บทที่ 1217 สุขขีดสุดแล้วจึงทุกข์ถนัด
เรื่องนี้สร้างความสะท้านสะเทือนให้กับผู้คนมากเกินไป ต้องรู้ว่าคนบนเรือรบหลายพันลำ เมื่อรวมเข้าด้วยกันก็มากหลายแสนคน…โดยเฉพาะสายเลือดของโลกทงเทียนที่มีมากเสียเกินครึ่ง
จักรพรรดิเซิ่งที่พอได้ยินคำพูดเหล่านี้ ยังไม่ทันคืนสติ ป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ข้างกันกลับสูดลมหายใจดังเฮือก ร้องอุทานเสียงหลง
“หึหึจื่อ เจ้าเสพติดการแพร่พันธ์แล้วนี่นา ปีนั้นตอนอยู่ในแดนทุรกันดารเจ้าก็แพร่พันธ์ พอมาอยู่ดินแดนเซียนนิรันดร์กาล เจ้าๆๆ …เจ้ากลับยังแพร่พันธ์ต่อ เจ้ารู้หรือไม่ว่าตอนนี้พันธ์ที่เจ้าแพร่ออกไปมากพอจะตั้งสำนักหนึ่งได้แล้ว!”
ด้วยตบะความมั่นคงของป๋ายเสี่ยวฉุน เวลานี้ก็ยังสะท้านสะเทือนไปกับการกระทำของเสินซ่วนจื่ออย่างลึกล้ำ ก่อนหน้านี้เขารู้สึกว่าเถี่ยตั้นร้ายกาจในด้านนี้มากพออยู่แล้ว ทว่าตอนนี้พอมาเปรียบเทียบกันดู ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับรู้สึกว่าเถี่ยตั้นควรจะต้องก้มกราบเสินซ่วนจื่อเสียแล้ว นั่นเป็นเพราะว่าการที่จู่ๆ เสินซ่วนจื่อมาปรากฏตัวพร้อมกับเรื่องน่าครั่นคร้ามดั่งอสนีสวรรค์ที่ฟาดผ่าลงมาเช่นนี้ มากพอจะทำให้ทุกคนตะลึงลานกันอย่างถึงที่สุด
โดยเฉพาะพอป๋ายเสี่ยวฉุนคิดถึงข้อที่ว่าตนมีเมียแค่สามสี่คนก็ปวดหัวมากพออยู่แล้ว แต่นี่เสินซ่วนจื่อมีเมียมากหลายหมื่นคน…ซ้ำมองดูแล้วแต่ละคนยังคล้ายจะปรองดองกันดี นี่จึงยิ่งทำให้ใจของป๋ายเสี่ยวฉุนสับสนวุ่นวาย รู้สึกอิจฉาอย่างน่าประหลาด
เสินซ่วนจื่อกระอักกระอ่วนเล็กน้อย เพิ่งจะอ้าปากเตรียมจะพูดอะไรบางอย่าง ทว่าพวกเขามาเยือนด้วยความเอิกเกริกที่มากเกินไป บัดนี้พวกต้าเทียนซือจึงพากันทะยานออกมาด้วย และพอมาถึงแล้วสังเกตเห็นจักรพรรดิเซิ่ง พวกต้าเทียนซือก็ใจสั่น ไม่รู้ว่าจักรพรรดิเซิ่งมาที่นี่ด้วยสาเหตุอันใด ทว่าก็ยังหันไปคารวะ
จากนั้นก็พาพวกเสินซ่วนจื่อรวมถึงนักพรตหญิงสวมชุดขุนนางและคนหลายแสนคนบนเรือรบนับพันด้านหลังพวกเขา…เข้าไปในนครจักรพรรดิขุย
จนกระทั่งพวกเขาจากไปไกลแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยังอึ้งงัน ในสมองมีเสียงดังอึงอล หวนนึกไปถึงท่าทางที่เตรียมจะอ้าปากเอ่ยแต่ก็ไม่พูดอะไรก่อนที่เสินซ่วนจื่อจะจากไป แล้วก็พลันเข้าใจความลำบากใจของไอ้หมอนั่นขึ้นมาทันที เพราะหากเปลี่ยนมาเป็นใครที่มีคนในครอบครัวมากหลายแสนคนก็ย่อมไม่สามารถเดินจากมาได้ทันทีทันใด
แล้วก็เพราะการมาเยือนอย่างกะทันหันของเสินซ่วนจื่อ ถึงเป็นเหตุให้ป๋ายเสี่ยวฉุนและจักรพรรดิเซิ่งชะลอเรื่องการหายตัวไปของเจ้าเต่าน้อยไว้ก่อน และในเมื่อพวกต้าเทียนซือรู้เรื่องการมาเยือนของจักรพรรดิเซิ่งแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงถือโอกาสเชื้อเชิญจักรพรรดิเซิ่งให้เข้าไปในวังพร้อมกันเลย
เพียงแต่ว่าจักรพรรดิเซิ่งในเวลานี้ก็ตื่นตะลึงไปกับเรื่องของเสินซ่วนจื่ออยู่เหมือนกัน หลังจากกวาดอำนาจจิตไปแล้วมั่นใจว่าเจ้าเต่าน้อยไม่ได้อยู่ที่นี่ ดังนั้นพอเข้ามานั่งในวังหลวงของนครจักรพรรดิขุยแล้ว จักรพรรดิเซิ่งก็เอ่ยขึ้นทันทีว่า
“น้องรอง คนเมื่อครู่นี้ชื่อว่าหึหึจื่อหรือ? คนผู้นี้มีความสามารถยิ่งนัก เขาแค่คนเดียวก็เทียบกับทั้งสำนักได้เลย!”
“น้องรอง ยกหึหึจื่อผู้นี้ให้ข้าเถอะ คนมีความสามารถเช่นนี้ ราชวงศ์จักรพรรดิเซิ่งของข้าขาดแคลนยิ่งนัก!” จักรพรรดิเซิ่งจิตใจสั่นคลอนเข้าแล้วจริงๆ ในสายตาของเขา การที่สามารถจัดการกับคนหลายแสนในครอบครัวของตัวเองได้เป็นอย่างดีก็มากพอจะบอกได้ถึงความสามารถของหึหึจื่อผู้นี้
ป๋ายเสี่ยวฉุนที่ได้ยินประโยคนี้ก็ไม่พอใจขึ้นมาทันควัน ในใจเขาเองก็รู้สึกซับซ้อนกับเสินซ่วนจื่ออยู่มาก อิจฉาความสามารถทางด้านนี้ของอีกฝ่าย โดยเฉพาะพอนึกถึงความรันทดของตัวเอง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งอารมณ์ไม่ดี
หากจักรพรรดิเซิ่งไม่ขอตัวคนไปก็ยังพอว่า แต่ตอนนี้จักรพรรดิเซิ่งกลับเปิดปากว่าต้องการตัวเสินซ่วนจื่อ นี่ยิ่งทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่สบอารมณ์เข้าไปใหญ่ ถึงกับหันไปถลึงตาใส่จักรพรรดิเซิ่ง
“นี่จะนับเป็นอะไรได้ หากเทียบกับข้าล่ะก็ยังถือว่าด้อยกว่ามากนัก” ป๋ายเสี่ยวฉุนพูดพลางยกมือขวาขึ้นตบถุงเก็บของหนึ่งที ทันใดนั้นจดหมายรักปึกใหญ่ก็ถูกเขาหยิบออกมา ท่ามกลางเสียงดังพรวดก็มากองเป็นภูเขาลูกย่อมอยู่ต่อหน้าจักรพรรดิเซิ่ง
“เห็นหรือยัง สิ่งเหล่านี้คือจดหมายรักที่ผู้หญิงนำมามอบให้ข้า!” ป๋ายเสี่ยวฉุนที่พอมองจดหมายรักพวกนั้นก็อารมณ์ดีขึ้นอีกไม่น้อย จึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจ
“ปีนั้นตอนที่ข้าอยู่ในโลกทงเทียน หากพยักหน้ารับ ภรรยาและคู่บำเพ็ญตนของข้าย่อมต้องมากกว่าเสินซ่วนจื่อผู้นี้หลายเท่า!” เผชิญหน้ากับการกระทำที่จู่ๆ ก็โยนจดหมายรักออกมาโดยไม่พูดไม่จาของป๋ายเสี่ยวฉุน จักรพรรดิเซิ่งก็อึ้งงันไปอีกครั้ง เขามองจดหมายรักที่กองเป็นภูเขาลูกย่อมอยู่หน้าตนเองด้วยความตกตะลึง ซึ่งในนั้นยังมีจดหมายอยู่หลายฉบับที่เริ่มออกสีเหลืองเพราะผ่านกาลเวลามานานมากเกินไป…
“นี่มัน…ของพวกนี้ เจ้ายังเก็บไว้อีกรึ…โลกทงเทียนของพวกเจ้าพังทลายไปแล้ว ทว่าจดหมายรักพวกนี้กลับไม่แหลกสลายตามไปด้วย…”
จักรพรรดิเซิ่งรู้สึกว่าการมาเยือนครั้งนี้ถือเป็นการเปิดโลกทัศน์ให้ตัวเองจริงๆ ได้เห็นลูกเมียหลายแสนคนของเสินซ่วนจื่อ แล้วก็ยังได้มาเห็นจดหมายรักของป๋ายเสี่ยวฉุนที่มีจำนวนมากยิ่งกว่า
เมื่อสังเกตเห็นว่าจักรพรรดิเซิ่งงันไปกับจดหมายรักของตัวเอง ในใจที่ซับซ้อนของป๋ายเสี่ยวฉุนก็เกิดความมั่นใจในตัวเองมากขึ้น เตรียมจะโม้สักสองสามคำ ทว่าทันใดนั้นกลับมีอำนาจจิตสามเส้นแผ่มาจากนอกตำหนักใหญ่…
อำนาจจิตสามเส้นนี้เป็นของซ่งจวินหว่าน โจวจื่อโม่และโหวเสี่ยวเม่ย พวกนางได้ยินว่าจักรพรรดิเซิ่งมาเยือน แม้ว่าจะไม่สะดวกที่จะมาพบหน้าอีกฝ่าย แต่กลับเป็นห่วงป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างมาก เพราะอย่างไรซะการที่จักรพรรดิเซิ่งปรากฎตัวกะทันหันในเวลาเช่นนี้ก็ทำให้พวกนางรู้สึกไม่เป็นสุข จึงอดที่จะแผ่อำนาจจิตออกมาตรวจสอบดูไม่ได้
หากอยู่ในวังหลวงของนครจักรพรรดิเซิ่ง พวกนางย่อมไม่สามารถกวาดอำนาจจิตไปสังเกตความเคลื่อนไหวของบุพกาล ทว่าจะอย่างไรซะที่นี่ก็คือวังหลวงของนครจักรพรรดิขุย มีค่ายกลคอยให้ความช่วยเหลือ การที่พวกนางจะทำให้ได้ถึงขั้นนี้จึงไม่ใช่เรื่องยากสักเท่าไหร่
และเมื่อกวาดอำนาจจิตมองมา เพียงปราดเดียวพวกนางก็เห็น…จดหมายรักที่วางกองดั่งภูเขาลูกเล็กนั่นได้ทันที
วินาทีที่มองเห็นจดหมายรักนี้ คลื่นอำนาจจิตของสามหญิงก็พลันกระเพื่อมรุนแรง เห็นได้ชัดว่าอำนาจจิตของพวกนางหยุดอยู่ตรงจดหมายรักพวกนั้นครู่หนึ่ง ก่อนที่คนทั้งสามจะดึงอำนาจจิตกลับคืนพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย! ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้าเปลี่ยนสี ส่วนจักรพรรดิเซิ่งก็นิ่วหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็มองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยสีหน้าประหลาดใจ
“น้องรอง เมื่อครู่นี้เจ้าพูดถึงไหนแล้วนะ?” จักรพรรดิเซิ่งกระแอมหนึ่งทีแล้วถามต่อ
ตอนนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนจะยังมีอารมณ์มาคุยโวอยู่อีกได้อย่างไร เขาหัวเราะแห้งๆ แล้วรีบเก็บเอาจดหมายรักพวกนั้นกลับคืนมา แล้วก็แสร้งวางมาดสุขุม หัวเราะร่ากับจักรพรรดิเซิ่ง
ครู่ใหญ่ เมื่อจักรพรรดิเซิ่งแน่ใจแล้วว่าเจ้าเต่าน้อยไม่ได้อยู่ที่นี่ แล้วก็เข้าใจว่าเวลานี้ราชวงศ์จักรพรรดิขุยอยู่ในช่วงเวลาที่เปราะบางต่อความรู้สึก หากตนรั้งรออยู่นานเกินไปอาจส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของสองฝ่าย จึงลุกขึ้นยืนแล้วกล่าวลา
หลังจากป๋ายเสี่ยวฉุนส่งจักรพรรดิเซิ่งจากไปด้วยอาการใจลอย เขาก็ผินหน้ามองไปยังวังหลวงด้วยความรู้สึกร้อนตัวแปลกๆ
“จะมีอะไรกัน ก็แค่จดหมายรักไม่ใช่หรือ แถมตอนนั้นข้าก็ไม่ได้ตกปากรับคำใครไปสักหน่อย!” ป๋ายเสี่ยวฉุนพึมพำเพิ่มความกล้าหาญให้กับตัวเอง ครั้นแล้วจึงสะบัดกายเข้าไปในห้องลับ ครุ่นคิดว่าตนควรจะปิดด่านสักสองสามวันเพื่อหลีกเลี่ยงวิกฤตที่อาจเกิดขึ้น
เพียงแต่ว่ายังไม่ทันถึงวันที่สอง แผนการของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ล้มเหลวเสียแล้ว…
ในคืนวันเดียวกันนั้น หญิงสาวสามคนอย่างซ่งจวินหว่าน โจวจื่อโม่และโหวเสี่ยวเม่ยที่ต่อให้จะเกลียดขี้หน้าอีกฝ่ายแค่ไหน แต่วันนี้กลับมีความเห็นตรงกันอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทุกคนต่างก็พร้อมใจกันมาที่ห้องลับของป๋ายเสี่ยวฉุน
เผชิญหน้ากับหญิงสาวทั้งสาม ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งเหมือนวัวสันหลังหวะ โดยเฉพาะเมื่อซ่งจวินหว่านและโจวจื่อโม่ที่แบกท้องโตๆ แล้วหรี่ตามองนิ่งมายังตนด้วยนัยน์ตาที่ไม่เป็นมิตร ก็ยิ่งทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนร้องคร่ำครวญอยู่ในใจ
ส่วนโหวเสี่ยวเม่ยนั้น ทั้งที่นางไม่รู้ว่าตัวเองท้องจริงหรือไม่ แต่กลับวางสองมือไว้บนหน้าท้องของตัวเอง แล้วก็หรี่ตามองป๋ายเสี่ยวฉุนเช่นกัน
“เสี่ยวฉุน วันนี้จักรพรรดิเซิ่งมาที่นี่ด้วยเรื่องอะไรหรือ” ซ่งจวินหว่านถามขึ้นเป็นคนแรก น้ำเสียงของนางอ่อนโยนราวกับพี่สาวใหญ่ใจดีคนหนึ่ง หากไม่เป็นเพราะความไม่เป็นมิตรในดวงตาที่เด่นชัดมากเป็นพิเศษ นางต้องยิ่งดูอ่อนหวานใจดีมากกว่านี้แน่นอน
“คือว่า…ต้องโทษเจ้าเต่าน้อยนั่นแหละ ไอ้หมอนั่นมันหนีไปแล้ว พวกเจ้ารู้จักเจ้าเต่าน้อยกระมัง? ข้าจะเล่าตอนที่ได้รู้จักกับเจ้าเต่าน้อยให้ฟัง จะว่าไปแล้วมันก็เกี่ยวข้องกับเจ้าจวินหว่านอยู่เหมือนกันนะ” ป๋ายเสี่ยวฉุนกะพริบตาปริบๆ เตรียมจะเริ่มต้นบทสนทนา ทว่าโจวจื่อโม่ที่อยู่ข้างกันกลับแค่นเสียงเย็น
“ป๋ายเสี่ยวฉุน อย่าเปลี่ยนเรื่อง มาสิ พูดตามความจริง เจ้าอิจฉาเสินซ่วนจื่อมากเลยใช่ไหม?”
“อิจฉาเขา? จะเป็นไปได้อย่างไร!” ป๋ายเสี่ยวฉุนใจสั่น ทว่ากลับทำสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง แล้วก็ตอบกลับฉับไวอย่างไม่ลังเล
“ข้าไม่มีทางอิจฉาเขาแน่ เขาสิที่ต้องอิจฉาข้า แต่จะว่าไปแล้วเจ้าเด็กเสินซ่วนจื่อผู้นี้ก็น่าสงสาร จื่อโม่เจ้าจำชนพื้นเมืองในแดนทุรกันดารได้ใช่ไหม ตอนนั้นที่ข้าจะจากไป เจ้าก็มาส่งข้าด้วยไม่ใช่หรือ ข้า…” ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังจะอธิบายหัวข้อนี้ต่อ ทว่าโหวเสี่ยวเม่ยที่อยู่ข้างกันกลับถลึงตาใส่ ยกมือทั้งคู่เท้าเอวฉับ เผยท่าทางพริกขี้หนูน้อยอันเป็นนิสัยดั้งเดิมออกมา
“พี่เสี่ยวฉุน ตอนนี้เจ้าเป็นจักรพรรดิขุยแล้ว แม้ว่าตอนนี้พวกเราจะอยู่กันอย่างสงบสุข แต่เจ้าจะเกียจคร้านไม่ได้นะ ห้ามแบ่งสมาธิไปทำอย่างอื่นเด็ดขาด”
“ข้า…” ป๋ายเสี่ยวฉุนเพิ่งจะอ้าปากก็ถูกซ่งจวินหว่านตัดบททันที
“เสี่ยวเม่ยพูดถูกแล้ว เสี่ยวฉุน เจ้าแบกรับภาระหน้าที่ไว้มากมายถึงเพียงนั้น พวกเราก็ช่วยอะไรเจ้าไม่ได้ แต่การแบ่งเบาภาระให้กับเจ้าก็ยังพอจะทำได้ มา เอาจดหมายรักที่อยู่ในถุงเก็บของของเจ้ามาให้พวกเรา พวกเราจะช่วยเก็บรักษาไว้ให้เจ้าเอง”
“ข้า…” ป๋ายเสี่ยวฉุนร้อนใจขึ้นมาครามครัน จะอ้าปากอธิบาย
ทว่าโจวจื่อโม่เป็นคนอารมณ์ร้ายที่สุด นางจึงถลึงตา แบกท้องโตๆ เดินดุ่มๆ เข้ามาหาโดยตรง ซ้ำป๋ายเสี่ยวฉุนยังไม่กล้าต่อต้าน สุดท้ายจึงได้แต่มองจดหมายรักปึกใหญ่ในถุงเก็บของของตน…ถูกโจวจื่อโม่ริบไปเกลี้ยงตำตาตัวเอง…
หัวใจเขาหลั่งเลือด แม้แต่ลมหายใจก็เหมือนจะติดขัด ราวกับว่าสิ่งที่โจวจื่อโม่เอาไปไม่ใช่จดหมายรัก แต่เป็นความรักอันล้นพ้นของเขาอย่างไรอย่างนั้น…
สุดท้ายหญิงสาวทั้งสามก็จากไปพร้อมกับจดหมายรักด้วยความพึงพอใจ
ป๋ายเสี่ยวฉุนที่ยืนอยู่ในห้องลับหน้านิ่วคิ้วขมวด ยกมือขึ้นคว้าจับไปยังทิศไกล ทว่ากลับคว้าได้เพียงความว่างเปล่า
“นั่นมันจดหมายรักของข้านะ”



