Skip to content

A Will Eternal 1223

A Will Eternal
BC

บทที่ 1223 ป๋ายเสี่ยวฉุนที่น่าปวดหัว

นับแต่นี้เป็นต้นไป ในราชวงศ์จักรพรรดิขุย มีเทียนจุนสามคน!

C

แม้จะเทียบกับสองราชวงศ์ใหญ่ไม่ได้ ทว่าในด้านจำนวนก็ไม่ถือว่าต่างกันมากนัก อย่างน้อยหากมีความขัดแย้งในขอบเขตเล็กๆ ก็ไม่จำเป็นต้องให้กงซุนหว่านเอ๋อร์แบกรับเพียงลำพังเหมือนทุกครั้งอีกต่อไป เพราะยังมีต้าเทียนซือและราชาผียักษ์ที่ให้ความช่วยเหลือได้

ขณะเดียวกันหลังจากที่รู้ว่าความคิดแห่งอนาคตกาลของป๋ายเสี่ยวฉุนสามารถนำมาใช้ได้ด้วยวิธีการเช่นนี้ ต้าเทียนซือก็ยิ่งเตรียมการสร้างเทียนจุนไว้เป็นชุด ซึ่งเป้าหมายสำคัญล้วนอยู่ที่ผู้แข็งแกร่งครึ่งเทพที่มีวัยวุฒิอย่างพวกราชาชิงชัย

และเรื่องนี้ก็มีความหมายอย่างใหญ่หลวงต่อราชวงศ์จักรพรรดิเซิ่งและราชวงศ์จักรพรรดิแส มันสร้างความสะท้านสะเทือนรุนแรงและดึงดูดความสนใจจากคนนับไม่ถ้วน ต้องรู้ว่านี่เป็นตัวแทนที่จะบอกว่าการต่อสู้ของระดับชั้นเทียนจุนในอนาคต ราชวงศ์จักรพรรดิขุยจะได้เปรียบอย่างที่มิอาจประเมินค่าได้

แต่ต่อให้รู้ว่าจะเป็นอย่างนี้ ต่อให้จะตะลึงพรึงเพริดกันแค่ไหน พวกเขาก็มิอาจทำอะไรไปได้มากกว่านั้น แม้ในใจของจักรพรรดิแสและจักรพรรดิเซิ่งจะยิ่งกริ่งเกรงมากขึ้นทุกขณะ แต่ก็จนใจมากเช่นกัน จักรพรรดิเซิ่งยังคงประคับประคองความสัมพันธ์อันดีงามระหว่างป๋ายเสี่ยวฉุนเอาไว้ ส่วนจักรพรรดิแสนั้นเลือกปิดด่าน แสร้งทำเหมือนไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน

และแม้ว่าอิทธิพลคุกคามของราชวงศ์จักรพรรดิขุยจะค่อยๆ แพร่ไปทั่วดินแดนเซียนนิรันดร์ ทว่าสำหรับราชวงศ์จักรพรรดิขุยแล้ว เรื่องนี้ไม่สงผลกระทบอะไรต่อพวกเขาแม้แต่น้อย กลับกลายเป็นว่าเรื่องนี้ยิ่งทำให้พวกเขามีบารมีและอำนาจน่าเกรงขามยิ่งขึ้นไปเสียอีก

พวกคนที่มีความมั่นใจและกล้าหาญมากขึ้นก็คือพวกราชาชิงชัยที่อยู่ในแผนการสร้างเทียนจุน พวกเขาแต่ละคนฝึกตนกันอย่างบ้าคลั่ง ยิ่งได้รับการผลักดันช่วยเหลืออย่างเต็มกำลังจากทั้งป๋ายเสี่ยวฉุนและต้าเทียนซือโดยการส่งยาจำนวนมากมาให้ ผู้แข็งแกร่งที่จมอยู่กับขอบเขตครึ่งเทพมานานหลายปีเหล่านี้ก็เริ่มมีการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด

ท่ามกลางการพัฒนาอย่างต่อเนื่องของราชวงศ์จักรพรรดิขุย เวลาก็ล่วงเลยผ่านไปอีกห้าปี ป๋ายต้าเป่าและป๋ายเสี่ยวเสี่ยวต่างก็อายุเจ็ดขวบแล้ว เด็กสองคนนี้หน้าตาดีมาก ใบหน้าเล็กๆ สีชมพูนั้น ยามที่ยิ้มจะมีลักยิ้มบุ๋มลงไปสองข้างแก้ม มองแล้วน่ารักน่าเอ็นดูยิ่งนัก

โดยเฉพาะป๋ายเสี่ยวเสี่ยวที่แม้จะยังเป็นเพียงเด็กน้อย ทว่าแววตาใสกระจ่างและบริสุทธิ์ไร้เดียงสานั้นก็พอจะมองออกว่าเมื่อนางเติบใหญ่ จะต้องเป็นโฉมสะคราญนางหนึ่งแน่นอน และป๋ายต้าเป่าก็เช่นเดียวกัน ใบหน้าเล็กๆ ขาวสะอาดของเขามักจะมีความดื้อรั้นที่แฝงแววไม่ยอมแพ้อยู่เสมอ ซึ่งเด็กทั้งสองคนนี้คือความภาคภูมิใจของทั้งราชวงศ์จักรพรรดิขุย เป็นที่รักของคนนับไม่ถ้วน

และวังหลวง ก็กลายมาเป็นดั่งสนามแห่งความบันเทิงของพวกเขา แทบจะทุกวันต้องได้เห็นภาพที่เหล่าองค์รักษ์และนักพรตหญิงวิ่งไล่ตามอยู่ด้านหลังพลางบอกกับพวกเขาว่าอย่าวิ่งเร็วอย่างนั้น…

นั่นก็เพราะพรสวรรค์ของเด็กสองคนนี้ล้ำเลิศอย่างหาที่เปรียบไม่ได้

ขนาดต้าเทียนซือก็ยังประทับใจอย่างถึงที่สุด อายุเพียงแค่เจ็ดขวบกลับมีตบะรวมโอสถ ยิ่งป๋ายเสี่ยวเสี่ยวผู้เป็นพี่สาวก็ยิ่งเป็นถึงรวมโอสถช่วงท้าย! หากเพียงเท่านี้ก็ยังพอว่า แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือพลังกล้ามเนื้อของพวกเขา ป๋ายเสี่ยวเสี่ยวยังถือว่าปกติ แต่ป๋ายต้าเป่านั่น เป็นเพียงเด็กเจ็ดขวบกลับมีพลังกล้ามเนื้อเทียบเคียงได้กับก่อกำเนิด!

ยิ่งนิสัยของพวกเขาก็ยิ่งไม่เหมือนป๋ายเสี่ยวฉุนแม้แต่น้อย ป๋ายเสี่ยวเสี่ยวเป็นเด็กอารมณ์ร้อน ส่วนป๋ายต้าเป่าก็เป็นเด็กมุทะลุ ใจกล้าไม่กลัวตาย ซ้ำยังสงสัยใคร่รู้และพร้อมจะท้าทายทุกสิ่งอย่าง

ข้อนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนสัมผัสได้อย่างลึกซึ้งตลอดช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา เขายังถึงขั้นเคยคิดจะเปลี่ยนนิสัยที่ผิดพลาดของลูกๆ ตัวเองด้วย แต่กลับพบว่า ไม่ว่าเขาจะพูดเกลี้ยกล่อมอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์แม้แต่น้อย…

นั่นเป็นเพราะพวกเขาไม่กลัวป๋ายเสี่ยวฉุนสักนิด กลับเป็นซ่งจวินหว่านและโจวจื่อโม่เสียอีกที่พวกเขาเกรงกลัวอย่างมาก นอกจากนี้ป๋ายต้าเป่าที่กล้าหาญไม่เคยกลัวสิ่งใด กลับมีคนหนึ่งที่เขากลัวยิ่งกว่าใคร นั่นก็คือป๋ายเสี่ยวเสี่ยวพี่สาวของเขาเอง

ยกตัวอย่างเช่นตอนนี้ ตรงริมขอบของวังหลวง ป๋ายเสี่ยวเสี่ยวกำลังถลึงตามองป๋ายต้าเป่าด้วยสายตาเดือดดาล

“ต้าเป่า เจ้ารู้ความผิดของตัวเองหรือไม่!”

ป๋ายต้าเป่าไหล่ลู่คอตก ไม่กล้าพูดอะไร ตั้งแต่เล็กจนโต ในความทรงจำตลอดทั้งเจ็ดปีที่ผ่านมาของเขาล้วนเต็มไปด้วยภาพเหตุการณ์ที่ป๋ายเสี่ยวเสี่ยวผู้เป็นพี่สาวรังแกเขา ระหว่างพวกเขาสองคน ต้องเป็นเขาแทบทุกครั้งที่เสียเปรียบ หากพวกเขาสองคนก่อเรื่องด้วยกัน คนที่รับผิดชอบก็คือเขา หากพวกเขาสองคนทำเรื่องดีๆ ร่วมกัน ความดีความชอบกลับเป็นของพี่สาว…

เมื่ออยู่ต่อหน้าบิดามารดา พี่สาวคือเด็กดีว่านอนสอนง่าย ทว่าพออยู่ต่อหน้าเขา อีกฝ่ายกลับกลายมาเป็นทรราชผู้อำมหิต…

ทุกครั้งขอแค่พี่สาวร้องไห้ บิดาและมารดาทั้งสามคนของเขาจะต้องโอ๋เอาใจทันที ส่วนเขาได้แต่ยืนบื้ออยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าดื้อรั้น ฟังมารดาของเขาตำหนิสั่งสอน

นานวันเข้า ป๋ายต้าเป่าจึงทั้งนับถือ ทั้งหวาดกลัวพี่สาวของตัวเอง ทว่าทุกครั้งหากมีของอะไรอร่อยๆ มีของเล่นอะไรสนุกๆ พี่สาวมักจะต้องคิดถึงเขาเป็นคนแรกเสมอ และพอถูกป๋ายเสี่ยวเสี่ยวปะเหลาะเอาใจเมื่อไหร่ ป๋ายต้าเป่าก็จะต้องรู้สึกว่านางคือพี่สาวที่ดีที่สุดในโลก…

“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเพื่อแผนการหนีออกไปครั้งนี้ ข้าต้องเตรียมการนานแค่ไหน แต่เจ้ากลับมาสายตั้งหนึ่งก้านธูป!”

ป๋ายเสี่ยวเสี่ยวโมโหหนักจึงทำหน้าถมึงทึงมองป๋ายต้าเป่า

“หากครั้งนี้ออกไปแล้วไม่เจออะไรสนุกๆ ให้ทำ ป๋ายต้าเป่า ข้าจะตีเจ้าแล้วนะ!”

“ท่านแม่เรียกข้าไปพบกะทันหัน ข้า…ถ้าออกไปได้แล้ว ข้าจะเป็นคนออกแรงให้มากเอง แบบนี้ได้ไหม”

ป๋ายต้าเป่าพูดอ้อมแอ้มอย่างหวาดเกรง

ป๋ายเสี่ยวเสี่ยวมองป๋ายต้าเป่าแล้วพยักหน้ารับอย่างพึงพอใจ พลิกมือขวาหนึ่งครั้ง ผลไม้เซียนลูกหนึ่งก็โผล่ออกมา ผลไม้เซียนลูกนี้เพิ่งจะถูกหยิบออกมาก็แผ่ปราณวิญญาณอบอวล แค่มองก็รู้แล้วว่าไม่ธรรมดามาก ดวงตาป๋ายต้าเป่าเป็นประกายจ้า รู้ดีว่านี่คือผลไม้เซียนที่มีประโยชน์ต่อเรือนกายซึ่งบิดาเป็นคนมอบให้ เพียงแต่ว่าจำนวนของมันมีอยู่น้อยมาก ทุกครั้งที่ได้แบ่งมาเขาจะกินมันเข้าไปตรงๆ ทันที

“เอ้า ข้าให้ ข้าไม่ได้ฝึกฝนเรือนกาย เจ้าน่ะควรกินให้มาก”

ป๋ายเสี่ยวเสี่ยวที่มองเห็นแววปรารถนาในดวงตาของน้องชายก็คลี่ยิ้ม ตบหัวน้องชายเบาๆ สายตาฉายแววปราณีอ่อนโยน ก่อนจะยื่นผลไม้ส่งไปให้อีกฝ่าย

ป๋ายต้าเป่ารีบยกมือเล็กๆ ขึ้นไปรับเอาไว้แล้วกลืนลงท้องทันที ก่อนจะตบอกตัวเองดังป้าบ

“ท่านพี่โปรดวางใจ ครั้งนี้ข้าจะต้องไปจับสัตว์เลี้ยงตัวใหญ่มาให้เจ้าให้จงได้!”

เสี่ยวเสี่ยวยิ้มหน้าบานเป็นกระด้ง แล้วดึงมือต้าเป่าไปด้วยกัน ตอนนี้เด็กทั้งสองอยู่ในมุมหนึ่งของวังหลวง หลังจากที่ป๋ายเสี่ยวเสี่ยวหยิบเอาธงเล็กๆ ผืนหนึ่งออกมาโบก มันก็หอบร่างพวกเขาสองคนให้กลายเป็นควันผืนหนึ่งที่บินดิ่งออกไปจากวังหลวง!

ต้องรู้ว่าค่ายกลของวังหลวงแห่งนี้มีการพิทักษ์อย่างเข้มงวด ทว่าโจรในบ้านตัวเองนั้นยากจะป้องกัน ป๋ายเสี่ยวเสี่ยวมีพรสวรรค์ด้านค่ายกลเป็นพิเศษ นางศึกษาจนเจอช่องโหว่บางอย่างแล้วจึงสร้างธงผืนเล็กผืนหนึ่งที่สามารถอาศัยค่ายกลช่วยให้นางและป๋ายต้าเป่าแอบหนีออกไปได้ขึ้นมา

อีกทั้งดูจากท่าทางของพวกเขาก็เห็นได้ชัดว่าไม่ได้เพิ่งเคยทำอย่างนี้เป็นครั้งแรก และพอพวกเขาเพิ่งจะหายตัวแวบออกไป เงาร่างของคู่บำเพ็ญเพียรเสินซ่วนจื่อ ผู้แข็งแกร่งครึ่งเทพนามลู่อวิ๋นเหยาก็โผล่ออกมา นางส่ายหน้าอย่างระอาใจ ก่อนจะหายตัววับ แอบติดตามเด็กทั้งสองคนไปเงียบๆ

นับตั้งแต่ที่เสินซ่วนจื่อกลับมา ลู่อวิ๋นเหยาก็กลายมาเป็นราษฎร์ของราชวงศ์จักรพรรดิขุย เพราะนางคือผู้หญิงคนเดียวที่เป็นครึ่งเทพ ดังนั้นจึงถูกส่งตัวให้มาอยู่ในวังหลวงเพื่อคอยปกป้องสตรีทั้งหลายที่อยู่ในวัง

หลังจากที่ต้าเป่าและเสี่ยวเสี่ยวเติบโตขึ้นมา เพราะเด็กทั้งสองซุกซนเกินไป และมักจะหนีออกไปเล่นนอกวังเป็นประจำ ซ่งจวินหว่านและโจวจื่อโม่เองก็เคยพูดตักเตือนอยู่หลายครั้ง ทว่าด้วยพรสวรรค์ของเสี่ยวเสี่ยวทำให้เด็กหญิงคอยหาวิธีการสารพัดรูปแบบมาใช้ในทุกๆ ครั้ง จนถึงท้ายที่สุดพวกนางจึงเหนื่อยจะสนใจ ได้แต่ให้ลู่อวิ๋นเหยาคอยให้การปกป้องอย่างลับๆ เท่านั้น และตอนนี้ก็เป็นเช่นเดิม สำหรับเสี่ยวเสี่ยวและต้าเป่าแล้ว เมื่อมาอยู่นอกนครจักรพรรดิขุย ท้องฟ้ากว้างไกลไร้ที่สิ้นสุด ทุ่งราบเขียวขจีและผืนป่าก็คือที่เล่นของพวกเขา และสัตว์ร้ายมากมายที่อาศัยอยู่ที่นี่ก็ได้กลายมาเป็นเหยื่อในการล่าของพวกเขาด้วย

เมื่อยามสนธยามาเยือน ท่ามกลางเสียงไชโยโห่ร้องด้วยความยินดีของเสี่ยวเสี่ยว และท่ามกลางเสียงหอบหายใจดังฮักๆ แต่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นของต้าเป่า พวกเขาก็พากันลากงูหลามยักษ์ยาวพันจั้งตัวหนึ่งบินกลับเข้าไปในวังหลวง

เดิมทีงูหลามยักษ์ตัวนี้แข็งแกร่งและดุร้ายอย่างมาก ทว่าตอนนี้บนร่างของมันกลับเต็มไปด้วยบาดแผล ทุกครั้งที่ดิ้นรนจะต้องแลกมาด้วยหมัดเตะเท้าต่อยของต้าเป่า เป็นเหตุให้ยามนี้เมื่อมองไปยังต้าเป่า ดวงตาของมันจึงฉายความหวาดกลัว

“หากเจ้ากล้าทำตัวไม่ว่าง่าย ข้าจะตีเจ้าให้ตายเลย จงยอมไปเป็นสัตว์เลี้ยงของพี่สาวข้าซะดีๆ นางมีของอร่อยให้เจ้ากินดีอยู่ดีแน่!”

ต้าเป่าถลึงตาใส่พลางลากงูยักษ์บินขยับเข้าใกล้วังหลวงพร้อมกับเสี่ยวเสี่ยว และเมื่อเสี่ยวเสี่ยวโบกธงค่ายกล พวกเขาสองคนรวมถึงงูใหญ่ตัวนั้นก็กลายร่างเป็นกลุ่มควันที่บินเข้าไปในวังหลวงอย่างรวดเร็ว

พวกเขาคิดว่าไม่มีใครเห็นภาพเหตุการณ์นี้ ทว่าอำนาจจิตของป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ในห้องลับกลับมองเห็นชัดเจนเต็มๆ ตา พอเห็นว่าลูกทั้งสองของตนกล้าไปจับงูยักษ์ที่ดุร้ายทั้งๆ ที่อายุน้อยแค่นี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ขมวดคิ้วมุ่น เขารู้สึกว่าหากเป็นอย่างนี้ต่อไป สักวันต้องเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแน่

“ช่างทำเรื่องที่ไม่มีความมั่นคงปลอดภัยเอาซะเลย หากเพียงเท่านี้ก็ยังพอว่า แต่นี่กลับยังไปจับงูมาอีก เรื่องอันตรายแบบนี้ ตอนข้าอายุเจ็ดขวบยังไม่กล้าทำเลย!” ป๋ายเสี่ยวฉุนแค่นเสียง

เขาคิดว่ามีความจำเป็นมากที่ตนต้องสั่งสอนลูกทั้งสองให้ดี ดังนั้นจึงขยับกายหายตัวไป พอปรากฏตัวอีกครั้งก็มาอยู่เบื้องหน้าเสี่ยวเสี่ยวและต้าเป่าแล้ว

หากเปลี่ยนมาเป็นโจวจื่อโม่และซ่งจวินหว่านที่เผยตัว ต้าเป่าต้องตัวสั่นแน่นอน ทว่าตอนนี้เมื่อเห็นว่าจู่ๆ บิดาก็ปรากฏตัว เขากลับไม่มีท่าทางเกรงกลัวแม้แต่น้อย กลับยังใช้ตาโตๆ จ้องเป๋งไปยังป๋ายเสี่ยวฉุนอีกด้วย

เสี่ยวเสี่ยวที่อยู่ข้างกันรีบคลี่รอยยิ้มน่ารักไร้เดียงสาออกมา ทั้งยังรีบวิ่งเข้าไปหาป๋ายเสี่ยวฉุนพลางเอ่ยเรียกท่านพ่อเสียงอ่อนเสียงหวาน

น้ำเสียงหวานหยดนี้ทำให้ความโมโหของป๋ายเสี่ยวฉุนหายไปถึงเจ็ดส่วน แต่เขาก็ยังแสร้งตีหน้าเคร่ง สะบัดปลายแขนเสื้อเบาๆ แล้วเริ่มสั่งสอน

“เสี่ยวเสี่ยว ต้าเป่า พวกเจ้าทำอย่างนี้ไม่ถูก ต้องฟังคำพ่อสอน คนเราต้องระมัดระวัง ทำอะไรต้องถือความปลอดภัยมั่นคงเป็นหลัก ชีวิตน้อยๆ มีอยู่แค่ชีวิตเดียว จะเอามาใช้อย่างไม่เห็นค่าไม่ได้ พวกเจ้าดูอย่างพ่อสิ พ่อทำตามหลักการนี้มาตลอดชีวิต ถึงได้เดินมาถึงทุกวันนี้ ถึงได้แสวงหาความอมตะ หากในอดีตพ่อบุ่มบ่ามวู่วาม ชีวิตน้อยๆ คงหายไปนานแล้ว”

ป๋ายเสี่ยวฉุนเพิ่งจะพูดจบ มุมปากของเสี่ยวเสี่ยวก็ยกขึ้น ส่วนต้าเป่านั้นหันไปเตะงูยักษ์ที่อยู่ข้างกายป้าบใหญ่ ก่อนจะเชิดหน้าตะโกนด้วยเสียงดื้อรั้น

“ท่านพ่อ ข้าไม่เห็นด้วยกับความคิดของท่าน ใครไม่ยอมแพ้ก็ตีไปเลย จะต้องไปสนใจอะไรมากมายขนาดนั้น!”

AC

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!