บทที่ 768 แม้มิใช่กึ่งเซียน แต่เป็นเซียนต่างวิถี
ไป๋เซียวจัว
อดีตเจ้าเขตปกครองผนึกสมุทรในสมัยรัฐม่วงคราม
ตอนรัฐม่วงครามล่มสลาย เคยสังเวยสรรพชีวิตทั้งเขต ปกครอง แลกกับเสี้ยวหน้าลืมตาให้เขาฟื้นคืนชีพก่อนองค์ รัชทายาทม่วงครามมาเกิดใหม่และคอยติดตามต่อไป
จากนั้นเผชิญหน้าจักรพรรดิวิญญาณบรรพกาล เดิม ต้องถูกกลืนกิน แต่องค์รัชทายาทม่วงครามมาเอาชีวิตของไป๋ เชียวจัวไปจากจักรพรรดิวิญญาณบรรพกาล สวี่ชิงหลุบตาเล็กน้อย
ในเมื่อเรื่ององค์รัชทายาทม่วงครามเป็นราชครูเกิดขึ้นแล้ว เช่นนั้นไป๋เซียวจัวตายแล้วฟื้นมาเป็นเจ้าสายผสานเทพ แห่งวัง ศึกษาก็ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้
แม้ความเชื่อมโยงนี้พอถูไถ แต่สวี่ชิงก็ไม่ได้ปักใจเชื่อ ว่าการคาดเดาของตนจะแม่น
กระนั้น…วิชาผสานเทพทำให้เขานึกถึงเซิ่งอวิ๋นสองคน พ่อลูก
ส่วนความจริงเป็นอย่างไร สวี่ชิงเพิ่งมาครั้งแรก ไม่มีหลักฐานอื่นใดไปชี้ขาดลึกลงอีกชั้น เขาจึงหันกายเดิน กลับมารวมกลุ่มกับผู้รํ่าเรียนด้วยสีหน้าเรียบเฉย
เสื้อผ้าแบบเดียวกัน หน้ากากแบบเดียวกัน รวมถึง กลิ่นอายที่เปลี่ยนไปทำให้เขากลืนหายไปในฝูงชนอย่างรวดเร็ว
ส่วนเจ้าสายผสานเทพที่เดินเข้าเจดีย์ขาวพลันชะงักฝีเท้า เหลียวหน้าไปมองกลุ่มคนที่ด้านนอกเล็กน้อย ส่วนลึก ในดวงตาฉายแววตรึกตรอง
เมื่อครู่เขารู้สึกถึงสายตาที่ต่างจากผู้อื่น แต่โครงสร้าง พิเศษของวังศึกษาปิดกั้นทุกสิ่ง เขาไม่อาจสังเกตจากตัวคนได้ ดังนั้นหลังจากครุ่นคิด เขาวางเรื่องนี้ไว้ในใจและเดิน ไปที่ยอดเจดีย์ขาว
ทางด้านสวี่ชิง หลังออกจากเจดีย์ขาวสายผสานเทพก็ มาสังเกตการณ์ภายในวังศึกษา นี่เป็นความเคยชินของเขา
ขณะสังเกตการณ์เขาก็เดินเข้าไปในเจดีย์ขาวแต่ละแห่ง พลิกอ่านความรู้ในนั้น
ยิ่งอ่านในใจสวี่ชิงยิ่งรู้สึกเคารพวังศึกษาของเผ่ามนุษย์ ความรู้มากมายในนี้ หากอยู่ข้างนอกต้องลำบากลงแรง หน่อยอาจจะขโมยมาได้
แต่อยู่ที่นี่ไม่มีการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย เพียงยกมือก็ได้ ความรู้ทุกแขนง สวี่ชิงกระทั่งได้อ่านความลับของบางสายแห่ง เขตปกครองผนึกสมุทรในเจดีย์ขาวที่ชื่อว่าสายหมื่นวิชา
ยิ่งมีสายหนึ่งศึกษาของวิเศษเวทต้องห้าม สายนี้เน้นวิธี เชื่อในสิ่งที่คิด หยิบยืมพลังเทพเจ้ามาสร้างของวิเศษเวททีละ จำนวนมาก
แม้ขั้นตอนมีความยากใหญ่หลวง แต่ต้องบอกว่า ความคิดของพวกเขาน่าสนใจทีเดียว
‘ของวิเศษเวท เกิดจากการเปลี่ยนแปลงแปลกประหลาด ซึ่งเกิดขึ้นหลังถูกไอพลังประหลาดรุกราน เป็นสถิติเพียงน้อย นิดจึงมีจำนวนไม่มาก แตวิธีที่สายข้าศึกษาพบว่าขั้นตอนนี้ ใช่ว่ามนุษย์จะทำเองไม่ได้!’
สวี่ชิงรู้สึกสนใจต่อสิ่งนี้ เขาตรวจดูรอบหนึ่ง คล้ายกำลัง คิดบางอย่าง
ขณะที่สวี่ชิงศึกษา เวลาก็ค่อยๆ ผ่านไปจนถึงกลางดึกอย่างรวดเร็ว
แม้ในวังศึกษายังมีคน แต่เห็นได้ชัดว่าน้อยกว่า
ตอนกลางวันแยะ เขาสังเกตการณ์มาทั้งวัน ดูมาหลายสิบสาย รู้สึกพึงใจยิ่ง
เขารู้สึกสิ่งที่ตนได้รับมากมายในวันนี้ขยายความรู้ ความเข้าใจของตนมหาศาลดุจเบิกฟ้าเปิดดิน
‘ที่นี่เป็นที่ที่ดี!’
ก่อนไป สวี่ชิงมองเจดีย์ขาวนับไม่ถ้วนในวังศึกษาผาดหนึ่ง นัยน์ตาฉายแววมุ่งมั่น เขาหมายจะเดินให้ทั่วเจดีย์เหล่านี้ ในวันข้างหน้า
พริบตาเดียว ครึ่งเดือนก็ผ่านไปเช่นนี้
ในครึ่งเดือนนี้ สวี่ชิงจมจอมอยู่กับการเรียนในวังศึกษา อย่างสิ้นเชิง นอกจากกลับจวนมาฝึกบำเพ็ญกลางดึกทุกวัน เขาล้วนเอาจิตใจและเวลาทั้งหมดไปอยู่ที่วังศึกษา
ในหลายพันสาย เขาเข้าใจพันกว่าแห่งแล้ว เขาก็เหมือนฟองนํ้าก้อนหนึ่งที่ถูกโยนลงมหาสมุทร ดูดซับความรู้ต่างๆ ไม่สิ้นสุด
แนวคิดของเขา และความคิดที่มีต่อวิชาเกิด การเปลี่ยนแปลงจากรากฐานตามการเรียนรู้ กับเส้นทางการ ฝึกบำเพ็ญ เขาก็ค่อยๆ เกิดความคิดจากจุดประกายของ แนวคิดเผ่ามนุษย์ที่ศึกษาและหารือกัน
เหล่านี้คือสิ่งที่เขายากจะหาได้ในเขตปกครองผนึก
สมุทร
ต่อให้มีคนบอก แตไม่เคยผ่านการตริตรอง ไม่เคยผ่าน การค้นหา และไม่เคยผ่านการขัดแย้งทางความคิดก็ยากซึบ ซาบเข้าสู่จิตใจเช่นกัน
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเขาต้องสะสมความรู้ให้มากพอ เพื่อ เข้าใจทุกวิชาที่เผ่ามนุษย์พัฒนาออกมาหลังจักรพรรดิโบราณ เสวียนโยวจากไปได้อย่างครอบคลุม
เช่นนี้ถึงจะนับว่ายืนอยู่บนไหล่ยักษ์ มองทอดไปยัง เส้นทางที่ห่างไกลและพัฒนาอย่างก้าวกระโดดในด้านความคิดอย่างรวดเร็ว
‘เหมือนแทบทุกสายล้วนกำลังตามหาหนทาง…แห่งการ ทะลวงขั้น!’
ยามนี้ สวี่ชิงถือแผ่นหยกแนะนำวิชาโบราณแผ่นหนึ่งอยู่
ในเจดีย์ขาวสายหมื่นวิชา สีหน้าฉายแววครุ่นคิด
ขณะเดียวกันมีเสียงหนึ่งดังมาจากข้างหลัง
“เสวียนเหลยจื่อ พบเจ้าอีกแล้ว”
สวี่ชิงได้ยินแล้วหันไปมองผู้ร่ำเรียนที่เดินมาข้างหลัง
แม้ที่นี่ปิดบังกลิ่นอาย แต่คนที่เจอกันในวังศึกษาบ่อย
เข้า สำหรับผู้บำเพ็ญก็ยังคงจำจดร่องรอยและแยกแยะฐานะ
ใหม่ได้
อย่างคนที่เดินมาก็เป็นเช่นนั้น
“ศิษย์พี่เฉินอวิ๋น” สวี่ชิงกล่าวอย่างสุภาพ ผู้มาเยือนคือสหายคนแรกที่เขารู้จักในสายหมื่นวิชา ครึ่งเดือนนี้เขาก็มาที่นี่บ่อยครั้ง ทั้งสองเริ่มจากพยักหน้าและ พูดคุยกันทีละนิด จวบจนวันนี้ถือเป็นคนที่สวิชิงคุยด้วยมาก ที่สุดในวังศึกษา
ทั้งสองบอกชื่อเรียกของตัวแล้ว เพียงแต่ต่างรู้ว่านี่เป็น แค่ฉายานามในวังศึกษาเท่านั้น
“อ่านวิชาโบราณอยู่หรือ” เฉินอวิ๋นเดินเข้ามาใกล้สวี่ชิง มองแผ่นหยกในมือเขาแล้วยิ้ม สวี่ชิงพยักหน้า
“ข้าคิดว่าสายส่วนใหญ่เหมือนกำลังคิดเปลี่ยนแปลงการ ทะลวงขั้น”
“ประโยคนี้เจ้ากล่าวถึงแกนแล้ว ความจริงนี่ก็เป็นสาเหตุ ที่จักรพรรดิมนุษย์พยายามฝ่าฟันคำคัดค้านเรื่องก่อตั้งวัง ศึกษาในตอนนั้น’’ เฉินอวิ๋นดูออกแต่แรกว่าเสวียนเหลยจื่อ ตรงหน้าคือคนที่เพิ่งเข้าวังศึกษา
แม้คนแบบนี้ไม่ได้มีทุกวัน แต่ทุกเดือนล้วนมีหลายสิบคน ส่วนฐานะก็ไม่จำเป็นต้องไปสืบถาม
“ความจริงหนทางฝึกบำเพ็ญของเผ่ามนุษย์ถูกตัดขาด ไปแล้ว ถึงขั้นเรียกได้ว่าหนทางฝึกบำเพ็ญของทุกเผ่าล้วนถูก ตัดขาดนับแต่ยามที่เสี้ยวหน้าเทพเจ้ามาถึง”
เสียงเฉินอวิ๋นเจือแววหดหู่
“ที่ตัดไป คือหนทางสำเร็จเป็นเจ้าเหนือหัว” “ด้วยวิถีสวรรค์ได้รับผลกระทบ โลกปรากฏไอพลังประหลาด สำหรับคนธรรมดานั่นเป็นดังพิษร้าย สำหรับผู้ บำเพ็ญระดับตํ่าคือการตายทั้งเป็น สำหรับผู้บำเพ็ญขั้นสูง นั่น คือหนทางสิ้นสุด”
“นอกจากมีสายเลือดโบราณถึงจะฝืนต่อได้อีกระยะหนึ่ง ทะลวงขั้นเตรียมสู่เทวะแล้วสำเร็จขั้นเจ้าเหนือหัว”
“แต่ว่า นั่นก็คือขีดจำกัดแล้วเหมือนกัน”
“การคิดทะลวงขั้นเจ้าเหนือหัวก้าวสู่ระดับมหา จักรพรรดิคือเรื่องเป็นไปไม่ได้”
“สายต่างๆ จึงรวบรวมสติปัญญาการศึกษาค้นคว้าของ คนทุกรุ่น หมายจะผูกโยงกับสถานการณ์ปัจจุบัน ไปบุกเบิก หนทางที่อาจมุ่งไปสู่เจ้าเหนือหัว ผู้มีใจทะเยอทะยานยิ่งอยาก เสนอหนทางแห่งมหาจักรพรรดิจากทฤษฎี”
“สายผสานเทพก็คือตัวอย่างในนั้น แนวคิดที่ยกออกมา ทำให้คนส่วนใหญ่เชื่อว่าเห็นความหวัง นี่ก็เป็นเหตุผลว่าทำไม
สายนี้ก่อตั้งในช่วงเวลาสั้นๆ แต่กลับเป็นสายอันดับหนึ่งของวัง ศึกษาในปัจจุบัน”
“แต่ข้าไม่ค่อยเห็นด้วย”
เฉินอวิ๋นส่ายหน้า
“วิถีโบราณในอดีตคืออะไรหรือขอรับ” สวี่ชิงถามเขา ไม่เห็นตำราทำนองนั้นในสายหมื่นวิชา
“เซียนคิมหันต์”
เฉินอวิ๋นมองสวี่ชิงผาดหนึ่ง หลังจากครุ่นคิดก็กล่าวต่อ “สายหมื่นวิชาไม่สนับสนุนวิถีโบราณ ดังนั้นถ้า เจ้าอยากรู้ก็ไปสายเซียนต่างวิถีได้ ที่นั่น…เคยเป็นสายอันดับ หนึ่งตอนวังศึกษาเพิ่งก่อตั้ง แต่ภายหลังด้วยแนวคิด ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงเลยเงียบเหงาไร้ผู้คนไปอย่างช้าๆ”
สวี่ชิงได้ยินแล้วพยักหน้า ประสานมือบอกลา เตรียม ลองไปหาสายเซียนต่างวิถีที่อีกฝ่ายพูดถึง
หลังเขาออกไป ในเจดีย์ขาวสายหมื่นวิชา ผู้รํ่าเรียนคน หนึ่งที่รู้จักกับเฉินอวิ๋นเดินมาหาอย่างใคร่รู้ มองเงาหลังที่ห่าง ออกไปของสวี่ชิงและกล่าวเสียงค่อย
“ศิษย์พี่เฉินอวิ๋น เสวียนเหลยจื่อนี่มาจากที่ใด ข้าเห็นช่วงนี้ท่านคุยกับเขาเยอะกว่าหนึ่งเดือนในยามปกติเสียอีก”
เฉินอวิ๋นส่งยิ้มบางใต้หน้ากาก ตบไหล่ผู้ร่ำเรียนข้างกาย “ในผู้ร่ำเรียนที่มาช่วงนี้คงจะมีบุคคลสำคัญ ไม่ว่าใช่เขาหรือไม่ คบหาไว้ยอมเป็นเรื่องดี”
ผู้รํ่าเรียนข้างกายเฉินอวิ๋นคล้ายกำลังคิดบางอย่าง และสวี่ชิงในยามนี้กำลังตามหาสายเซียนต่างวิถี ไปพลางขบคิดคำพูดของเฉินอวิ๋น ส่วนทำไมอีกฝ่ายถึงบอก เรื่องราวมากมายเช่นนี้ ความจริงเขาคิดไว้ในใจตั้งแต่เฉินอวิ๋น เป็นฝ่ายทักทายครั้งที่ 3 แล้ว
อย่างไรตอนนั้นเรื่องที่ตนต้องได้รับฐานะในวังศึกษาก็ รู้กันทั้งเมืองหลวงจักรพรรดิ เพียงแค่เป็นคนใส่ใจล้วนเดาได้ ว่าตนจะมาวังศึกษาในช่วงเวลานี้
‘เป็นคนใส่ใจทั้งยังมีขอบเขต ฐานะคงสูงไม่เบา’
สวี่ชิงหันมองเจดีย์ขาวสายหมื่นวิชาผาดหนึ่งและเดิน เข้าไปในกลุ่มคน หนึ่งชั่วยามต่อมา เขาเห็นเจดีย์แห่งหนึ่งทาง ทิศตะวันออกของวังศึกษา
ดูภายนอก เจดีย์นี้ไม่ต่างอะไรกับเจดีย์ขาวองค์อื่น แต่ ความโล่งกว้างโดยรอบเมื่อเทียบกับความคึกคักตรงจุดอื่นก็ดู เงียบเหงาอย่างยิ่ง ทำให้เจดีย์องค์นี้ดูชำรุดทรุดโทรมไปด้วย
ประตูเงียบเชียบ
สวี่ชิงกวาดสายตาแล้วแปลกใจยิ่ง นี่ถือเป็นสายที่ตกอับ ที่สุดที่เขาเห็นในครึ่งเดือน เดินเข้าไปในเจดีย์ขาว เขาเห็น เพียงผู้รํ่าเรียน 3 คนนั่งอยู่ตรงนั้นอย่างเฉื่อยชา
กับการมาเยือนของเขายังไม่สนใจมองแม้เพียงนิด และในเจดีย์สายเซียนต่างวิถีนี้ แม้มีแผ่นหยกมากมาย แต่วางระเกะระกะ ยังมีบางส่วนกองสุมอยู่ในมุมเป็นภูเขาเล็กๆ
ส่วนเจ้าสาย ก็อยู่ด้วยเช่นกัน ต้องทราบว่าเจ้าสายอื่นมีแต่บังเอิญเจอ ไม่เช่นนั้นน้อยนักที่จะเห็น ต่างคนพักอยู่ในส่วนยอดของเจดีย์ขาว แต่ที่นี่…
เจ้าสายที่สวมชุดบัณฑิตผู้นั้นกำลังนั่งยองๆ อยู่หน้าแผ่น หยกกองหนึ่ง พลิกไปพลิกมา ไม่รู้หาอะไรอยู่
สวี่ชิงเดินเข้าไปเงียบๆ มองรอบด้านแล้วอดถามไม่ได้ “ไม่ทราบว่ามีแผ่นหยกที่เกี่ยวกับวิถีโบราณเซียนคิมหันต์หรือไม่”
“อ่านของพรรค์นั้นมีประโยชน์อันใด รีบไปเสีย จู่ๆ มีคน มาเพิ่ม พวกข้าอึดอัดนัก”
เสียงหงุดหงิดทอดจากปากคนตรงกลางใน 3 ผู้ รํ่าเรียนที่เกียจคร้าน
สวี่ชิงมุ่นหัวคิ้ว ตอนกวาดสายตา แผ่นหยกชิ้นหนึ่งโยน มาจากเจ้าสายที่กำลังค้นหาสิ่งของ
“ที่นี่ไม่มีคำแนะนำเกี่ยวกับเซียนคิมหันต์ มีเพียงการ คาดเดาบางส่วนของคนรุ่นหลัง เจ้าอยากอ่านก็อ่านเถอะ อ่าน จบแล้วรีบไป มีคนเพิ่มข้าผู้เฒาาก็อึดอัดเหมือนกัน’’
สวี่ชิงเอามือรับ ตั้งใจตรวจดูโดยไม่เอ่ยคำ แผ่นหยกนี้ไม่ได้เอ่ยถึงเซียนคิมหันต์จริงๆ การคาดเดา เรื่องเซียนคิมหันต์ของคนรุ่นหลังก็คลุมเครือนัก มีเพียง ข้อความเดียวที่ค่อนข้างชัดเจน
‘แนวคิดเซียนคิมหันต์ บริพัตรกายเซียน’
‘นี่คือมโนคติ หากวิถีเซียนขาดสะบั้น คลองธรรมมิอาจคงอยู่ หลังเจ้าเหนือหัว หามีกึ่งเซียนไม่ หากวิชาสายอื่น อาจมีเป็นเช่นนั้น’
‘ข้าบังเกิดความคิด หลอมวิญญาณเป็นเส้นไหม ถักทอ เงาร่างเทพเจ้าในทะเลความรู้สึก ใช้วิญญาณเป็นตัวควบคุม ใช้แนวคิดเป็นรากฐาน ขณะเงาเทพเจ้าก่อรูปร่าง อาจ พร้อมด้วยพลังอันยึดจากแหล่งเดียวกัน’
‘มีจิตใจเป็นสารอาหาร ยอมคืนเป็นเซียน!’
‘สำเร็จวิชา แม้มิใช่กึ่งเซียน แต่เป็นเซียนต่างวิถี!’



