บทที่ 705 ความลับพสุธาแดนดินและนภาเจิดจรัส
เสียงของหลี่จื้อฮว่า เจือความเยือกเย็นสุขุม แม้เสียงจะแผ่วเบา แต่กลับทำให้ วังจันทราสั่นไหว คลื่นเสียงโหมกระพือทำให้ทะเลเลือดรอบๆ ชื่อหมู่สงบลง
พวกสวี่ชิงก็โล่งอก ต่างถอยออกมาอย่างรวดเร็ว
พวกเขาทราบดีว่าการต่อสู้หลังจากนี้ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะเข้าร่วมได้ ต่อให้เป็นเตรียมสู่เทวะ…ก็ไม่คู่ควร
และเหนือทะเลเลือดเวลานี้ ชื่อหมู่สีหน้าไร้อารมณ์ ในดวงตาว่างเปล่ามีไฟสีเลือดสองดวงจุดขึ้น มองไปทางหลี่จื้อฮว่า ราวกับไม่ได้แปลกใจกับการคืนชีพและการมาถึงของเขา
“เสวียนโยวจากไป กาลเวลาผันเปลี่ยน หลี่จื้อฮว่า การที่เจ้าตื่นขึ้นมาไม่มีความหมาย”
ชื่อหมู่เอ่ยเสียงเรียบ ไม่มีอารมณ์เจือปน ไม่ยินดีไม่ยินร้าย
ในสายตาแต่ละคน เห็นภาพนี้แตกต่างกัน
ภาพในสายตาคนทุกคน เป็นสิ่งที่สัมผัสรับรู้ปรับเปลี่ยนไปโดยสัญชาตญาณให้อยู่ในขีดจำกัดที่รับได้ อย่างเช่นในสายตาเหล่ารัฐทายาท ชื่อหมู่ที่พวกเขาเห็นคือร่างผสมระหว่างรูปร่างมนุษย์กับขนนก โหดเหี้ยม ชั่วร้าย น่ากลัวอย่างยิ่ง
และเปลวไฟในดวงตา ก็ไม่ใช่เปลวเพลิง แต่เป็นดวงดาวที่กำลังเคลื่อนคล้อยเบาๆ สองดวง
นี่ก็คือเทพเจ้า เนื่องจากระดับขั้นชีวิตของเหล่าองค์ท่านสูงเกินไป ดังนั้นในสายตาสรรพชีวิต เทพเจ้าจึงมีหน้าตาแตกต่างกันไปนับไม่ถ้วน
ดังนั้นหากเทพเจ้าจะทำลายล้างโลกก็แสนจะง่ายดาย องค์ท่านแค่สะท้อนรูปร่างที่แท้จริงของตัวเองให้สรรพชีวิตเห็น เท่านี้ความตายก็จะมาเยือน
จากจุดนี้ ยังมองจุดที่น่ากลัวของเสี้ยวหน้าเทพเจ้าออกได้ เพราะสรรพชีวิตทุกเผ่าไม่ว่าจะพลังบำเพ็ญขั้นใด องค์ท่านที่มองเห็นล้วนเป็นแบบเดียวกัน
และตอนนี้ เสียงของชื่อหมู่ก็กระทบที่ข้างหูพวกสวี่ชิง กลายเป็นเสียงอัสนีครืนครัน แล่นแปลบปลาบอยู่ในใจ ทำให้ทุกคนไร้กำลังต้านทานในพริบตา
เหล่ารัฐทายาท ต่างสำแดงวิชาออกมา ให้ร่างกายตัวเองฝืนแบกรับไว้
สวี่ชิงก็ไม่ลังเลแต่อย่างมด หยิบดินเหนียวก้อนหนึ่งออกมากำไว้ในมือทันที
นี่เป็นสิ่งที่จิ้งจอกดินเหนียวมอบให้เขา
นายกองทางนั้น หยิบเส้นผมเส้นหนึ่งออกมาอย่างรวดเร็ว นี่คือตัวแทนของเทพชั้นสูงจันทราคิมหันต์ แม้อีกฝ่ายจะมาแล้วจากไป แต่นายกองก็เก็บเส้นผมนี้ติดตัวไว้ตลอด
มีเพียงหลี่จื้อฮว่า เขาไม่จำเป็นต้องต้านทานแต่อย่างใด ยืนเงียบๆ อยู่ในวังจันทรา มองชื่อหมู่ที่อยู่ตรงหน้า ครู่ต่อมาก็กล่าวด้วยเสียงอ่อนโยน
“ยังมีภารกิจอยู่”
ประโยคนี้สำหรับชื่อหมู่ เหมือนกลายเป็นการกระตุ้นบางอย่าง ดังนั้นพริบตาต่อมา เลือดที่ไหลอาบร่างชื่อหมู่ก็เพิ่มมากขึ้น หนามที่พันอยู่ก็รัดแน่นยิ่งขึ้น ตัวนางด้านในดอกไม้พลับพลึงแดงนับไม่ถ้วนที่เบ่งบานอยู่เหนือทะเลเลือดด้านหลัง สีหน้าเปลี่ยนเป็นอาฆาตแค้น คำรามต่ำออกมา
“ภารกิจ? ภารกิจของนภาเจิดจรัส หรือภารกิจของพสุธาแดนดิน!
“หลี่จื้อฮว่า เรื่องที่เคยเกิดขึ้นที่นภาเจิดจรัส เจ้าคงไม่ได้ลืมใช่หรือไม่
“เดิมทีพวกเรากำเนิดมาเป็นเทพ ใครกันที่ผนึกบรรพชนของพวกเรา ทำให้ทายาทเสียตำแหน่งเทพไป”
หลี่จื้อฮว่าหลับตาลง ผ่านไปนานเขาก็ส่ายหัว
“ไม่เคยลืม”
ทั้งร่างชื่อหมู่เปล่งแสงสีแดงวูบวาบ แสงสีชาดโถมขึ้นฟ้า ก้าวไปหาหลี่จื้อฮว่าก้าวหนึ่ง
“ใครที่ทำให้สิ่งที่เรียกว่าวิถีสวรรค์ปรากฏขึ้นบนแผ่นดินเทพของเรา แล้วสะกดพวกเราไว้
“และใครที่ผนึกพวกเราอยู่ใต้แผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ สร้างโลกผู้บำเพ็ญขึ้นมาบนแผ่นดินเทพของพวกเรา!”
จากเสียงที่สะท้อนก้อง รูปร่างหน้าตาของชื่อหมู่ในสายตาสวี่ชิงเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น รูปลักษณ์สตรีงามแต่เดิม บัดนี้กำลังสลายไป ขนนกสีเลือดแต่ละเส้นกำลังแทนที่เลือดเนื้อ
และนางยังกล่าวต่อว่า
“หลี่จื้อฮว่า ที่ข้าเลือกกลายเป็นเทพนั้นไม่ผิด ตอนที่เจ้าจากไปครั้งนั้นก็เหมือนกับข้า แต่ทำไมต่อมาเจ้าจึงดับไฟเทพ ทรยศสายเลือดของพวกเรา!
“เจ้ามาจากนภาเจิดจรัส แต่กลับกลายเป็นพสุธาแดนดิน!
“ข้ามาจากนภาเจิดจรัส แต่ยังคงเป็นตัวแทนแห่งนภาเจิดจรัส!”
หลังจากชื่อหมู่กล่าวจบ ก็มาปรากฏตรงหน้าหลี่จื้อฮว่า ในสายตาสวี่ชิงร่างกายของนางตอนนี้พลันไป รูปลักษณ์อย่างสตรีหายไปอย่างสิ้นเชิง เปลี่ยนไปเป็นเลือดเนื้อที่น่าหวาดกลัวเช่นตอนแรกอีกครั้ง
และเสี้ยวขณะนี้ ขนนกทุกเส้นก็สยายออกไปด้านนอกอย่างรวดเร็ว เผยให้เห็นด้านในของสิ่งที่ประกอบขึ้นจากเลือดเนื้อและขนนก ตรงนั้น…เป็นเบ้าตาขนาดยักษ์ ไม่มีลูกตา มีเพียงเลือดมหาศาลที่กำลังหลั่งทะลักออกมา
เผชิญหน้ากับคำพูดรวมถึงการเข้าประชิดของร่างเงาชื่อหมู่ หลี่จื้อฮว่าเงียบนิ่ง สุดท้ายก็ถอนหายใจออกมา เขายกมือขวาขึ้นยันไปทางท้องฟ้า
ท้องฟ้าถล่มทลายด้วยการผลักยันนี้ กลายเป็นเศษชิ้นส่วนนับไม่ถ้วนร่วงลงมา
และทุกชิ้น ขณะที่ร่วงลงมาก็เปลี่ยนแปลงไป กลายเป็นกลิ่นอายน่าครั่นคร้ามสะท้านฟ้าสะเทือนดินเป็นวูบๆ จากนั้น…ก็แปรเป็นเงามายานับไม่ถ้วน
ด้านในมีตะวันจันทราดวงดารา มีอสูรหงส์คู่มังกร ยิ่งมีวิญญาณบรรพกาลอยู่อีกหลายชนิด สวี่ชิงยังเห็นกระทั่งวิหคทองด้านในด้วย
จากการปรากฏตัวของพวกมัน จากการปะทุของกลิ่นอาย คลื่นพลังวิชาระดับจักรพรรดิวูบหนึ่ง ก็พวยพุ่งออกมาบนเงามายาที่เกิดขึ้นจากเศษชิ้นส่วนเหล่านี้
พวกมันล้วนเป็นวิชาระดับจักรพรรดิ รวบรวมจากหมื่นเผ่า มากมายมหาศาล มากเกินหมื่น
เวลานี้ถูกหลี่จื้อฮว่าอัญเชิญออกมาด้วยตัวเอง
พริบตาที่ปรากฏขึ้น วิชาระดับจักรพรรดิมากกว่าหมื่นนี้ ต่างสำแดงพลังต้นกำเนิดออกมา ชั่วพริบตา…ในเงามายาที่แปรมาจากวิชาระดับจักรพรรดิแต่ละตนก็ราวกับถูกปลดผนึก ปรากฏความต้องห้ามออกมา
อาวุธแต่ละชิ้น ของแต่ละอย่าง ในนั้นยังมีหอกยาวทำลายล้างที่สวี่ชิงสัมผัสได้จากวิหคทอง บัดนี้ทุกสิ่งกำลังปรากฏขึ้นมาบนฟากฟ้า
นี่คืออาวุธต้องห้าม!
การปรากฏตัวของพวกมัน ระเบิดคลื่นพลังน่าครั่นคร้ามสุดขีดออกมา จากนั้นก็พุ่งไปหาชื่อหมู่เพื่อสังหาร!
ตอนนั้นสวี่ชิงสัมผัสความลับของวิชาระดับจักรพรรดิจากในร่างกายวิหคทองได้ เขารู้ว่าวิชาระดับจักรพรรดิทั้งหมด อันที่จริงล้วนเป็นผนึกอย่างหนึ่ง ผนึกสิ่งที่วิถีสวรรค์ไม่อนุญาตให้ปรากฏ
ตอนนี้ เขาได้เห็นกับตา ระลอกคลื่นในใจพลันโหมกระหน่ำซัดไม่หยุด
พลังวิเศษเช่นนี้เป็นสิ่งที่อยู่เหนือจินตนาการ เตรียมสู่เทวะก็มิอาจครอบครอง
นี่เป็นพลังอันน่าตกตะลึงที่มีเพียงเจ้าเหนือหัวเท่านั้นถึงจะระเบิดออกมาได้
และไม่ว่าการลงมือของชื่อหมู่หรือการโต้กลับของหลี่จื้อฮว่า ล้วนเหนือกว่าขอบเขตความรู้ความเข้าใจของทุกคน ดังนั้นพริบตาต่อมา พวกสวี่ชิงต่างก็กระอักเลือด ถอยหลังออกไปด้วยสีหน้าหวาดผวาพรั่นพรึง
ภาพเบื้องหน้าพวกเขา ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงกับระดับที่รับไหวของแต่ละคน
โลกที่สะท้อนมาในดวงตาทั้งคู่สวี่ชิง ไม่มีหลี่จื้อฮว่าและไม่มีชื่อหมู่ ท้องฟ้าที่ถล่มลงมาตอนนี้แทนที่ด้วยภาพขนาดยักษ์ภาพหนึ่ง
ภาพนี้ประกอบด้วยสีสองสี แบ่งเป็นแดงกับขาว
สองสีนี้ตัดสลับกัน และแบ่งกันอย่างชัดเจน หมุนวนอยู่บนฟากฟ้า กลายเป็นคลื่นวนขนาดยักษ์วงหนึ่ง
ใจกลางคลื่นวนนี้ มีดวงตาสีขาวที่ลืมตาอยู่ดวงหนึ่ง มันไม่มีม่านตา ถูกแทนที่ด้วยหัวใจสีแดงดวงหนึ่ง และตอนนี้หัวใจที่กำลังเต้นส่งเสียงราวกับทัณฑ์สวรรค์ออกมา
และรอบดวงตามีขนตานับไม่ถ้วนงอกอยู่ ขนตาเหล่านี้ราวกับเป็นรยางค์ แผ่และโบกไปมาไม่หยุด เมื่อสัมผัสกันบางครั้ง จะมีเงาเลือนรางที่เกิดจากสีที่สามเป็นร่างๆ ปรากฏขึ้น
นั่นคือสีดำ ราวกับเงา รูปร่างไม่มีกฎเกณฑ์ พริบตาที่ปรากฏขึ้น พวกมันมักจะกลืนกินกันเอง
นี่คือสงครามเทพในสายตาสวี่ชิง
เพราะสงครามศึกนี้เหนือกว่าระดับพลังของเขา ดังนั้นการปะทะกันของหลี่จื้อฮว่ากับชื่อหมู่ จึงเหมือนภาพในเชิงนามธรรมอย่างยิ่งในสายตาเขา
สีแดงในภาพ เป็นตัวแทนของชื่อหมู่ สีขาวเป็นตัวแทนหลี่จื้อฮว่า
ส่วนสีที่สาม สวี่ชิงไม่เข้าใจ ดูเหมือนว่าจะเป็นเงาของหลี่จื้อฮว่ากับชื่อหมู่
ทำให้สวี่ชิงนึกถึงเงาของตน
“อาชิงน้อย จำภาพที่เห็นนี้เอาไว้ นี่คือการปะทะกันชั้นยอดระหว่างผู้บำเพ็ญกับเทพเจ้าสองระดับขั้นชีวิต!”
นายกองอยู่ข้างๆ สวี่ชิง กำเส้นผมจันทราคิมหันต์ไว้แน่นพลางจ้องมองท้องฟ้าอย่างหลงไหล เอ่ยพึมพำ
“ด้านหนึ่ง คือแสดงให้เห็นขั้นสูงสุดของเส้นทางบำเพ็ญ
“อีกด้านหนึ่ง คือการเลือกกลายเป็นเทพเจ้า ต้นกำเนิดภัยพิบัติมากมายบนแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์
“การบำเพ็ญของฝ่ายหน้า คือเส้นทางไปสู่ระดับสูงสุดของระดับขั้นชีวิตเส้นทางหนึ่ง ผู้บำเพ็ญที่ไปถึงจุดสูงสุดแล้ว จะถูกเรียกขานแตกต่างกันไป บางจักรวาลเรียกขานว่าผู้สูงส่ง บ้างก็เรียกขานว่าเซียน
“ในแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ ผู้บำเพ็ญสูงสุดเช่นนี้ ถูกเรียกว่าเจ้าเหนือหัว
“นี่คือสิ่งที่ผู้บำเพ็ญโหยหาตลอดทั้งชีวิต และเป็นความปรารถนาที่ถวิลหากระทั่งยามหลับฝัน
เสียงของนายกองดังอยู่ข้างหูสวี่ชิง แฝงกาลเวลารวมถึงการข้ามผ่านห้วงเวลามาเนิ่นนานบางส่วนเอาไว้
“ศิษย์น้องเล็ก เจ้ารู้หรือ อันที่จริงแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ ยังมีอีกตำนานที่เก่าแก่ยิ่งกว่า…”
“ตำนานหรือขอรับ” สวี่ชิงใจกระตุก
“ในตำนานซึ่งนานแสนนานมาแล้ว แผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ไม่ได้เป็นอย่างเช่นปัจจุบัน ที่นี่ไม่มีผู้บำเพ็ญ ไร้กฎเกณฑ์ และแน่นอนว่าไม่มีวิถีสวรรค์
“แต่ผู้บำเพ็ญนั้นมาจากโลกเบื้องล่าง
ผู้บำเพ็ญของโลกเบื้องล่างระดับสูงสุด หลังจากมาถึงระดับเซียนแล้ว พวกเขาจะท่องไปยังจักรวาลและโลกอีกนับไม่ถ้วน ไม่มีสิ่งใดที่คุกคามเซียนได้
“พวกเขาควบคุมกฎเกณฑ์ทั้งหมด กระจ่างแจ้งต้นกำเนิดทุกอย่าง เข้าไปในมิติได้ตามใจ ปรับเปลี่ยนสรรพสิ่ง และสร้างสรรพชีวิตขึ้นมาได้”
สวี่ชิงฟังถึงตรงนี้ ก็ใจสั่นสะท้าน
นายกองมองท้องฟ้า ยังคงพึมพำ
“จะเซียนก็ดี เจ้าเหนือหัวก็ดี พวกเขาในระดับหนึ่งจะไม่ตายไม่ดับสูญ อายุยืนยาว ความคิดและความปรารถนามีเปลี่ยนแปลงไปบางส่วน สิ่งที่พวกเขาแสวงหาคือมรรคา เป็นการบุกเบิกหลังจากเส้นทางบำเพ็ญสายนี้มาถึงปลายทาง
“และจากประสบการณ์ที่ต่างกัน ความรู้ความเข้าใจที่ต่างกัน ความฝันที่ต่างกัน ดังนั้นการบุกเบิกของแต่ละคนจึงไม่เหมือนกัน บ้างเป็นเซียนที่เดินไปไกลแสนไกลแล้ว แต่ก็มีบางคนที่ยังย่ำอยู่ที่เดิม
“ดังนั้น ยุคสมัยของในอดีต สิ่งที่คุกคามเซียนได้ มีเพียงตัวพวกเขาเองเท่านั้น
“จนกระทั่ง การก้าวไปด้านหน้าของพวกเขา…ทำลายกำแพงโลก จากโลกเบื้องล่างมาสู่โลกเบื้องบน ดังนั้นตัวตนอีกระดับขั้นชีวิตอย่างเทพเจ้าจึงปรากฏขึ้นในความรู้ความเข้าใจของเซียน
“ในวินาทีนั้น ก็เปลี่ยนไปแล้ว
“พวกเขาได้ทราบว่าในจักรวาลและโลกมากมายนับไม่ถ้วน ความจริงแล้วไม่ใช่ของเหล่าผู้บำเพ็ญ
“ไม่ว่าจะอดีต ปัจจุบัน อนาคต ทั้งหมดทั้งมวล นิยามทั้งหมด โดยสรุปแล้วล้วนมาจากเทพเจ้า
“เป็นเทพเจ้าที่แบ่งโลกเป็นเบื้องบนและเบื้องล่าง
“โลกเบื้องล่างพสุธาแดนดิน โลกเบื้องบนนภาเจิดจรัส
“คำว่ากบในกะลาจึงกลายเป็นการเปรียบเปรยที่เหมาะสมกับผู้บำเพ็ญที่สุดในตอนนั้น
“ดังนั้น สงคราม…จึงบังเกิดขึ้น
“นั่นคือศึกของเซียนและเทพเจ้า เป็นศึกโลกเบื้องล่างและโลกเบื้องบน ยิ่งเป็นศึก…ของพสุธาแดนดินกับนภาเจิดจรัส”
นายกองเสียงแผ่วลง เล่าถึงตรงก็หยุดไปครู่หนึ่ง
สวี่ชิงแผ่จิตเทพออกไปตามสัญชาตญาณ
‘แล้วบทสรุปเล่าขอรับ’
“ศึกนั้น เซียนได้รับชัยชนะ แต่ก็พ่ายแพ้เช่นกัน” นายกองพึมพำ
“นภาเจิดจรัสล่มสลาย กลายเป็นแดนต้องห้ามที่ถูกผนึก วิถีสวรรค์ถูกยกขึ้น กฎเกณฑ์ถูกนิยามใหม่ นี่คือสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าเป็นชัยชนะแห่งเซียน แต่ในตอนนั้นเอง เซียนที่มาจากโลกเบื้องล่างก็ได้รู้ความจริงอันน่าสิ้นหวังเรื่องหนึ่ง
“นภาเจิดจรัสที่กว้างใหญ่ไพศาลไร้ที่สิ้นสุด เป็นเพียงดินแดนเทพแห่งหนึ่งของเทพเจ้าเท่านั้น
“และโลกเบื้องบนที่กว้างใหญ่ไพศาลใบนี้ ดินแดนเทพเช่นนี้…มีมากมายนัก นภาเจิดจรัสเป็นเพียงภูเขาน้ำแข็งมุมหนึ่ง ไม่ได้แข็งแกร่งที่สุด
“ที่แห่งนี้เป็นของเหล่าเทพเจ้าอย่างแท้จริง”
พูดถึงตรงนี้ นายกองก็หันหน้ามาสบตากับสวี่ชิง
“และหลี่จื้อฮว่ากับชื่อหมู่ พวกเขา…ล้วนมาจากนภาเจิดจรัส”