Skip to content

I Shall Seal The Heaven Chapter 351

ตอนที่ 351

เมืองก่านเชวี่ย

สามผู้อาวุโสวิญญาณแรกก่อตั้งแห่งเมืองตงลั่ว ยืนกัดฟันแน่น ราวกับมีควันลอยขึ้นมาอยู่ที่นั่น ผู้ฝึกตนนับร้อยที่อยู่ด้านนอกกลุ่มหมอกยังคงไม่ได้จากไป และสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนในสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น สีหน้าแปลกๆ ปกคลุมอยู่บนใบหน้าพวกมัน โดยไม่ต้องปรึกษาพูดคุยกัน พวกมันทั้งหมดต่างก็คิดในสิ่งเดียวกัน เมิ่งฮ่าวเป็นคนที่น่ากลัวยิ่งนัก

หลังจากผ่านไปพักใหญ่ ผู้อาวุโสอันดับแรกก็ถอนหายใจยาวออกมาและกล่าวว่า “ปล่อยให้คนในตระกูลข้าทั้งหมดเป็นอิสระ และเจ้าก็เอาเมืองนี้ไป!”

เมิ่งฮ่าวทั้งสิบกว่าคนยิ้ม ไม่มีใครกล่าววาจาหรือเคลื่อนไหว เพียงแต่มองไปยังสามผู้อาวุโสวิญญาณแรกก่อตั้งอย่างเงียบๆ

พวกมันมองไม่เห็นความนับถือแม้แต่น้อยนิดในแววตาของเขา เมิ่งฮ่าวไม่จำเป็นต้องนับถือพวกมัน ตั้งแต่ช่วงการต่อสู้ที่ด้านนอกของถ้ำกำเนิดใหม่ เขาได้ต่อสู้กับผู้เชี่ยวชาญวิญญาณแรกก่อตั้งมามากกว่าสิบคน พวกมันจึงไม่มีอะไรที่จะทำให้เขารู้สึกหวาดกลัว

ที่สำคัญมากไปกว่านั้น เมิ่งฮ่าวก็มีความเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่า ถ้าเขาสวมใส่หน้ากากสีโลหิต ถึงแม้เขายังคงไม่อาจจะเปรียบเทียบกับพวกมันได้ แต่ก็สามารถที่จะต่อสู้กลับไปได้

ผู้อาวุโสคนแรกไม่กล่าวอะไรสักพัก แต่จากนั้นก็ส่งเสียงหัวเราะอย่างขมขื่นออกมา มันยกมือขึ้น จากนั้นก็กดลงไปที่หน้าอกอย่างแรง ทำให้ร่างกายสั่นสะท้านขณะที่กระอักโลหิตออกมาติดต่อกันสามครั้ง แต่ละครั้งก็ทำให้มันเริ่มอ่อนแอลง จนถึงครั้งสุดท้าย พื้นฐานฝึกตนของมันก็ลดลงครึ่งหนึ่ง

ถึงแม้มันจะยังคงอยู่ในขั้นวิญญาณแรกก่อตั้ง แต่พลังการต่อสู้ที่แท้จริงในตอนนี้ก็เกือบจะเท่ากับระดับเดียวกับขั้นวงจรอันยิ่งใหญ่สร้างแกนลมปราณ มันคงต้องใช้เวลาหลายเดือนกว่าที่จะฟื้นฟูกลับมาจากขั้นนี้ได้

หลังจากเงียบไปชั่วครู่ ผู้อาวุโสอันดับสองก็ถอนหายใจออกมา มันรู้ว่ามีเพียงสิ่งเดียวที่สามารถทำได้ในตอนนี้ ไม่มีทางเลือกอื่นอีก มันใช้ฝ่ามือตบไปที่หน้าอกด้วยเช่นกัน หลังจากกระอักโลหิตออกมา สีหน้าก็หม่นหมองทอดอาลัย

ผู้อาวุโสอันดับสามจ้องมายังเมิ่งฮ่าวอย่างดุร้ายสักพัก จากนั้นก็สูดลมหายใจลึกๆ มันก็ทำให้ตัวเองได้รับบาดเจ็บเช่นเดียวกัน ขณะที่กระอักโลหิตออกมา พื้นฐานฝึกตนของมันก็ลดถอยลง

“ตอนนี้เจ้าเชื่อพวกข้าแล้วหรือไม่?” ผู้อาวุโสอันดับแรกกล่าวเสียงเย็นชา ปาดเช็ดโลหิตออกจากมุมปาก

หนึ่งในเมิ่งฮ่าวทั้งสิบกว่าคนยิ้มอย่างเขินอายออกมา พยักหน้า เอามือแตะไปที่ถุงสมบัติ ขณะที่ทำเช่นนั้น ดวงตาผู้อาวุโสอันดับแรกก็เต็มไปด้วยแสงอันเจิดจ้า ทันใดนั้น มันก็อ้าปากขึ้น พ่นลำแสงออกมา

นี่คือกระแสวิญญาณแรกก่อตั้ง ซึ่งคล้ายคลึงกับแกนปราณ แต่ในแง่ของความแตกต่าง มันเป็นสวรรค์ และแกนปราณเป็นแค่ปฐพี กระแสวิญญาณแรกก่อตั้งมีสีแดง และมีความเข้มข้นเป็นอย่างมากเกินกว่าแสงสีแดงใดๆ ในสวรรค์และปฐพีนี้ มันไม่ได้มีปริมาณมากมาย แต่ก็เจิดจ้าอย่างที่สุด ทันทีที่มันปรากฎขึ้น ก็มาอยู่ที่เบื้องหน้าเมิ่งฮ่าวในทันใด จากนั้นก็กระจายออกปกคลุมทุกสิ่งทุกอย่างไว้ภายใน

แสงนั้นหายไปเพียงชั่วพริบตา ขณะที่เป็นเช่นนั้น เมิ่งฮ่าวที่กำลังแตะมือไปที่ถุงสมบัติ รวมถึงเมิ่งฮ่าวคนอื่นๆ ที่อยู่ในพื้นที่บริเวณนั้น ก็ถูกทำลายไป แต่สิ่งที่ตกลงไปบนพื้นไม่ใช่โลหิตและเศษเนื้อ แต่เป็นกลุ่มหมอก

ภาพที่เห็นนี้ทำให้ใบหน้าของผู้ฝึกตนวิญญาณแรกก่อตั้งเริ่มน่าเกลียดมากยิ่งขึ้น พวกมันใช้ทุกวิถีทางเพื่อจะกำจัดเมิ่งฮ่าว แต่ความรอบคอบและเล่ห์เหลี่ยมของปรมาจารย์จินกวงก็ทำให้พวกมันพ่ายแพ้ทุกครั้งไป

“แน่นอนว่าคนที่กำลังแตะไปที่ถุงสมบัติจริงๆ แล้วก็ไม่ใช่ข้า”

เสียงดังออกมาจากกลุ่มหมอก ซึ่งพลุ่งพล่านปั่นป่วนไปมา และเมิ่งฮ่าวก็ก้าวเนิบนาบเดินออกไป “ผู้อาวุโส ข้าคิดว่าในสายตาของพวกท่านคงเห็นว่าร่างจำแลงของข้าเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา การที่ท่านคิดว่าร่างจำแลงนั่นเป็นตัวจริงของข้า, คงเป็นความผิดของข้าเอง”

เขาโบกสะบัดมือ ทำให้กระแสของเม็ดยานับร้อยลอยออกไป พวกมันพุ่งตรงไปยังกลุ่มคนของตระกูลตงลั่ว หลอมรวมเข้ากับร่างกายพวกมันผ่านทางหน้าผาก

“ยาพิษนี้จริงๆ แล้วก็ไม่ได้อันตรายมากนัก” เมิ่งฮ่าวกล่าวพร้อมรอยยิ้ม

“มันไม่ได้ร้ายแรง และจะไม่มีผลต่อพื้นฐานฝึกตน กล่าวได้ว่ามันเป็นแค่…ใบรับประกัน” เขาก้าวเท้าไปด้านข้าง และเส้นทางในกลุ่มหมอกก็เปิดออกนำไปสู่ด้านนอก กลุ่มหมอกปลดปล่อยผู้ฝึกตนนับร้อยจากตระกูลตงลั่วไป

สามผู้อาวุโสวิญญาณแรกก่อตั้งยืนอยู่ที่นั่นด้วยสีหน้าโกรธเคือง จ้องมายัง

เมิ่งฮ่าวที่ยืนอยู่คนเดียว ไม่อาจบอกได้ว่าเขาเป็นร่างจำแลงหรือไม่

หลังจากเงียบไปพักใหญ่ พวกมันก็เริ่มเดินออกมา เมื่อเดินผ่านเขาไป เมิ่งฮ่าวก็ส่งยิ้มให้เหมือนก่อนหน้านี้ ทันใดนั้น พวกมันก็หยุดลง และหันหน้ามามองเขา

“ไม่ต้องกังวลไป เมืองนี้เป็นของเจ้า”

ผู้อาวุโสอันดับแรกกล่าว ด้วยเสียงจริงใจ “ตระกูลตงลั่วไม่ต้องการมันอีกต่อไป ความวุ่นวายแห่งสงครามได้ปกคลุมมายังดินแดนนี้แล้ว และตระกูลตงลั่วในตอนนี้ก็อ่อนแอเกินกว่าจะต่อสู้ได้อีก

พวกเราจะไปหลบซ่อนตัว แต่ถ้ามีคนในตระกูลใดๆ ถูกทำร้ายจากพิษของเจ้า พวกข้าทั้งสามก็จะกำจัดเจ้าไป ถึงแม้พวกข้าจะต้องตายไปก็ตามที!” เมื่อพูดจบ มันก็สะบัดแขนเสื้อและเดินออกไป

เมิ่งฮ่าวยังคงยิ้มอยู่ตลอดเวลาอย่างต่อเนื่อง เขามองทุกคนจากไป จากนั้นก็ยกมือขวาขึ้นมาในทันที ในฝ่ามือของเขาเป็นปรมาจารย์ตระกูลหลี่ เกือบจะในเวลาเดียวกันนั้น เมื่อปรมาจารย์ตระกูลหลี่ปรากฎตัวขึ้น สายฟ้าทันใดนั้นก็ปรากฎขึ้นในท้องฟ้าที่มีสีสดใสด้านบน พุ่งลงมาฟาดไปบนร่างวิญญาณของปรมาจารย์ตระกูลหลี่

“ข้าขอสาปแช่งเจ้าให้ถูกลงทัณฑ์ด้วยพันมีดกรีดเฉือน…” ก่อนที่ชายชราจะทันได้ด่าทอสาปแช่งต่อไป เมิ่งฮ่าวก็เก็บมันกลับเข้าไปในหน้ากากสีโลหิต

การเคลื่อนไหวของเมิ่งฮ่าวเมื่อครู่นี้ ลื่นไหลประดุจเมฆาคล้อยเคลื่อน สายน้ำไหลริน เขาค่อนข้างชำนาญคล่องแคล่วแล้วในตอนนี้

สามอาวุโสวิญญาณแรกก่อตั้งมองกลับมา เมื่อพวกมันเห็นสายฟ้าฟาดลงมา และเห็นการกระทำของเมิ่งฮ่าว สีหน้าก็สลดลงและพวกมันก็แอบถอนหายใจอยู่ลึกๆ ด้านใน

เห็นได้ชัดว่าในตอนนี้ เมิ่งฮ่าวที่พวกมันเพิ่งจะเดินผ่านมาเป็นตัวจริงของเขา

ตระกูลตงลั่วทั้งหมดจากไปทั้งร้อยกว่าคน พวกมันออกไปจากเมืองตงลั่วที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นของพวกมัน จากไปพร้อมกับความว่างเปล่า

ไม่มีใครรู้ว่าพวกมันไปที่ไหน รู้แต่เพียงว่าหลายวันหลังจากนั้น ในดินแดนสีดำได้มีการประกาศว่าตระกูลตงลั่วได้แยกตัวออกมาจากจิ่วเหมิง (เก้าสหพันธ์)

ข่าวนี้กระจายไปทั่วดินแดนสีดำราวกับลมพายุ ยิ่งไปกว่านั้น ชื่อเสียงของปรมาจารย์จินกวงก็โด่งดังขึ้นมาจากการต่อสู้ครั้งนั้น

ตระกูลตงลั่วถูกแทนที่ เมืองตงลั่วถูกเปลี่ยนชื่อเป็นเมืองก่านเชวี่ย สร้างความสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งดินแดนสีดำ

หลังจากมีกลุ่มคนมากมายมาสังเกตการณ์และทำการสอบถามหลายเรื่อง สุดท้ายก็สรุปได้ว่า ตอนนี้วิหารจินกวงได้มาก่อตั้งขุมกำลังอยู่ในเมืองนี้อย่างเป็นปึกแผ่น

ผู้ฝึกตนรอบๆ บริเวณนั้นได้ไปอาศัยอยู่ในเมืองก่านเชวี่ย ในที่สุดวิหารจินกวงก็มีขุมกำลังมากกว่าหนึ่งพันห้าร้อยคน ทำให้ตอนนี้พวกเขามีความแข็งแกร่งมากกว่าเมืองตงลั่วในอดีต นอกเหนือจากสามผู้ฝึกตนขั้นวิญญาณแรกก่อตั้งนั้น

เมืองได้ถูกซ่อมแซมแล้วอย่างสมบูรณ์ รูปแบบก็แตกต่างไปจากเมืองตงลั่วดั้งเดิม ด้วยการตกแต่งเมืองก่านเชวี่ยตามรูปแบบของนกแก้ว ทำให้ตอนนี้มันดูเจิดจ้าและมีสีสันสดใสขึ้น!

เมิ่งฮ่าวปล่อยเรื่องทั้งหมดให้นกแก้วจัดการ ขณะที่เขาเตรียมตัวเข้าไปนั่งเข้าฌาณตามลำพัง ทุกสิ่งทุกอย่าง, กำแพงเมือง, ค่ายกลเกราะป้องกัน ทั้งหมดต่างก็เริ่มมีลักษณะสีสันฉูดฉาดของนกแก้ว

สำหรับต้นเถาวัลย์ เมิ่งฮ่าวได้นำมาปลูกไว้ในเมืองนี้ด้วย เพื่อเป็นระบบป้องกันของเมืองนี้

ใครก็ตามที่เข้าร่วมกับวิหารจินกวงก็มาอาศัยอยู่ในเมืองนี้ได้ แน่นอนว่า วิหารจินกวงไม่ใช่สำนัก ดังนั้นจึงมีผู้คนมาร่วมด้วยมากขึ้น เมืองนี้ไม่ได้เป็นเมืองที่แท้จริงอีกต่อไป แต่เป็นวิหาร!

เมิ่งฮ่าวได้เปลี่ยนให้แม่น้ำของเมืองให้กลายเป็นบึงน้ำ หลังจากที่ใส่เม็ดยาบางส่วนลงไป มันก็กลายเป็นบึงน้ำยาแห่งใหม่ ซึ่งกลายเป็นรากฐานทั้งหมดของวิหาร

ค่ายกลเวทใบไม้สีเขียวได้ถูกเปลี่ยนแปลงโดยนกแก้ว หลังจากที่กลายมาเป็นผู้ครอบครองเมือง นกแก้วก็ไม่ได้กำจัดพวกมันไป แต่ได้ใช้วิธีการบางอย่างเพื่อซ่อมแซมและปรับปรุงมัน ตอนนี้ค่ายกลเวทนี้สามารถกระจายแรงกดดันบดขยี้ออกมาได้

และก็เช่นกัน ตอนนี้มันเป็นใบไม้ที่…หลากสี

ภายในเมืองก็ถูกตกแต่งเหมือนก่อนหน้านี้ แบ่งออกเป็นสามชั้น แต่มีที่อยู่อาศัยอยู่บนชั้นสามเท่านั้น นั่นเป็นสถานที่สำหรับเมิ่งฮ่าวนั่งขัดสมาธิเข้าฌาณอยู่ในตอนนี้ เบื้องหน้าเขาเป็นเหยือกสีดำใบเล็กๆ ซึ่งได้มาจากต้าโถว นี่เป็นมรดกที่ได้มาจากพันธมิตรไฟโลกันต์แห่งขุนเขาที่สี่

เขาได้ศึกษาของชิ้นนี้มาแล้วหลายวัน เขาอยากจะใช้มันเหมือนกับที่ต้าโถวใช้เพิ่มความเร็วได้อย่างน่ามหัศจรรย์เช่นนั้นเป็นอย่างมาก ซึ่งเป็นความคิดที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง

เขาลูบไปที่พื้นผิวของเหยือก และทันใดนั้น ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับความสามารถศักดิ์สิทธิ์ก็ปะทุขึ้นมาในจิตใจ “ระเบิดโลหิตชั่วพริบตา…?” เขากล่าวเสียงแผ่วเบา “ใช้พลังของโลหิตที่ไหลเวียนไปมาเพื่อเพิ่มความเร็วขึ้นในทันที”

ดวงตาเมิ่งฮ่าวสาดประกายขณะที่เขายกมือขึ้นไปถูสะเก็ดของคุนเผิงที่อยู่บนหน้าผาก ไม่ว่าเขาจะพยายามอย่างไร ก็ไม่อาจจะใช้พลังของมันได้อีกครั้ง

หลายวันหลังจากนั้น ขณะที่เมิ่งฮ่าวเสร็จสิ้นการฝึกฝนวิชาระเบิดโลหิตชั่วพริบตา ต้าโถวก็นำแผ่นหยกส่งมาให้เขาอย่างเคร่งขรึม เขาอ่านมันด้วยจิตสัมผัส จากนั้นดวงตาก็เริ่มเปล่งประกายออกมา

เมิ่งฮ่าวให้ต้าโถวไปสอบถามทั่วทั้งดินแดนสีดำ เพื่อค้นหาว่าตัวไหมหิมะเยือกเย็นมีอยู่ที่ไหน ถึงตัวไหมเช่นนี้จะเป็นสิ่งที่หายาก แต่ก็ไม่ได้เป็นของลี้ลับ โชคดีที่ต้าโถวใช้เวลาไม่นานก็ได้รับข้อมูลที่จำเป็นกลับมา

“เมืองเซิ่งเสวี่ย (นักบุญหิมะ)…” เมิ่งฮ่าวกล่าวพร้อมกับถอนหายใจออกมาเบาๆ จ้องไปยังแผ่นหยก รอยยิ้มน้อยๆ กระจายไปทั่วใบหน้า

มีเพียงสถานที่แห่งเดียวในดินแดนสีดำ ที่จะหาตัวไหมหิมะเยือกเย็นพบได้ ก็คือเมืองของจิ่วเหมิง (เก้าสหพันธ์), เมืองเซิ่งเสวี่ย!

เมืองนี้เป็นของตระกูลหานเสวี่ย เป็นตระกูลที่มีความแข็งแกร่งมากกว่าตระกูลตงลั่ว ปรมาจารย์ขั้นตัดวิญญาณของพวกมัน ทำให้พวกมันมั่นคงอยู่ต่อไปมานานหลายปี อันที่จริงในอดีต พวกมันมีชื่อเสียงโดดเด่นมากที่สุดในจิ่วเหมิง ด้วยปรมาจารย์ขั้นตัดวิญญาณทั้งสาม!

แต่โชคร้ายที่เมื่อไม่กี่ปีมานี้ ความแข็งแกร่งของพวกมันเริ่มตกต่ำลง ตอนนี้พวกมันมีปรมาจารย์ขั้นตัดวิญญาณเพียงแค่คนเดียว จากข่าวลือที่เล่ากันมา ปรมาจารย์คนสุดท้ายนี้กำลังมาถึงจุดสิ้นสุดของชีวิตแล้ว และแทบจะไม่ค่อยปรากฎตัวออกมาเลย ตอนนี้มันได้กลายเป็นกองหนุนแห่งเต๋าของตระกูลหานเสวี่ยไปแล้ว

เป็นที่ประจักษ์ชัดว่า มีแต่สายโลหิตโดยตรงของตระกูลเท่านั้น ที่จะสามารถครอบครองตัวไหมหิมะเยือกเย็นได้ด้วยวิธีการลับของตระกูล ที่สำคัญมากไปกว่านั้น ในตอนที่หลังจากมีชีวิตขึ้นมา ตัวไหมหิมะเยือกเย็นก็ได้ผูกมัดเจ้านายไว้ เป็นการผูกมัดที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ เมื่อเจ้านายตายไป ตัวไหมก็จะตายไปด้วยเช่นกัน

เมิ่งฮ่าวเก็บแผ่นหยกไว้ ตัวไหมหิมะเยือกเย็นเกี่ยวข้องกับความสามารถที่จะเอาชนะทัณฑ์สวรรค์ของเขา และเขาต้องการมันเพียงแค่ตัวเดียวเท่านั้น หลังตรึกตรองอยู่ในใจสักครู่ เขาก็ลุกขึ้นยืนและออกไปจากที่พัก ขณะที่มองออกไปยังเมืองที่มีสีสันสดใส เขาก็รู้สึกตาลายอยู่เล็กน้อย

นกแก้วทะยานขึ้นไปในอากาศด้วยความตื่นเต้น ติดตามมาด้วยนกยูงสีแดงสามตัวที่มีท่าทางหงอยเหงา ที่ด้านล่างมีเสียงสวดมนต์ดังขึ้นมา ซึ่งเกี่ยวข้องกับคำว่า เชื่อมั่นในอู่เหยีย จะได้รับชีวิตนิรันดร์

สำหรับผีโต้ง ในที่สุดมันก็สามารถเริ่มให้โอวาทกับกลุ่มสมาชิกของวิหารได้นับพัน ตอนนี้ มันกำลังมองไปยังผู้ฝึกตนขั้นพื้นฐานลมปราณด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ไม่สนใจท่าทางสั่นสะท้านด้วยความสิ้นหวังบนใบหน้าของคนผู้นั้น ขณะที่มันกำลังกระตือรือร้นอธิบายถึงความสวยงามของดวงอาทิตย์ตก เมื่อนานหลายปีมาแล้วในอดีต

เมิ่งฮ่าวมองไปชั่วครู่จากนั้นก็ถอนหายใจออกมา จากมุมมองของเขาดูเหมือนผู้ฝึกตนที่อยู่ในเมืองนี้จะแตกต่างเป็นอย่างมากกับสิ่งที่พวกมันเคยเป็นมาก่อน ต้องขอบคุณนกแก้วและผีโต้งสำหรับเรื่องเหล่านี้ หลังจากที่ครุ่นคิดสักพัก เขาก็หันหลังกลายเป็นลำแสงพุ่งจนหายลับตาไปในทันที

เมื่อนกแก้วมองเห็นเขาจากไป มันก็เริ่มตื่นเต้นขึ้นอย่างมากในทันใด

“ในที่สุดก็ไปแล้ว, ฮา ฮา ฮา! ต่อไปนี้อู่เหยียจะได้ทำตามแผนที่วางไว้เป็นเวลานานแล้ว มา มา, เด็กๆ ตอนนี้อู่เหยียจะสอนค่ายกลเซียนแบบที่สองให้กับพวกเจ้า ซึ่งเรียกว่า ค่ายกลสังหารเซียน!”

นกแก้วตบไปที่หน้าอกด้วยปีกของมัน แผดเสียงดังก้องออกไปด้วยความตื่นเต้น “ค่ายกลนี้สามารถเขย่าสวรรค์สั่นพื้นปฐพี การใช้งานมันไม่อันตรายมากเท่าใด และไม่ทำให้พวกเจ้าบาดเจ็บแม้แต่น้อย อู่เหยียไม่เคยบาดเจ็บจากการใช้ค่ายกลนี้ทั้งเก้าครั้งจากในอดีตที่ผ่านมา! ดังนั้น พวกเจ้าทั้งหมดก็ไม่มีอะไรที่จะต้องกังวลใจ!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!