บทที่ 1216 สายเลือดที่แข็งแกร่ง
หลังส่งเสินซ่วนจื่อกลับไป ชีวิตของป๋ายเสี่ยวฉุนก็กลับคืนสู่ความสงบราบเรียบอีกครั้ง ตอนนี้เรื่องที่สำคัญที่สุดตรงหน้าเขาไม่ใช่การฝึกตนอีกต่อไป แต่เป็น…ลูกในท้องของซ่งจวินหว่านและโจวจื่อโม่
ส่วนเรื่องเพศของเด็กทั้งสองคนนี้ คนนอกไม่กล้าแผ่อำนาจจิตไปตรวจสอบ ด้วยกังวลว่าจะเป็นการล่วงเกินป๋ายเสี่ยวฉุน แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับไม่มีความกังวลเช่นนี้ เขาจึงกวาดอำนาจจิตไปตรวจสอบดูนานแล้ว และอันที่จริงแม้แต่ตัวซ่งจวินหว่านกับโจวจื่อโม่เองก็ยังรู้แล้วว่าลูกในท้องของตัวเองเป็นหญิงหรือชาย
สำหรับเรื่องนี้ ซ่งจวินหว่านมักจะกลัดกลุ้มอยู่เสมอ หากป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ใช่จักรพรรดิขุยยังถือว่าดีหน่อย แต่ตอนนี้เขากลายมาเป็นจักรพรรดิขุยแล้ว ระดับความสำคัญของเด็กชายก็ย่อมต้องเพิ่มสูงตามไปด้วย ทว่าเด็กในท้องของนางกลับเป็นผู้หญิง
หากโจวจื่อโม่เองก็ได้ลูกสาวเหมือนกัน นางอาจจะรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง แต่นี่เด็กในท้องโจวจื่อโม่ดันเป็นเด็กผู้ชาย
นี่จึงทำให้ในใจของซ่งจวินหว่านรู้สึกไม่ยอมแพ้ แต่ก็จนใจ แล้วก็กังวลว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะเกิดความคิดอะไรบางอย่าง ทว่าอันที่จริงแล้วป๋ายเสี่ยวฉุนไม่สนสักนิดว่าจะเป็นชายหรือหญิง เพราะไม่ว่าลูกคนไหนเขาก็รักทั้งหมด และหลังจากที่รู้ความคิดของซ่งจวินหว่าน เขาก็ยังเคยไปปลอบใจนางอยู่หลายครั้ง พยายามแสดงให้นางรู้ว่าความรักที่ตนมีต่อลูกทำให้ตนไม่สนใจเรื่องเพศ
เวลาล่วงเลยผ่านไป ไม่นานก็ผ่านไปอีกหนึ่งเดือน ระยะเวลาที่หญิงสาวทั้งสองจะคลอดขยับเข้ามาใกล้มากขึ้นทุกที และป๋ายเสี่ยวฉุนก็ตื่นเต้นมากขึ้นทุกขณะ แม้จากการอนุมานและการเตรียมการ บวกกับตบะของเขาจะทำให้เขามั่นใจเต็มสิบว่าจะไม่มีปัญหาใดๆ เกิดขึ้น แต่สุดท้ายการที่จะได้เป็นพ่อคนครั้งแรกในชีวิตก็ยังทำให้เขาอดพะวักพะวงไม่ได้
“เรื่องนี้…คนเป็นพ่อเขามีความรู้สึกกันอย่างไรนะ?” บางครั้งที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเดินอยู่ในวังหลวงก็อดนึกถึงปัญหาข้อนี้ไม่ได้ ซ้ำช่วงนี้ในสมองของเขาก็ยังขบคิดเรื่องชื่อเด็กด้วย
“ชื่ออะไรถึงจะดีนะ…” สำหรับปัญหาข้อนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนให้ความสำคัญอย่างมาก และในสมองก็มีชื่อมากมายนับไม่ถ้วน ทว่าสุดท้ายก็ยังตัดสินใจไม่ได้เสียที
“ป๋ายต้าเป่า? ชื่อนี้พลังอำนาจไม่น่าเกรงขามมากพอ!” (ต้าเป่าแปลว่าสมบัติชิ้นใหญ่)
“ป๋ายเชาต้า? ไม่ได้ ชื่อนี้แม่ของเขาคงไม่เห็นด้วย…” (เชาต้าแปลว่าใหญ่มากๆ ใหญ่มหึมา)
“ป๋ายหลิงเฟย?” พอคิดถึงชื่อนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ถอนหายใจ ด้านหนึ่งก็เพราะคิดถึงตู้หลิงเฟย อีกด้านหนึ่งเขารู้สึกว่าหากตนให้ลูกสาวชื่อนี้ เกรงว่าซ่งจวินหว่านคงหยิบมีดมาปาดคอตนแน่นอน
และขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนยังคิดไม่ตกเรื่องชื่อลูก จักรพรรดิเซิ่งก็มาหาเขาอย่างกะทันหัน!
การมาเยือนของเขาไม่มีลางบอกเหตุแม้แต่น้อย ซ้ำคนทั้งราชวงศ์จักรพรรดิขุยที่นอกจากป๋ายเสี่ยวฉุนแล้วก็ล้วนไม่มีใครสัมผัสได้ อีกทั้งตอนนี้ยังเป็นช่วงเวลาที่บุตรของป๋ายเสี่ยวฉุนจะถือกำเนิด การเยื้องกรายมาเยือนของจักรพรรดิเซิ่งจึงทำให้ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนเปล่งประกายวาบ หลังจากสัมผัสได้ถึงริ้วคลื่นที่แผ่มาท่ามกลางฟ้าดิน เขาก็พลันเงยหน้าขึ้นแล้วขยับกายทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า
เพิ่งจะปรากฏตัว ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนก็พุ่งเป้าไปที่ทิศไกล ไม่นานเขาก็เห็นว่าท่ามกลางความว่างเปล่าที่บิดเบือนมีเงาร่างของจักรพรรดิเซิ่งเดินออกมาหนึ่งก้าว เดิมทีเขาอยากจะให้ตัวเองเผยกายเงียบเชียบยิ่งกว่านี้ แต่ก็กังวลว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะเข้าใจผิด ดังนั้นพอมาถึงจึงหยุดยืนอยู่แค่บนท้องฟ้า ไม่ได้ไปปรากฏตัวในนครจักรพรรดิขุย
“น้องรอง!” เพิ่งจะปรากฏตัว จักรพรรดิเซิ่งก็หัวเราะฮ่าๆ เดินขึ้นหน้ามาหลายก้าว ก่อนจะกุมมือคารวะทักทายป๋ายเสี่ยวฉุน
ด้านหนึ่งป๋ายเสี่ยวฉุนก็รู้สึกแปลกใจกับการมาเยือนอย่างกะทันหันของจักรพรรดิเซิ่ง ด้วยไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมาเพราะสาเหตุใด ส่วนอีกด้านหนึ่งก็ระแวง นั่นเป็นเพราะแสงแห่งบุพกาลของเขายังต้องใช้เวลาอีกหลายเดือนถึงจะฟื้นคืนกลับมาได้
“ไม่ทราบว่าพี่ใหญ่มาที่นี่ด้วยเหตุอันใด!” หากเปลี่ยนมาเป็นเวลาอื่น ป๋ายเสี่ยวฉุนอาจจะแสร้งเออออคล้อยตามอยู่บ้าง ทว่าตอนนี้เขาไม่มีอารมณ์ จึงเอ่ยถามออกไปตรงๆ
“ไม่มีอะไรๆ ข้าอยู่ในวังว่างๆ แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าน้องรองกำลังจะมีเรื่องน่ายินดี กังวลว่าเจ้าจักรพรรดิแสไร้ยางอายผู้นั้นจะมารบกวน ดังนั้นถึงได้มาช่วยเฝ้าพิทักษ์ให้แก่น้องรอง” จักรพรรดิเซิ่งหัวเราะร่า พูดพลางกวาดสายตาไปยังนครจักรพรรดิขุยที่อยู่เบื้องล่าง ทั้งยังแผ่อำนาจจิตออกไปคล้ายคิดจะตามหาอะไรสักอย่าง
ป๋ายเสี่ยวฉุนขมวดคิ้วฉับ ยกมือขวาขึ้นโบกหนึ่งครั้ง สกัดกั้นการกวาดอำนาจจิตของจักรพรรดิเซิ่งโดยตรง ก่อนจะหรี่ตามองจักรพรรดิเซิ่ง
“ความหวังดีของพี่ใหญ่ น้องรองขอน้อมรับไว้ด้วยใจ เพียงแต่ว่าวันนี้ข้าไม่สะดวกจริงๆ” ป๋ายเสี่ยวฉุนเอ่ยเนิบช้า ไม่คิดจะยอมถอยให้ จักรพรรดิเซิ่งรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย เขาเองก็รู้ดีว่าสภาวะอย่างตอนนี้ง่ายที่จะชักนำให้เกิดความเข้าใจผิด แต่หากเขาไม่มาดูด้วยตัวเอง เขาก็ร้อนใจ พอเห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนยังคงเข้าใจผิด จักรพรรดิเซิ่งที่ลังเลไปครู่หนึ่งก็ถอนหายใจออกมายาวๆ
“บอกน้องรองตามตรง ข้ามาที่นี่ในวันนี้ออกจะมุทะลุเกินไป ทว่า…เต่าเทพหายไปแล้ว…” จักรพรรดิเซิ่งพูดพลางจับสังเกตสีหน้าของป๋ายเสี่ยวฉุน
เมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนได้ยินว่าเต่าเทพหายไปแล้ว เขาก็อึ้งตะลึงไปเล็กน้อยด้วยยังตามไม่ทัน แต่ไม่นานก็เบิกตากว้าง ตระหนักได้ว่าเต่าเทพที่จักรพรรดิเซิ่งพูดถึงคือใคร…
“เจ้าเต่าน้อย? หายไปแล้ว?” ป๋ายเสี่ยวฉุนตะลึง เขาไม่ได้เสแสร้ง เขาไม่รู้เรื่องที่เจ้าเต่าน้อยหายตัวไปจริงๆ
“เมื่อครึ่งเดือนก่อน จู่ๆ เต่าเทพก็หายไป มันหายไปก็ยังพอว่า ทว่าก่อนจะจากไปยังฉวยโอกาสที่ข้าไม่ทันสังเกตขโมยเม็ดบัวไปไม่น้อย…” จักรพรรดิเซิ่งเองก็กลัดกลุ้มมากเหมือนกัน หลายปีที่ผ่านมานี้เต่าเทพก็อยู่ข้างกายเขาดีๆ และเขาก็รักและเอ็นดูเต่าเทพมาโดยตลอด อีกฝ่ายต้องการอะไรเขาก็แทบจะหามาประเคนให้ทั้งหมด ทว่าตอนนี้มันกลับหายตัวไป
ตามความคิดของเขา เจ้าเต่าน้อยต้องมาหาป๋ายเสี่ยวฉุนแน่นอน ทว่าตั้งแต่ที่เขามาปรากฏตัวที่นี่ แม้อำนาจจิตจะถูกป๋ายเสี่ยวฉุนขัดขวางไว้ กระนั้นก็พอจะกวาดไปทั่วนครจักรพรรดิขุยได้คร่าวๆ แต่ก็ยังไม่เห็นแม้แต่ร่องรอยของเจ้าเต่าน้อย
ส่วนสีหน้าของป๋ายเสี่ยวฉุน จักรพรรดิเซิ่งก็มองออกว่าไม่มีความเสแสร้ง รู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่ได้โกหก
“เรื่องนี้…” ป๋ายเสี่ยวฉุนนึกถึงช่วงก่อนหน้านี้ที่ตกลงเป็นพันธมิตรกับราชวงศ์จักรพรรดิเซิ่ง เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อการเป็นพันธมิตรกัน เขาจึงเคยพูดกับเจ้าเต่าน้อยว่าเมื่อถึงช่วงเวลาที่เหมาะสม ตนจะพาอีกฝ่ายกลับมาอยู่ด้วยกัน
แต่เนื่องจากช่วงนี้ลูกของเขาใกล้จะลืมตามาดูโลก ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงลืมเจ้าเต่าน้อยไปสิ้น แล้วก็คิดไม่ถึงด้วยว่าอีกฝ่ายจะหนีไปแล้ว ตอนนี้เมื่อจักรพรรดิเซิ่งมาหา
ป๋ายเสี่ยวฉุนก็อดร้อนตัวไม่ได้ ขณะที่เขากำลังคิดว่าควรจะอธิบายอย่างไร ทันใดนั้นเขาก็นิ่วหน้า หันไปมองท้องฟ้าทิศไกล
จักรพรรดิเซิ่งเองก็มองตามไปด้วยความแปลกใจ
ไม่นานความว่างเปล่าที่สายตาพวกเขามองไปก็มีเสียงหวีดหวือดังมาเป็นระลอก ตามมาด้วยเรือรบขนาดมหึมาที่ปรากฎอยู่ท่ามกลางฟ้าดินจำนวน…หนึ่งพันลำ!
เรือรบนับพันลำนี้ ไม่ว่าลำใดก็มีขนาดใหญ่หนึ่งพันจั้ง มองดูแล้วยิ่งใหญ่เกรียงไกรอย่างมาก โดยเฉพาะลำที่นำมาเบื้องหน้าสุดซึ่งยาวเกือบหมื่นจั้ง เวลานี้มันทะยานนำเรือรบพันลำด้านหลังเข้ามา และขยับเข้ามาใกล้นครจักรพรรดิขุยมากขึ้นทุกขณะ
มองปราดๆ ราวกับจะมาทำสงครามจู่โจม ทว่าที่นี่คือนครจักรพรรดิขุย การที่อีกฝ่ายสามารถบินทะยานมาตลอดทางตั้งแต่ชายแดนดินแดนเซียนของราชวงศ์จักรพรรดิขุย เว้นเสียแต่ว่าจักรพรรดิบุพกาลจะเป็นคนร่ายเวทเอง หาไม่แล้วต่อให้มีเทียนจุนอยู่ด้วยก็ยากที่จะใช้เรือรบนับพันลำทะยานมาถึงที่นี่อย่างเงียบเชียบโดยที่ไม่มีใครรู้เห็น
โดยเฉพาะรอบเรือรบเหล่านี้ยังมีนักพรตอีกไม่น้อยยืนล้อมวน พวกเขาล้วนเป็นคนของโลกทงเทียน ซึ่งเมื่อเรือรบขยับเข้ามาใกล้ก็ยิ่งเห็นได้ชัดว่าสีหน้าพวกเขาแปลกประหลาดเหยเก
และในนครจักรพรรดิขุยก็มีคนไม่น้อยที่มองเห็นภาพเหตุการณ์นี้ พวกเขาร้องฮือฮาด้วยความตกตะลึง นึกว่าศัตรูบุกมาโจมตี แม้พวกเขาจะมองเห็นคนที่อยู่บนเรือได้ไม่ชัดเจน แต่ด้วยตบะของป๋ายเสี่ยวฉุนและจักรพรรดิเซิ่งที่ยืนอยู่บนท้องฟ้ากลับมองเห็นได้อย่างแจ่มชัด
บนเรือรบนับพันนั้นมีทั้งชายและหญิง หากจะนับอย่างละเอียดก็จะพบว่านักพรตหญิงมากกว่านักพรตชาย โดยเฉพาะคลื่นสายเลือดบนร่างของพวกเขาที่เผยปราณของโลกทงเทียนออกมาไม่น้อย!
หากมีเพียงเท่านี้ก็ยังว่าไปอย่าง แต่นี่จำนวนของพวกเขามีมากเกินไป บนเรือรบแทบทุกลำล้วนมีคนอยู่มากหลายร้อยคน…และเรือรบหมื่นจั้งที่อยู่หน้าสุดก็ยิ่งมีคนรวมกันอยู่หลายหมื่นคน
“ลู่อวิ๋นเหยา!” จักรพรรดิเซิ่งตะลึง
“เสินซ่วนจื่อ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเบิกตากว้าง เหม่อมองเงาร่างที่คุ้นตาซึ่งยืนอยู่บนเรือรบหมื่นจั้งด้วยอาการตะลึงงัน คนผู้นี้ก็คือเสินซ่วนจื่อ และรอบกายเขา…ก็คือผู้หญิงหลายหมื่นคน ซึ่งแต่ละคนแต่งตัวราวกับเป็นภรรยาของเขา… โดยเฉพาะสตรีสูงศักดิ์ที่สวมชุดข้าราชบริพารในวังหลวงซึ่งยืนอยู่ข้างกายเสินซ่วนจื่อคนนั้นที่แม้ว่าตบะที่แผ่ออกมาจากร่างของนางจะไม่ใช่เทียนจุน แต่ก็เป็นครึ่งเทพขั้นสมบูรณ์แบบว่าที่เทียนจุน ด้อยกว่าต้าเทียนซือแค่เล็กน้อยเท่านั้น!
เห็นได้ชัดว่าหญิงผู้นี้ก็คือ ลู่อวิ๋นเหยา ที่จักรพรรดิเซิ่งพูดถึง
ตบะเช่นนี้ ต่อให้อยู่ในดินแดนเซียนนิรันดร์กาลก็ยังพบเห็นได้ไม่มาก ถือว่าเป็นพลังการต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดรองจากเทียนจุน
ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนยังตะลึงงัน เสินซ่วนจื่อก็สัมผัสได้ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนยืนอยู่บนท้องฟ้าทิศไกล ลมหายใจของเขาหอบรัวทันที ส่วนหญิงที่สวมชุดขุนนางข้างกายเขานั้นก็สังเกตเห็นจักรพรรดิเซิ่งที่อยู่ข้างกายป๋ายเสี่ยวฉุนเช่นกัน นางหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย หลังจากสูดลมหายใจเข้าลึก นางก็ดึงมือของเสินซ่วนจื่อแล้วพากันบินออกมาหยุดอยู่เบื้องหน้าป๋ายเสี่ยวฉุนและจักรพรรดิเซิ่งที่ตะลึงตาค้างกันไปแล้ว
“คารวะจักรพรรดิขุย จักรพรรดิเซิ่ง!”
“คารวะจักรพรรดิเซิ่ง จักรพรรดิขุย!”
จักรพรรดิเซิ่งมึนงงไปเล็กน้อย เขามองนักพรตหญิงที่สวมชุดขุนนางแล้วก็หันมามองเสินซ่วนจื่ออีกที สุดท้ายสายตากวาดไปยังเรือรบที่อยู่ด้านหลังพวกเขา
“พวกเจ้า…”
“ทูลจักรพรรดิเซิ่ง พวกเขา…ก็คือคนในครอบครัวของข้าน้อย ท่านผู้นี้…ก็คือคู่บำเพ็ญตนของข้าน้อย” นักพรตหญิงที่สวมชุดขุนนางรีบเอ่ยขึ้นอย่างไม่กล้าปิดบัง



