บทที่ 1246 เสี่ยวชือ ต้องเชื่อฟังนะ
ผู้ที่แข็งแกร่งถึงขนาดนี้ ต่อให้ตายไปแล้ว พลานุภาพสยบที่แผ่ออกมาจากร่างของเขา ก็ยังทำให้เต้าเฉินเซียนจุนที่ยึดร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกได้ว่าตัวเองมิอาจต้านทานได้นานนัก
ต้องรู้ว่าถึงแม้เต้าเฉินเซียนจุนในเวลานี้จะมีเพียงแค่จิตของความยึดมั่นที่เหลืออยู่ ทว่าป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นถึงบุพกาล และเดิมทีตัวเขาเองก็แข็งแกร่งมากพออยู่แล้ว เมื่อเข้ามารองรับความยึดมั่นนี้ไว้ ไม่พูดว่าสามารถระเบิดพลังการต่อสู้ที่สมบูรณ์แบบของเต้าเฉินเซียนจุนได้ แต่ก็แทบจะไม่ต่างกันสักเท่าไหร่
บวกกับที่นี่คือโลกแห่งเซียน ต่อให้จะเหลือเพียงซากปรักหักพัง แต่ก็ยังคงเป็นโลกแห่งเซียน ดังนั้นถึงแม้ว่าเต้าเฉินเซียนจุนที่อยู่ในร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนเวลานี้จะเทียบเท่าตัวจริงของเขาไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็มีพลังการต่อสู้มากถึงสองส่วน!
“ต่อให้ร่างจริงของข้าในอดีตมาที่นี่ เกรงว่าก็คงมิอาจรั้งรออยู่ได้นานนัก แล้วก็ยิ่งไม่กล้า… แตะต้องกับโครงกระดูกนี้!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนพึมพำเบาๆ เขารู้ดีว่าตนไม่อาจแตะต้องโครงกระดูกนี้ได้ แม้แต่ร่างกายของเขาเองก็ยังไม่กล้าเหยียบลงบนตัวเรือ ได้แต่ลอยตัวอยู่กลางอากาศเท่านั้น
เพราะเขารู้ดีว่าหากตนไปแตะ สิ่งที่รอตนอยู่ย่อมต้องเป็นความตายที่ไม่เหลือแม้แต่จิตวิญญาณแน่นอน!
นั่นเป็นเพราะว่าความแข็งแกร่งของโครงกระดูกนี้อยู่เหนือการคาดการณ์ของเขาไปไกลโข ยากจะวิเคราะห์ได้ว่าคนคนนี้ที่ต่อให้ตายไปแล้วก็ยังน่าครั่นคร้ามปานนี้ ถ้าเช่นนั้นตอนที่เขายังมีชีวิตอยู่ จะแข็งแกร่งปานใด!
ความคิดทั้งหลายเหล่านี้ผุดขึ้นมาในดวงจิตของเต้าเฉินที่ยึดร่างป๋ายเสี่ยวฉุน เขารู้สึกมึนงงพร้อมๆ กับที่ไม่เข้าใจ แต่ไม่ว่าจะอย่างไร การมาที่นี่ในครั้งนี้ ก็ถือว่าได้ไขคำตอบให้แก่ข้อสงสัยที่อยู่ในใจเขามาตลอดเวลา
และกลิ่นอายความตายที่แผ่ออกมาจากโครงกระดูกก็เผยให้เห็นชัดเจนถึงเต๋าของคนผู้นี้!
นั่นก็คือเต๋าแห่งความตาย และยิ่งเป็นเต๋าแห่งการทำลายล้างโลก!
ดูเหมือนว่านั่นจะเป็น… ความอ้างว้างและเย็นชาราวกับว่า ได้เดินมาจนสุดหนทางและบนโลกนี้ก็เหลือตนอยู่เพียงลำพัง ดั่งคนที่เห็นแก่ตัวอย่างถึงที่สุด เสมือนว่าเพื่อความสำเร็จของตนแล้ว ต่อให้ห้วงจักรวาลแหลกสลาย สรรพชีวิตล้มหายตายจาก วิถีแห่งสวรรค์พังทลาย เขาก็ไม่แยแส!
และเมื่อปณิธานแห่งผู้บงการที่อยู่บนร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนสลายไปอย่างต่อเนื่อง ควันดำที่มีฤทธิ์กัดกร่อนซึ่งแผ่อวลอยู่รอบๆ ก็ยิ่งตรงเข้ามาล้อมวน ในหมอกควันเหมือนจะซุกซ่อนผีร้ายไว้นับไม่ถ้วน ผีร้ายที่พร้อมจะกระโจนออกมาฉีกทึ้งเลือดเนื้อและทุกอย่างของป๋ายเสี่ยวฉุน ก่อนจะเขมือบกลืนให้สิ้นซาก
“เต๋าของผู้แข็งแกร่งที่ลึกลับท่านนี้ …ไม่ใช่…เต๋าของนี่ฝานหรอกหรือ?”
เต้าเฉินเซียนจุนที่หวนกลับมาอีกครั้งโดยอาศัยร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนเอ่ยขึ้นเบาๆ ข้อสงสัยของเขาในอดีตมีคำตอบ ก็เมื่อเขาสัมผัสได้ถึงเต๋าที่แผ่ออกมาจากร่างของโครงกระดูกนี้
“ปีนั้นหลังจากนี่ฝานเดินเข้ามาในนี้แล้ว เดิมทีเขาควรจะตายไป แต่เห็นได้ชัดว่าเขาได้รับโชควาสนาค้ำฟ้าไปจากที่นี่ เขาน่าจะลูบคลำโครงกระดูกนี้”
เต้าเฉินเซียนจุนเอ่ยกับตัวเองเสียงแผ่ว ขณะเดียวกันปณิธานของผู้บงการที่อยู่นอกร่างเขาก็อ่อนจางลงถึงขีดสุด ราวกับว่าอีกไม่นานก็จะถูกควันดำเหล่านั้นจู่โจมเข้ามากลืนกิน
“แต่ใครกันแน่…ที่สามารถสังหารคนที่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ได้!”
เต้าเฉินก้มหน้าลงมองโครงกระดูกที่นั่งขัดสมาธิแผ่กลิ่นอายความตายท่วมเทียมฟ้านั้นเงียบๆ เขาไม่มีคำตอบสำหรับคำถามข้อนี้ และเขาก็ยิ่งเข้าใจดีว่า ตน…จะไม่มีวันได้รู้คำตอบ
เพราะเขาสัมผัสได้ว่า การเผาไหม้ดวงจิตแห่งความยึดมั่นของตน เพื่อแลกมาด้วยการยึดครองร่างป๋ายเสี่ยวฉุนในเวลาสั้นๆ ได้ดำเนินมาถึงปลายทางแล้ว และความยึดมั่นเสี้ยวสุดท้ายของเขาก็จะสลายหายไป
และการสลายหายไปในครั้งนี้ก็ถูกกำหนดมาแล้วว่า ความคิดคำนึงห้วงสุดท้ายที่อยู่บนโลกนี้ของเขาจะหายตามไปด้วย การตายก่อนหน้านี้ คือร่างกายและจิตวิญญาณที่ดับสลาย แต่การกลับคืนมาในวันนี้ กลับเป็นการไหลหายและสลายไปของความคิดและความทรงจำที่เขามีต่อโลกใบนี้
ถอนหายใจเบาๆ หนึ่งที ชั่วขณะที่ปณิธานของผู้บงการจากร่างเต้าเฉินเซียนจุนจะหายวับไป เขาก็พาตัวเองเดินห่างออกมาจากเรือรบลำนั้น มาเดินอยู่ท่ามกลางหมอกควัน มุ่งหน้าไปยังนอกหุบเขา ทีละก้าว ทีละก้าว…
จนกระทั่งหมอกควันกลบทับเงาร่างของเขาไว้มิดจนมองไม่เห็นอีกต่อไป เสียงพึมพำทุ้มหนักของคนที่ผ่านกาลเวลามาอย่างโชกโชน ก็ได้ก้องสะท้อนอยู่ท่ามกลางกลุ่มควันเนิ่นนานไม่จางหาย
“นี่ฝาน เจ้า…ยังเป็นเจ้าอยู่หรือ หรือจะบอกว่า…เจ้ายังคงเป็นเจ้า แต่ไม่ว่าจะเป็นเจ้า หรือโครงกระดูกที่อยู่บนเรือลำนั้น ระหว่างพวกเจ้ากลับเป็นผู้สืบทอดเต๋าให้แก่กัน…”
“แต่ทำไม ข้าถึงยังคงคิดว่า นี่คือเหตุและผล…ของการกลับมาเกิดใหม่ด้วยร่างที่ตาย แต่เต๋าไม่ดับ!”
นอกหุบเขาที่มีควันอบอวล วิญญาณวัตถุน้อยยังคงเหม่อมองควันดำ รอให้เงาร่างที่อยู่ในใจของมันเดินออกมา อารมณ์ของมันซับซ้อนอย่างมาก ด้านหนึ่งมันก็อยากให้เต้าเฉินเซียนจุนอดีตเจ้านายของตัวเองหวนคืนมาตลอดกาล แต่อีกด้านหนึ่งก็ไม่ต้องการให้ป๋ายเสี่ยวฉุนถูกทำร้ายเพราะการทำเช่นนั้น
จนกระทั่งเต้าเฉินเซียนจุนที่ยึดครองร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนเอ่ยประโยคเหล่านั้นออกมา แม้ในใจของวิญญาณวัตถุน้อยจะโล่งขึ้น แต่กลับเกิดความอาลัยอาวรณ์อย่างลึกล้ำ
มันไม่ได้รอนานเท่าไหร่นัก เพราะเพียงแค่ชั่วเวลาไม่นาน เงาร่างหนึ่งก็ค่อยๆ เดินออกมาจากกลุ่มควัน ฝีเท้าของเงาร่างนั้นเนิบช้า เขาเดินออกมานอกกลุ่มควันทีละก้าว ทีละก้าว ท่ามกลางความตื่นเต้นของวิญญาณวัตถุน้อย
เขาก็คือ… ป๋ายเสี่ยวฉุน
“นายท่าน!” วิญญาณวัตถุน้อยรีบปรี่ขึ้นหน้าไปหา สายตายังคงความอาลัยอาวรณ์ ขณะเดียวกันก็แฝงความลังเลไว้เสี้ยวหนึ่ง มันรู้สึกว่าคนที่อยู่เบื้องหน้านี้เหมือนจะใช่ แต่ก็เหมือนไม่ใช่เต้าเฉิน
วินาทีที่เดินออกมาจากกลุ่มควัน ป๋ายเสี่ยวฉุนหลับตาลง เขายืนอยู่ตรงนั้นเงียบๆ วิญญาณวัตถุน้อยเองก็ไม่กล้าพูดอะไร ได้แต่สังเกตสีหน้าของอีกฝ่ายอยู่ข้างๆ ด้วยความระมัดระวัง
จนกระทั่งผ่านไปได้หนึ่งก้านธูป ทันใดนั้นบนร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนก็มีปณิธานแห่งผู้บงการระเบิดออกมา แม้จะอ่อนจางกว่าก่อนหน้านี้อยู่มาก มีเพียงแค่เสี้ยวเดียว แต่กลับเห็นได้ชัดว่าซ่อนแฝงความเผด็จการและความสูงศักดิ์เกินทัดเทียมเอาไว้!
ก่อให้เกิดพายุหมุนที่พัดคว้างไปรอบด้าน ทั้งยังทำให้ห้วงจักรวาลสั่นสะเทือน รอบด้านส่งเสียงอึงอลอึกทึก โดยเฉพาะปราณนี้ยังเหมือนปราณของเต้าเฉิน อดีตนายท่านในความทรงจำของวิญญาณวัตถุน้อยอย่างไม่มีผิดเพี้ยน!
ยังไม่ทันรอให้วิญญาณวัตถุน้อยใจสั่นสะท้าน ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับลืมตาขึ้นมาช้าๆ เสียก่อน วินาทีที่ดวงตาทั้งคู่ของเขาเปิดขึ้น ในความลึกล้ำสุดจะหยั่งเผยให้เห็นถึงความโชกโชนดั่งคนที่ผ่านโลกมามาก ราวกับว่าเขาได้เดินกลับออกมาจากชีวิตในอดีตอันห่างไกล กลับคืนมายังโลกมนุษย์ใบนี้อีกครั้ง!
อีกทั้งในความโชกโชนนี้ยังมีความเศร้าอาลัยแฝงเร้น ราวกับสายตาอันเลื่อนลอยและไร้ที่พึ่งของคนที่เหลือตัวเองเพียงลำพังเพราะสูญเสียครอบครัว ญาติมิตรและคนรักไป
สีหน้าเช่นนี้ ปราณเช่นนี้ทำให้วิญญาณวัตถุน้อยมั่นใจได้ทันทีว่าคนที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่ป๋ายเสี่ยวฉุน ยังคงเป็นเต้าเฉินเซียนจุนอดีตเจ้านายของมัน ท่ามกลางความดีใจ มันจึงคุกเข่าคำนับและน้ำตาก็หลั่งรินออกมาอีกครั้งหลังจากที่สัมผัสได้ถึงปราณบนร่างของป๋ายเสี่ยวฉุน
“เสี่ยวชือ…ทำไมถึงร้องไห้อีกแล้วล่ะ”
ป๋ายเสี่ยวฉุนเอ่ยเบาๆ ด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำอ่อนโยน ทั้งยังยกมือขวาขึ้นวางบนศีรษะของวิญญาณวัตถุน้อยแล้วลูบเบาๆ
พอถูกป๋ายเสี่ยวฉุนลูบหัวเช่นนี้ เสียงร้องไห้ของวิญญาณวัตถุน้อยก็ยิ่งดังลั่น กอดขาป๋ายเสี่ยวฉุนไว้แน่นอีกครั้ง ไม่ต่างจากเด็กเล็กที่ไม่ได้พบกับญาติที่ตัวเองรักมานาน
“เสี่ยวชือ ไม่ต้องร้อง” ใบหน้าของป๋ายเสี่ยวฉุนเผยรอยยิ้มอ่อนโยนปราณี
“เสี่ยวชือ เจ้าเป็นเด็กดี หลายปีมานี้ลำบากเจ้าแล้ว แต่ข้ารู้ดีว่าเจ้าทำได้ดียิ่งกว่านี้ และป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นี้เขาก็เป็นจิตใจสะอาดบริสุทธิ์ ฉลาดเฉลียวไม่ธรรมดา คุณธรรมสูงส่งเทียมฟ้า สง่างามมีราศี หล่อเหลาหาตัวจับยาก องอาจผึ่งผาย พรสวรรค์ก็ยิ่งเหนือกว่าข้า คือวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ คือความภาคภูมิใจแห่งสวรรค์ที่หาได้ยากยิ่งบนโลกใบนี้!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนเหมือนจะปลงอนิจจังอยู่กับตัวเอง ระหว่างที่เขาพูด เสียงร้องไห้ของวิญญาณวัตถุน้อยก็ค่อยๆ ซาลง ราวกับรู้สึกตะลึงและมึนงงว่า ทำไมเต้าเฉินเซียนจุนถึงได้ประเมินป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยถ้อยคำเช่นนี้
“นายท่าน ป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นั้น…” วิญญาณวัตถุน้อยเพิ่งจะอ้าปากพูด แต่กลับถูกป๋ายเสี่ยวฉุนตัดบทด้วยใบหน้ายิ้มละไม
“น่าเสียดายที่เขาไม่ได้เกิดมาในยุคสมัยที่ข้ายังมีชีวิตอยู่ หาไม่แล้ว ถึงแม้ว่าการมีตัวตนของเขาอาจจะทำให้ข้าไม่ได้เป็นผู้บงการ แต่ข้าเชื่อว่าหากเขามีชีวิตอยู่ในโลกแห่งเซียน ชะตาชีวิตสุดท้ายของโลกแห่งเซียนจะต้องถูกเปลี่ยนแปลงเพราะเขาอย่างแน่นอน!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนถอนหายใจเบาๆ ดวงตาเผยการย้อนทวนความทรงจำ ราวกับว่าคำพูดเหล่านี้ไปกระทบกับความทรงจำบางอย่างที่ฝังลึกอยู่ในหัวใจของเขา ทำให้ทั้งร่างของเขาในเวลานี้แผ่กลิ่นอายของความเศร้าสะเทือนใจออกมาเข้มข้นยิ่งกว่าเดิม
เดิมทีวิญญาณวัตถุน้อยคิดจะพูดอะไรบางอย่าง แต่พอเห็นความเสียใจที่ปรากฏขึ้นบนร่างของป๋ายเสี่ยวฉุน มันจึงไม่ได้พูดต่อ ลึกๆ ในใจก็ใคร่ครวญว่าป๋ายเสี่ยวฉุนทำให้เซียนจุนประเมินเขาสูงได้ถึงเพียงนี้ หรือว่าสิ่งที่ตนเห็นมาตลอดหลายปี จะเป็นเพียงด้านที่ปกติธรรมดาที่สุดของอีกฝ่าย?
“ข้าจะไปแล้ว ก่อนที่จะจากไป ในฐานะที่เคยเป็นอดีตเจ้านายของเจ้า ข้ามีคำสั่งให้แก่เจ้าเป็นครั้งสุดท้าย…”
ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึก สีหน้าที่มองมายังวิญญาณวัตถุน้อยเปลี่ยนมาเป็นเคร่งขรึม
วิญญาณวัตถุน้อยก็ทำหน้าจริงจังขึ้นมาทันที พยายามสะกดกลั้นความอาลัยอาวรณ์ ตั้งใจฟังคำสั่งของนายท่านที่อยู่ตรงหน้า
“เจ้าจงจำไว้ว่า นับแต่นี้เป็นต้นไป เจ้าต้องเชื่อฟังคำพูดของป๋ายเสี่ยวฉุน อย่าได้โกหกเขา ทุกคำที่พูดกับเขาต้องเป็นคำพูดที่ซื่อสัตย์และจริงใจ ทุกเรื่องที่รับปากเขาต้องทำให้ได้ ไม่ว่าเขาพูดอะไรหรือสั่งอะไรต้องให้ความสำคัญกับเขาเหนือกว่าข้า ทุกข้อเรียกร้องของเขา เจ้าต้องพยายามตอบสนองให้ได้มากที่สุด ทุกความต้องการของเขา เจ้าต้องพยายามช่วยเหลืออย่างเต็มกำลัง ต้องเชื่อใจเขา หากมีคนอื่นมารังแกเขา เจ้าต้องออกมาช่วยเขาในทันที สรุปก็คือ เสี่ยวชือ การติดตามเขาคือโชควาสนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเจ้า!”
“อีกอย่าง เจ้าต้องมองความสุขของเขาเป็นความสุขของตัวเอง หากเขาอารมณ์ดี เจ้าก็ต้องอารมณ์ดีไปพร้อมกับเขา มองความเสียใจของเขาเป็นความเสียใจของตัวเอง หากเขารู้สึกไม่ดี เจ้าก็ต้องทำให้เขาอารมณ์ดี เสี่ยวชือเอ๋ย… นี่ก็คือคำสั่งสุดท้ายที่ข้ามีต่อเจ้า เจ้า…จะทำตามหรือไม่!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนพูดมาถึงตอนท้าย สีหน้าก็ยิ่งดุดัน ซ้ำน้ำเสียงยังเฉียบขาด
วิญญาณวัตถุน้อยอึ้งงันไปเล็กน้อย หากไม่ใช่เพราะว่า ไม่ว่าจะเป็นสีหน้าหรือปราณของคนที่อยู่เบื้องหน้าล้วนไม่มีอะไรผิดเพี้ยน มันก็คงนึกไปว่าคนตรงหน้านี้ไม่ใช่เต้าเฉินแล้ว
และเมื่อเห็นท่าทางเอาจริงเอาจังของนายท่าน วิญญาณวัตถุน้อยก็สูดลมหายใจเข้าลึก กัดฟันกรอด
“ข้าจะทำ!”
ความเคร่งเครียดบนใบหน้าของป๋ายเสี่ยวฉุนหายวับไป แทนที่มาด้วยความอ่อนโยนละมุนละไม เอามือลูบหัววิญญาณวัตถุน้อยแล้วเอ่ยให้กำลังใจอีกสองสามคำ ก่อนจะค่อยๆ หลับตาลง วิญญาณวัตถุน้อยรู้ดีว่านายท่านกำลังจะจากไปแล้ว ในใจอาลัยอาวรณ์ยิ่งนัก และความเศร้าอาดูรก็ไหลท่วมท้นไปทั้งหัวใจ ทำได้เพียงจ้องมองนายท่าน หวังจะอยู่เป็นเพื่อนจนถึงช่วงเวลาสุดท้ายก่อนอีกฝ่ายกลับคืนสู่ความว่างเปล่า
ทว่าหลังจากที่ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนปิดลง บรรยากาศของความเศร้าเสียใจเพิ่งจะเอ่อขึ้นมา จู่ๆ ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนกลับลืมขึ้นอีกครั้ง
“แม้ว่าข้าจะจากไปแล้ว แต่ข้าก็จะกลับมาตรวจสอบเจ้าเป็นระยะ…”
ดูเหมือนว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะยังไม่วางใจจึงพูดประโยคนี้เสริมขึ้นมาอีก ท่ามกลางความตะลึงงันอย่างสิ้นเชิงของวิญญาณวัตถุน้อย เขาก็กระแอมหนึ่งที แล้วหลับตาลงอีกครั้ง



