บทที่ 1267 เขตปราการหินอุกกาบาต
ยักษ์ผู้บงการที่อยู่ในสายตาทุกคนบนดินแดนเซียนนิรันดร์กาล แม้ว่าเส้นตราผนึกทางสายเลือดอันเป็นตัวแทนของจักรพรรดิเซิ่งจะพังทลาย
แต่ตอนนี้เมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนซ่อมแซมเส้นตราผนึกสายเลือดของจักรพรรดิขุยได้สำเร็จใหม่อีกครั้ง ต่อให้ตอนนี้บนร่างของผู้บงการจะมีตราผนึกอยู่แค่เส้นเดียว ตราผนึกสามเส้นในอดีตขาดออกไปสองเส้น ทว่าเส้นนี้ที่เหลืออยู่กลับเป็นเส้นที่สำคัญที่สุด!
หว่างคิ้วเป็นตัวแทนของอำนาจจิต จุดตันเถียนเป็นตัวแทนของตบะ ด้วยเหตุนี้จึงพอจะมองออกได้ว่าในบรรดาบุตรแห่งนิรันดร์กาลสามท่านของปีนั้น
เดิมทีจักรพรรดิขุยก็เป็นคนที่แข็งแกร่งมากที่สุดอยู่แล้ว ดังนั้นถึงเป็นเหตุให้ตราผนึกอันจำแลงมาจากสายเลือดของเขาสยบพิทักษ์ไว้ในตำแหน่งที่เป็นกุญแจสำคัญที่สุด!
เพราะฉะนั้นต่อให้ก่อนหน้านี้หนังตาของผู้บงการนี่ฝานจะขยับเคลื่อนไหว หรือร่างของเขาจะเริ่มสั่นสะท้านเหมือนจะฟื้นตื่น ทว่าเมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนซ่อมแซมตราผนึกสายเลือดได้สำเร็จ เรือนกายของนี่ฝานก็เริ่มไร้เรี่ยวแรงให้ดิ้นรน จนกระทั่งอาการสั่นสะเทือนค่อยๆ สงบลงในที่สุด
ส่วนร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนที่พอซ่อมแซมตราผนึกสายเลือดเสร็จสิ้นก็ถูกพลังสายเลือดในตราผนึกเส้นนี้นำส่งออกมาจึงหายวับไปทันที พอปรากฏตัวอีกครั้งก็มาอยู่บนท้องฟ้านอกร่างของผู้บงการแล้ว
การปรากฎตัวของเขาชักนำเสียงไชโยโห่ร้องด้วยความปลื้มปิติจากนักพรตจำนวนนับไม่ถ้วนบนดินแดนเซียนนิรันดร์กาลได้ทันที!
“จักรพรรดิขุย!”
“จักรพรรดิขุย!!”
“จักรพรรดิขุย!!!” เสียงกู่ก้องร้องตะโกนฟังไม่ได้ศัพท์ดังมาจากในราชวงศ์จักรพรรดิแส ราชวงศ์จักรพรรดิเซิ่งและราชวงศ์จักรพรรดิขุย สะท้อนเอ็ดอึงไปทั่วทั้งดินแดนเซียนนิรันดร์กาล เพราะถึงแม้ว่าช่วงเวลาที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเข้าไปในร่างผู้บงการจนกระทั่งกลับออกมาจะไม่นานนัก แต่สำหรับนักพรตทั่วทั้งดินแดนเซียนนิรันดร์กาลแล้วกลับเหมือนว่าต้องผ่านประสบการณ์การตัดสินความเป็นความตายมาอย่างไรอย่างนั้น
เพราะอย่างไรซะทุกคนต่างก็รู้ชัดเจนดีถึงผลลัพธ์ที่จะตามมาหากศัตรูตัวฉกาจบนท้องฟ้าตื่นขึ้น โดยเฉพาะจักรพรรดิเซิ่งที่เวลานี้สูดลมหายใจเข้าลึก สายตายามที่มองไปยังป๋ายเสี่ยวฉุนเต็มไปด้วยความซับซ้อน หากเปลี่ยนมาเป็นตอนที่ไม่มีศัตรูตัวฉกาจจากนอกโลก เขาต้องพยายามคิดหาวิธีลดทอนกำลังของป๋ายเสี่ยวฉุนแล้วช่วงชิงตัวตนนายแห่งดินแดนเซียนนิรันดร์กาลมาครองแน่นอน ทว่าตอนนี้เขาทำได้แค่ยิ้มขื่น ล้มเลิกความคิกนี้ลงอย่างสิ้นเชิง ครั้นแล้วจึงสะบัดกายตรงดิ่งไปหาป๋ายเสี่ยวฉุน
ป๋ายเสี่ยวฉุนยืนอยู่บนท้องฟ้า เขาได้ยินเสียงไชโยโห่ร้องของผู้คนที่อยู่ด้านล่าง แล้วก็สัมผัสได้ถึงความตื่นเต้นของคนเหล่านั้น แต่เขาในเวลานี้กลับไม่มีความลำพองในและอยากโอ้อวดตนเหมือนในอดีต กลับกลายเป็นว่ายิ่งรู้สึกกดดันหนักอึ้งอยู่ในใจ นั่นเป็นเพราะว่าการซ่อมแซมตราผนึกก่อนหน้านี้เป็นเรื่องที่ยากมากเกินไป เป็นเหตุให้ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งเข้าใจศักยภาพของผู้บงการนี่ฝานได้ลึกล้ำมากขึ้น
ขนาดบุตรแห่งนิรันดร์กาลผู้แข็งแกร่งทั้งสามท่านก็ยังไม่อาจสังหารอีกฝ่ายได้ ได้แต่เสียสละชีวิตมาปิดผนึกร่างของอีกฝ่ายเอาไว้เท่านั้น ต่อให้เป็นผู้บงการเต้าเฉินเองก็ยังตายไปด้วยความเคียดแค้น ทั้งหมดนี้ทำให้ยามที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเงยหน้าขึ้นมองร่างของผู้บงการนี่ฝานที่อยู่บนท้องฟ้า ในใจจึงเต็มไปด้วยความกระวนกระวายไม่เป็นสุข
ในสายตาของเขา ผู้บงการนี่ฝานที่อยู่บนท้องฟ้าแตกต่างไปจากก่อนหน้านี้ที่เขาเข้าใจอย่างมาก เวลานี้ทั่วร่างของอีกฝ่ายเต็มไปด้วยรอยปริแตกเหมือนรอยแตกระแหงบนพื้นดินแห้งกันดาร
นั่นคือรอยร้าวที่เกิดการดิ้นรนจนตัวสั่นสะเทือนอย่างต่อเนื่องก่อนหน้านี้ ที่แตกร้าวหาใช่เรือนกายที่แท้จริงของเขา แต่เป็นคราบดินคราบฝุ่นผงที่เกาะตัวเป็นหินแข็งปกคลุมอยู่บนร่างเขามาตลอดเวลานานไม่รู้กี่ปี
ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนยังคงไม่สบายใจ จักรพรรดิเซิ่งก็ได้ขยับเข้ามาใกล้เขาแล้ว อีกฝ่ายมองปราดเดียวก็เข้าใจความคิดของป๋ายเสี่ยวฉุน เขาที่ยิ้มขื่นก็ได้แต่เอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า
“เพียงแค่ตราผนึกเส้นเดียว แม้ว่าจะสามารถพันธนาการผู้บงการท่านนี้ได้ชั่วคราว แต่กลับไม่อาจดำรงอยู่ได้นานนัก…อย่างมากสุดก็คงแค่สามสิบปีเท่านั้น!”
จักรพรรดิเซิ่งพอจะอนุมานข้อมูลนี้ออกมาได้เพราะเขาได้รับการสืบทอดที่สมบูรณ์แบบ และตลอดทั้งดินแดนเซียนนิรันดร์กาลในเวลาก็เกรงว่าคงมีแต่เขาเท่านั้นที่รู้เรื่องนี้
หลังจากที่ได้ยิน หัวใจของป๋ายเสี่ยวฉุนก็เต้นกระหน่ำอย่างรุนแรง ลมหายใจก็เปลี่ยนมาเป็นหอบกระชั้น ลึกๆ ในใจนั้นรู้ชัดเจนดีว่าจักรพรรดิเซิ่งไม่มีทางโกหก ตอนนี้ถือเป็นช่วงเวลาของการนับถอยหลังก่อนที่ผู้บงการนี่ฝานจะฟื้นตื่นเท่านั้น และเกรงว่าหากร่างของผู้บงการนี่ฝานสั่นสะเทือนในคราวหน้า ตราผนึกสายเลือดเส้นนั้นของตนก็คงระเบิดทลายโดยตรง และนี่ฝานก็จะลืมตาฟื้นตื่นขึ้นมาในห้วงจักรวาลแห่งนี้อย่างแท้จริง
“เวลาสามสิบปี เว้นเสียแต่ว่าพวกเราจะเลื่อนเป็นผู้บงการได้ ซึ่งนั่นอาจจะพอมีความหวังเสี้ยวหนึ่ง…แต่ถ้าพวกเราไม่ได้กลายเป็นผู้บงการ จุดจบของเราจะเป็นแบบไหน…ก็พอจะจินตนาการได้เลย”
จักรพรรดิเซิ่งเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มหนักที่เต็มไปด้วยความขื่นขม
“อีกอย่างพวกเราก็ไม่มีที่ให้หลบหนีแล้วด้วย ข้ามาลองคิดดูก็รู้ว่าที่เจ้าสามารถเลื่อนขั้นเป็นบุพกาลได้นั้นต้องไม่ใช่เพราะได้รับการยอมรับจากมารดาแห่งนิรันดร์กาล แต่เป็นเพราะได้รับโชควาสนามาจากนอกโลก พัดเล่มนั้นก็อยู่ในมือเจ้า แล้วเจ้าก็คงได้ไปเห็นห้วงจักรวาลข้างนอกแล้ว…” จักรพรรดิเซิ่งถอนหายใจ ป๋ายเสี่ยวฉุนที่หลังจากเงียบงันไปพักใหญ่ก็ทำท่าจะเอ่ยปาก
ทว่าเวลานี้เอง ทุกคนที่อยู่บนดินแดนเซียนนิรันดร์กาลเพิ่งจะถอนหายใจโล่งอก แต่จู่ๆ เหตุการณ์ไม่คาดคิดก็พลัน…เกิดขึ้น!!
เสียงกัมปนาทสะเทือนฟ้าดินดังถี่รัวเป็นทอดๆ ถูกส่งมาจากบนท้องฟ้า ท่ามกลางเสียงครืนครั่นนี้ เห็นเพียงว่าผู้บงการนี่ฝานที่ถูกผนึกร่างใหม่อีกครั้งจนยืนนิ่งไม่กระดุกกระดิก บัดนี้ตำแหน่งไหล่ทั้งสองข้างของเขาที่อาจเป็นเพราะมีรอยปริแตกมากเกินไป หรืออาจเป็นเพราะตราผนึกสายเลือดจางหาย พื้นที่ตรงนั้นถึงได้ถล่มลงมาเป็นวงกว้าง!
เมื่อมันพังถล่ม หินอุกกาบาตจำนวนมหาศาลก็ร่วงกราวสู่พื้นดินของดินแดนเซียนนิรันดร์กาลเสียงดังอื้ออึง หินอุกกาบาตเหล่านี้หากเล็กหน่อยก็มีขนาดใหญ่พอๆ กับตัวคน แต่หากใหญ่หน่อยก็พอๆ กับภูเขาลูกหนึ่ง ซึ่งไม่ว่าหินก้อนไหนก็ล้วนแผ่แสงสีดำน่าพรั่นพรึง ราวกับว่าสามารถลอดทะลวงความว่างเปล่าเข้ามาใด
ในขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนและจักรพรรดิเซิ่งหน้าเปลี่ยนสี คิดจะเข้าไปขัดขวาง ความเร็วของหินอุกกาบาตพวกนั้นกลับเพิ่มมากขึ้นจนร่วงกระแทกลงบนพื้นดินแล้ว!
เสียงตูมตามดังสนั่นหวั่นไหวไม่หยุด พื้นดินสั่นคลอน จุดที่หินอุกกาบาตเหล่านั้นกระแทกลงมาโดนกลับมีแสงสีดำแผ่ซ่าน ปกคลุมไปแปดทิศ ครั้นแล้วก็ก่อตัวกลายมาเป็นเขตอาคมอย่างหนึ่ง!
เพียงชั่วพริบตาพื้นที่ของสามราชวงศ์ตลอดทั้งดินแดนเซียนนิรันดร์กาลก็มีเขตอาคมหินอุกกาบาตเช่นนี้มากพอหนึ่งร้อยกว่าแห่ง!
หากเป็นเพียงเท่านี้ก็ยังพอว่า แต่นี่เขตอาคมที่เกิดจากแสงสีดำเหล่านี้กลับยังแผ่ขยายลุกลามไปอย่างไม่หยุดนิ่ง และไม่ว่าสถานที่ใดก็ตามที่ถูกเขตอาคมเหล่านี้ลามผ่านไปปกคลุมก็จะแห้งเหี่ยวลงทันที ราวกับว่าพลังชีวิตทั้งหมดถูกดูดเอาไปอย่างไรอย่างนั้น!
ภาพนี้ไม่ต่างไปจากเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในราชวงศ์จักรพรรดิเซิ่งแม้แต่น้อย! อีกทั้งความเร็วในการแผ่ขยายที่เนื่องจากเขตปราการนับร้อยลุกลามไปพร้อมกัน
เกรงว่าหากไม่รีบขัดขวาง อีกไม่นานเท่าไหร่มันก็คงปกคลุมไปทั่วทั้งดินแดนเซียนนิรันดร์กาล และเห็นได้ชัดว่าพลังชีวิตเหล่านี้ที่ถูกดูดเอาไปก็ล้วนถูกส่งเข้าไปในร่างของผู้บงการนี่ฝาน กลายมาเป็นพลังในการกระตุ้นให้เขาหลุดพ้นจากตราผนึก!
“รีบห้ามเร็วเข้า!!” จักรพรรดิเซิ่งผวาแตกตื่น หลังจากสูดลมหายใจดังเฮือกเขาก็ออกคำสั่งทันที ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็สั่งความออกไปอย่างไม่มีลังเล ทันใดนั้นเทียนจุนและครึ่งเทพของทั้งราชวงศ์จักรพรรดิขุยและราชวงศ์จักรพรรดิเซิ่งก็พร้อมใจกันระดมกำลังขยับไล่กวดให้ตามไปทันเขตอาคมที่อยู่ใกล้กับตนมากที่สุดอย่างรวดเร็ว
ในราชวงศ์จักรพรรดิแส แม้ว่าจักรพรรดิแสจะตายดับไปแล้ว ทว่าตอนนี้พวกหยวนเยาจื่อต่างก็รู้ว่าอะไรควรไม่ควร ไม่ต้องรอให้ป๋ายเสี่ยวฉุนเอ่ยสั่งความ พวกเขาก็รีบระดมครึ่งเทพให้เข้าร่วมด้วยทันที
แม้แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ยังรีบเรียกทาสบุพกาลสองคนออกมาจากบนพัดวิเศษ ให้พวกเขามาช่วยลบเลือนเขตอาคมเหล่านี้ทิ้งไปด้วย
เมื่อรวบรวมพละกำลังของทั้งดินแดนเซียนนิรันดร์กาล บวกกับบุพกาลอีกสองท่านให้มาร่วมกันจัดการเขตอาคมเหล่านี้ นั่นถึงทำให้ทุกอย่างกลับมาอยู่ในการควบคุมใหม่อีกครั้ง ส่วนป๋ายเสี่ยวฉุนและจักรพรรดิเซิ่งต่างก็ไม่ได้อยู่นิ่งเฉย เมื่อหาเขตอาคมสองเขตที่ใหญ่มากที่สุดเจอ พวกเขาก็บินพรวดเข้าไปใกล้ทันที
หลังจากที่จักรพรรดิเซิ่งเห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนเรียกทาสบุพกาลสองคนออกมา เขาก็สูดลมหายใจดังเฮือกอีกครั้ง ทว่าขณะเดียวกันในใจก็พลันเกิดความมั่นใจต่อการดำรงอยู่สืบต่อไปของดินแดนเซียนนิรันดร์กาลมากขึ้น เวลานี้เขาจึงเลือกที่จะไปยังจุดของเขตอาคมที่มีขนาดใหญ่พอๆ กับยอดเขาแห่งหนึ่ง ส่วนป๋ายเสี่ยวฉุนนั้นเลือกหาจุดที่หินอุกกาบาตก้อนที่ใหญ่มากที่สุดซึ่งขนาดพอๆ กับเกาะขนาดเล็กแห่งหนึ่งตกลงไป ซึ่งจุดนั้นไม่ใช่แผ่นดินใหญ่ของดินแดนเซียนนิรันดร์กาล แต่เป็นบนมหาสมุทรหย่งเหิง และหลังจากไปลอยอยู่ที่นั่น เขตอาคมก็แผ่ลามออกไปอย่างต่อเนื่อง
ป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นกังวลอยู่ในใจ แต่ที่มากกว่านั้นคือความเหนื่อยล้า เพราะนับตั้งแต่ที่กลับมา เขาก็แทบจะไม่มีเวลาได้พักแม้แต่เสี้ยววินาที ทีแรกก็มาช่วยราชาผียักษ์ จากนั้นก็ต่อสู้กับจักรพรรดิแสตัวปลอม พอจักรพรรดิแสตัวปลอมเพิ่งจะตายไป ตราผนึกของผู้บงการนี่ฝานก็ปริแตก รอจนป๋ายเสี่ยวฉุนทุ่มเทพลังเหนื่อยยากเลือดตาแทบกระเด็นจนซ่อมแซมตราผนึกได้สำเร็จก็มามีเขตอาคมพวกนี้ปรากฎขึ้นอีก
ทั้งหมดนี้ทำให้เขาเหนื่อยล้าไปทั้งกายและใจ แต่กลับจำต้องฝืนทำตัวให้กระปรี้กระเปร่า ร่ายใช้ความเร็วเต็มกำลังทะยานเข้าไปใกล้มหาสมุทรหย่งเหิง จนกระทั่งมาถึงจุดที่มีเขตอาคม
ผนึกมิวางวายถูกร่ายออกมาอย่างไม่มีลังเล เขาจึงลอดผ่านเขตปราการไปได้โดยตรง เมื่อปรากฏตัวอีกครั้งก็มาอยู่ในเขตอาคมแล้ว เพิ่งจะเข้ามา ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ถึงกับอึ้งค้าง เพราะเวลาเพียงแค่ชั่วสั้นๆ ในเขตอาคมกลับไม่มีน้ำทะเลเหลืออีกแล้ว เหลือเพียงแค่พื้นดินสีดำเท่านั้น…
และห่างออกไปไกลก็คล้ายจะมีภูเขาไฟอยู่ลูกหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าภูเขาไฟลูกนั้นจำแลงมาจากหินอุกกาบาตซึ่งกำลังมีควันดำซัดหลุนๆ ออกมาอย่างต่อเนื่องจนกลายมาเป็นต้นกำเนิดในการแผ่ลามของเขตอาคมนี้
อำนาจจิตของป๋ายเสี่ยวฉุนเพิ่งจะแผ่ออกไป ม่านตาของเขาก็พลันหดตัว เพราะสังเกตเห็นว่าในเขตอาคมยังมีเงาปีศาจจำนวนนับไม่ถ้วนอยู่ด้วย เงาปีศาจเหล่านี้ซ่อนตัวอยู่ในควันดำ แล้วก็ไม่รู้ว่าพวกมันคือตัวผลักดันควันดำเหล่านั้นหรือว่าควันดำเหล่านี้กันแน่ที่พาพวกมันแผ่ลุกลามออกไป
หลังจากสังเกตเห็นป๋ายเสี่ยวฉุน เงาปีศาจเหล่านี้ก็พากันแผดเสียงร้องแล้วกระโจนเข้ามาหาเขา
ไม่เหมือนกับเงามืดที่อยู่ในร่างของผู้บงการ ป๋ายเสี่ยวฉุนเพียงแค่กวาดอำนาจจิตมองไป เงาปีศาจเหล่านี้ก็สัมผัสได้ถึงการดำรงอยู่ของเขาทันที แท้จริงแล้วพวกมันก็คือวิญญาณพยาบาท หรือจะพูดให้ถูกต้องยิ่งกว่าก็คือวิญญาณชนิดหนึ่ง!
และป๋ายเสี่ยวฉุนก็มีวิธีมากมายยิ่งนักในการรับมือกับวิญญาณ บัดนี้เขาเองจึงพอจะคลายใจลงได้ เมื่อยกมือขวาขึ้นโบกหนึ่งครั้ง ยารวมวิญญาณกำใหญ่ก็ถูกขว้างออกไปทันควัน!
“หากรู้แต่แรกว่าในร่างของนี่ฝานมีวิญญาณล่ะก็ ข้าจะยังต้องไปเดินทางในห้วงจักรวาลอีกทำไม” ป๋ายเสี่ยวฉุนสะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง ท่ามกลางเสียงดังสะเทือนเลือนลั่นของยารวมวิญญาณ เขาก็พุ่งตะลุยตลอดทางจนฝุ่นผงฟุ้งตลบอบอวล ลมพัดกระโชกแรงหอบเอาวิญญาณมาเก็บได้อย่างราบรื่นประหนึ่งเข้ามาในพื้นที่ที่ไร้ผู้คน



