Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 842

ตอนที่ 842 หนานจิง ไห่รุ่ย

ผู้แทนพระองค์เข้ามาในพื้นที่แล้ว คนที่เกี่ยวข้องทั้งหมดก็ต้องออกมาต้อนรับ งานเลี้ยงต้อนรับก็ย่อมต้องจัดให้พร้อมเต็มเกียรติยศ ทว่าวัตถุประสงค์ไม่ใช่เรื่องนี้ หากผู้แทนพระองค์ไม่อยากพบ ทุกฝ่ายก็ย่อมดีใจที่จะได้ไม่ต้องพบ

พวกหวังทงขึ้นฝั่งที่ตันถู จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นรถม้าเข้าหนานจิง การเคลื่อนไหวของเขาย่อมมีคนตามจับตาดู มีแต่ขุนนางที่ควรออกหน้ามาต้อนรับก็ย่อมต้องออกหน้ามา คนที่เหลือก็ทำเป็นว่าผู้แทนพระองค์ยังมาไม่ถึง

ท่าทีให้ความเคารพแบบมีระยะห่างนี้ หวังทงเองก็ชอบ การต้อนรับในวงขุนนางเขาก็ไม่ชอบนัก นับประสาอันใดกับครั้งนี้เดิมก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องใครมาเลี้ยงต้อนรับ

คนอื่นเคารพห่างๆ นั้นได้ แต่นายกองพันองครักษ์เสื้อแพรหนานจิงไม่อาจทำได้ หวังทงขึ้นท่าทีตันถู พวกเขาก็ย่อมต้องรีบออกจากหนานจิงมารอรับที่หลงถาน

หลงถานเป็นจุดกึ่งกลางระหว่างเมืองหนานจิงกับตันถู ขุนนางตอนเหนือมาจากคลองส่งน้ำถึงหนานจิง ไปยังหลงถานรอรับ ก็นับว่าเป็นการให้เกียรติยิ่งใหญ่แล้ว

ในเรื่องนี้ หวังทงไม่รู้สึกอะไร เขาเป็นผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร นายกองพันที่หนานจิงเป็นลูกน้องก็ย่อมต้องมาต้อนรับจึงสมเหตุสมผล

พวกนายกองพันนี้ต่างจากพวกในเมืองหลวง มีนายกองพันองครักษ์เสื้อแพรหนานจิงสามนายนี้เหมือนดูห่างเกิน มีอะไรกั้นไว้อีกชั้น

พอถึงเมืองหนานจิง หวังทงไม่ได้ไปยังที่พักที่ที่ทำการจัดให้ หากหาโรงเตี๊ยมในเมืองเอง เหมาโรงเตี๊ยมไว้ทั้งหมด ทุกคนแม้แต่ม้าและรถก็อยู่กันที่นี่ การกระทำนี้ย่อมเป็นที่ขบขันของบรรดาชนชั้นสูงและวงขุนนางหลายร้อยปีในหนานจิง

ขันทีใหญ่ประจำหนานจิงในจวนเว่ยกั๋วกงและพวกที่มีระดับพอจะเลี้ยงต้อนรับก็ส่งเทียบเชิญมา ต้องการจัดเลี้ยงให้หวังทง ทุกคนแอบนินทากันอย่างไรก็แล้วแต่ แต่ภายนอก็ต้องรักษาท่าทีตามมารยาทไว้ และก็ตามคาด หวังทงปฏิเสธเทียบเชิญทั้งหมดและแสดงความขอบคุณ

งานเลี้ยงของนายกองพันองครักษ์เสื้อแพรหนานจิง เป็นธรรมเนียมในระบบงานองครักษ์เสื้อแพร หวังทงย่อมรับไว้ ทว่าก็ขอจัดการงานที่ได้รับมอบหมายมาก่อน มีเวลาค่อยจัดงาน

ชนชั้นสูงหนานจิงสงบสุขมานานปี ในเมืองรุ่งเรืองยิ่งกว่าเมืองหลวง หวังทงเหมาโรงเตี๊ยมในเมืองหนานจิงไว้ก็นับว่าดีที่สุด สามารถอยู่กันอย่างสบาย

พอตกดึก อากาศร้อนในหนานจิงก็ลดลงไปหลายส่วน หากอยู่เมืองหลวงตอนนี้ส่วนใหญ่ก็คงเงียบมาก แต่ที่หนานจิงนี้ โรงเตี๊ยมที่หวังทงอยู่ยังได้ยินเสียงดนตรีแว่วมา ทำให้รู้สึกแปลกบอกไม่ถูก

เถ้าแก่และคนงานในโรงเตี๊ยมถูกไล่กลับไปหมดแล้ว เงินทองก็ให้ไปมากพอ พวกเขาย่อมดีใจที่ได้เงินเปล่า นอกจากทหารติดตามหวังทงแล้ว ก็มีเพียงเถ้าแก่สองสามคนของร้านสาขาสามธาราในหนานจิงเท่านั้น พวกเขารับหน้าที่ติดต่อในและนอกหนานจิง

เหมือนกับที่อื่น องครักษ์เสื้อแพรอย่างไรก็ต้องมารอรับคำสั่ง ทว่าคนเหล่านี้เข้ามาด้านในไม่ได้ ได้แต่รอรับคำสั่งด้านนอก

************

เรือนเดี่ยวหนึ่งในโรงเตี๊ยมจัดการให้เป็นที่พักหวังทง หลังมาถึงหนานจิงก็ไม่ได้สบายเหมือนอยู่บนเรือ กลางวันต้องเข้าเมืองไปจัดการ เริ่มต้องเตรียมงานแล้ว

“ท่านโหว ครึ่งเดือนก่อนเฝิงเป่าป่วยจากไปแล้ว ก่อนจากไป ยังมีวาจาหนึ่งว่า ชีวิตนี้ไม่เสียดาย”

หวังทงยุ่งกับงานในห้อง เถ้าแก่ร้านสามธาราคนหนึ่งเข้ามารายงาน ไปดูว่าเฝิงเป่าเป็นอย่างไร เป็นเรื่องที่ฮ่องเต้ว่านลี่แอบกำชับมาส่วนตัว

มหาขันทีคุมอำนาจในฝ่ายในแผ่นดินหมิงมาเกือบ 20 ปี ฮ่องเต้ว่านลี่ทั้งแค้น ทั้งเคารพ ทั้งกลัว ผสมปนเปกันไปหมด สำหรับฮ่องเต้ที่ไม่เคยทรงมีความรู้สึกอบอุ่นแบบครอบครัวแล้ว เฝิงเป่ากับจางจวีเจิ้งอาจเป็นเหมือนส่วนหนึ่งของภาพแทนบิดาในพระทัยฮ่องเต้ว่านลี่

แต่ตอนเฝิงเป่าคุมอำนาจ ฮ่องเต้ว่านลี่เหมือนไม่อาจเงยพระพักตร์ขึ้นได้ ฮ่องเต้ว่านลี่ขับเฝิงเป่าออกจากเมืองหลวงแล้ว ในใจแม้ว่าทรงคิดถึง แต่ก็กลับปิดกั้นข่าวทุกทาง ด้วยเกรงว่าจะใจอ่อนเรียกตัวกลับมา ข่าวจากหนานจิงที่เกี่ยวข้องกับเฝิงเป่าย่อมไม่ถูกส่งมาเมืองหลวง

หวังทงมาครานี้ก็แวะถามไถ่ดู ก็นับว่าคงทำให้สิ่งที่ติดขัดในพระทัยหายไปบ้าง คิดไม่ถึงว่าจะบังเอิญเช่นนี้ ครึ่งเดือนก่อนเฝิงเป่าป่วยจากไปแล้ว

เฝิงเป่าอยู่หนานจิงแม้ว่าไม่ได้สูงส่งเหมือนเมืองหลวง แต่ก็ไม่มีใครกล้าทำอะไรเขา ขันทีที่หนานจิงกับเฟิ่งหยางนับดูแล้วก็เป็นเหล่าลูกศิษย์เขาทั้งนั้น และฮ่องเต้ว่านลี่ก็ทรงมีราชโองการชัดเจนว่าให้เฝิงเป่ามาอยู่สบายที่หนานจิง

แต่อำนาจเป็นเหมือนยาอายุวัฒนะ กุมอำนาจไว้นานปีอย่างเช่นเฝิงเป่า อยู่ๆ มาสูญเสียไป ต้องห่างไกลศูนย์กลางอำนาจมา ในใจก็ย่อมเหมือนขาดหายไป คิดก็รู้ได้ พอมาถึงหนานจิงก็ล้มป่วยมาตลอด ก็ไม่ได้แปลกอะไรหากจะป่วยจากไป

พอได้ยินข่าวเช่นนี้ หวังทงเองก็อึ้งไป รู้สึกใจหาย คนรู้จักสนิทสนมคนหนึ่ง ไม่ว่าศัตรูหรือสหาย หากจากไป ก็มักทำให้คนเรารู้สึกโหวงเหวง ในความคิดหวังทงมีภาพสนทนากับเฝิงเป่าแวบขึ้นมา เฝิงเป่าช่วยเขาไว้มากจริงๆ

“ใช้เอกสารองครักษ์เสื้อแพรเรา ใช้ม้าเร็วเรากลับไปรายงานข่าวเมืองหลวง ฝ่าบาทต้องการทราบข่าวนี้เช่นกัน”

เถ้าแก่คำนับรับคำหมุนตัวออกไป หวังทงนั่งเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็สะบัดหน้าไปมา ถอนหายใจ เสียงดังกล่าวว่า

“เอาข้อมูลนายกองพันสามคนในเมืองมา!”

อวี๋ชิงกั๋ว จางเหลียนเซิง เมิ่งเซี่ยนฮุย สามคนนี้มีประวัติในสำนักองครักษ์เสื้อแพรเมืองหลวงละเอียด ทว่าหลังจากมาหนานจิง ต้องให้คนจากร้านสามธาราช่วยเสริมข้อมูล

“อวี๋ชิงกั๋วเป็นทหารจากจวนเว่ยกั๋วกง สมัยฮ่องเต้หลงชิ่งติดตามอดีตเว่ยกั๋วกงไปหลูโจวปราบโจร สร้างความชอบไว้ ยังเคยช่วยชีวิตสวีจื้อเทา ดังนั้นจึงได้ตำแหน่งนี้ ตอนนี้อวี๋ชิงกั๋วเรียกได้ว่าเป็นหัวหน้าที่ใช้งานได้ที่สุดขององครักษ์เสื้อแพรหนานจิง”

หลิ่วซานหลังมักมีข้อวิเคราะห์ที่เฉียบขาด เป็นหน่วยรักษาความปลอดภัยเทียนจิน คบหากับคนหลากหลาย ทำให้เขายิ่งมากความสามารถด้านนี้ พอมาถึงหนานจิง เขาก็หยิบเอาเอกสารของนายกองพันสามคนไปหาข้อมูลเพิ่มกับสายในเมือง จากนั้นค่อยมารายงานหวังทง

“จางเหลียนเซิงต้นตระกูลเป็นองครักษ์เสื้อแพรมา ต่ำสุดก็ไม่เคยต่ำกว่านายกองธงใหญ่ ตอนมีเหตุโจรสลัด บิดาและอาของเขาปราบโจรที่เจ้อเจียง อาเขาตายที่นั่น บิดาจางเหลียนเซิงแขนขาดไปข้างหนึ่ง สร้างความชอบใหญ่ ยังเป็นตระกูลทหาร ดังนั้นจึงได้มาสู่ตำแหน่งนี้ได้ จางเหลียนเซิงในเมืองนอกเมืองพอมีบารมี ว่ากันว่าแม้แต่พ่อค้าการค้าเล็กๆ ยังมอบบรรณาการให้เขา จางเหลียนเซิงเองก็มีโรงผ้าในเมือง นอกเมืองโรงผัก ปกติมักทำงานพวกนี้มากกว่างานราชการ”

พอได้ยินเช่นนี้ สีหน้าหวังทงยังคงเดิม ไม่ว่อวี๋ชิงกั๋วหรือจางเหลียนเซิง ก็ไม่ต่างอันใดกับพวกในเมืองหลวง นายกองพันองครักษ์เสื้อแพรเมืองหลวงผู้ใดไม่เป็นเช่นนี้

“เมิ่งเซี่ยนฮุยนี่ไม่เหมือนกันเท่าไร บิดาและปู่ไม่มีใครเป็นองครักษ์เสื้อแพร ปีที่สองในสมัยฮ่องเต้หลงชิ่ง องครักษ์เสื้อแพรขาดคนเลยรับสมัคร จึงได้เข้ามาเป็น คนผู้นี้ที่มาเบื้องหลังไม่ชัด แต่เข้ามาในสถานะพลทหาร ปีรัชสมัยฮ่องเต้ว่านลี่ที่ 5 ก็เป็นนายกองพันแล้ว”

การเลื่อนตำแหน่งในองครักษ์เสื้อแพร จากพลทหารขึ้นไป สามารถหน่อยที่มีคนหนุนหลังก็เป็นได้แค่นายกองธงใหญ่หรือนายกองร้อยเท่านั้น เมิ่งเซี่ยนฮุยถึงกับขึ้นตามน้ำมาเป็นนายกองพันได้ หาได้น้อยมาก

“เอกสารเขียนไว้เช่นนี้ พอมาแล้ว ข้าน้อยยังสอบถามอย่างละเอียด สายเราในพื้นที่ก็ไม่กระจ่างนัก จากเอกสารของเมิ่งเซี่ยนฮุย ดูไม่ออกว่าเขาอยู่ข้างไหนหรือไม่อยู่ข้างไหน มองไม่ออกว่าเกี่ยวพันกับผู้ใด”

หลิ่วซานหลังรายงานจบ หวังทงยกมือเคาะโต๊ะ กล่าวว่า

“คนเราที่หนานจิงไม่พอจริงๆ ข่าวไม่อาจไหลรื่นได้ ทว่าสามคนนี้ก็ไม่ใช่คนสำคัญอันใด ข้าแค่สงสัยว่า อิทธิพลตระกูลสวีเมืองซงเจียงมากเพียงนั้น ก้าวแทรกงานได้ทุกหน่วย นายกองพันหนานจิงสามคนนี้แบ่งเขตปกครองใต้ดูแล อย่างไรก็คงไม่อาจไร้คนของเขา”

หลิ่วซานหลังพยักหน้า ลังเลครู่หนึ่งเข้าไปกล่าวว่า

“ท่านโหว ร้านค้าในพื้นที่นอกจากสองคนที่คอยจับตาดูงานการข่าแล้ว ที่เหลือก็ทำการค้า หลายวันนี้จะให้สืบอะไรได้ ก็เป็นเรื่องไม่ง่าย ได้แต่รอวันหลังค่อยเสริมกำลัง ทว่าเกรงว่าจะชักช้าเสียการ”

หวังทงโบกมือ กล่าวว่า

“ไม่มีอันใดชักช้าเสียการ ช้าเร็วกันไม่มาก ไห่รุ่ยทางนั้นส่งเทียบเชิญไปยัง?”

“ตอนบ่ายได้ส่งไปแล้ว ใต้เท้าไห่ว่าพรุ่งนี้เช้าจะมาที่ทำการรอรับท่านโหว”

แม้ตำแหน่งไห่รุ่ยในหนานจิงไม่สูงนัก แต่ไห่รุ่ยอย่างไรก็เป็นขุนนาง อายุมากขนาดนี้ ชื่อเสียงดังขนาดนี้ เหมือนว่าร้อยปีมีคนเดียว เป็นขุนนางมือสะอาด คนเช่นนี้ หากหวังทงให้อีกฝ่ายมาพบที่พำนักตน แม้กระบวนการเป็นเช่นนี้ ก็ย่อมถูกผู้คนวิพากษ์วิจารณ์ก่นด่า ว่าเหิมเกริม ไม่รู้จักวางตัว เรื่องพวกนี้ย่อมหนีไม่พ้น การไปพบที่ที่การก็ย่อมเป็นเรื่องสมควร

*************

“ใต้เท้าไห่?”

“ท่านโหว คิดว่าข้าไม่เหมือนงั้นหรือ?”

ไม่เหมือนจริงๆ พอหวังทงได้พบไห่รุ่ย ก็แทบไม่อยากจะเชื่อว่าคนผู้นี้ก็คือขุนนางซื่อสัตย์ที่ใต้หล้ายกย่องว่าเถรตรง ไห่รุ่ย ดูแล้วเป็นแค่ชายชราร่างผอมเกร็งคนหนึ่งเท่านั้น

ยุคนี้ขุนนางกับราษฎรนั้นต่างกันมาก ขุนนางกินดีอยู่ดี อาหารคาวครบ รู้จักดูแลร่างกาย ปกติก็ย่อมอ้วนเล็กน้อยและหน้าตาอิ่มเอิบ แต่ไห่รุ่ยหากไม่สวมชุดขุนนาง ดูแล้วก็เหมือนแรงงานที่ทำนามานานปี เป็นชาวนายากลำบากมาครึ่งชีวิต

ใบหน้าตกกระเล็กน้อย และยังค่อนข้างดำ ตัวงอ หนวดเคราตัดแต่งแล้ว แต่ก็ยังความแห้งเหี่ยวทำให้คนรู้สึกมองแล้วไม่สบายใจ ที่ทำให้รู้สึกไม่เหมือนคนอื่นก็คือแววตาไห่รุ่ย แววตาเช่นนี้ หวังทงเคยเห็นจากคนประเภทเดียว ก็คือแววตานักรบที่พร้อมพลีชีพที่แข็งแกร่งที่สุดในกองกำลังหู่เวย

สายตาและแววตาที่หนักแน่นมั่นคง ทำให้ชายชราร่างผอมร่างงองุ้มเบื้องหน้าเป็นไห่รุ่ยขึ้นมาทันที เป็นขุนนางที่ยอมหักไม่ยอมงอที่มีชื่อเสียง

“กล่าวกับใต้เท้าไห่ตรงๆ ช้ายังคิดว่าไม่เหมือน”

สองฝ่ายสบตากันหัวเราะดัง บรรยากาศผ่อนคลายลงมาก พอนั่งลง ไห่รุ่ยก็กล่าวตรงๆ ไม่อ้อมค้อมว่า

“ท่านโหว ออกจากเมืองหลวงมาครานี้คงไม่ใช่ว่าเป็นเพราะฎีกาข้ากระมัง?”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!