Skip to content

A Will Eternal 1237

บทที่ 1237 ตายตาไม่หลับ

ตลอดหลายปีที่เข้ามาอยู่ในห้วงจักรวาลแห่งนี้ จากประสบการณ์ที่พบเจอระหว่างทาง จากการตามค้นหาวิญญาณ ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงเข้าใจห้วงจักรวาลแห่งนี้มากขึ้น และประสบการณ์ในอดีตที่ผ่านมาก็ค่อยๆ ก่อรูปก่อร่างขึ้นมาในใจของป๋ายเสี่ยวฉุน แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ ต่อให้เขาจะเคยเห็นซากปรักหักพังมาแล้วมากมาย แต่ก็ยังไม่เคยสะท้านสะเทือนเท่ากับสายฝนโลงศพนับล้านโลงที่ได้เห็นกับตาตัวเองอย่างวันนี้มาก่อน

จนกระทั่งผ่านไปเนิ่นนาน ป๋ายเสี่ยวฉุนถึงได้ถอนสายตากลับมาจากห้วงอวกาศด้านหลังของตน แล้วมานั่งอยู่บนพัดวิเศษ ป๋ายเสี่ยวฉุนเหม่อมองความว่างเปล่าอยู่เงียบๆ ตอนนี้เขามั่นใจมากแล้วว่า บางที…ในห้วงจักรวาลแห่งนี้ อาจเป็นเหมือนสถานที่แห่งความตายแห่งหนึ่ง ที่นอกจากดินแดนเซียนนิรันดร์กาลแล้วก็ไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่นๆ เหลืออยู่อีกเลย

“สิ่งเดียวที่ดำรงอยู่ก็คือวิญญาณพวกนั้น แล้วก็วิญญาณวัตถุที่เป็นเหมือนเจ้าเสี่ยวชือผู้นี้”

ป๋ายเสี่ยวฉุนถอนหายใจเบาๆ ผินหน้ากลับมามองวิญญาณวัตถุน้อยที่นั่งอยู่ข้างกันด้วยท่าทางหงอยเหงา แล้วเขาก็พลันรู้สึกว่าแท้จริงแล้วอีกฝ่ายน่าสงสารอย่างมาก ขนาดตนที่เพิ่งมาเห็นสภาพของที่แห่งนี้แค่ไม่กี่ปียังอารมณ์ห่อเหี่ยวได้ถึงขนาดนี้ แต่อีกฝ่ายต้องล่องลอยอยู่ท่ามกลางห้วงจักรวาลแห่งนี้มาไม่รู้กี่ปีต่อกี่ปีแล้ว ก็ไม่แปลกที่ตอนได้รู้จักกันแรกๆ อีกฝ่ายจะมีนิสัยดุร้ายมากขนาดนั้น

ท่ามกลางความเงียบงัน เวลาปีแล้วปีเล่าล่วงเลยผ่านไปช้าๆ หลังจากที่ผ่านซากปรักหักพังอีกมากมาย วันนี้…จู่ๆ ความเร็วของพัดวิเศษที่บินไปตามวิถีโคจรที่ถูกกำหนดแน่นอนไว้กลับชะลอช้าลง นี่ไม่ได้อยู่ในการควบคุมของป๋ายเสี่ยวฉุน แต่ดูเหมือนว่ามันใกล้จะถึงจุดหมายปลายทางแล้ว ความเร็วถึงได้ช้าลง เมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนลืมตามองจ้องไปยังทิศไกล วิญญาณวัตถุน้อยที่อยู่ด้านข้างก็หายใจถี่กระชั้น ดวงตาเผยแววที่แฝงความหมายซึ่งดูเหมือนทั้งคุ้นเคยและทั้งแปลกหน้า

นั่นคือกองฝุ่นอันน่าครั่นคร้ามที่มีขนาดใหญ่โตมโหฬาร ยิ่งกว่าซากปรักหักพังทั้งหมดที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเคยเห็นมาตลอดทาง เมื่อทอดสายตามองไป พื้นที่ที่มองไม่เห็นจุดหมายปลายทาง และแม้แต่อำนาจจิตก็แผ่ปกคลุมไปได้ไม่ทั่วแห่งนี้ กลับมีซากปรักหักพังอยู่นับไม่ถ้วน!

บ้างก็เป็นเศษซากที่เกิดจากการพังถล่มของหอเรือน บ้างก็เป็นเศษหินจำนวนมาก ซ้ำยังมีเศษชิ้นส่วนของสมบัติอาคมอีกนับไม่ถ้วน และบางครั้งก็ยังพอจะมองเห็นพืชพรรณแห้งเหี่ยวที่ลอยอยู่ท่ามกลางความว่างเปล่าซึ่งดูเหมือนว่าแค่แตะมันก็คงแหลกสลาย

และท่ามกลางพื้นที่อันกว้างใหญ่ไพศาลนี้ก็ยังมีริ้วคลื่นอ่อนจางอยู่หลายเสี้ยว พอป๋ายเสี่ยวฉุนลองรับสัมผัสกับริ้วคลื่นเหล่านั้น เขาก็ถึงกับกลั้นหายใจ นัยน์ตาฉายประกายประหลาด

“ปราณเซียน!” ป๋ายเสี่ยวฉุนลุกขึ้นยืนช้าๆ

ก่อนหน้านี้เขาเคยมีการวิเคราะห์เกี่ยวกับเส้นทางการโคจรของพัดวิเศษมาก่อน แต่พอมาสัมผัสได้ถึงปราณเซียนของที่แห่งนี้ ในสมองของเขากลับเกิดการคาดเดาที่ทั้งใจกล้าและมีความเป็นไปได้มากว่า จะเป็นความจริงอย่างหนึ่งขึ้นมาทันที!

“หรือว่า…ที่นี่ก็คือที่อยู่ของผู้บงการที่เป็นเจ้าของพัดวิเศษเล่มนี้อย่าง…โลกแห่งเซียน!!”

“เผ่าพันธุ์ที่เจริญรุ่งเรืองที่สุด และพัฒนาถึงขีดสุดของห้วงจักรวาลแห่งนี้ในอดีต!!”

“และก็เป็น…สถานที่ที่พัดวิเศษเล่มนี้ถูกสร้างขึ้นมา!!”

ป๋ายเสี่ยวฉุนหันกลับไปมองวิญญาณวัตถุน้อยทันที พอสังเกตเห็นประกายสายตาที่เหมือนทั้งคุ้นเคยและทั้งแปลกหน้าของวิญญาณวัตถุน้อย เขาก็ยิ่งมั่นใจในการวิเคราะห์ของตัวเอง นั่นเป็นเพราะว่าซากปรักหักพังของที่แห่งนี้กินอาณาบริเวณกว้างใหญ่กว่าทุกแห่งที่เขาเคยเห็นมา ซ้ำเมื่อมองไปอย่างละเอียดจะยังเห็นพื้นดินเป็นแถบๆ ที่แตกกระจายออกเป็นเสี่ยงๆ อีกด้วย!!

ฝุ่นผงเกาะตัวหนาชั้นคละคลุ้งมืดฟ้ามัวดิน ดูจากขนาดของซากปรักหักพังแห่งนี้ก็พอจะวิเคราะห์ได้คร่าวๆ ว่าโลกแห่งเซียนในอดีตจะยิ่งใหญ่ไพศาลถึงเพียงไหน และสมองของป๋ายเสี่ยวฉุนในเวลานี้  ก็เริ่มจะมีภาพของ…แผ่นดินขนาดใหญ่มหึมาน่าครั่นคร้าม ที่กว้างพอๆ กับนำดินแดนเซียนนิรันดร์กาลหนึ่งร้อยแห่งมาต่อกันลอยขึ้นมา!!

และรอบๆ แผ่นดินใหญ่ยักษ์ผืนนี้ก็มีความเป็นไปได้มากว่าจะมีลูกกลมๆ ขนาดยักษ์นับร้อยนับพันลูกล่องลอยอยู่รายรอบ ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่รู้ว่านั่นคืออะไร เพราะไม่เคยเห็นมาก่อน ทว่าซากปรักลักษณะโค้งงอที่เกิดจากการพังถล่มของลูกกลมๆ นับไม่ถ้วนในพื้นที่นี้ก็มากพอจะพิสูจน์ให้เห็นถึงการดำรงอยู่ของเจ้าลูกกลมๆ เหล่านั้น

“บ้าน…” ขณะที่วิญญาณวัตถุน้อยพึมพำกับตัวเอง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ใจสั่นสะท้านไปเช่นกัน เขาปล่อยให้พัดวิเศษทะยานไปท่ามกลางซากปรักหักพังเหล่านี้อย่างเชื่องช้า ความเร็วที่มองดูเหมือนจะไม่เร็ว ทว่าอันที่จริงแล้วเป็นเพียงแค่การเปรียบเทียบเมื่ออยู่ที่นี่เท่านั้น เพราะความเร็วที่แท้จริงของมัน ก็ยังคงเท่ากับการร่ายความเร็วอย่างเต็มกำลังของเทียนจุนอยู่ดี

แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ พัดวิเศษก็ยังต้องบินทะยานอยู่ในซากปรักหักพังเหล่านี้เป็นเวลานานหลายปี ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา สิ่งที่ป๋ายเสี่ยวฉุนมองเห็นมีเพียงฝุ่นธุลี ขณะเดียวกันท่ามกลางการสังเกตอย่างต่อเนื่อง ป๋ายเสี่ยวฉุนยังได้เห็นคลื่นอันน่าครั่นคร้ามที่แผ่ออกมาจากในพื้นที่เล็กๆ อย่างน้อยหลายร้อยแห่ง ซึ่งคลื่นเหล่านั้นที่ต่อให้เป็นป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ยังรู้สึกอกสั่นขวัญผวา

ทว่าเมื่อเขาเพ่งมองไปอย่างละเอียดกลับไม่ได้ผลเก็บเกี่ยวใดๆ จนกระทั่งป๋ายเสี่ยวฉุนใช้ต้นกำเนิดแห่งเวลาไปคลำหาถึงจะได้รู้คำตอบ นั่นคือปราณของอดีตผู้แข็งแกร่งที่ทิ้งเอาไว้ท่ามกลางกาลเวลาที่ผันผ่าน!

และในสายตาของป๋ายเสี่ยวฉุน ปราณพวกนี้อย่างน้อยก็ต้องเป็นบุพกาล… จากเบาะแสเหล่านี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงยิ่งมีความเข้าใจต่อโลกแห่งเซียนมากขึ้น นั่นทำให้เขาสะท้านพรั่นพรึงต่อโลกใบนี้ในยุคสมัยที่เคยเจริญรุ่งเรืองอย่างถึงที่สุด

เขามิอาจจินตนาการได้เลยว่าเป็นเพราะพลังหรือหายนะแบบใดกันแน่ที่ทำให้โลกแห่งเซียนที่ยิ่งใหญ่ใบนี้ล่มสลาย พังภินท์ได้อย่างสิ้นซากถึงขั้นนี้

“แผ่นดินใหญ่พังทลาย ลูกกลมนับร้อยนับพันแหลกสลาย บุพกาลทั้งหมดตายสิ้น ราชินีเซียนเผชิญชะตากรรมน่าสังเวช แม้แต่ผู้บงการอันเป็นเจ้าเหนือหัวของโลกแห่งเซียนก็ยังได้แค่สร้างพัดเล่มหนึ่งขึ้นมา ทิ้งเงาสะท้อนของร่างแยกไว้ภายในเพื่อให้พัดลอยไปไกลจากที่แห่งนี้ ส่วนตัวเอง…เกรงว่าคงสู้รบจนตัวตายอยู่ที่นี่…”

ป๋ายเสี่ยวฉุนพึมพำ หลังจากผ่านไปได้อีกหลายเดือน และจู่ๆ เมื่อพัดวิเศษลอยมาถึงพื้นที่หนึ่ง ความเร็วของมันก็เปลี่ยนจากการชะลอตัวเป็นหยุดนิ่งลงในที่สุด!

ราวกับว่ามาถึงปลายทางแล้ว และเมื่อพัดวิเศษหยุดนิ่ง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็พลันเงยหน้าขึ้นมองรอบด้าน แต่เมื่อสายตาของเขากวาดไปยังซากปรักหักพังที่อยู่รอบๆ เขากลับถูกวัตถุขนาดมหึมาชิ้นหนึ่งในซากอารยธรรมดึงดูดให้หันไปมองอย่างอดไม่ได้!

และหากสัมผัสดูอย่างละเอียด ป๋ายเสี่ยวฉุนจะค้นพบได้ว่าวิถีการโคจรของพัดวิเศษก็คือ มุ่งหน้ามาหาวัตถุขนาดใหญ่ชิ้นนั้น!

หรือจะพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ วัตถุมหึมาชิ้นนี้เป็นตัวชักนำให้พัดวิเศษบินมาหา และที่พัดวิเศษเดินทางมาที่นี่ ก็เพราะ…วัตถุชิ้นนี้!!

นั่นคือวัตถุทรงกลมสีขาวซีด…ที่มีขนาดใหญ่นับหมื่นจั้ง!!

ลมหายใจป๋ายเสี่ยวฉุนหอบกระชั้น ส่วนวิญญาณวัตถุน้อยที่พอเห็นวัตถุทรงกลมนี้ก็สั่นเทิ้มไปทั้งร่าง ริมฝีปากสั่นระริก แต่กลับพูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว เพียงแต่ความเศร้าอาดูรในดวงตากลับเผยออกมาอย่างเด่นชัดมากเป็นพิเศษ

ป๋ายเสี่ยวฉุนมองวัตถุทรงกลมขนาดมหึมานั้น โดยที่ในใจเหมือนจะมีคำตอบหนึ่งมารออยู่ก่อนแล้ว แต่เขากลับไม่กล้าเชื่อ จึงรีบควบคุมให้พัดวิเศษขยับเข้าไปใกล้วัตถุทรงกลม จนกระทั่งวนได้ครึ่งรอบและมองเห็นหน้าตรงของวัตถุทรงกลม ในสมองของป๋ายเสี่ยวฉุนก็มีเสียงดังอื้ออึง ส่วนวิญญาณวัตถุน้อยก็ยิ่งร้องสะอื้น

“นายท่าน!!”

“ผู้บงการเซียนจุน!!” (เซียนจุนคือคำเรียกขานยกย่องผู้ที่ฝึกเป็นเซียนขั้นสูงสุด) ป๋ายเสี่ยวฉุนร้องอุทานเสียงหลง นี่ไม่ใช่วัตถุทรงกลมอะไรทั้งนั้น เห็นอยู่ชัดๆ ว่านี่มัน…หัวกะโหลกขนาดใหญ่ยักษ์หัวหนึ่ง!!

เครื่องหน้าของหัวกะโหลกนี้เหมือนกับผู้บงการเซียนจุน ที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเคยเห็นในด่านที่หนึ่งร้อยของพัดวิเศษ…อย่างไม่มีผิดเพี้ยน!!

หัวกะโหลกนี้ล่องลอยอยู่ท่ามกลางซากปรักหักพัง ทวารทั้งเจ็ดมีคราบเลือดสีดำไหลย้อยเกรอะกรัง แม้จะตายไปแล้ว แต่ดวงตาของเขาก็ยังเบิกโพลง และต่อให้เป็นวันนี้ที่ผ่านมานานไม่รู้กี่หมื่นปีแล้ว สายตาของหัวกะโหลกนี้ก็ยังแสดงให้เห็นถึงความไม่ยอมแพ้อย่างแรงกล้า

ป๋ายเสี่ยวฉุนแค่มองปราดเดียว ทั้งหัวสมองก็สะเทือนเลือนลั่นไปหมด ซ้ำยังเหมือนจะได้ยินเสียงคำรามเดือดดาลที่ทำให้หัวใจหรือแม้แต่จิตวิญญาณของเขาสั่นคลอนดังขึ้นอึงอล!

ต่อให้ป๋ายเสี่ยวฉุนจะพอเดาได้มาก่อน แต่ไม่ว่าอย่างไร เมื่อได้เห็นว่าสิ่งที่เรียกให้พัดวิเศษบินมาหา แท้จริงแล้วก็คือผู้บงการที่สร้างพัดวิเศษเล่มนี้ขึ้นมากับมือตัวเอง จิตใจของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยังมิอาจสงบลงได้ โดยเฉพาะความเคียดแค้นของหัวกะโหลกที่ลึกล้ำจนส่งผลกระทบต่อความว่างเปล่ารอบด้าน เป็นเหตุให้รอบด้านมีแต่ความบิดเบือน ก่อเกิดเป็นพลานุภาพสยบที่เดือดพล่านเกรี้ยวกราดอย่างถึงที่สุด

หากไม่เป็นเพราะเรือนกายของป๋ายเสี่ยวฉุนแข็งแกร่งมากพอ ทั้งยังนั่งอยู่บนพัดวิเศษ เกรงว่าเขาคงไม่อาจขยับเข้ามาใกล้มันได้เลย ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยังต้องปรับตัวอยู่นานถึงจะทำให้ลมหายใจของตัวเองสงบลงได้ และเมื่อเงยหน้ามองหัวกะโหลกนั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนก็พลันยกมือขึ้นแล้วโค้งคำนับต่ำๆ

เขารู้ถึงสาเหตุที่พัดวิเศษล่องลอยมาตามวงโคจรที่แน่นอนแล้ว และก็รู้สึกซาบซึ้งในพระคุณที่ผู้บงการเซียนจุนท่านนี้สร้างพัดวิเศษขึ้นมา ดังนั้นพอคารวะเรียบร้อย ป๋ายเสี่ยวฉุนถึงสูดลมหายใจเข้าลึก มองหัวกะโหลกอยู่เนิ่นนาน แต่แล้วทันใดนั้นเขาก็ร้องเอ๊ะเบาๆ รีบแผ่อำนาจจิตออกไปโดยเร็ว ทดลองที่จะสัมผัสเข้ากับหัวกะโหลกนี้ให้ได้ ต่อให้จะยากลำบากอย่างยิ่ง ทว่าเมื่อมีกำลังของพัดวิเศษช่วยประคับประคอง ไม่นานอำนาจจิตของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ปะทะเข้ากับหัวกะโหลกนี่จนได้

และชั่วขณะที่อำนาจจิตของเขากวาดออกไปนั้นเอง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็พลันสะท้านเยือกไปทั้งร่าง เมล็ดพันธ์แห่งเต๋าในร่างสั่นสะท้านอย่างรุนแรง คล้ายจะเผยความปรารถนาอันแรงกล้าออกมา ป๋ายเสี่ยวฉุนกลั้นหายใจ เบิกตากว้าง เพราะเขาเหมือนจะสัมผัสได้ถึงพลังขุมหนึ่งที่อยู่ในหัวกะโหลกของผู้บงการหัวนี้!!

พลังงานขุมนี้เป็นพลังที่บอกไม่ถูก ไม่ใช่ปราณเซียน ไม่ใช่ตบะ มันล่องลอยมิอาจคว้าจับ ขณะเดียวกันก็เป็นเหมือนเสียงพึมพำของมารดาแห่งนิรันดร์กาล ที่เคยดังขึ้นข้างหูตอนที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกลายมาเป็นเทียนจุนได้สำเร็จ

“นั่นคือโชคชะตา!” วิญญาณวัตถุน้อยพึมพำเบาๆ

“ข้ารู้ว่าทำไมพัดวิเศษถึงได้มาที่นี่ ไม่ใช่เพราะการเรียกหาของนายท่าน แต่ที่เรียกหามัน… คือโชคชะตาเสี้ยวสุดท้ายของโลกแห่งเซียน… ที่ถูกทิ้งไว้ในหัวกะโหลกของนายท่าน!

“ป๋ายเสี่ยวฉุน เจ้าคือผู้สืบทอดของนายท่าน เจ้ามีคุณสมบัติที่จะผสานดวงชะตาเสี้ยวสุดท้ายที่เคยเป็นของโลกแห่งเซียนนี้ไป และหากเจ้าผสานมันเข้าไปในกายเมื่อไหร่ การฝ่าทะลุสู่ขอบเขตบุพกาลของเจ้า… ก็ง่ายดั่งพลิกฝ่ามือ!!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!