Skip to content

A Will Eternal 1238

บทที่ 1238 ผสานความทรงจำ

ป๋ายเสี่ยวฉุนมองหัวกะโหลกของผู้บงการ ข้างหูก็มีเสียงของวิญญาณวัตถุน้อยดังขึ้นมา พลังงานประหลาดที่เขาสัมผัสได้จากในหัวกะโหลกของผู้บงการก็คือ โชคชะตาเสี้ยวสุดท้ายของโลกแห่งเซียนที่วิญญาณวัตถุน้อยพูดถึง!

แล้วก็เป็นเพราะชะตาชีวิตเสี้ยวนี้ที่ชักนำพัดวิเศษมาที่นี่ เพราะอย่างไรซะสำหรับพัดวิเศษแล้ว มันได้ถูกสร้างขึ้นที่นี่ ที่นี่ก็คือสถานที่ถือกำเนิดของมัน!

ขณะเดียวกันเมื่อเมล็ดพันธ์แห่งเต๋าในร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนแผ่ความปรารถนาอันแรงกล้า เขาก็เข้าใจอย่างชัดเจนแล้วว่า สิ่งที่วิญญาณวัตถุน้อยพูดคือเรื่องจริง หากตนดูดเอาโชคชะตาเสี้ยวสุดท้ายของโลกแห่งเซียนนี้ไป ถ้าเช่นนั้นการที่เขาจะเลื่อนจากเทียนจุนสู่บุพกาลก็เป็นเรื่องที่ต้องสำเร็จอย่างแน่นอน และจะไม่มีทางเกิดเรื่องไม่คาดคิดเลยแม้แต่นิดเดียว!

โชควาสนาเช่นนี้ โอกาสเช่นนี้มากพอจะทำให้เทียนจุนทุกคนบ้าคลั่ง เพราะว่ามันคือโชควาสนาที่น้อยครั้งจะพานพบ อีกทั้งในห้วงจักรวาลแห่งนี้ เกรงว่านอกจากดินแดนเซียนนิรันดร์กาลแล้ว ก็คงมีโลกแห่งเซียนที่เคยแข็งแกร่งที่สุดแห่งนี้เท่านั้น ที่ถึงจะรักษาโชคชะตาเสี้ยวสุดท้ายไว้ได้ ทั้งๆ ที่ผ่านหายนะครั้งใหญ่มาก่อน

หากเปลี่ยนมาเป็นคนอื่น บางทีอาจต้องใช้พลังมหาศาล ไม่เพียงแต่จำเป็นต้องคิดว่าจะดึงเอาโชคชะตานี้ออกมาอย่างไร ยังต้องพิจารณาด้วยว่าจะทำอย่างไรโชคชะตานี้ถึงจะยอมรับ และยอมผสานรวมเป็นหนึ่งกับร่างกายของตน

แต่สำหรับป๋ายเสี่ยวฉุนแล้ว เขาไม่จำเป็นต้องคิดพิจารณาข้อหลังแม้แต่น้อย เพราะเขาที่ได้กลายเป็นเจ้าของพัดวิเศษ เขาที่ได้รับการยอมรับจากร่างเงาสะท้อนของผู้บงการ จึงถือว่ามีความสัมพันธ์ที่เกี่ยวข้องแน่ชัดกับโลกแห่งเซียนในระดับหนึ่งแล้ว

ความสัมพันธ์เช่นนี้อาจมองดูเหมือนว่างเปล่าล่องลอย แต่กลับมากพอที่จะทำให้โชคชะตาเสี้ยวสุดท้ายเลือกที่จะยอมรับเขา!

ตอนนี้ปัญหาสำคัญที่วางอยู่ตรงหน้าป๋ายเสี่ยวฉุน ก็คือ… เขาจะดึงเอาชะตาชีวิตเสี้ยวสุดท้ายของโลกแห่งเซียนออกมาจากหัวกะโหลกของผู้บงการได้อย่างไร!

หลังจากวิเคราะห์ทุกอย่างอยู่ในสมอง หัวใจป๋ายเสี่ยวฉุนก็เต้นกระหน่ำ ลมหายใจเริ่มกระชั้นขึ้นช้าๆ ทั้งดวงตาทั้งคู่ยังสาดประกายแสงเจิดจ้า เพราะเขาติดขัดอยู่ในขอบเขตเทียนจุนขั้นสมบูรณ์แบบมาค่อนข้างนานแล้ว โดยที่ไม่มีโอกาสได้ฝ่าทะลุขอบเขตเสียที โชควาสนาในครั้งนี้จึงทำให้หัวใจของป๋ายเสี่ยวฉุนเต้นกระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง

ทว่าป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นคนทำอะไรรอบคอบ จึงไม่ได้วู่วามลงมือ แต่เลือกที่จะสังเกตการณ์บริเวณโดยรอบอย่างละเอียด และหลังจากขับเคลื่อนพัดวิเศษบินวนรอบหัวกะโหลกอีกหลายรอบจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีอันตรายใดๆ เขาก็ยังให้ทาสบุพกาลอีกสองท่านออกไปตรวจสอบซ้ำอีกครั้ง

จนกระทั่งท้ายที่สุดป๋ายเสี่ยวฉุนถึงได้เดินออกมาเอง ครั้นแล้วจึงค่อยๆ ขยับเข้าไปใกล้หัวกะโหลกของผู้บงการ และยิ่งขยับเข้าใกล้มากเท่าไหร่ อานุภาพสยบก็ยิ่งรุนแรงจนป๋ายเสี่ยวฉุนไม่สามารถขยับเข้าไปใกล้ได้มากนัก สุดท้ายจึงหยุดอยู่ที่ระยะห่างสิบจั้ง ด้วยระยะทางเท่านี้และด้วยความใหญ่โตของหัวกะโหลกผู้บงการ ต่อให้ป๋ายเสี่ยวฉุนจะเงยหน้าก็ยังยากที่สายตาเขาจะมองเห็นจุดสิ้นสุดของมันได้ สิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าเขามีเพียงริ้วรอยยับย่นขนาดใหญ่เท่าแขนคนซึ่งตัดสลับกันอยู่บนผิวหนังสีเทา

ป๋ายเสี่ยวฉุนฝืนข่มกลั้นความรู้สึกไม่สบายตัวที่เกิดจากอานุภาพสยบนี้เอาไว้ และท่ามกลางความตึงเครียดของวิญญาณวัตถุน้อย เขาก็พลันยกมือขวาขึ้นทำมุทราแล้วกดลงใส่หัวกะโหลกผู้บงการผ่านอากาศ ตบะก็ยิ่งแผ่ออกไป พยายามจะดึงเอาโชคชะตาที่อยู่ในนั้นออกมาให้ได้

แต่ไม่ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะระเบิดตบะอย่างไร โชคชะตาที่อยู่ในหัวกะโหลกก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองแม้แต่น้อย ราวกับว่าสัมผัสไม่ได้ถึงการดำรงอยู่ของป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างไรอย่างนั้น

ต่อให้ป๋ายเสี่ยวฉุนจะเปลี่ยนเอาวิชาอภินิหารมากมายออกมาใช้ ทั้งยังกัดปลายลิ้นพ่นเลือดสดออกมาก็ยังไม่ได้รับการตอบรับใดๆ จากโชคชะตาเสี้ยวนั้น มาถึงท้ายที่สุดป๋ายเสี่ยวฉุนก็ถึงกับถลึงตาใส่หัวกะโหลก ในใจเริ่มร้อนรนกระวนกระวาย

เขาลังเลอยู่พักหนึ่ง ครั้นแล้วจึงขยับไปข้างหน้าอีกครั้ง ทั้งยังร่ายวิชาล่อสังหาร พยายามต้านทานอานุภาพสยบที่มาจากหัวกะโหลกของผู้บงการ แม้แต่ปราณของหมัดผู้บงการมิดับสูญก็ยังแผ่ออกมา ซ้ำยังส่งข้อความเสียงไปหาวิญญาณวัตถุน้อย บอกให้มันแผ่แสงของพัดวิเศษให้สะท้อนลงบนร่างของเขาเพื่อปลุกเสกพลังของเขาให้มากขึ้นอีกระดับ

ภายใต้วิธีการทั้งหลายทั้งแหล่เหล่านี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนเดินหน้าไปทีละก้าวอย่างยากลำบาก จากสิบจั้งขยับเข้าไปเป็นแปดจั้ง ห้าจั้ง สามจั้ง สุดท้ายก็ถึงหนึ่งจั้ง จนกระทั่งเหลือเพียงครึ่งจั้งซึ่งห่างเพียงแค่เอื้อมมือก็คว้าถึง ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนพลันสั่นสะท้าน ใบหน้าแดงก่ำ ระยะเท่านี้คือขีดสุดความสามารถของเขาแล้ว

เขายกมือขวาที่สั่นระริกขึ้นมากดลงบนผิวหนังของหัวกะโหลกผู้บงการ เพียงแต่ว่าวินาทีที่สัมผัสเข้ากับหัวกะโหลก เสียงอึงอลก็ดังขึ้นในสมองของป๋ายเสี่ยวฉุน การสัมผัสโดยตรงเช่นนี้ทำให้อานุภาพสยบที่แผ่ออกมาเป็นดั่งภูเขาลูกยักษ์ที่กดทับร่างของเขา หมายจะกระเทือนให้ร่างของเขาแหลกสลายเป็นชิ้นๆ

หากการแหลกสลายนี้จะแลกมาด้วยโชคชะตาที่ถูกดึงออกมาได้สำเร็จก็ยังพอว่า แต่นี่ต่อให้ป๋ายเสี่ยวฉุนจะสัมผัสโดนหัวกะโหลกของผู้บงการแล้ว โชคชะตาที่อยู่ด้านในนั้นก็ยังไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ กลับมาแม้แต่นิดเดียว

ป๋ายเสี่ยวฉุนกระอักเลือดออกมาคำใหญ่ ร่างเซกรูดถอยไปด้านหลังอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งกลับมาอยู่บนพัดวิเศษ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ถึงกับหอบฮักๆ ได้แต่มองหัวกะโหลกผู้บงการ สัมผัสกับโชคชะตาที่อยู่ด้านในโดยที่ไม่อาจทำอะไรได้มากไปกว่านั้น

“ดึงออกมาไม่ได้เลย…” ป๋ายเสี่ยวฉุนร้อนใจมาก วิญญาณวัตถุน้อยที่อยู่ข้างกันก็ตะลึงงัน ไม่มีวิธีใดให้ช่วยเหลือได้ ทุกอย่างต้องขึ้นอยู่กับป๋ายเสี่ยวฉุนคนเดียวเท่านั้น

แล้วก็เป็นเช่นนี้จนผ่านไปได้ครึ่งเดือน ครึ่งเดือนมานี้ป๋ายเสี่ยวฉุนทดลองแทบทุกวิธีการที่คิดได้ ทว่าทุกครั้งที่ล้มเหลว เขาจะต้องกระอักเลือดคำใหญ่ แล้วก็จำต้องกลับมาพักรักษาตัวบนพัดวิเศษ

มาถึงท้ายที่สุดป๋ายเสี่ยวฉุนก็เริ่มสิ้นหวังแล้ว เขาที่นั่งอยู่บนพัดวิเศษมองเหม่อไปยังหัวกะโหลกของผู้บงการ เขายังเคยทดลองจะดูดเอาหัวกะโหลกนั้นมาบนพัดวิเศษด้วยซ้ำ แต่กลับทำไม่สำเร็จ

ราวกับว่าโชคชะตาเสี้ยวนี้มิอาจใช้วิธีการธรรมดามาดึงมันได้ ส่วนเรื่องที่จะทำลายหัวกะโหลกทิ้งนั้น ยังไม่ต้องพูดว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะทำได้หรือไม่ แล้วก็ยังไม่ต้องพูดว่าสุดท้ายแล้วโชคชะตาเสี้ยวนั้นจะสลายไปได้จริงหรือไม่ เพียงแค่พูดกันถึงในด้านบรรทัดฐานความเป็นคนของป๋ายเสี่ยวฉุน เขาก็ไม่สามารถตอบแทนบุญคุณด้วยการแก้แค้น เพราะอย่างไรซะผู้บงการเซียนจุนท่านนี้ ก็ถือเป็นอาจารย์ของเขาครึ่งตัวแล้ว!

แล้วนับประสาอะไรกับที่วิญญาณวัตถุน้อยก็คงไม่มีทางยอมเห็นด้วยกับการหมิ่นเกียรติผู้ที่มันเคารพเช่นนี้

ป๋ายเสี่ยวฉุนขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่นาน จนกระทั่งผ่านไปได้ห้าวัน จู่ๆ ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนที่คิ้วขมวดกันเป็นปมก็พลันส่องแสงคมกริบ เพราะเขาคิดถึงวิธีหนึ่งขึ้นมาได้

“ในเมื่อไม่สามารถดึงออกมาได้…ด้านหนึ่งอาจเป็นเพราะวิธีการไม่ถูกต้อง ส่วนอีกด้านหนึ่ง บางทีอาจเป็นเพราะคุณสมบัติของข้ายังไม่พอ? หากคุณสมบัติของข้ามากพอแล้ว เกรงว่าแค่กวักมือเรียก โชคชะตาเส้นนี้ก็คงบินมาผสานรวมกับข้าด้วยตัวเองเลยกระมัง…”

“ถ้าอย่างนั้นตอนนี้สิ่งที่อยู่ตรงหน้าข้าบางทีอาจจะมีอีกวิธีหนึ่ง นั่นก็คือ หลอกเจ้าโชคชะตาเส้นนี้ ทำให้มันคิดว่าข้าก็คือผู้บงการเซียนจุน!!”

ดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนฉายประกายประหลาด ความคิดนี้เป็นอะไรที่บ้าดีเดือดอย่างมาก ทว่าเมื่อมันเกิดขึ้นมาแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับยิ่งรู้สึกว่ามันน่าจะสำเร็จได้

“ส่วนข้อที่ว่าจะหลอกเจ้าโชคชะตานี้อย่างไร ก็สามารถใช้คัมภีร์แห่งอนาคตกาลแดนนิพพานของข้ามาผสานชะตาชีวิตของข้ากับผู้บงการเซียนจุนท่านนี้เข้าด้วยกัน  หากยังไม่พอ ข้ายังสามารถลองใช้คัมภีร์วัฏจักรแห่งอดีตเพื่อดูว่าภายใต้สถานการณ์ที่ชะตาชีวิตเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน จะสามารถผสานรวมความทรงจำของผู้บงการที่แม้จะตายไปนานหลายปีแล้ว แต่ยังรักษาสภาพของหัวกะโหลกไว้ได้สมบูรณ์แบบ ได้หรือไม่…”

“แล้วจึงทำความเข้าใจกับชีวิตในอดีตของเขาผ่านความทรงจำ ข้าก็คือเขา เขาก็คือข้า…”

ป๋ายเสี่ยวฉุนครุ่นคิดอยู่นาน ครั้นแล้วจึงทะยานตรงไปหาหัวกะโหลกของผู้บงการอีกครั้ง และภายใต้ความพยายามอย่างเต็มกำลัง เขาจึงค่อยๆ ขยับเข้าไปใกล้หว่างคิ้วของหัวกะโหลก ยกมือขวาขึ้นช้าๆ ข่มกลั้นพลานุภาพสยบที่ถูกส่งมา แล้ววางมือทาบลงไปบนหน้าผากของหัวกะโหลกผู้บงการทันที!

วินาทีที่มือวางทาบลงไป ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนพลันเผยประกายประหลาด มือซ้ายยกทำมุทรา คัมภีร์แห่งอนาคตกาลแดนนิพพานระเบิดครืนครั่น เส้นใยสีแดงจำนวนมากจำแลงขึ้นมาบนมือซ้ายของป๋ายเสี่ยวฉุน ครั้นแล้วก็ก่อตัวขึ้นเป็นดอกพลับพลึงสีชาดดอกหนึ่งที่เมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนโบกมือ ดอกพลับพลึงนี้ก็ผสานเข้าไปในหัวกะโหลก ตามมาด้วยเสียงอึงอลที่ดังขึ้นในสมองของป๋ายเสี่ยวฉุน พร้อมๆ กับปราณของความเก่าแก่โบราณที่ระเบิดปะทุออกมาจากร่างของเขา

นอกจากนี้แล้วยังมีเสียงร้องโหยหวนรวดร้าวแหลมดัง ที่ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนตัวสั่นแผดออกมาจากปากของเขาเอง

“หัวของข้า… หัวของข้า…”

ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนสั่นเทิ้ม สติเกือบหลุดหายจนกลายเป็นบ้า เพราะวินาทีที่ชะตาชีวิตเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน เขาก็รู้สึกเหมือนถูกคนฟันหัวตัวเอง ความเจ็บปวดเช่นนั้น ความรู้สึกแห่งความตายเช่นนั้นเหมือนจริงอย่างถึงที่สุด ยังดีที่แม้ว่าความรู้สึกเช่นนี้จะคงอยู่ แต่ก่อนหน้านี้ป๋ายเสี่ยวฉุนได้เตรียมใจมาไว้บ้างแล้ว ตอนนี้จึงพอจะรักษาสติไม่ให้แหลกสลายไปก่อนได้ และสิ่งที่ทำให้เขาฮึกเหิมและมีแรงใจมากขึ้นก็คือบัดนี้ โชคชะตาเสี้ยวนั้นที่อยู่ในหัวกะโหลกเปลี่ยนมาเป็นลิงโลดขึ้นจากเดิมไม่น้อย แม้จะยังไม่ได้ขยับเข้ามาใกล้ป๋ายเสี่ยวฉุน แต่ก็แตกต่างไปจากเดิมอยู่มาก

สีหน้าป๋ายเสี่ยวฉุนเต็มไปด้วยความดีใจ

“ในเมื่อได้ผล ถ้าอย่างนั้นก็ลองดูว่าจะผสานความทรงจำได้หรือไม่…”

ป๋ายเสี่ยวฉุนยกมือซ้ายขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ที่เขาร่ายใช้ก็คือคัมภีร์วัฏจักรแห่งอดีต จากนั้นทั้งมือซ้ายและมือขวาของเขาต่างก็กดลงบนหว่างคิ้วของหัวกะโหลกผู้บงการ ครั้นแล้วร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนก็หยุดนิ่งไม่ขยับเขยื้อน

ดวงตาของเขาเปลี่ยนมาเป็นเลื่อนลอย สมองของเขาเหมือนไม่ใช่ของตัวเองอีกต่อไป ราวกับว่าจิตวิญญาณของเขาได้หลุดออกจากร่าง มาโผล่อยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยไอหมอกอบอวล

โลกใบนี้ใหญ่โตมโหฬารยิ่งนัก ร่างทั้งร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนตกอยู่ในภาวะเลื่อนลอยว่างเปล่า ลืมสิ้นเวลา ลืมสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง จนกระทั่งจู่ๆ รู้สึกว่ามีคนมาเขย่าตัวเขา

“เสี่ยวเฉิน เจ้าตื่นสิ…”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!