Skip to content

I Shall Seal The Heaven Chapter 380

ตอนที่ 380

ดักแด้ไร้ตา

“เจ้าไม่เห็นด้วย?” หานเสวี่ยเป้าถาม มองมายังเมิ่งฮ่าว สีหน้ามันค่อยๆ หมองคล้ำลงด้วยความผิดหวัง จากประสบการณ์มานานหลายปีของมัน ทำให้สามารถมองเห็นความลังเลใจอยู่เล็กน้อยในสีหน้าที่สงบนิ่งของเขา

มันแอบถอนหายใจ และจากนั้นก็ส่ายหน้า หัวเราะออกมาเบาๆ

“ผู้อาวุโส…” เมิ่งฮ่าวกล่าว รู้สึกผิดอยู่เล็กน้อย เขาสัมผัสได้ถึงความจริงใจของหานเสวี่ยเป้า และคิดว่าทั้งหมดนี้ก็เพื่อผลประโยชน์ของตระกูลของมันเอง เมิ่งฮ่าวรู้ว่ามันกำลังเสนอเส้นทางใหม่ให้เขาเดินไปอย่างแท้จริง

แต่โชคร้าย ที่เมิ่งฮ่าวไม่อาจกลับไปยังดินแดนด้านใต้ในตอนนี้

ใบหน้าหานเสวี่ยชานเป็นสีขาวซีด นางเงยหน้าขึ้นสูง และบังคับให้มีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้า แต่นางก็ยังไม่อาจจะข่มอารมณ์ลงได้ นางยืนขึ้นและโค้งตัวให้กับเมิ่งฮ่าว จากนั้นก็เดินออกไปยังที่ห่างไกล ก้มหน้าลง ดูเหมือนนางไม่อาจจะอยู่ที่นั่นได้อีกต่อไป เนื่องจากกลัวว่าจะร้องไห้ด้วยความรู้สึกโศกเศร้าออกมา

“อืม, ไม่เป็นไร” หานเสวี่ยเป้ากล่าว ไม่บังคับให้เมิ่งฮ่าวอธิบายเหตุผล

“ข้าทำให้เจ้าต้องอึดอัดเมื่อครู่นี้ เจ้ามีเส้นทางเดินของเจ้าอยู่แล้ว และไม่ต้องการให้ข้าจัดเตรียมสิ่งต่างๆ ให้ นั่นก็ดีเยี่ยม” มันลุกขึ้นยืน มองไปยังเวทอาคมที่กำลังก่อตัวขึ้นบนพื้นดิน

“ตระกูลหานเสวี่ยมีผู้อาวุโสขั้นวิญญาณแรกก่อตั้งเจ็ดคน เจ้าได้พบเห็นแล้วสี่คน ที่เหลืออีกสามคนเดินทางไปยังดินแดนด้านใต้เมื่อปีก่อน ไปยังสถานที่ที่พวกมันสามารถจัดเตรียมเวทเคลื่อนย้ายทางไกลได้ แต่โชคร้าย ที่เวทนั้นถูกโม่ถู่กงใช้อาคมปิดกั้นไว้ ทำให้การเคลื่อนย้ายทางไกลไปยังดินแดนด้านใต้ยุ่งยากขึ้นอีกเล็กน้อย”

“ในตอนนี้เวทเคลื่อนย้ายทางไกลเพิ่งจะเสร็จสิ้นสมบูรณ์ในฝั่งนั้น ภายในห้าวัน พวกเราน่าจะสามารถใช้งานมันได้ ถึงตอนนั้นพวกเราก็จะไปจากสถานที่แห่งนี้”

หานเสวี่ยเป้าตบไปที่ถุงสมบัติของมัน ทันใดนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างก็เย็นเยียบลง เกล็ดหิมะปรากฎขึ้นในอากาศและตกลงมา ดวงตาเมิ่งฮ่าวเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด ขณะที่มองไปยังสิ่งของที่อยู่ในมือของหานเสวี่ยเป้า

ที่นั่นบนฝ่ามือของมันเป็นตัวไหมสีฟ้า มีขนาดเท่ากับนิ้วก้อยของมัน ตัวไหมนั้นโปร่งแสงราวกับเป็นแก้วผลึก และเปล่งแสงสีฟ้าออกมา ความหนาวเย็นในบริเวณนี้ กระจายออกมาจากตัวไหมนี้เอง

ทันใดนั้น ลมหายใจเมิ่งฮ่าวก็เริ่มหนักหน่วงขึ้น

“พวกเราสัญญาว่าจะให้ตัวไหมหิมะเยือกเย็นแก่เจ้า ด้วยการใช้พื้นฐานฝึกตนของคนอื่นๆ พวกมันคงต้องใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งปี กว่าจะทำได้เสร็จสมบูรณ์ แต่เวลากำลังจะหมดลงแล้ว ดังนั้นข้าจะเอาของข้าให้กับเจ้า! นี่เป็นตัวไหมหิมะเยือกเย็นที่กลายพันธุ์ มีพลังชีวิตที่แข็งแกร่งมากกว่าตัวไหมธรรมดา ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ตระกูลหานเสวี่ยมีตัวไหมหิมะเยือกเย็นที่กลายพันธุ์เพียงแค่หกตัวเท่านั้น นี่เป็นตัวที่เจ็ด”

“เนื่องจากการกลายพันธุ์ของมัน ทำให้ตัวไหมหิมะเยือกเย็นชนิดนี้สามารถผูกมัดเจ้านายได้สองคน ให้โลหิตเจ้าแก่มัน และมันก็จะเป็นของเจ้า” มันโบกสะบัดมือ และแสงสีฟ้าก็พุ่งตรงมายังเมิ่งฮ่าว ลอยอยู่ตรงหน้าเขา เมิ่งฮ่าวสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ ขณะที่มองไปยังตัวไหมหิมะเยือกเย็นที่กำลังลอยอยู่ที่เบื้องหน้า จากนั้น เขาก็กัดปลายนิ้วเล็กน้อย และบีบหยดโลหิตลงไปบนตัวไหม

ทันทีที่หยดโลหิตหายไป เมิ่งฮ่าวก็รู้สึกถึงการเชื่อมต่อระหว่างตัวเขาและตัวไหมหิมะเยือกเย็น ร่างของตัวไหมสาดประกายขณะที่มันค่อยๆ ตกลงมาบนมือของเขา ความหนาวเย็นอย่างมากมายกระจายออกมาจากตัวมัน เขารู้สึกราวกับว่ากำลังถือก้อนน้ำแข็งอยู่ในมือ

เมิ่งฮ่าวสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ ขณะที่เขาโค้งตัวลงต่ำให้กับหานเสวี่ยเป้า จุดประสงค์ทั้งหมดที่เขามายังสถานที่แห่งนี้ได้เสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว เขารู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก ตอนนี้สิ่งที่เขาต้องทำก็คือเปลี่ยนตัวไหมหิมะเยือกเย็นให้กลายเป็นดักแด้ไร้ตา

เมื่อไหร่ที่มันกลายเป็นดักแด้ไร้ตา ดักแด้ก็ไม่อาจจะถูกทำลายไป และเส้นใยของมันก็ไม่มีวันขาด เส้นใยไม่มีทางขาด ก็ทำให้ดักแด้ไม่มีทางถูกทำลายไปได้! แมลงมหัศจรรย์เช่นนี้เป็นของวิเศษอันโดดเด่นของสวรรค์และปฐพี เป็นหนึ่งในวิธีอันทรงพลังมากที่สุดสำหรับการจัดการกับทัณฑ์แห่งสวรรค์

“ผู้อาวุโส, ข้าจะไปนั่งเข้าฌาณตามลำพัง” เมิ่งฮ่าวกล่าว สะกดข่มความตื่นเต้นที่พุ่งขึ้นมาในจิตใจไว้ เขาโค้งตัวลงอีกครั้ง จากนั้นก็หันหลังเดินจากไป เขาไม่ได้ไปไกลมากนัก แต่เดินเข้าไปในส่วนลึกของอาคารที่ถูกทำลายลงไปครึ่งหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ บริเวณนั้น

หานเสวี่ยเป้ามองเขาเดินจากไป และแอบถอนหายใจออกมาอีกครั้ง มันได้ชอบเมิ่งฮ่าวอย่างแท้จริง แต่ก็รู้ว่าเขามีแผนการและความฝันของตัวเอง จากนั้นหานเสวี่ยเป้าก็มองไปยังหานเสวี่ยชาน และถอนหายใจขึ้นอีกครั้ง

ภายในห้องของบ้านที่พังทลายลงมา เมิ่งฮ่าวนั่งขัดสมาธิ หายใจลึกๆ ร่ายเวทอาคม จากนั้นก็ชี้ลงไปบนพื้น ทำให้ปราณอสูรเริ่มพุ่งขึ้นมาโดยไร้เสียง หมุนวนไปรอบๆ ตัวเขา ก่อตัวเป็นเกราะป้องกัน ถึงแม้ว่าเขาจะมีความสัมพันธ์อันดีกับตระกูลหานเสวี่ยในตอนนี้ เขาก็ยังคงจำเป็นต้องป้องกันตัวเองไว้ก่อน

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อคิดว่าเขาเพิ่งจะไม่ยอมรับข้อเสนอของพวกมัน ด้วยการถูกปกคลุมโดยปราณอสูร เมิ่งฮ่าวหยิบเม็ดยาบางอย่างขึ้นมา จากนั้นก็หลับตาลงและเริ่มเข้าฌาณ หลังจากหนึ่งชั่วยามผ่านไป เขาก็ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง และดวงตาก็สาดประกายเจิดจ้า ร่างกายในตอนนี้ได้ฟื้นฟูจากความอ่อนแอโดยสิ้นเชิง จิตสัมผัสเขายืดขยายออกไปมากขึ้น และพื้นฐานฝึกตนก็ก้าวหน้าขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเจน

เมิ่งฮ่าวมั่นใจว่าหลังจากที่เขาเอาชนะทัณฑ์แห่งสวรรค์ได้ เขาก็จะผ่านเข้าไปยังขั้นสุดท้ายสร้างแกนลมปราณ

เมื่อเตรียมการเสร็จสิ้น เมิ่งฮ่าวก็เอาตัวไหมหิมะเยือกเย็นออกมา จากนั้นก็หยิบเอาใบหม่อนสายฟ้าออกมา และนำไปวางไว้เบื้องหน้าตัวไหม ทันทีที่ใบไม้ปรากฎ แรงสั่นสะเทือนก็กระจายไปทั่วร่างตัวไหมหิมะเยือกเย็น ดูเหมือนมันจะพบว่าใบไม้นี้ดึงดูดใจมันอย่างน่าเหลือเชื่อ เพียงชั่วพริบตา สายฟ้าก็ปรากฎขึ้นรอบๆ ใบไม้ และถูกตัวไหมหิมะเยือกเย็นกลืนกินลงไปจนหมดสิ้น

ดวงตาเมิ่งฮ่าวสาดประกายขณะที่เขาหยิบกระจกทองแดงออกมา และเริ่มคัดลอกใบหม่อนสายฟ้า โชคดีที่เขามีหินลมปราณอยู่มากมายในถุงสมบัติ ถึงแม้เขาเกลียดที่จะเห็นพวกมันหายไปขณะที่ต้องใช้ในการคัดลอก แต่เมื่อคิดว่ากำลังจะได้รับดักแด้ไร้ตา ก็ทำให้เขาต้องทำโดยไม่ลังเลใจใดๆ

หนึ่งใบ, สองใบ, หนึ่งร้อยใบ…ดวงตาเมิ่งฮ่าวเริ่มเบิกกว้างด้วยความไม่อยากจะเชื่อว่า เจ้าตัวไหมหิมะเยือกเย็นตัวเล็กๆ แค่นี้ จะกินใบหม่อนสายฟ้าได้มากมายเช่นนั้น ดูเหมือนมันไม่แสดงวี่แววว่าจะหยุดกินเลยแม้แต่น้อย มันสามารถที่จะกินใบหม่อนแหสายฟ้าที่มีอยู่ได้ทั้งหมด

จิตใจเมิ่งฮ่าวเริ่มจมดิ่งลงเล็กน้อย ข้อมูลเกี่ยวกับตัวไหมนี้เขาได้มาจากผู้ฝึกตนดินแดนสีดำที่เขาพบในดินแดนด้านใต้ หลังจากที่ศึกษาค้นคว้าอย่างมากมาย เขาก็คิดว่าคำพูดของบุรุษผู้นั้นส่วนมากเป็นความจริง แต่ในตอนนี้ เขาเริ่มรู้สึกสงสัยอยู่เล็กน้อย

เขาพึมพำกับตัวเอง ดวงตาสาดประกายขณะที่ตัดสินใจทุ่มสุดตัว เขาใช้หินลมปราณทั้งหมดที่มีในถุงเก็บสมบัติ คัดลอกใบหม่อนสายฟ้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อป้อนให้กับตัวไหมหิมะเยือกเย็น

เวลาผ่านไป ในที่สุด ก็เป็นวันต่อมา ในช่วงบ่าย ดวงตาเมิ่งฮ่าวแดงก่ำขณะที่ป้อนใบหม่อนสายฟ้าใบแล้วใบเล่าให้กับตัวไหมหิมะเยือกเย็น เขาบอกได้เลยว่า ใบหม่อนสายฟ้าที่ป้อนไปเพียงพอที่จะสร้างเป็นป่าได้ทั้งภูเขา

แต่ตัวไหมหิมะเยือกเย็นก็ยังไม่แสดงท่าทีว่าจะอิ่ม อย่างไรก็ตามมันได้แสดงถึงการเปลี่ยนแปลง! มันยังคงเป็นสีฟ้า แต่ตอนนี้ก็มีวงกลมสีขาวรอบๆ ผิวหนังของมัน!

วงกลมนั้นดูคล้ายกับเป็นดวงตา และถ้ามองไปที่พวกมัน ก็ดูเหมือนว่าพวกมันมีพลังที่จะดึงดูดจิตใจคนที่มองดูเข้าไปได้ ในขั้นตอนการให้อาหารตัวไหมในจุดนี้ของเมิ่งฮ่าว ได้เกิดเป็นวงกลมทั้งหมดห้าวงบนร่างของมัน

เมิ่งฮ่าวมองไปที่ถุงสมบัติ และจิตใจก็เต็มไปด้วยความเจ็บปวด เขามีหินลมปราณอยู่ค่อนข้างมากหลังจากที่กลายเป็นปรมาจารย์จินกวง แต่ในตอนนี้ พวกมันก็หายไปแล้วครึ่งหนึ่ง กัดฟันแน่น เมิ่งฮ่าวป้อนใบหม่อนสายฟ้าแก่ตัวไหมหิมะเยือกเย็นต่อไป

ใบแล้วใบเล่า…

ในตอนเช้าของมันที่สาม ดวงตาเมิ่งฮ่าวเต็มไปด้วยเส้นเลือด ตัวไหมหิมะเยือกเย็นในมือเขาตอนนี้มีวงกลมอยู่แปดวง ในตอนที่วงกลมที่เก้าปรากฎ ถุงสมบัติเมิ่งฮ่าวเกือบจะไม่มีหินลมปราณเหลืออยู่อีก

ความโศกเศร้าเต็มอยู่บนใบหน้า เมื่อไม่กี่วันก่อนเขายังมีหินลมปราณอยู่จำนวนมากมาย ทำให้มีความเชื่อมั่นว่า สามารถจะซื้ออะไรก็ได้ตามที่เขาต้องการ

แต่ตอนนี้ เขารู้สึกกลายเป็นตรงกันข้ามไป

“ถ้าข้าไม่อาจจะสร้างดักแด้ไร้ตา…”

เมิ่งฮ่าวกำหมัดจนแน่น และหยุดคิดเรื่องเช่นนั้น ตัดสินใจเสี่ยงจนถึงที่สุด เขาได้เดินมาไกลมากแล้ว อาจจะใกล้สิ้นสุดแล้วก็เป็นไปได้

ในยามราตรีของวันที่สาม ถุงสมบัติของเมิ่งฮ่าวก็ว่างเปล่าโดยสิ้นเชิง ขณะที่ตัวไหมหิมะเยือกเย็นกินใบหม่อนสายฟ้าครั้งสุดท้ายไปมากมาย วงกลมที่เก้าปรากฎขึ้น ทำให้เมิ่งฮ่าวอ้าปากค้าง

“บัดซบ, หินลมปราณข้าหมดแล้ว แต่เจ้าสิ่งนี้ก็ยังคงไม่ได้เปลี่ยนไป? มิใช่ว่ามันต้องกลายร่าง?” เขาจ้องไปยังตัวไหมหิมะเยือกเย็นด้วยความตกตะลึง ซึ่งตอนนี้กำลังนอนอยู่บนฝ่ามือเขา ไม่ขยับเคลื่อนไหว ภายในจิตใจ เมิ่งฮ่าวสัมผัสได้ว่ามันต้องการจะกินต่ออีก ทำให้เขาเกือบจะพังทลายลงโดยสิ้นเชิง

“หนึ่งล้านหินลมปราณของข้า…” ขณะที่เขามองลงไปยังถุงสมบัติ ก็ตระหนักว่ามีเพียงสิ่งเดียวที่ยังเหลืออยู่ก็คือ หินลมปราณระดับสูงพิเศษ มันเป็นสมบัติชิ้นสุดท้ายของเขา เป็นสิ่งของช่วยชีวิตซึ่งเขาจะใช้ในตอนวิกฤตเพื่อดูดซับพลังลมปราณเท่านั้น

เขาเดินกลับไปกลับมาจนธูปไหม้หมดไปหนึ่งดอก ดูเหมือนว่าตัวไหมหิมะเยือกเย็นได้ตระหนักว่าไม่มีอาหารเหลืออยู่อีกแล้ว มันจึงหยุดส่งข้อความที่ต้องการกินไป และเริ่มสร้างเส้นใย

เมิ่งฮ่าวมองขณะที่ตัวไหมหิมะเยือกเย็นเริ่มกระจายเส้นใยออกมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ดูคล้ายกับเป็นหิมะ นีไม่ใช่เป็นเส้นไหมในตำนานของดักแด้ไร้ตา ใช้เวลาสักพักก่อนที่ตัวไหมจะถูกเส้นใยปกคลุมไปทั่วร่าง ในที่สุด มันก็กลายเป็นรังไหมที่มีขนาดเท่ากับกำปั้นของเด็กทารก

เมิ่งฮ่าวขมวดคิ้ว มีบางสิ่งที่ดูแปลกๆ หลังจากตรวจสอบอย่างละเอียดด้วยจิตสัมผัส จิตใจเขาก็เริ่มหนักอึ้ง เขาตรวจสอบมันต่อไปสักพัก จากนั้นก็เริ่มหอบหายใจ

“ข้าสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอย่างอื่น” เขากล่าว ดวงตาสาดประกาย “มันไม่ใช่ตัวไหมหิมะเยือกเย็น มันมีความแข็งแกร่งมากกว่านั้นนัก…จนไม่อาจจะนำมาเปรียบเทียบกันได้!” เขาหลับตาลงเพื่อขบคิดชั่วครู่ และเมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง เขาก็ยิ้มออกมา

“อีกสองวัน มันก็จะโผล่ออกมาจากรังไหม!” เขาเก็บเอารังไหมที่ล้ำค่านี้ไว้ และยกเลิกปราณอสูรในบริเวณนั้น ตอนนี้เป็นยามดึกของราตรี และแสงจันทร์ก็สาดแสงสว่างไสวไปทั่วพื้นดิน เมิ่งฮ่าวสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ ขณะที่เขาเดินออกไปจากบริเวณที่เข้าฌาณตามลำพัง

ผู้คนจากตระกูลหานเสวี่ยที่กำลังยืนเฝ้ายามอยู่มองเห็นเมิ่งฮ่าวในทันที พวกมันประสานมือและโค้งตัวลง ใบหน้าเต็มไปด้วยความเคารพนับถือ

ไม่กี่วันมานี้เป็นวันที่ยากลำบากที่สุดของตระกูลหานเสวี่ย พวกมันไม่รู้ว่าผู้ฝึกตนจากโม่ถู่กงจะมาถึงเมื่อไหร่ ถ้าพวกมันบุกเข้ามาเป็นครั้งที่สอง ก็คงยากที่จะต่อสู้กลับไป เมื่อพิจารณาถึงสถานการณ์ในตอนนี้ของตระกูลหานเสวี่ย สิ่งที่พวกมันต้องทำก็คือระมัดระวังตัวและรอคอยเวทประตูทางไกลให้ใช้งานได้

เกล็ดหิมะโปรยปรายลงมาใต้แสงจันทร์ หิมะเกิดขึ้นมาแล้วสองวัน และพื้นดินในตอนนี้ก็ถูกปกคลุมไปด้วยชั้นหิมะที่หนาแน่น  แม้แต่ในตอนดึกยามราตรี แสงจันทร์ก็สะท้อนให้เห็นถึงหิมะที่ขาวโพลน ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างดูเป็นสีเงิน

เมิ่งฮ่าวสูดอากาศที่หนาวเย็นเข้าไป ขณะที่มองไปยังเกล็ดหิมะที่กำลังโปรยปราย ในที่สุด สายตาเขาก็ไปหยุดอยู่บนแผ่นหลังของเงาร่างที่คุ้นเคยในที่ห่างไกลออกไป

ซึ่งก็คือหานเสวี่ยชาน นางนั่งอยู่บนกองซากปรักหักพัง มองขึ้นไปในท้องฟ้า ยากที่จะบอกว่านางกำลังคิดอะไรอยู่

เมื่อมองไปยังนาง เมิ่งฮ่าวก็แอบถอนหายใจ เนื่องจากเรื่องของตัวไหมหิมะเยือกเย็น ทำให้เขาลืมไปว่าได้ทำให้หญิงสาวนางนี้ผิดหวังไปอย่างไรบ้าง หลังจากที่เขากล่าวปฏิเสธไป

พึมพำกับตัวเอง เมิ่งฮ่าวคิดไปถึงวงแขนอันอ่อนโยนซึ่งได้โอบอุ้มเขาไว้ก่อนที่เขาจะหมดสติไปก่อนหน้านี้

เขายังจำได้ถึงความห่วงใยในดวงตาของนาง ซึ่งได้ถูกแทนทีด้วยความยินดีเมื่อเขาฟื้นสติกลับคืนมา หิมะที่กำลงตกลงมาได้เสียดสีกับใบหน้าเขา ขณะที่เดินตรงไปหานาง นางมองกลับมา ท่ามกลางหิมะและแสงจันทร์ ทำให้ใบหน้าที่น่ารักของนางดูมีความงดงามมากยิ่งขึ้น มองเห็นหยดน้ำตาอยู่ตรงหางตา นางมองมายังเมิ่งฮ่าว จากนั้นก็กัดริมฝีปากและหันหน้าไปทางอื่น

เมิ่งฮ่าวยืนอยู่ที่ด้านหลังนางสักพัก จากนั้นก็กระแอมไอออกมา

“ข้าได้ข่าวว่าเจ้าเลื่อมใสตานติ่งต้าซือเป็นอย่างยิ่ง เจ้าต้องการให้ข้าช่วยแนะนำเจ้ากับมันหรือไม่?”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!