Skip to content

I Shall Seal The Heaven Chapter 487

ตอนที่ 487

ขุดรากถอนโคนเผ่าห้าพิษ

“น่ารังเกียจนัก!!” ผู้เฒ่าสูงสุดเผ่าห้าพิษกล่าว สีหน้ามันเปลี่ยนไปขณะที่จ้องไปยังเมิ่งฮ่าว ขบฟันแน่นขณะที่ถอยไปด้านหลังโดยไม่รู้ตัว ตอนนี้มันไม่ได้อยู่ในขั้นสุดท้ายวิญญาณแรกก่อตั้งอีกต่อไป ดังนั้นการที่ต้องมาเผชิญหน้ากับเมิ่งฮ่าว ก็ทำให้จิตใจมันมากกว่าครึ่งเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

ขณะที่คำพูดหลุดออกมาจากปาก เสียงแหลมเล็กก็ได้ยินออกมาจากที่ห่างไกล ซึ่งไม่ใช่อะไรอื่นนอกจากเป็นร่างจำแลงโลหิต เมื่อสังหารสองเซิ่งจู่ภาพศักดิ์สิทธิ์อันยิ่งใหญ่เรียบร้อยแล้ว มันก็รีบใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็วด้วยความกระหายเลือด

ทันใดนั้น เมิ่งฮ่าวก็ตระหนักว่าเขาไม่อาจจะสัมผัสได้ถึงการเชื่อมต่อกับร่างจำแลง เพียงชั่วพริบตา เงาร่างสีโลหิตก็โจมตีไปยังผู้เฒ่าสูงสุดเผ่าห้าพิษ

นี่เป็นบุคคลคนเดียวกับที่เคยยืนอย่างสูงส่งและหยิ่งยโส อยู่ด้านนอกของเผ่าอีกาศักดิ์สิทธิ์เมื่อสองปีก่อน ตอนนี้ใบหน้ามันเต็มไปด้วยความตกใจ และส่งเสียงร้องอย่างตื่นตระหนกออกมา พลังระเบิดออกมาจากพื้นฐานฝึกตน ขณะที่ความสามารถศักดิ์สิทธิ์และอาวุธเวทปรากฎขึ้น มันทุ่มสุดกำลังเพื่อพยายามต่อต้านร่างจำแลงโลหิต แต่ร่างจำแลงโลหิตก็พุ่งทะลุผ่านความสามารถศักดิ์สิทธิ์และอาวุธเวททั้งหมดไป พุ่งโจมตีมาที่มัน ทันใดนั้น เวลาก็ดูเหมือนจะเดินช้าลงไปชั่วขณะ

เมื่อร่างจำแลงโลหิตออกไปจากผู้เฒ่าสูงสุด ร่างของมันก็แห้งเหี่ยวลง พลังชีวิตถูกดูดกลืนกินไป แม้แต่วิญญาณแรกก่อตั้งก็เหือดแห้งและตายไป ร่างของมันในตอนนี้กลายเป็นซากศพที่แห้งกรัง โลหิตเหือดแห้งหายไปโดยสิ้นเชิง

ซากศพที่แห้งกรังตกลงไปบนพื้น ใบหน้าของมันเป็นใบหน้าเดียวกันกับใบหน้าก่อนตาย หวาดกลัว, ตกตะลึง และเสียใจอย่างลึกล้ำ…

ร่างจำแลงโลหิตพุ่งฝ่าอากาศตรงไปยังกลุ่มคนที่ต่อสู้กันอยู่ กระแทกเข้าไปยังผู้ฝึกตนเผ่าห้าพิษ มันพุ่งผ่านสนามรบไปราวกับเป็นทะเลแห่งโลหิต ทิ้งไว้แต่ซากศพที่แห้งกรังอยู่เบื้องหลัง

หัวหน้าเผ่าห้าพิษมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ และร่างที่แก่ชราของมันดูเหมือนจะกระจายปราณแห่งความตายออกมามากยิ่งขึ้น ดูเหมือนมันจะชราลงจนอาจจะตกตายไปได้ทุกเมื่อ

“เผ่าห้าพิษพ่ายแพ้ในการต่อสู้นี้แล้ว” มันกล่าว ขณะที่เสียงแผดร้องอย่างน่าอนาถใจดังก้องออกมาอย่างต่อเนื่อง ความเจ็บปวดเต็มอยู่ในจิตใจ ขณะที่มันหันหน้าไปหาเมิ่งฮ่าว ประสานมือและโค้งตัวลงต่ำ “เหล่าฟู (ผู้ชรา) อยากจะขอร้องอย่างจริงจังต่อเซิ่งจู่เผ่าอีกาศักดิ์สิทธิ์ ได้โปรดให้ความหวังต่อเผ่าห้าพิษสักเล็กน้อย…”

เมิ่งฮ่าวมองกลับไปที่มันอย่างเงียบๆ เสียงแผดร้องอย่างน่ากลัวเสียงแล้วเสียงเล่าดังเต็มอยู่ในอากาศ หลังจากผ่านไปนานชั่วครู่ เมิ่งฮ่าวก็กล่าวตอบเสียงราบเรียบ “ถ้าเผ่าอีกาศักดิ์สิทธิ์เป็นผู้พ่ายแพ้ และข้าร้องขอเช่นนี้บ้าง ท่านจะยินยอมหรือไม่?”

หัวหน้าเผ่าห้าพิษเต็มไปด้วยความขมขื่น มันรู้ว่าเรื่องเช่นนั้นไม่มีวันเกิดขึ้น ถ้าชัยชนะในการต่อสู้ครั้งนี้เป็นของเผ่าห้าพิษ เผ่าอีกาศักดิ์สิทธิ์ก็ต้องถูกกวาดล้างไปจนหมดสิ้น รวมทั้งคนชรา เยาว์วัย และสมาชิกที่เป็นคนธรรมดาของเผ่า ทั่วทั้งเผ่าจะถูกกำจัดแบบขุดรากถอนโคนไปโดยสิ้นเชิง

นี่ไม่ใช่ความแค้นส่วนตัว มันเป็นสงครามระหว่างชนเผ่า ไม่มีความเมตตา ไร้ซึ่งความสงสาร มีแต่ฝ่ายหนึ่งรอด…และอีกฝ่ายตกตายไป!

“เหล่าฟูเข้าใจ ถ้าเช่นนั้น…เจ้าและข้าก็มาต่อสู้กัน!” มันสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ ขณะที่เงยหน้าขึ้น ดวงตาเต็มไปด้วยความต้องการต่อสู้ แต่ลึกลงไปด้านใน ความต้องการต่อสู้นั้นจริงๆ แล้วก็คือการตัดสินใจที่จะตกตายไป

“การถูกสังหารโดยเซิ่งจู่เผ่าอีกาศักดิ์สิทธิ์ เหล่าฟูถือว่าเป็นความตายที่คู่ควรยิ่ง” หัวหน้าเผ่ากล่าวเสียงแผ่วเบาต่อไป “ในฐานะของหัวหน้าเผ่าห้าพิษ ข้าขอสาบแช่งเจ้าและเผ่าอีกาศักดิ์สิทธิ์…กลับกัน ถึงแม้จะต้องมาพบกับความตายบนเส้นทางที่ทอดไปสู่ดินแดนสีดำ พวกเราต่างก็เป็นผู้ฝึกตนของทะเลทรายตะวันตก…ข้าหวังว่าเมื่อวันนั้นมาถึง เผ่าอีกาศักดิ์สิทธิ์…จะเจริญรุ่งเรืองกว่าในอดีตที่ผ่านมา สุดท้ายแล้ว พวกเราทั้งหมดต่างก็เป็นผู้ฝึกตนของทะเลทรายตะวันตก!” ด้วยเช่นนั้น ร่างของมันก็แวบขึ้นขณะที่พุ่งตรงมายังเมิ่งฮ่าว

เมิ่งฮ่าวเห็นความตั้งใจต้องการตายไปของหัวหน้าเผ่าห้าพิษ และเขาก็แอบถอนหายใจด้วยความเสียใจออกมา อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์นี้ก็ไม่ได้ทำให้เขาสะเพร่าเลินเล่อ ดวงตาสาดประกายด้วยความเย็นชาขณะที่ก้าวเดินไปข้างหน้า

คนทั้งสองปะทะกันกลางอากาศ ทำให้เกิดเป็นเสียงระเบิดดังก้องไปทั่วทั้งสนามรบ หัวหน้าเผ่าปลดปล่อยความสามารถศักดิ์สิทธิ์ออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า ราวกับเป็นบุปผาที่กำลังร่วงโรย แต่ต้องการจะเปล่งประกายแห่งชีวิตออกมาให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

ท่ามกลางเสียงระเบิด วิชาเวทกระแทกเข้าหากัน และความสามารถศักดิ์สิทธิ์ก็ระเบิดออก ผู้ฝึกตนเผ่าห้าพิษกำลังตกตายไปทั่วทุกหนทุกแห่งในสนามรบ อย่างไรก็ตาม เสียงแผดร้องอย่างน่าอนาถใจในตอนนี้ก็เริ่มแผ่วเบาลง, เบาลง และเบาลงไปเรื่อยๆ

หลังจากสูดลมหายใจเข้าออกผ่านไปสิบครั้ง หัวหน้าเผ่าห้าพิษก็กระอักโลหิตออกมา หัวเราะเป็นเสียงดัง อีกครั้งที่มันพุ่งตรงมายังเมิ่งฮ่าว

หลังจากยี่สิบลมหายใจผ่านไป มันก็สูญเสียแขนไปหนึ่งข้าง แต่ก็ยังคงหัวเราะเยาะเย้ยต่อสวรรค์ มันยังคงพุ่งตรงมายังเมิ่งฮ่าวอย่างดื้อรั้น

สามสิบลมหายใจหลังจากนั้น เสียงกระหึ่มกึกก้องก็ดังเต็มอยู่ในอากาศ ขณะที่กลุ่มหมอกขนาดใหญ่พุ่งขึ้นไปในอากาศ เมิ่งฮ่าวค่อยๆ ดึงเอาหน้ากากสีโลหิตออกมาจากใบหน้า หันหลัง และเดินจากไป ที่ด้านหลัง หัวหน้าเผ่าห้าพิษระเบิดออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยนับไม่ถ้วน ก่อนที่มันจะตกตายไป ความสับสนเต็มอยู่ในแววตา ภายในความสับสนนั้น เป็นความรู้สึกที่ได้ปลดปล่อย เป็นอิสระจากความกังวลทางโลกทั้งหมดไป

มันตายไป ทั้งร่างกายและวิญญาณ!

ยากที่จะบอกว่าเป็นการวางแผนมาก่อนล่วงหน้าหรือไม่ แต่ในทันทีที่หัวหน้าเผ่าห้าพิษตายไป ก็เป็นเวลาเดียวกับที่ร่างจำแลงโลหิต ได้ดูดกลืนชีวิตและโลหิตจากผู้ฝึกตนเผ่าห้าพิษคนสุดท้ายที่อยู่ในสนามรบไป

การต่อสู้กับเผ่าห้าพิษในตอนนี้ได้จบลงไปโดยสิ้นเชิง

อย่างไรก็ตาม ขณะที่เมิ่งฮ่าวถอนหายใจอย่างโล่งอกออกมา ม่านตาเขาทันใดนั้นก็หดเล็กลง จู่ๆ ร่างก็แวบขึ้น ไปปรากฎขึ้นอีกครั้งตรงหน้าหนึ่งในสมาชิกของเผ่าอีกาศักดิ์สิทธิ์ ยกมือขึ้นมาและผลักออกไปที่เบื้องหน้า

“ไสหัวไป!” เขากล่าวด้วยสีหน้าดุร้าย เกิดเป็นเสียงดังราวกับเสียงฟ้าผ่า ทุกสิ่งทุกอย่างสั่นสะเทือน และดังก้องออกไปทั่วทุกทิศทาง การแสดงออกเมื่อครู่นี้ดูเหมือนจะทำให้อากาศสั่นสะเทือน ระลอกคลื่นกระจายออกไป เผยให้เห็นบางสิ่งบางอย่างกำลังพุ่งผ่านอากาศมา ซึ่งเมิ่งฮ่าวเพิ่งจะสกัดกั้นไว้…ร่างจำแลงโลหิต!

นี่เป็นร่างจำแลงโลหิตตระกูลจี้ซึ่งดูเหมือนกับเมิ่งฮ่าวในทุกแง่มุม ยกเว้นแต่มีแสงสีโลหิตกระจายออกมาจากร่างมัน เมื่อเกิดขึ้นเช่นนี้ มันก็ยืนอยู่ที่นั่นตรงหน้าเมิ่งฮ่าว ดวงตาสาดประกายด้วยความไม่พอใจและกระเสือกกระสนดิ้นรนออกมา หลังจากที่มันสังหารสมาชิกเผ่าห้าพิษคนสุดท้าย ด้วยความกระหายเลือดทำให้มันมองหาสิ่งมีชีวิตที่อยู่ใกล้ เพื่อจะกลืนกินตามสัญชาตญาณในทันที

ในตอนนี้ กลุ่มคนเผ่าอีกาศักดิ์สิทธิ์เริ่มส่งเสียงถอนหายใจด้วยความโล่งอกออกมา ขณะที่ความบ้าคลั่งแห่งการต่อสู้ค่อยๆ จางหายไป พวกมันรีบถอยไปด้านหลังอย่างรวดเร็ว นำสัตว์ปีศาจไปพร้อมกันด้วย

เพียงไม่นาน กลุ่มคนทั้งหมดของเผ่าและสัตว์ปีศาจต่างก็มาอยู่ที่ด้านหลังเมิ่งฮ่าว แม้แต่สัตว์อสูรเทียมสวรรค์ก็ล่าถอยไป หอบหายใจ เกิดความหวาดกลัวต่อร่างจำแลงโลหิตตามสัญชาตญาณมีแต่ผีโต้งและนกแก้วที่กล้าจะยืนอยู่ที่นั่น เกาะอยู่บนไหล่ของเมิ่งฮ่าวคนละข้าง มองอย่างวางมาดไปยังร่างจำแลงโลหิตตระกูลจี้ ซึ่งยืนอยู่เบื้องหน้า

“เจ้าสารเลวนี่ดูน่าเกลียดนัก” นกแก้วกล่าวประเมิน “ไม่มีขน ไม่มีแม้แต่เส้นเดียว! สิ่งของเช่นนี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร? แต่ทำไมอู่เหยียถึงได้รู้สึกคุ้นเคยกับมันนัก? ช่างน่าแปลกใจจริงๆ…”

ผีโต้งรู้สึกอยากรู้อยากเห็นต่อร่างจำแลงโลหิตนี้ พินิจพิเคราะห์ดูอย่างละเอียด จากนั้นก็ร้องทักออกมาด้วยความเป็นมิตร “ไฮ่ สบายดีหรือไม่ ข้าคือซานเหยีย ให้ข้าบอกอะไรเจ้าบางอย่าง เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้านับได้ถึงเท่าไหร่? ข้านับได้ถึงสาม…”

ร่างจำแลงโลหิตจ้องมองมายังเมิ่งฮ่าว ไม่สนใจทั้งนกแก้วและผีโต้งโดยสิ้นเชิง ความหยิ่งยโสอันติดตัวมาแต่กำเนิดมีอยู่ภายในร่างนั้น ซึ่งดูเหมือนจะขัดแย้งกับผนึกที่เชื่อมต่อระหว่างมันกับเมิ่งฮ่าว ความขัดแย้งนี้ทำให้ใบหน้ามันบิดเบี้ยว และทันใดนั้นก็ส่งเสียงคำรามตรงมายังเมิ่งฮ่าว

พื้นฐานฝึกตนของมันพิเศษเป็นอย่างยิ่ง ไม่อาจจะสัมผัสถึงสิ่งที่คล้ายกับเป็นสร้างแกนลมปราณ, วิญญาณแรกก่อตั้ง หรือตัดวิญญาณ ราวกับว่ามันไม่มีพื้นฐานฝึกตน สิ่งที่มันมีทั้งหมดก็คือกลิ่นอาย เป็นกลิ่นอายอันน่ากลัวเกินกว่าพื้นฐานฝึกตน กลิ่นอายนี้ทำให้มันดูเหมือนเป็นศัตรูอันน่ากลัวต่อสิ่งมีชีวิตใดๆ ทั้งหมด

ยิ่งไปกว่านั้น ดูเหมือนว่าการดูดซับโลหิตและพลังชีวิตของผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่ง ก็ทำให้กลิ่นอายของมันยิ่งมีความกล้าแกร่งมากขึ้น เมิ่งฮ่าวมีความรู้สึกว่าถึงแม้เขาจะเป็นผู้สร้างมันขึ้นมา ถ้าไม่ใช่ว่าเป็นเพราะมรดกเวทของเซียนโลหิต รวมถึงวิธีการควบคุมอื่นๆ มันก็คงจะกระทำเรื่องอันน่ากลัวตามสัญชาตญาณอันดุร้ายออกมา

เมื่อมองไปยังร่างจำแลงโลหิตตระกูลจี้ส่งเสียงคำรามอยู่ที่นั่น จิตใจเขาก็ตกวูบลงไปเล็กน้อย จากบันทึกของขุมทรัพย์เซียนโลหิต เขารู้ว่ามักจะมีโอกาสเกิดการแหกคอกขึ้น เมื่อใช้โลหิตกลั่นสกัดเป็นวิญญาณออกมา กล่าวโดยทั่วไปแล้วมันอาจจะเกิดขึ้นเมื่อโลหิตศักดิ์สิทธิ์โผล่ออกมา ยากที่จะเกิดขึ้นกับวิญญาณโลหิต และโอกาสที่จะเกิดขึ้นกับร่างจำแลงโลหิตก็แทบจะไม่มีเลย

แต่ร่างจำแลงโลหิตตระกูลจี้นี้ ถึงแม้จะอยู่ในช่วงการเป็นร่างจำแลงโลหิตเท่านั้น จู่ๆ มันก็แสดงให้เห็นสัญญาณของการขบถออกมา ไม่ต้องสงสัยเลยว่าสถานการณ์เช่นนี้เป็นสิ่งที่เซียนโลหิตคาดคิดไม่ถึงมาก่อน

สถานการณ์ในตอนนี้ทันใดนั้นก็ทำให้เมิ่งฮ่าว คิดไปถึงหยดโลหิตอันลึกลับนั่น

ในตอนนี้เองที่ดวงตาสีแดงของร่างจำแลงโลหิตตระกูลจี้แวบขึ้น มันส่งเสียงคำรามและพุ่งตรงมายังเมิ่งฮ่าว แต่ทันใดนั้น ดวงตาเมิ่งฮ่าวก็สาดประกายด้วยแสงสีแดง ม่านตาเขากลายเป็นสีแดงจ้า และสัญลักษณ์เวทก็ปรากฎขึ้นอยู่ภายใน

ฉับพลันนั้นก็ทำให้ร่างจำแลงโลหิตแผดร้องออกมา และถอยห่างออกมาจากเมิ่งฮ่าว

เมิ่งฮ่าวแค่นเสียงเย็นชา ยกมือขวาขึ้นร่ายเวท ใช้วิชามรดกเซียนโลหิตออกไปโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย พลังทั้งหมดไหลเข้าไปในผนึกซึ่งเขาได้วางไว้ที่ภายในของร่างจำแลง ในช่วงของการกลั่นสกัดมันขึ้นมา

ร่างจำแลงโลหิตส่งเสียงแผดร้องอย่างน่าอนาถใจออกมา และเริ่มตัวสั่นสะท้าน หลังจากเวลาชั่วธูปไหม้หมดครึ่งดอกผ่านไป ร่างของมันทันใดนั้นก็สลายกลายเป็นหยดโลหิตไป เมิ่งฮ่าวโบกสะบัดมือเพื่อเก็บรวบรวมผนึก จากนั้นก็หยิบหยดโลหิตนั้นขึ้นมา

ทันทีที่หยดโลหิตสัมผัสฝ่ามือ มันก็กลายเป็นเส้นใยของเส้นไหม นี่เป็นเส้นใยของดักแด้ไร้ตา ซึ่งเป็นสิ่งที่เมิ่งฮ่าวใช้สร้างเป็นแกนหลักของร่างจำแลงโลหิตตระกูลจี้

สีหน้าเมิ่งฮ่าวสงบนิ่งเหมือนเช่นเคย ขณะที่เขาจัดการกับร่างจำแลงโลหิต ส่วนลึกในจิตใจก็เต็มไปด้วยความหดหู่ นี่เป็นครั้งแรกที่ร่างจำแลงโลหิตได้แสดงให้เห็นถึงสัญญาณของการเป็นขบถ ทำให้เมิ่งฮ่าวต้องปลดปล่อยพลังทั้งหมดของการปิดผนึกออกมา ถ้ามันเกิดขึ้นอีกครั้ง เขาก็เกรงว่าการใช้ผนึกเช่นเดียวกันนี้อาจจะไร้ผล

ดวงตาเขาสาดประกายตกอยู่ในห้วงความคิด

“ถ้าข้ากลั่นสกัดร่างจำแลงโลหิตโดยการใช้วิชาเวทสำหรับวิญญาณโลหิต ประสิทธิภาพของผนึกก็น่าจะเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย” เมื่อตัดสินใจได้แล้ว เมิ่งฮ่าวก็นำเผ่าอีกาศักดิ์สิทธิ์ และฝูงสัตว์ปีศาจออกไปจากสนามรบ เขาเก็บรวบรวมซากศพของเซิ่งจู่ภาพศักดิ์สิทธิ์ รวมถึงยานบินของเผ่าห้าพิษไว้ และค่อยๆ เคลื่อนที่จากไปอย่างช้าๆ

หลังจากพวกเขาจากไป ระลอกคลื่นก็ปรากฎขึ้นในอากาศบนยอดเขา ซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกลนักจากสนามรบ บริเวณนั้นใกล้จะจมอยู่ใต้น้ำของฝนม่วงไปแล้ว จื่อเซียงปรากฎกายขึ้นอย่างน่ามหัศจรรย์ นางหัวเราะหึๆ ขณะที่มองไปยังทิศทางที่เผ่าอีกาศักดิ์สิทธิ์เดินทางจากไป

“ดูเหมือนว่าข้าประเมินมันต่ำไปอีกครั้ง…ข้าคิดว่ามันคงจะต้องจ่ายค่าตอบแทนอย่างใหญ่หลวง เพื่อให้ได้ชัยชนะมา บางทีมันอาจะสูญเสียปราณกระบี่เริงระบำไปบ้าง ไม่เคยคิดเลยว่าสิ่งที่มันทำทั้งหมดก็คือใช้พลังของฉีหนานออกมา”

“มันสามารถเรียกใช้ฉีหนานได้กี่ครั้ง และมีปราณกระบี่อยู่เท่าใดกันแน่?” จื่อเซียงจมอยู่ในห้วงความคิด ยืนอยู่ที่นั่นชั่วขณะ คิ้วขมวดมุ่น ในที่สุดนางก็ยิ้มออกมา

“ไม่เป็นไร ข้าจะคิดเรื่องเหล่านี้ไปเพื่ออะไรกัน? ยังมีเวลาอีกหลายปีก่อนที่อาณาจักรเซียนอสูรโบราณจะเปิดออกอีกครั้ง ข้าน่าจะใช้ชีวิตให้มีความสุขอยู่ในดาวหนานเทียนแห่งนี้” นางส่งเสียงหัวเราะ ร่างแวบขึ้นหายตัวไป

ในตอนที่นางหายลับตาไป เมิ่งฮ่าวซึ่งกำลังเดินนำกลุ่มคนเผ่าอีกาศักดิ์สิทธิ์อยู่ ทันใดนั้น ก็หันหน้ามองกลับไปด้านหลัง ดวงตาสาดประกายเจิดจ้า

 

 

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!