Skip to content

I Shall Seal The Heaven Chapter 629

ผนึกสวรรค์ สยบมาร สะท้านเทพ ภาค 5

หลุดพ้นการเกิดใหม่

ตอนที่ 629

กลับมา

“การทดสอบมรดกครั้งแรก ล้มเหลว” เยี่ยกล่าวขึ้นช้าๆ มองไปยังเมิ่งฮ่าวด้วยแววตาอันลึกล้ำ เสียงของมันดังก้องออกมา กระจายไปทั่วทั้งสำนักเซียนอสูร

เมิ่งฮ่าวยิ้มอย่างเรียบเฉย ไม่ค่อยให้ความสนใจเท่าใดนัก สำเร็จหรือล้มเหลวไม่ใช่เรื่องสำคัญ ตราบเท่าที่เขายังคงพยายามต่อไป เนื่องจากเขามีคุณสมบัติที่จะทำการทดสอบนี้ได้อย่างไร้ข้อจำกัด

ครั้งนี้เขาทำไม่สำเร็จ แต่ครั้งหน้า อีกไม่กี่ร้อยปีนับจากนี้…ใครจะกล้าบอกว่าเขาจะล้มเหลวอีกครั้ง?

สิ่งสำคัญมากที่สุดก็คือ เขาได้ค้นพบเส้นทางที่จะไปยังขั้นตัดวิญญาณแล้ว เมิ่งฮ่าวแน่ใจว่า ด้วยการหดตัวลงของพื้นฐานฝึกตน เมื่อหลอมรวมทุกสิ่งทุกอย่างเข้าเป็นหนึ่งเดียว ตัดวิญญาณก็จะมาปรากฏอยู่ที่เบื้องหน้า

“เส้นทางสำหรับตัดวิญญาณของเจ้าได้เปิดออกแล้ว” เคอจิ่วซือกล่าวกับเมิ่งฮ่าว ด้วยเสียงแผ่วเบา “เมื่อพื้นฐานฝึกตนของเจ้ารวมตัวกันอย่างสมบูรณ์ เจ้าก็สามารถเปลี่ยนแปลงมันให้กลายเป็นใบมีด ซึ่งจะตัดการเกิดใหม่ของเจ้า ตัดอารมณ์ความรู้สึกของเจ้า หรือความตายและชีวิตของเจ้าไป”

เมิ่งฮ่าวพยักหน้า เขาเข้าใจเรื่องนี้แล้ว นั่นก็คือเส้นทางสู่ตัดวิญญาณของเขา บดขยี้และขัดเกลาพื้นฐานฝึกตนลง จนกระทั่งมันกลายเป็นใบมีดภาพลวงตา หลังจากที่ใบมีดนั้นปรากฏขึ้น เขาก็จะเริ่มตัดได้

ความแตกต่างระหว่างชีวิตและความตาย ต่างก็ขึ้นอยู่กับคมมีดนั้น!

“สิ่งที่ผู้ฝึกตนฝึกฝนก็คือทั้งชีวิตและความตาย” เมิ่งฮ่าวกล่าว “ข้าได้เดินไปบนเส้นทางนั้นมาเป็นเวลานาน การมีชีวิตอยู่หรือตายไปไม่ใช่เรื่องสำคัญแต่อย่างใด ชีวิตก็คือการเดินทาง สถานที่ที่เราไป หรือสิ่งของที่เราพบเห็น ต่างก็เป็นสิ่งที่สำคัญมากที่สุด มีชีวิตอยู่โดยปราศจากความเสียใจ” เขาหัวเราะ ดวงตาสาดประกายเจิดจ้า

แววตาชื่นชมปรากฏขึ้นในดวงตาเคอจิ่วซือ และมันก็หัวเราะด้วยเช่นเดียวกัน

“เจ้าค้นพบเส้นทางของเจ้าแล้ว” มันกล่าว ด้วยเช่นนั้น มันก็โบกสะบัดมือทำให้สายลมสีเขียวพุ่งขึ้นมา สายลมนั้นยกร่างเมิ่งฮ่าวขึ้น และเริ่มนำเขาออกไปจากสำนักเซียนอสูร “ถึงเวลาจากไปแล้ว เมื่อท่านพ่อให้คำรับรองเจ้า เจ้าก็คือน้องชายของข้า ข้าก็เช่นกัน เริ่มได้คิดจากเต๋าของเจ้า บางทีสักวันหนึ่งในอนาคต พวกเราทั้งสองจะได้พบกันอีกครั้งในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว!”

“ข้าหวังว่าเมื่อวันนั้นมาถึง เจ้าจะบรรลุขั้นเซียนอมตะเรียบร้อยแล้ว!” ขณะที่เสียงของเคอจิ่วซือดังก้องไปมา เมิ่งฮ่าวก็ถูกสายลมสีเขียวพัดออกไป ในที่ห่างไกลจากสำนักเซียนอสูร

ในเวลาเดียวกันนั้น สายตาของเคอจิ่วซือก็มาหยุดนิ่งอยู่ที่จื่อเซียง ซึ่งยังคงยืนห่างออกไปไกล

จื่อเซียงประสานมือและโค้งตัวลงในทันที

“ข้าคือโจวจื่อเซียง รุ่นเยาว์แห่งสำนักเซียนอสูร ขอคารวะ ท่านปรมาจารย์เคอ”

“นับจากนี้ไปพวกเราก็คือสหายกัน” เคอจิ่วซือกล่าว “ร่างเซียนอสูร…ด้วยการมีบุคคลเช่นเจ้า ทำให้ข้ารู้สึกดีขึ้นเกี่ยวกับสำนักเซียนอสูร” ขณะที่มันมองไปยังนาง ดวงตาดูเหมือนจะเต็มไปด้วยความทรงจำ ยากที่จะบอกได้ว่ามันกำลังคิดถึงใครอยู่ แต่มันก็ถอนหายใจและจากนั้นก็โบกสะบัดชายแขนเสื้อ แผ่นหยกลอยตรงไปยังจื่อเซียง และนางก็คว้าไว้อย่างรวดเร็ว จากนั้นสายลมสีเขียวก็พัดนางขึ้นไป ตามติดไปพร้อมกับเมิ่งฮ่าว นางเริ่มจากไปไกล

“วางของสิ่งนั้นในหอบรรพบุรุษของสำนักเจ้า” เคอจิ่วซือกล่าวเสียงราบเรียบ “และให้ศิษย์ในสำนักกราบกรานมัน มันจะสามารถขจัดภัยพิบัติไปได้หนึ่งหมื่นปี”เมิ่งฮ่าวและจื่อเซียง พุ่งจากไปอยู่ภายในสายลมสีเขียวอย่างต่อเนื่อง

เมิ่งฮ่าวมองกลับไปยังเคอจิ่วซือ และต้องย้อนคิดกลับไปยังสิ่งที่เกิดขึ้น ตั้งแต่ตอนที่เขามาถึงสำนักเซียนอสูรอย่างช่วยไม่ได้

“ผนึกสำนักเซียนอสูร” เคอจิ่วซือกล่าว เสียงของมันดังก้องออกไป “โชคชะตาถูกตัดขาดไปแล้ว ตอนนี้พวกเราจะเลื่อนเวลาไปอีกหนึ่งร้อยปี…” เมิ่งฮ่าวมองไปที่เคอจิ่วซือ ขณะที่มันนั่งลงขัดสมาธิอย่างเศร้าโศกบนเขาที่สี่ของเจินหลิงเยี่ย

ในเวลาเดียวกันนั้น เจินหลิงเยี่ยก็มองมายังเมิ่งฮ่าวอย่างลึกซึ้ง จากนั้นศีรษะขนาดใหญ่มหึมาของมันก็เริ่มจมลงไป ดวงตาปิดลงอย่างช้าๆ เมื่อถึงตอนที่ศีรษะมันจมลงไปโดยสิ้นเชิง…เขาทั้งเจ็ดก็ทะลุขึ้นไปเหนือพื้นดิน!

ก้อนหินดินทรายมากมายนับไม่ถ้วนลอยไปมา แทบจะคล้ายกับว่าเวลากำลังไหลย้อนกลับ ทุกสิ่งทุกอย่างกลับมาเป็นเหมือนเดิม เพียงชั่วพริบตา เขาทั้งเจ็ดก็เริ่มใหญ่และหนามากขึ้น ในที่สุดยอดเขาทั้งเจ็ดก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง!

มีซากศพอยู่บนยอดเขาเหมือนก่อนหน้านี้ ไม่มากกว่าหรือน้อยไปกว่าเมื่อครั้งก่อนหน้านี้ เวทป้องกันก็อยู่ในตำแหน่งเหมือนเช่นเดิม ราวกับว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปแม้แต่น้อย พื้นดินที่ด้านล่างก็เปลี่ยนกลับไปเป็นเหมือนเดิมก่อนหน้านี้เช่นเดียวกัน ในตอนนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างดูเหมือนกับตอนที่เมิ่งฮ่าวได้มาถึงในครั้งแรก

เคอจิ่วซือนั่งลงขัดสมาธิอยู่ด้านบนสุดของยอดเขาสี่ หันหลังให้กับเมิ่งฮ่าว หันหน้าไปหาด้านนอกของยอดเขาเจ็ด ซึ่งเป็นตำแหน่งหลุมฝังศพของเคออวิ๋นไห่…

ตูม!

เมิ่งฮ่าวรู้สึกราวกับว่าเพิ่งจะกระแทกเข้าไปในผนังที่มองไม่เห็น ขณะที่จมเข้าไปข้างใน ทุกสิ่งทุกอย่างก็กลายเป็นสีดำ เมื่อเขาคุ้นเคยกับความมืดนั้น ก็พบว่าอยู่ที่ด้านนอกของสำนักเซียนอสูรแล้ว

เขามองกลับไป และสำนักเซียนอสูรก็ดูเลือนลางลง ที่พอจะมองเห็นก็คือเงาร่างภาพลวงตามากมายนับไม่ถ้วน ที่กำลังอยู่ในช่วงเร่งรีบดูอึกทึกจอแจ

เมิ่งฮ่าวไม่ได้พูดอะไรออกมา จื่อเซียงออกมาพร้อมกับเขา และเมื่อนางมองกลับไป สีหน้านางก็เต็มไปด้วยความเจ็บปวดใจและมีความรู้สึกที่ซับซ้อน ขณะที่มองไปยังภาพลวงตาของสำนักเซียนอสูร

เศษชิ้นส่วนของก้อนศิลาขนาดเล็กมากมายนับไม่ถ้วน ทันใดนั้นก็ลอยออกมาอยู่รอบๆ เมิ่งฮ่าวและจื่อเซียง กลายเป็นแม่น้ำแห่งดวงดาวอย่างรวดเร็ว เมิ่งฮ่าวยังคงจ้องมองไปยังสำนักเซียนอสูร ขณะที่แรงสั่นสะเทือนของแม่น้ำแห่งดวงดาวทั้งหมดพุ่งขึ้นมา และเริ่มพาเขาและจื่อเซียงจากไป ม้วนตัวออกไปคล้ายกับเป็นสายฟ้าแห่งผ้าไหมสีขาว

เมิ่งฮ่าวไม่กล่าวอะไร ขณะที่สำนักเซียนอสูรเลื่อนออกไปไกลมากขึ้นเรื่อยๆ จื่อเซียงก็ตกอยู่ในความเงียบเช่นเดียวกัน คนทั้งสองห่างออกไป, ห่างออกไปจนกระทั่งในที่สุด ก็เริ่มมองเห็นสะพานเซียนเดินหน ที่อยู่ท่ามกลางกลุ่มดาว

“ข้าต้องไปแล้ว” จื่อเซียงกล่าวขึ้นในทันที มองมายังเมิ่งฮ่าว

เขาหันหน้าไปมองนาง “ดูแลตัวเองด้วยในช่วงการเดินทางของท่าน”

ดวงตาคนทั้งสองสบประสานกัน และจื่อเซียงก็ส่งยิ้มอย่างอบอุ่นออกมา

“ขอบคุณท่าน คำสัญญาจากข้าจะไม่เปลี่ยนไป ข้าเชื่อว่าสักวันหนึ่งในวันข้างหน้า พวกเราจะได้พบกันอีก ข้าจะตั้งตารอสถานที่ที่พวกเราจะพบกัน ภายใต้สถานการณ์อะไร หรือบางทีข้าน่าจะกล่าวว่า…ด้วยตัวตนเช่นใด” ถึงแม้นางจะยิ้มอยู่ แต่แวบของการจากลาก็มองเห็นได้จากภายในดวงตานาง

ด้วยการมองไปที่เมิ่งฮ่าวอย่างลึกซึ้งเป็นครั้งสุดท้าย จื่อเซียงตบไปที่ถุงสมบัติ มีคนลอยออกมาจากด้านใน เป็นหญิงสาว มีรูปร่างหน้าตาที่งดงาม เห็นได้ชัดว่าอายุยังเยาว์วัย นี่ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งเผ่าห้าพิษ, จ้าวโยวหลัน

นางหลับตาอยู่ และไม่ได้ขยับตัวเคลื่อนไหว แต่ก็ยังสามารถตรวจจับสัญญาณแห่งชีวิตของนางได้ แต่ก็เห็นได้ชัดว่านางอยู่ในขั้นของการนอนหลับ จากระลอกคลื่นพื้นฐานฝึกตนของนาง ก็เห็นได้ว่านางอยู่ใน…วงจรอันยิ่งใหญ่ขั้นวิญญาณแรกก่อตั้ง

“เด็กหญิงนางนี้และข้า เชื่อมต่อกันด้วยโชคชะตา” จื่อเซียงกล่าวเสียงแผ่วเบา “ข้าครอบครองร่างนางเมื่อปีนั้น แต่ก็ไม่ได้ทำลายวิญญาณของนางไป ข้าให้สัญญากับนางว่าเมื่อเวลาผ่านไป ข้าจะประทานความโชคดีให้แก่นาง ด้วยพื้นฐานฝึกตนขั้นวงจรอันยิ่งใหญ่วิญญาณแรกก่อตั้ง”

“เมื่อถึงตอนที่ข้าได้ครอบครองร่างเซียนอสูร ข้าก็คืนร่างกลับไปให้นาง ท่านจะว่าอย่างไรถ้าจะพานางกลับไปยังดินแดนแห่งดาวหนานเทียนพร้อมกับท่าน?”

เมิ่งฮ่าวมองไปยังจ้าวโยวหลัน จากนั้นก็มองกลับไปยังจื่อเซียง เขาพยักหน้า

ด้วยการมองไปยังเมิ่งฮ่าวเป็นครั้งสุดท้าย จื่อเซียงหันหลังและจากนั้นก็บินออกไปจากแม่น้ำแห่งดวงดาว ขณะที่นางโผล่ออกไปในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว แสงก็ปรากฏขึ้นที่ใต้เท้านาง และกลายเป็นยานบิน

ยานบินนั้นถูกห้อมล้อมด้วยแสงที่หมุนวนไปมา ขณะที่มันขยายขนาดใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว จนเกือบจะถึงหนึ่งร้อยจ้าง ปราณอสูรกระเพื่อมออกมาเป็นระลอกคลื่น เกิดเป็นภาพบิดเบือนของดวงดาว และทำให้เกิดเป็นภาพซ้อนทับพุ่งขึ้นมา

นางหันหน้ามองกลับมาที่เขาและกล่าวว่า “เมิ่งฮ่าวน้อย ข้าต้องไปแล้ว อย่าได้คิดถึงข้ามากนัก! แน่นอนว่า ถ้าเจ้าคิดถึงข้า เมื่อไหร่ที่เจ้ามีความสามารถที่จะบินผ่านดวงดาวได้ ก็ให้มายังดาวตงเซิ่ง (ชัยชนะตะวันออก) ใครจะไปรู้ได้ว่าข้าอาจจะให้เจ้าได้มีเวลาอยู่กับข้าเพียงลำพังสักครั้ง?” นางหัวเราะ ตอนนี้ ดูเหมือนว่านางได้กลับไปเป็นคนเดิม เหมือนกับตอนที่เมิ่งฮ่าวได้พบกับนางในครั้งแรก

ดึงดูดใจราวกับผ้าไหม ดวงตามีเสน่ห์และน่ารัก นางยิ้มให้และจากนั้นก็กลายเป็นลำแสงพุ่งจนหายลับตาไป

เมิ่งฮ่าวส่ายหน้ายิ้มออกมา ส่วนใหญ่แล้ว เขาและจื่อเซียงเป็นคู่หูร่วมมือกัน แต่หลังจากเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในสำนักเซียนอสูร คนทั้งสองก็ค่อยๆ กลายมาเป็นสหายกันอย่างช้าๆ

เมิ่งฮ่าวละสายตากลับมาจากเงาร่างของนางที่กำลังหายลับไป และจากนั้นก็นั่งลงขัดสมาธิอยู่ใกล้กับชิ้นส่วนเศษศิลา ดวงตาจ้าวโยวหลันยังคงปิดอยู่ ขณะที่นางนอนหลับอยู่ข้างกายเขา คนทั้งสองอยู่ในแม่น้ำแห่งดวงดาว ขณะที่พุ่งผ่านท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวไป ในที่สุดทุกสิ่งทุกอย่างก็เงียบสงบ

เมิ่งฮ่าวจ้องมองออกไปยังดวงดาวที่ไร้จุดสิ้นสุด และในที่สุด ความมุ่งหวังก็ปรากฏขึ้นในดวงตา

“การฝึกตน เซียนอมตะ บินอยู่ในท่ามกลางดวงดาว…ทั้งหมดนี้ก็คือการเดินทาง ถ้าข้าสามารถออกไปจากดินแดนแห่งดาวหนานเทียน เข้าไปในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว การเดินทางของข้าก็คงจะยิ่งน่ามหัศจรรย์มากขึ้น”

“ในตอนนั้น ดาวหนานเทียนก็คงจะเป็นแค่ทัศนยภาพเล็กๆ ในเส้นทางของข้า” ทันใดนั้น เมิ่งฮ่าวก็ยิ้มออกมา

“ข้าได้รับผลประโยชน์จากในสำนักเซียนอสูรมามากมายนัก!” เขาคิด มองลงไปยังถุงสมบัติ

“เวทกลืนภูเขา, ทำลายล้างเก้าชั้นฟ้า, ผนึกร่างวิเศษสวรรค์ชั้นเก้า…และยังมีเต๋าเดิมแท้เวทอสูรไฟมอดไหม้ ความสามารถศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดเหล่านี้ต่างก็ประทับอยู่ในจิตใจข้า เช่นเดียวกับวิชาอื่นๆ อีกไม่น้อย”

“นอกจากนี้ ข้ายังรวบรวมของวิเศษที่หายสาบสูญไปเป็นเวลานาน จากสำนักเซียนอสูรได้อีกด้วย รวมทั้งถุงสมบัติของจี้หมิงเฟิง ที่สำคัญมากที่สุดก็คือปลายกระบี่จากกระบี่ไม้แห่งกาลเวลา!” เมื่อเมิ่งฮ่าวคิดไปถึงปลายกระบี่ จิตใจก็เต้นรัวด้วยความกระตือรือร้น

“ปลายกระบี่นั่นมีพลังแห่งกาลเวลาถึงสามหมื่นปี ถ้าข้านำมันออกมาใช้ มันก็อาจจะไม่ถึงสามหมื่นปีจริงๆ แต่ก็ยังคงน่าตกใจยิ่ง” เมิ่งฮ่าวลูบไปที่ถุงสมบัติ ดวงตาสาดประกายเจิดจ้า

“จากนั้นก็ยังมีของวิเศษอันล้ำค่าจากอาณาจักรที่สี่อีก ดินแดนแห่งกระจก! มีของวิเศษมากมายนับไม่ถ้วนอยู่ในนั้น รวมทั้งเยาปิงฮวงจ่ง (อาวุธอสูรหลุมฝังศพโดดเดี่ยว) และเงาร่างของสามผู้ยิ่งใหญ่เหล่านั้น!”

“ดินแดนแห่งกระจกเป็นของวิเศษล้ำค่าของเจินหลิงเยี่ย การนำมันมาทำให้เยี่ยตื่นขึ้น เมื่อคิดว่าเยี่ยให้ความสำคัญต่อของวิเศษชิ้นนี้มากเท่าใด ก็ยิ่งพิสูจน์ให้เห็นว่ากระจกทองแดงของข้า ช่างมีต้นกำเนิดที่ลึกลับยิ่งนัก” เมื่อคิดไปถึงการเปลี่ยนแปลงของกระจกทองแดงที่เขาเคยพบเจอมา ก็ต้องรู้สึกขึ้นอีกครั้งว่า สิ่งที่เขาได้รับมาจากการผจญภัยในครั้งนี้ ช่างเกินความคาดหมายนัก

“แน่นอนว่าสิ่งของทั้งหมดนี้ ต้องดึงดูดความสนใจให้กับผู้ที่อยากรู้อยากเห็นไม่น้อย พวกผู้ฝึกตนจากดาวหนานเทียนอื่นๆ ทั้งหมด ต่างก็โหดร้ายไร้ยางอาย และต้องมีเจตนาไม่ซื่อเป็นแน่ สำนักและตระกูลของพวกมัน จะต้องรับรู้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นอยู่ที่นั่นอย่างรวดเร็ว” ดวงตาเมิ่งฮ่าวสาดประกาย

“สำหรับจำนวนหินลมปราณที่กลุ่มคนเหล่านั้นเป็นหนี้ข้า ถ้ารวมเข้าด้วยกัน ก็คงจะมากกว่าสิบล้านหินลมปราณ! ซึ่งหมายความว่าตอนนี้ สิ่งหลักที่ข้าขาดแคลนก็คือ…หินลมปราณ!” เมิ่งฮ่าวแค่นเสียงอย่างเย็นชา แต่จากนั้นก็คิดไปถึงจำนวนลูกหนี้ที่เขามี รอยยิ้มอันสดใสก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า

“ผู้ติดหนี้ก็ต้องจ่ายหนี้ นั่นคือหลักการพื้นฐานของสวรรค์และปฐพี! พวกมันไม่อาจจะหลบหนีไปได้! แต่เพื่อความปลอดภัยมากที่สุด ข้าไม่อาจจะอยู่ในดินแดนสีดำ หรือทะเลทรายตะวันตกได้อีกต่อไปแล้ว” ขณะที่เขานั่งครุ่นคิดอยู่ที่นั่น ความคิดมากมายวิ่งผ่านเข้ามาในจิตใจ เวลาผ่านไป เมิ่งฮ่าวนั่งขัดสมาธิอยู่ที่นั่น มองออกไปยังแม่น้ำแห่งดวงดาว และท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว ในที่สุดเขาก็มองเห็นจุดแสง ซึ่งไม่ใช่อะไรอื่นนอกจากเป็นดาวหนานเทียน

ในเวลาเดียวกันนั้น เขาก็ต้องตกตะลึงเมื่อมองเห็นว่า มีสิ่งหนึ่งกำลังโคจรอยู่รอบๆ ดาวหนานเทียน ซึ่งก็คือแท่นบูชา

ทันทีที่เขามองเห็นแท่นบูชานั้น ก็รับรู้ได้ถึงกลิ่นอายอันมืดมนและเย็นชาได้อย่างชัดเจน กลิ่นอายนี้กวาดออกตรงมาที่เขา แต่ก็ถูกปิดกั้นโดยแม่น้ำแห่งดวงดาว และมันก็ไม่อาจจะเข้ามาถึงตัวเขาได้

ขณะที่แม่น้ำแห่งดวงดาวเข้าไปใกล้ดาวหนานเทียน เมิ่งฮ่าวก็ยืนขึ้น จ้องมองไปยังดาวหนานเทียน ขณะที่ใกล้เข้าไปอย่างรวดเร็ว ในที่สุดเขาก็มองเห็นพื้นดินที่เบื้องล่าง เขามองเห็นทะเลเทียนเหอ, ดินแดนด้านใต้ และทะเลทรายตะวันตก

ขณะที่พวกเขาพุ่งลงไปด้านล่าง จ้าวโยวหลันก็ค่อยๆ เริ่มได้สติกลับคืนมา ก่อนที่นางจะลืมตาขึ้น เมิ่งฮ่าวก็ทะยานขึ้นไป พุ่งออกมาจากภายในแม่น้ำแห่งดวงดาว เข้าไปในท้องฟ้าที่อยู่สูงที่สุดเหนือดาวหนานเทียน จากนั้นเขาก็กลายเป็นลำแสงพุ่งห่างออกไปไกล

มีแรงกดดันมากมายอยู่ในระดับความสูงเช่นนั้น แต่เมิ่งฮ่าวก็คุ้นเคยกับแรงกดดันที่ระดับหกพันจ้างในการทดสอบมรดกแห่งราชันหลี่มาอย่างดี ทำให้แรงกดดันแค่นี้เป็นสิ่งที่เขาไม่ได้สนใจมากนัก เขาเคลื่อนที่ไปด้วยความรวดเร็วอย่างน่าเหลือเชื่อ และหายลับตาไปอย่างรวดเร็ว

แม่น้ำแห่งดวงดาวเริ่มสั่นสะเทือน เมื่อมันพาจ้าวโยวหลันที่กำลังสับสนงุนงง ลงไปยังดินแดนที่ด้านล่าง ขณะที่เมิ่งฮ่าวพุ่งออกไปยังที่ห่างไกล เสียงแหบแห้งและเย็นชา ทันใดนั้นก็ได้ยินมา พร้อมกับเสียงหัวเราะหึๆ

“เจ้าลูกสุนัขจากเมื่อหลายปีก่อนนั้นได้เติบโตขึ้นแล้ว! อาณาจักรแห่งความสมบูรณ์ของมันก็พร้อมแล้ว ข้าได้รอคอยมาเป็นเวลานาน…ไม่เสียแรงที่ข้าช่วยปกปิดร่องรอยของเจ้าเมื่อครั้งก่อน เพื่อทำให้ตระกูลจี้สับสน เด็กน้อย ถึงเวลาที่เจ้าจะมาแสดงระดับความสมบูรณ์ให้กับข้าแล้ว”

———

หมายเหตุ : จื่อเซียงให้คำสัญญากับจ้าวโยวหลัน ตอนที่ 474

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!