็ยิ่งดีใจจนไร้คำบรรยาย ร่างของพวกเขาสั่นเทิ้ม อารมณ์ของพวกเขาเดือดพล่านด้วยความปิติ แต่ละคนที่เดิมทีไม่กล้าเผยตัว ตอนนี้กลับพากันเดินออกมาถวายการคารวะที่แตกต่างไปจากคนอื่นๆ เพราะการคารวะของพวกเขาออกมาจากใจจริง เป็นการยอมรับที่รอคอยมานานแสนนาน
นับจากวันนี้ไป ดินแดนเซียนทั้งห้าแห่งของแผ่นดินเซียนนิรันดร์กาล…จะมีดินแดนเซียนแห่งหนึ่งที่เป็นของป๋ายเสี่ยวฉุน!
เรื่องนี้ใหญ่มาก เพียงเวลาสั้นๆ จึงแพร่สะพัดไปทั่วดั่งพายุบ้าระห่ำ ไม่ว่าจะเป็นในราชวงศ์จักรพรรดิแสหรือราชวงศ์จักรพรรดิเซิ่ง ทั้งจิตใจและหัวสมองของทุกคนที่รู้เรื่องนี้ต่างก็เต็มไปด้วยเสียงดังอื้ออึง จากทีแรกที่รู้สึกเหลือเชื่อก็กลายมาเป็นความคาดไม่ถึง จนกระทั่งสุดท้ายเมื่อแน่ใจแล้วว่าเรื่องนี้เป็นความจริง ทุกคนก็วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างครึกโครม!
“ราชาทงเทียนป๋ายเสี่ยวฉุน…ประมือกับจักรพรรดิแส ไม่อาจแยกว่าใครแพ้ใครชนะ!!”
“สวรรค์ นี่มันจะเป็นไปได้อย่างไร…ราชาทงเทียน…ตอนนี้ควรเรียกว่าจักรพรรดิทงเทียน…เขาเลื่อนขั้นเป็นบุพกาลแล้วหรือนี่!!”
“เนิ่นนานกี่ปีมาแล้ว ในที่สุดดินแดนเซียนนิรันดร์กาลก็มีผู้แข็งแกร่งขั้นบุพกาลคนที่สามปรากฎตัว!!”
“ไม่นึกเลยว่าจะเป็นป๋ายเสี่ยวฉุน…ข้าจำได้ว่าเมื่อสามสิบปีก่อนเขายังเป็นแค่เทียนจุน นี่เพิ่งผ่านมานานเท่าไหร่เอง เขากลับกลายมาเป็นบุพกาลผู้สูงส่งเสียแล้ว!!”
“หรือว่านี่คือชะตาฟ้าลิขิต ปีนั้นเป็นเพราะบรรพบุรุษเซิ่งก่อสร้างราชวงศ์จักรพรรดิเซิ่งขึ้นมา ถึงได้มีบุพกาลปรากฏตัว บรรพบุรุษแสก็มีบุพกาลได้ด้วยสาเหตุเดียวกัน สุดท้ายคือบรรพบุรุษขุย…แม้ว่าจะช้ากว่าคนอื่นไปหน่อย แต่สุดท้ายก็ยังมี…บุพกาลปรากฎขึ้น!!”
เสียงพูดคุยหลากหลายรูปแบบและความสะท้านสะเทือนของคนนับไม่ถ้วนดังอึงคะนึงอยู่ในฟ้าดิน และเมื่อมันแพร่สะพัดไปทั่วดินแดนเซียนนิรันดร์กาล พวกเทียนจุนและนักพรตของดินแดนเซียนนิรันดร์กาลที่รู้จักป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งตะลึงพรึงเพริดมากกว่าผู้ใด
กู่เทียนจวินถึงกับสูดลมหายใจดังเฮือก ความคิดชั่วร้ายทั้งหมดที่มีต่อป๋ายเสี่ยวฉุนถูกดับจนมอดสนิท ซ้ำยังถึงขั้นเกิดความรู้สึกหวาดผวาขึ้นมาด้วย
และยังมีพวกเทียนจุนวิเศษกาลนาน เฉินซู ซือหม่าอวิ๋นหัว ฯลฯ …ต่อให้เป็นเทียนจุนที่เหลืออยู่แค่ไม่กี่คนในราชวงศ์จักรพรรดิแสเอง อย่างเช่นปฐพีพินาศที่ถูกชุบชีวิตขึ้นมาใหม่ อย่างเช่นจักษุไพศาล…ก็ล้วนตัวสั่นเพราะเคยสัมผัสกับความน่ากลัวของป๋ายเสี่ยวฉุนกับตัวเองมาก่อน
และพวกคนที่ตื่นเต้นดีใจกันมากที่สุดก็คือนักพรตโลกทงเทียนที่ตลอดหลายปีมานี้ต้องใช้ชีวิตอย่างทุกข์ยากลำบากแร้นแค้นอยู่บนดินแดนเซียนนิรันดร์กาล
เวลานี้พวกเขาพากันเดินออกมา แต่ละคนแหงนหน้าขึ้นฟ้าแผดเสียงคำรามอย่างฮึกเหิม เพราะพวกเขารู้ว่า หลังจากรอคอยมานานหลายปี…ในที่สุดวันนี้ก็คือ…ช่วงเวลาที่นักพรตแห่งโลกทงเทียนจะได้หยัดยืนอยู่บนดินแดนเซียนนิรันดร์กาลอย่างเต็มภาคภูมิแล้ว!!
ขณะเดียวกันกับที่คนทั้งดินแดนเซียนนิรันดร์กาลสะท้านสะเทือน ตะลึงพรึงเพริดด้วยความรู้สึกอันซับซ้อนกันไปทุกผู้ทุกคน บัดนี้บนท้องฟ้านอกวังหลวงในนครจักรพรรดิเซิ่งของราชวงศ์จักรพรรดิเซิ่ง ได้มีคนผู้หนึ่งเดินทางมาเยือน!
เขา ก็คือป๋ายเสี่ยวฉุน!
การมาเยือนของเขา ในนครจักรพรรดิเซิ่งมีเพียงหนึ่งคนหนึ่งสัตว์เท่านั้นที่รู้!
คน ก็คือจักรพรรดิเซิ่ง!
สัตว์ ก็คือ เจ้าเต่าน้อย!
เพียงแต่ว่าเจ้าเต่าน้อยยังไม่ทันปรากฏตัว ข้างหูของมันก็มีเสียงของป๋ายเสี่ยวฉุนดังลอยมา ก็ไม่รู้ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนพูดอะไร เจ้าเต่าน้อยถึงได้แค่นเสียงดังหึอยู่ในลำคอ แล้วก็ไม่ยอมออกไป
เห็นว่าเจ้าเต่าน้อยไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ จักรพรรดิเซิ่งก็ดูโล่งใจอย่างเห็นได้ชัด เขาที่ยืนอยู่ในตำหนักใหญ่ของวังหลวงมองไปข้างนอกด้วยสายตาอันซับซ้อน ครู่หนึ่งต่อมา จักรพรรดิเซิ่งถึงได้ถอนหายใจส่ายหน้า เดินออกไปหนึ่งก้าว เมื่อปรากฏตัว ก็มายืนอยู่…ข้างกายป๋ายเสี่ยวฉุน
“จักรพรรดิเซิ่ง” ป๋ายเสี่ยวฉุนหันกลับมาส่งยิ้มให้
“จักรพรรดิทงเทียน!” จักรพรรดิเซิ่งมองป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างพินิจพิเคราะห์ หลังจากที่เอ่ยเรียกนามของอีกฝ่าย บนใบหน้าของเขาก็มีรอยยิ้มปรากฏขึ้นมาเช่นกัน เมื่อคนทั้งสองประสานสายตากัน ต่างคนต่างก็หัวเราะออกมา
“สหายนักพรตป๋าย ตอนแรกที่ได้พบเจ้า ข้าก็รู้แล้วว่าเจ้าไม่ธรรมดา ฮ่าๆ แล้วก็เป็นอย่างที่ข้าคาดการณ์ไว้จริงๆ เจ้าได้กลายมาเป็น…บุพกาลคนที่สามของดินแดนเซียนนิรันดร์กาลแล้ว!” รอยยิ้มของจักรพรรดิเซิ่งเต็มไปด้วยความจริงใจ
“จักรพรรดิเซิ่งชมกันเกินไปแล้ว ข้าผู้แซ่ป๋ายยังไม่ใช่บุพกาลเสียหน่อย”
ป๋ายเสี่ยวฉุนกล่าวถ่อมตัว ในความลำพองใจก็มีความปลงอนิจจังปะปนอยู่ด้วย หวนนึกถึงภาพเหตุการณ์ในอดีตหลังจากที่มาเยือนดินแดนเซียนนิรันดร์กาล สายตาของเขาก็ยิ่งฉายความมั่นใจเพิ่มขึ้นทุกขณะ
“แต่ในสายตาข้า เจ้าก็คือบุพกาล!” จักรพรรดิเซิ่งหัวเราะร่า
คนทั้งสองที่ยืนอยู่ข้างกันหยิบยกเรื่องในอดีตขึ้นมาพูด ไม่มีใครเอ่ยถึงจุดประสงค์การมาเยือนของป๋ายเสี่ยวฉุน และไม่นาน เมื่อทั้งจักรพรรดิเซิ่งและป๋ายเสี่ยวฉุนต่างก็ไม่ได้อำพรางปราณของตัวเอง…เหล่าเทียนจุนที่อยู่ในราชวงศ์จักรพรรดิเซิ่งจึงพากันสัมผัสได้ถึงการดำรงอยู่ของพวกเขา คนเหล่านั้นใจกระตุก รีบตรงดิ่งมาที่วังหลวง หลังจากมองไกลๆ มาเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนและจักรพรรดิเซิ่งที่ยืนอยู่บนกลีบดอกไม้ ไม่ว่าจะเป็นเฉินซูหรือกู่เทียนจวิน หรือแม้แต่ซือหม่าอวิ๋นหัว ก็ล้วนใจสั่นสะท้านไม่ต่างกัน
โดยเฉพาะ…บัดนี้เมื่อพวกเขามองไปแล้วค้นพบว่าป๋ายเสี่ยวฉุนที่ยืนอยู่ข้างกายจักรพรรดิเซิ่งไม่ได้แสดงความอ่อนด้อยทางด้านพลังอำนาจแม้แต่น้อย ราวกับว่าตัวเขาเองมีฐานะและอำนาจทัดเทียมกับจักรพรรดิเซิ่งอย่างไรอย่างนั้น!
“คารวะจักรพรรดิเซิ่ง จักรพรรดิทงเทียน!” กู่เทียนจวินสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง แล้วก็เป็นคนแรกที่ก้มหน้าคารวะต่ำๆ ให้แก่จักรพรรดิเซิ่งและป๋ายเสี่ยวฉุน
ซือหม่าอวิ๋นหัวและเฉินซู่ที่ใจหดเกร็งก็รีบก้มหัวคารวะ
ในบรรดาคนเหล่านี้ ซือหม่าอวิ๋นหัวเป็นคนที่ปลอดโปร่งลิงโลดมากที่สุด เพราะเขาคิดว่าระหว่างตัวเองกับป๋ายเสี่ยวฉุน ในอดีตอีกฝ่ายเคยมีบุญคุณกับตน เมื่อมีความสัมพันธ์นี้อยู่ ก็เท่ากับว่าตนที่อยู่บนดินแดนเซียนนิรันดร์กาลมีที่พึ่งเป็นจักรพรรดิบุพกาลถึงสองคน
ป๋ายเสี่ยวฉุนและจักรพรรดิเซิ่งยังคงเจรจาพาทีกันโดยปล่อยให้พวกกู่เทียนจวินรออยู่ข้างกายพักหนึ่ง ก่อนที่จักรพรรดิเซิ่งผู้มีรอยยิ้มประดับใบหน้าจะเอ่ยขึ้นมาว่า
“น้องป๋าย ในอดีตเจ้าและข้าเพิ่งเจอกันก็เหมือนคนที่รู้จักกันมานาน ต่างฝ่ายต่างมีชะตาต้องกันอย่างลึกล้ำ ถ้าอย่างนั้นวันนี้…เรามาสาบานเป็นพี่น้องกันดีหรือไม่?”