Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 215

ตอนที่ 215 รับสมัครทหารในตลาดนัด เรื่องปกติกลับแปลกประหลาด

บ่ายวันที่ 28 เดือนสิบสอง บรรดาพลทหารกองพันองครักษ์เสื้อแพรประจำเทียนจินก็ได้รับเบี้ยหวัด 6 เดือน ก็ไม่มาก คนละสองสามตำลึงเท่านั้น

ขณะประคองก้อนเงินขาววาววับไว้ในมือ มีองครักษ์เสื้อแพรบางคนถึงกับปล่อยโฮออกมากลางท้องถนน ทำเอาบรรดาคนมุงพากันวิพากษ์วิจารณ์ไม่หยุด

ในมือของนายกองตรวจการฟานต๋ามีทั้งเงินและเสบียง ตอนตัดสินใจมอบเงินให้ก็รวดเร็วอยู่ แต่ไม่ได้ทำตามที่หวังทงกล่าวไว้ว่าให้จ่ายตามกองพันที่ต้องมีจำนวนพันนาย

ตอนนี้ในสมุดจดของกองตรวจการตรวจนับคนของกองพันองครักษ์เสื้อแพรได้ทั้งหมด 246 นาย ฟานต๋าจึงได้จ่ายมา 28 เดือนตามจำนวนคนเท่านี้เท่านั้น

“ในเมื่อใต้เท้าหวังบอกว่าพันนาย เช่นนั้นตามกฎกรมทหาร ปีหน้าไปแล้วข้าก็จะตรวจนับ หากว่ามีจำนวนตามที่ว่า เช่นนั้นก็จะจ่ายให้ครบพันนาย”

*******

“หลายปีนี้ ทหารกององครักษ์เสื้อแพรประจำเทียนจินได้ไร้จิตใจผู้กล้าเช่นชาวฝึกยุทธ์ไปหมดแล้ว เงินที่ค้างไว้หากแจกจ่ายให้หมด เกรงว่าหลายคนคงไม่กลับมาแล้ว”

หวังทงกล่าวอยู่ในบ้านที่เพิ่งเช่ามาใหม่ๆ ตอนกลางวันพวกเขาไปเอาเรื่องเบี้ยหวัดกันมาที่กองตรวจการ ถานเจี้ยนนำคนในพื้นที่สองสามคนออกไปหาเช่าบ้านหลังใหญ่ ให้พวกผู้หญิง คนชราและเด็กๆ เข้าไปอยู่กันก่อน

กลางวันแจกจ่ายไปแค่ 6 เดือน เงินที่เหลือก็ถูกหวังทงเก็บขึ้น กล่าวไว้อย่างชัดเจนว่าเงินพวกนี้จะแจกแต่ละเดือนหลังปีใหม่ไป

ทุกคนกินอาหารค่ำเสร็จ ก็ถูกหวังทงเรียกมารวมตัวกันที่โถงกลาง บ้านเพิ่งเช่ามา ไม่มีเครื่องเรือนอะไรทุกคนยืนอยู่ตรงนั้น หวังทงกล่าวจบว่าทำไมจึงให้คนเหล่านี้เพียงแค่ 6 เดือน ซุนต้าไห่ก็รีบร้อนกล่าวขึ้นว่า

“ใต้เท้า ฉลองปีใหม่เสร็จกองตรวจการก็จะมาตรวจนับทหารที่เราแล้ว ตอนนี้นับพวกเราพี่น้องรวมเข้าไปก็แค่ 400 กว่า จะไปหาที่ไหนมาได้มากมายขนาดนั้น หรือว่าไปพูดกับเจ้าหังต้าเฉียวนั้น เขาเป็นคนในพื้นที่ ไปตามพวกที่หนีไปก่อนหน้านี้กลับมาให้หมด”

หวังทงโบกมือ กล่าวอย่างไม่สนใจว่า

“พวกไร้ค่าพวกนั้นไปตามกลับมาทำไมกัน สถานะเขายังทิ้งไปได้ ไยต้องยกใส่พานให้พวกนั้นกัน!”

ซุนต้าไห่กำลังคิดจะถามต่อ หวังทงก็หัวเราะกล่าวตามมาว่า

“ในพื้นที่กองกำลังเช่นนี้ ไม่ต้องกังวลว่าเรื่องกำลังคนหรอก สามกองกำลังเทียนจินแห่งนี้ตั้งแต่อดีตฮ่องเต้จูตี้ทรงจัดตั้งขึ้นมา แต่ละครอบครัวมีลูกเป็นทหารได้แค่คนเดียว ไม่ได้มีที่นาให้ทำมากขนาดนั้น และทุกคนก็ไม่ได้เรียนหนังสือหรือทำการค้า ก็ไม่รู้ว่ามีคนอีกมากมายเท่าไรที่ไม่มีงานทำ ซานเปียว พรุ่งนี้ที่หอกลองตรงนั้น คนนอกเมืองในเมืองต่างก็พากันมาค้าขายสินค้าฉลองปีใหม่ เจ้าไปกับข้า พวกเราไปรับสมัครคนกัน!”

*******

ที่จวนของฟานต๋า คนงานแต่ละกันกำลังหวาดกลัวเสียขวัญ กลางวันเกิดเรื่องขึ้นที่ที่ทำการนั่น พวกเขาย่อมรู้

ตอนกลับมา นายท่านเรายังลงแส้คนงานผู้หนึ่งที่ทำผิดเล็กน้อยเสียเกือบตาย ยิ่งเห็นได้ชัดถึงการวิเคราะห์ของทุกคน นายท่านเราเสียหน้ามาจริงๆ จึงโมโหราวฟ้าผ่าเช่นนี้

แต่การกระทำของนายท่านฟานก็ช่างแปลก กลับถึงบ้านก็ส่งคนไปตามพลส่งข่าวจากนอกเมืองมาที่จวน ยังเลี้ยงดูอย่างดี และนายท่านฟานก็เข้าไปในห้องหนังสือ ถึงตอนนี้ก็ยังไม่ออกมา

เห็นว่าฟ้าใกล้มืดแล้ว อีกสองวันก็จะฉลองปีใหม่กันแล้ว ทุกคนไม่กล้าเผยรอยยิ้มบนใบหน้า นี่มันเรื่องอะไรกัน ยังไม่ทันรอให้บรรดาคนงานได้วิพากษ์วิจารณ์กัน ประตูห้องหนังสือก็เปิดออก ฟานต๋าถือจดหมายฉบับหนึ่งเดินออกมาอย่างรวดเร็ว

พลส่งข่าวยามปกติใช้ชีวิตกันลำบากยากแค้น วันนี้กลับได้กินอย่างดีดื่มอย่างเต็มอิ่มที่จวนนายท่านฟาน กินกันอย่างมูมมามไป ก็รู้สึกใจเต้นโครมครามไป ไม่รู้ว่ามีเหตุใดกัน

พอเห็นใต้เท้าฟานก้าวออกมาพลส่งข่าวสองนายก็รีบลุกจากเก้าอี้คุกเข่าลง ฟานต๋าสีหน้าดำคล้ำพยายามฝืนยิ้มอย่างที่สุด เอ่ยขึ้นว่า

“จดหมายฉบับนี้ส่งให้ใต้เท้าจาง เสนาบดีจางซื่อเหวยแห่งกรมทหาร เอกสารนี้สามารถส่งพวกเจ้าออกนอกประตูเมืองไปได้ รีบควบม้าไป รีบส่งให้ถึงเมืองหลวงให้เร็วที่สุด”

ขณะที่กล่าวนั้น พ่อบ้านก็หยิบเอาเงินสองห่อส่งให้พลส่งข่าวทั้งสอง สองคนก็รีบรับมาด้วยท่าทางหวาดระแวง ประเมินดู คนละน่าจะราว 20 ตำลึงได้ ก็รีบฉีกยิ้มตาหยีจนไม่เห็นลูกกะตา รับปากเต็มปากเต็มคำว่า

“ขอใต้เท้าฟานวางใจได้ เราพี่น้องคืนนี้จะไม่นอนกัน จะรีบนำจดหมายนี่ส่งไปให้เร็วที่สุด”

ฟานต๋าสีหน้าดำคล้ำกล่าวว่า

“เสียเวลาพวกท่านฉลองปีใหม่แล้ว รีบไปรีบกลับ ข้าทางนี้ยังมีค่าตอบแทนให้อีก รีบไป!!”

รอจนพลส่งข่าวทั้งสองจากไป สีหน้าฟานต๋าก็ดำคล้ำอีก พ่อบ้านข้างๆ เหลือบมองสีหน้าเขา ก็กล่าวอย่างระมัดระวังว่า

“นายท่าน พวกเรามีเรื่องมากมายที่เมืองหลวงมาแล้ว กว่าจะได้ออกมาดำรงตำแหน่งนอกเมืองเช่นนี้ได้ก็ไม่ง่ายนัก มีบางเรื่องอดทนได้อดทนบ้างเถิด นายกองพันผู้นั้นดูแล้วก็มีช่องทางในเมืองหลวง…”

กล่าวไม่ทันจบ สีหน้าฟานต๋าก็ยิ่งดำคล้ำลงไปอีก พ่อบ้านไม่กล้ากล่าวต่อ ฟานต๋ากล่าวน้ำเสียงเยียบเย็นว่า

“เจ้าหนูอายุน้อยผู้นี้ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ บอกว่าเบี้ยหวัดอะไรนั่นหักไม่ได้ ไม่มีค่าเสียหาย ธรรมเนียมเช่นนี้มีมามากหลายปี มันบอกว่าไม่ได้ก็ไม่ได้งั้นหรือ ดูต่อไปละกัน!!”

กล่าวจบก็ยกมือไพล้หลังเดินออกไป พ่อบ้านไม่กล้ากล่าวต่อ รีบเดินตามไป เดินไปได้ไม่กี่ก้าว ฟานต๋าก็หันกลับมา กำชับอีกว่า

“คนที่ไปเมืองหลวงสืบข่าวก็น่าจะกลับมาแล้ว พรุ่งนี้เจ้าส่งคนไปรับที่นอกเมือง มีข่าวอะไรรีบมารายงาน แล้วส่งคนไปจับตาไว้ด้วย กำลังคนพันนาย ข้าดูสิว่ามันจะนับไงจากไม่กี่ร้อย ไม่ว่าเล่นลูกไม้อะไรก็จดไว้ให้หมด!”

********

การอมเงินจากตำแหน่งที่ว่างนั้นเป็นเรื่องสบายมาก ไม่ต้องเหนื่อยอะไร ขอเพียงเลี้ยงดูทหารให้น้อยลง ถึงตอนนั้นรอนั่งรับเงินก็พอ

แต่ก็มีเรื่องยุ่งยากอยู่ ก็คือว่าหากขุนนางจากกรมทหารมาตรวจนับกำลังพล มาดูว่าแท้จริงแล้วได้อมเบี้ยหวัดไปบ้างหรือไม่

เพื่อรับมือเรื่องนี้ พวกขุนพลแม่ทัพใหญ่ที่กินเงินตำแหน่งที่ว่างเอาไว้ก็จะมีวิธีของตนเองกัน วิธีที่ง่ายที่สุดก็คือไปหาพวกขอทานพวกนักเลงตามท้องถนนมาเติมจำนวนให้ครบ อย่างไรการตรวจนับก็แค่นับจำนวน ไม่มีใครมาตรวจละเอียดหรอกว่าตัวจริงตัวปลอม นอกจากนี้เงินทองพวกนี้ก็ซื้อเส้นสายกันไว้แล้วด้วย…

ขุนนางที่มาตรวจนับกำลังพล อาจส่งมาจากกรมทหาร อาจจะเป็นขุนนางรับผิดชอบในพื้นที่ ในเมื่อฟานต๋าบอกว่าจะตรวจนับกำลังองครักษ์เสื้อแพร เช่นนั้นวิธีการซื้อเส้นสายก็ใช้การไม่ได้

ฟานต๋ากับพ่อบ้านของเขาคิดแล้ว หวังทงหากหาจำนวนทหารมาได้ครบ เกรงว่าก็น่าจะเป็นพวกขอทานหรือนักเลงมาเติมจำนวนเท่านั้น แต่นี่ใกล้ปีใหม่แล้ว และยังอากาศหนาวเหน็บ พวกขอทานหรือพวกนักเลงไม่มีใครออกจากบ้านกันหรอก

แม้ว่าคิดไม่ออกว่าหวังทงจะรับมือเช่นไร แต่พ่อบ้านก็รู้สึกว่าหากจับตาดูหวังทงไว้อย่างใกล้ชิด เขาย่อมไม่มีทางหาทางขุดรูหนีไปไหนแน่

แต่คนจับตาดูอยู่นั้นย่อมคิดไม่ถึงว่าหวังทงกลับรับมือการตรวจนับกองกำลังเช่นนี้

*********

“…ที่บ้านพี่ชายคนโตได้เป็นทหาร เหลือแต่พวกเจ้าพี่น้องสองสามคน ที่ดินน้อยนิด ไม่พอเลี้ยงดูพ่อแม่ ย่อมไม่อาจแบ่งให้พวกเจ้าทำกินกัน แม้ว่าให้พวกเจ้า พวกเจ้าก็ไม่มีหน้าไปเอา ไปเรียนหนังสือ ดูท่าทางพวกเจ้าแต่งตัวกันแล้ว ก็เหมือนกับพี่ชาย ไม่ใช่พวกเกิดมาเพื่อเรียนหนังสือ!!”

หม่าซานเปียวยืนอยู่บนแท่นไม้ที่สร้างขึ้นง่ายๆ ตะโกนเสียงดัง วันนี้เป็นตลาดนัดสุดท้ายก่อนปีใหม่ ผู้อาศัยในเมืองและทหารนอกเมือง บางคนเพราะมาซื้อหาของปีใหม่ บางคนมาเดินเล่น ก็พากันมาที่ตลาดนัดละแวกหอกลองในเมืองกัน

ที่ตลาดนัดมีคนไปมามากมาย ครึกครื้นยิ่ง ที่เตะตาที่สุด ที่เป็นศูนย์กลางที่สุดก็คือลำไม้ไผ่ที่สูงมากกองหนึ่งต่อกัน ใช้ไม้ไผ่หลายสิบลำต่อขึ้น

ด้านบนแขวนธงผืนใหญ่ไว้ผืนหนึ่ง เขียนไว้ว่า “รับสมัครทหาร” บนแท่นไม้ หม่าซานเปียวยืนตะโกนเสียงดังอยู่ด้านบน สองข้างมีหม้อใหญ่สี่ใบ น้ำซุปในหม้อมีสีขาวราวน้ำนม น้ำซุปอุ่นอยู่นาน ทั้งตลาดอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของน้ำซุป

พอเข้าไปดูใกล้ๆ ในหม้อมีกระดูกวัวกระดูกแพะต้มอยู่ ว่ากันว่ายังใส่ปลาหลายตัวลงไปด้วย แต่ละหม้อก็มีชายฉกรรจ์เฝ้าสองสามคน พากันเติมฟืนเติมน้ำไม่หยุด และยังโยนกระดูกชิ้นใหญ่ที่มีเนื้อไม่น้อยลงไปด้วย แน่นอน ตักน้ำแกงใส่ชามไม้ยื่นให้คนผ่านทางไปมาด้วยรอยยิ้ม

หม่าซานเปียวชอบเป็นจุดเด่นต่อหน้าผู้คนในที่สาธารณะมาก ก็ยิ่งรู้สึกฮึกเหิม ตะโกนดังไม่หยุดว่า

“เรียนหนังสือไม่สำเร็จ พวกเจ้าจะไปทำอะกัน ทำการค้า ก็ต้องดูว่าพวกเจ้าใช่หรือไม่ ที่เหอเจียนและเขตปกครองเหนือนี่มีหลายพันหลายหมื่นคน พวกเจ้าดูสิว่ามีกี่คนกันที่ร่ำรวย”

หม่าซานเปียวพูดนั้นก็เป็นความจริง และยังมีน้ำซุปงร้อนๆ รสชาติดีให้ดื่ม พวกวัยรุ่นที่ผ่านไปมาก็อยากจะหยุดฟัง ไม่นานก็รวบรวมคนให้มามุงกันได้กลุ่มใหญ่

“ไปทำงานหนักรับใช้ผู้อื่น? ไปเป็นคนงานผู้อื่น? พี่น้องทุกคน พวกเจ้าเป็นครอบครัวทหาร บรรพชนก็เป็นทหารอาศัยเบี้ยหวัดทางการกันมา จับดาบถือทวนเลี้ยงชีพ พวกเจ้ายอมไปใช้แรงงานรับใช้ผู้อื่นหรือ ชั่วชีวิตยอมเป็นวัวเป็นม้าหรือ พี่ชายท่านนั้น รูปร่างสูงใหญ่แข็งแรง ท่านลองว่ามา ท่านอยากจะไปเช่นนี้ไปชั่วชีวิตหรือ?”

คนด้านล่างเวทีพากันส่งสายตามองไปทันที ชายผู้นั้นรูปร่างใหญ่กำยำจริง เห็นทุกคนมองมา ก็ถอยไปด้านหลังก้าวหนึ่ง กัดฟันตะโกนตอบอย่างชาวบ้านๆ ว่า

“แน่นอนว่าไม่อยากเป็นเช่นนี้ไปชั่วชีวิต ข้าจะเป็นทหาร แต่มีทางไหนให้เป็นได้เล่า!!”

เดิมหม่าซานเปียวก็กระตุ้นบรรยากาศให้ร้อนแรงไม่น้อยแล้ว มีคนเช่นนี้ออกหน้ามา จิตใจที่สั่นคลอนของบรรดาชายหนุ่มวัยฉกรรจ์ก็ถูกจุดประกายขึ้นส่งเสียงดังพร้อมกัน แต่มีคนตะโกนออกมาว่า

“เป็นทหารย่อมดีกว่าใช้แรงงาน แต่เบี้ยหวัดค้างนาน เช่นนั้นมิสู้ใช้แรงงานดีกว่า…”

หม่าซานเปียวยิ้มร่าปลดเสื้อตัวนอกออก เผยให้เห็นชุดมัจฉาเวหาด้านใน ตบอกหัวเราะเสียงดังกล่าวว่า

“วันนี้องครักษ์เสื้อแพรมารับสมัครพลทหาร มาเป็นทหารที่นี่ รับรองว่าจะได้เชิดหน้าชูตา เรื่องเบี้ยหวัดนั้น ทุกคนกลับไปสอบถามดูได้ นายกองพันหวังเราได้จัดการไว้อย่างไรบ้าง?”

*********

คนที่จับตาดูเห็นสถานการณ์เช่นนี้ก็รู้สึกงง หวังทงนั่นจะรับทหารให้ครบจำนวนให้ได้หรือ ไม่อมเงินตำแหน่งว่างแม้แต่น้อย นี่มันโง่หรือไง?

ในความคิดของนายกองฟานต๋ากับลูกน้อง ในความคิดของขุนนางในราชวงศ์หมิงทั้งหลาย เป็นหัวหน้ากองกำลังทหาร กินเบี้ยตำแหน่งว่าง เป็นเรื่องปกติธรรมดามาก คิดจะรับมาเต็มจำนวนก็กลายเป็นเรื่องประหลาดไปได้ ลืมไปว่าการอมเบี้ยตำแหน่งว่างต่างหากที่เป็นความผิด การที่รับทหารมาเต็มตามจำนวนต่างหากที่ควรเป็นเรื่องปกติ

โลกนี้ช่างประหลาดจริงแท้!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!