ตอนที่ 1299 สิ้นสุดการทดสอบ
ตลอดระยะเวลาหมื่นปีที่ผ่านมา เขาได้ประเมินผู้เข้าทดสอบที่มีดวงตาหยั่งรู้จำนวน 8 คน และทุกคนยำเกรงเขามาก ไม่กล้าที่จะแสดงความไม่เคารพแม้แต่น้อย
ความอัศจรรย์ใจและความเกรงขามของคนเหล่านั้นยิ่งล้ำลึกขึ้นอีกเมื่อเห็นหนังสือที่ว่าด้วยเคล็ดวิชาดวงตาสวรรค์แห่งเก้าพื้นดินเบื้องล่าง ทุกคนสาบานว่าจะฝึกฝนมันอย่างหนัก และบางคนถึงกับกลัวว่าสติปัญญาอันอ่อนด้อยของตัวเองจะทำให้ศาสตร์แห่งดวงตาหยั่งรู้อันเจิดจ้าต้องหมองไป
แต่หมอนี่กลับทำให้เขาสะดุดหัวทิ่มหลังจากตรวจสอบเคล็ดวิชานั้น และดูเหมือนเท่านั้นยังไม่พอ ถึงกับมานอนหลับสนิทต่อหน้าเขาด้วย!
นี่มันเยาะเย้ยกันชัดๆ กับข้อเท็จจริงที่ว่าผมตอบคำถามของคุณไม่ได้!
นักปราชญ์ขุยแน่นหน้าอกขึ้นมาอย่างแรง เขาส่ายหัวก่อนจะทรุดตัวลงนั่งอย่างจนปัญญา เขาจ้องมองศาสตร์แห่งดวงตาหยั่งรู้ที่อยู่ตรงหน้าและเริ่มวิเคราะห์มันอีกครั้ง
แม้จะไม่ค่อยพออกพอใจนักกับทีท่าที่ชายหนุ่มมีต่อเขา แต่ก็รู้ดีว่าคำพูดของชายหนุ่มนั้นถูกเผง ลำพังข้อเท็จจริงที่ว่าชายหนุ่มสามารถตั้งคำถามกับเขาได้ ก็หมายความว่าความรู้ความเข้าใจของอีกฝ่ายที่มีต่อเคล็ดวิชานั้นเทียบเท่ากับตัวเขาเลยทีเดียว
หากนักรบคนไหนพบข้อบกพร่องในเทคนิคที่เขาฝึกฝน ก็แปลว่าเขาจะต้องหาวิธีแก้ไขมันได้
หากเขาเก็บงำความสงสัยไว้และฝึกฝนมันต่อไป จะก้าวหน้าขึ้นไปถึงระดับสุดยอดได้อย่างไรกัน?
…..
เวลาผ่านไปอีกระยะหนึ่ง จางเซวียนยืดหลังบิดขี้เกียจและลืมตาขึ้น
ตั้งแต่เขามาถึงจักรวรรดิเฉียนฉง ก็วุ่นวายอยู่กับเรื่องราวมากมาย แม้แต่ระหว่างทางที่มาปูชนียสถานนักปราชญ์ ก็ง่วนอยู่กับการศึกษาเล่าเรียน ยกระดับวรยุทธ และให้คำชี้แนะกับจางจิ่วเซี่ยว ส่งผลให้เกิดความอ่อนล้าทั้งกายและใจสะสมมาจนถึงตอนนี้
บางที อาจเป็นเพราะข้อเท็จจริงที่ว่าเขายังอยู่ในการทดสอบประตูขุนเขา และนักปราชญ์ขุยก็คอยดูแลอยู่ จางเซวียนจึงรู้สึกได้โดยสัญชาตญาณว่าจะไม่มีปัญหาอะไรเรื่องความปลอดภัย ดังนั้นเขาจึงปลดปล่อยความหวาดระแวงทั้งหมดที่มีต่อสภาพแวดล้อมเอาไว้และนอนหลับอย่างสบายใจ
“ผ่านไปเกือบ 3 วันแล้วหรือ?” เขาลุกขึ้นยืนและบิดขี้เกียจอีกครั้ง จางเซวียนคำนวณเวลาคร่าวๆ และอดตกใจไม่ได้
เขาคิดว่าเขาหลับไปเพียงวันเดียวหรือประมาณนั้น แต่ใครจะไปคิดว่าลงท้ายก็หลับรวดเดียว 3 วันเต็ม แค่คิดก็เล่นเอาอับอายไม่น้อย
บางที อาจเป็นเพราะความเครียดที่เขาสะสมมาก่อนหน้านี้และไม่ได้พักผ่อนเพียงพอ ดังนั้นเมื่อความตึงเครียดสลายไป สมองของเขาก็ถือโอกาสนี้พักผ่อนอย่างเต็มที่โดยไม่ได้คำนึงถึงเวลา
“นักปราชญ์ขุยแก้ปัญหาที่เราถามเขาได้หรือยังนะ?” จางเซวียนพลันนึกได้ถึงสิ่งสำคัญที่เกิดขึ้นก่อนเขาจะหลับ เขาหันไปมองนักปราชญ์ขุย
แต่แล้วก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าร่างของชายชราเปลี่ยนไปมาก ราวกับพร้อมจะสูญสลายไปได้ทุกขณะ ยิ่งไปกว่านั้น นัยน์ตาของเขาก็แดงก่ำ ใบหน้าก็ดูแก่ลงไปอย่างบรรยายไม่ถูก เหมือนกับเขาถูกดูดเอาพลังชีวิต จิตวิญญาณ และพลังงานออกไปหมดภายในเวลา 3 วันที่ผ่านมา
“เกิดอะไรขึ้นกับคุณน่ะ?” จางเซวียนพรั่นพรึงกับภาพที่เห็นตรงหน้า
ก่อนเขาจะหลับไป นักปราชญ์ขุยก็ดูสบายดีอยู่ ผ่านไปเพียง 3 วัน ทำไมถึงเปลี่ยนไปมากขนาดนี้?
“ในที่สุดคุณก็ตื่นเสียที” นักปราชญ์ขุยหันมามองจางเซวียนด้วยใบหน้าแดงก่ำที่บ่งบอกถึงความอับอาย นัยน์ตาของเขาแสดงถึงความหมดหวังและจนปัญญา เขาพูดว่า “ผมครุ่นคิดถึงคำถามของคุณตลอด 3 วันที่ผ่านมา…และหาคำตอบไม่ได้จริงๆ !”
เขาคิดว่าอย่างน้อยก็น่าจะตอบได้สัก 1 คำถาม เพื่อรักษาหน้าเอาไว้บ้าง แต่ดูเหมือนเขาจะประมาณตัวเองไว้สูงเกินไป
ยิ่งครุ่นคิดคำถามเหล่านั้นให้ลึกซึ้งมากขึ้นเท่าไหร่ ความมั่นใจที่เขามีในศาสตร์แห่งดวงตาหยั่งรู้ก็ลดลงเท่านั้น มาตอนนี้ เขาถึงกับสงสัยแล้วว่าทางเลือกที่เขาเลือกนั้นผิดตั้งแต่ต้น
จางเซวียนกำลังครุ่นคิดว่าเหตุการณ์โลกแตกชนิดไหนที่เกิดขึ้นระหว่างที่เขากำลังหลับ เมื่อได้ยินคำพูดนั้นก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกและปลอบนักปราชญ์ขุยว่า “คุณหาคำตอบไม่ได้ก็ไม่เป็นไรหรอก ไม่จำเป็นต้องคิดมาก ขอแค่คุณนึกถึงปัญหาเหล่านั้นเอาไว้ตลอดเวลาที่ฝึกฝนเทคนิคนั้นต่อไปก็แล้วกัน”
“…” นักปราชญ์ขุยยิ่งแน่นหน้าอกเข้าไปอีก
ทำไมเขาถึงรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นลูกศิษย์?
“ระยะเวลาของการทดสอบคือ 3 วัน เพราะฉะนั้นผมก็ควรจะไปได้แล้ว” จางเซวียนมองสภาพแวดล้อมโดยรอบและตั้งข้อสังเกตว่าเขายังคงอยู่ในมิติลี้ลับ
จากนั้นก็พลันคิดอะไรบางอย่างได้ เขามองหน้านักปราชญ์ขุย “แล้วคะแนนของผมล่ะ?”
ขณะที่ผู้เข้าแข่งขันคนอื่นๆ พยายามเก็บคะแนนให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เขากลับหลับรวดเดียวตลอด 3 วัน นี่เขาจะไม่ผ่านการทดสอบเพราะเหตุนี้หรือเปล่า?
“…รอเดี๋ยวนะ ผมจะให้คะแนนคุณเดี๋ยวนี้แหละ” นักปราชญ์ขุยตอบอย่างกระอักกระอ่วน
เขามัวแต่วุ่นอยู่กับการพิจารณาคำถามของชายหนุ่มจนลืมเรื่องนี้ไป…
คงจะเป็นเรื่องตลกที่สุดในโลกหากหัวหน้าปูชนียสถานในอนาคตขาดคุณสมบัติที่จะเป็นนักเรียนของปูชนียสถานนักปราชญ์!
สำหรับผู้เข้ารับการทดสอบที่ได้เป็นหัวหน้าปูชนียสถานนักปราชญ์ก่อนหน้านี้ทั้ง 8 คน ขณะที่พวกนั้นกำลังตั้งอกตั้งใจศึกษาเคล็ดวิชาดวงตาสวรรค์แห่งเก้าพื้นดินเบื้องล่าง เขาก็จะคอยเพิ่มคะแนนให้กับคนเหล่านั้นเพื่อไม่ให้ใครรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่ด้วยความบอบช้ำที่เขาได้รับในครั้งนี้ ทำให้เขาลืมเรื่องคะแนนไปสนิท
นักปราชญ์ขุยรีบเคาะนิ้ว ครู่ต่อมาเขาก็พูดว่า “คุณคงจะมีคะแนนมากพอที่จะได้เข้าสู่โซนหัวกะทิแล้วล่ะ”
“ขอบคุณมาก” จางเซวียนถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อได้ยิน
ถึงตอนนี้ เขาพอจะเข้าใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่ หัวหน้าปูชนียสถานคนก่อนๆ ไม่ได้มัวนอนหลับตลอด 3 วันแบบเขา แต่ได้ใช้เวลาศึกษาเคล็ดวิชาดวงตาสวรรค์แห่งเก้าพื้นดินเบื้องล่าง จึงไม่มีเวลาที่จะออกไปหาคะแนนเพิ่มเช่นกัน
เป็นไปได้ว่าพวกเขาได้เป็นนักเรียนของปูชนียสถานนักปราชญ์อย่างเป็นทางการก็เพราะนักปราชญ์ขุยเพิ่มคะแนนให้
ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นถึงผู้คิดค้นการทดสอบประตูขุนเขา การที่เขาจะเพิ่มคะแนนให้ผู้เข้าทดสอบก็คงไม่ใช่เรื่องยากอะไร!
“โชคดีนะ และหมั่นศึกษาเล่าเรียนด้วย พยายามทำลายฉนวนของตราสัญลักษณ์หัวหน้าปูชนียสถานให้ได้โดยเร็วที่สุด เพื่อที่คุณจะได้กลายเป็นหัวหน้าปูชนียสถานนักปราชญ์คนต่อไปอย่างเป็นทางการ ผมขอฝากความรับผิดชอบในการถ่ายทอดแนวคิดของปรมาจารย์ขงและมรดกตกทอดของท่านอาจารย์ของผมให้กับคนรุ่นหลังไว้ในมือของคุณด้วย” แม้เสียงของนักปราชญ์ขุยจะเคร่งขรึม แต่แววตาคาดหวังของเขาก็บ่งบอกว่าเขาเชื่อมั่นในตัวชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า
มีบางอย่างในตัวชายหนุ่มคนนี้ที่ไม่เหมือนกับผู้เข้ารับการทดสอบที่ได้เป็นหัวหน้าปูชนียสถานคนอื่นๆ บางทีเขาอาจจะเดินคนละเส้นทางกับคนเหล่านั้น
ต่อให้ภารกิจจะยากเย็นแค่ไหน เขาก็ยังรู้สึกว่าชายหนุ่มจะต้องแก้ไขข้อบกพร่องของเคล็ดวิชาดวงตาสวรรค์แห่งเก้าพื้นดินเบื้องล่างและปรับปรุงมรดกของท่านอาจารย์ของเขาให้สมบูรณ์แบบจนได้
“วางใจเถอะ” จางเซวียนตอบ
ตำแหน่งหัวหน้าปูชนียสถานมีความหมายต่อตัวเขามาก มันจะทำให้เขามีความสําคัญมากพอที่จะขอหลัวลั่วชิงแต่งงาน และทำให้เขามีทรัพยากรที่เพียงพอต่อการฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นปรมาจารย์ระดับ 9 ดาวให้ได้ก่อนอายุ 30 ปีด้วย
ไม่ว่าจะอย่างไร เขาก็จะต้องทำมันให้ได้
“อือ” นักปราชญ์ขุยพยักหน้าอย่างพอใจก่อนจะโบกมือ
พริบตาต่อมา จางเซวียนก็รู้สึกว่าร่างกายของเขากระตุก และพื้นที่โดยรอบก็กลายเป็นบางสิ่งที่มีหลากสีสัน
ฟึ่บ!
เมื่อกระตุกอีกครั้ง เขาก็พบว่าตัวเองยืนอยู่ตรงหน้าประตูสูงตระหง่าน เขาก้าวออกไปข้างหน้าโดยสัญชาตญาณ และก่อนที่จะทันรู้ตัว ก็กลับมายืนอยู่ที่ใจกลางจัตุรัสก่อนหน้าอีกครั้งหนึ่ง
“เรากลับมาแล้วหรือ?” จางเซวียนกระพริบตาอย่างสับสน เขาสำรวจพื้นที่โดยรอบ
ในตอนนั้น เหล่านักเรียนที่ฝ่าฟันการทดสอบมาตลอด 3 วันต่างก็กลับมากันเกือบหมดแล้ว แต่ละคนมีสีหน้าหลากหลาย บางคนหน้าตาแช่มชื่นด้วยความดีใจ บางคนก็หน้าตาหม่นหมอง
ผลการทดสอบจะปรากฏอยู่บนแผ่นหยกทดสอบ ดังนั้นพวกเขาจึงยังไม่รู้ว่าตัวเองมีคุณสมบัติเพียงพอจะได้เข้าเรียนในปูชนียสถานนักปราชญ์หรือไม่ ได้แต่กะประมาณผลงานของตัวเอง ซึ่งผู้เข้าทดสอบส่วนใหญ่ก็พอจะรู้ผลงานของตัวเองอย่างคร่าวๆ
จางเซวียนมองไปรอบๆ เพื่อหากลุ่มที่เดินเข้าประตูการทดสอบขุนเขาไปด้วยกัน ด้วยความบังเอิญ ในตอนนั้น ประตูด้านหลังเขาก็เปิดออกอีกครั้ง จางจิ่วเซี่ยวเดินออกมา
“เป็นอย่างไรบ้าง?”
“ผมเองก็ไม่แน่ใจ แต่คิดว่าผมคงผ่านการทดสอบได้โดยไม่มีปัญหาอะไร!” จางจิ่วเซี่ยวพูดด้วยแววตาที่บ่งบอกความตื่นเต้น
“อย่างนั้นหรือ การทดสอบของคุณคืออะไรล่ะ?”
การที่ยังคงความมั่นใจเอาไว้ได้หลังจากผ่านการทดสอบอันเข้มข้นมาแล้ว การทดสอบของจางจิ่วเซี่ยวจะต้องเป็นอะไร?
“ศิลปะเพลงดาบ! ผมเข้าถึงความเข้าใจขั้นกึ่งแก่นเพลงดาบแล้ว ทั้งยังเข้าใจแนวคิดพื้นฐานของสามดาบแห่งหลินชู่ด้วย แม้ตอนนี้จะยังอ่อนด้อยอยู่บ้าง แต่ผมคิดว่าก็คงมีผู้เข้าทดสอบไม่มากนักหรอกที่มีระดับความเชี่ยววชาญเทียบเท่ากับผม” จางจิ่วเซี่ยวตอบอย่างมั่นใจ
ตลอดการเดินทางจากจักรวรรดิเฉียนฉงมายังปูชนียสถานนักปราชญ์ จางเซวียนได้ถ่ายทอดศิลปะเพลงดาบให้กับเขา ทำให้ความเข้าใจในเพลงดาบของเขาก้าวกระโดด และฝ่าด่านวรยุทธเข้าสู่ขั้นกึ่งแก่นเพลงดาบได้
เมื่อประกอบเข้ากับความเข้าใจในวิชาสามดาบของหลินชู่ แม้แต่หม่าหมิงไห่ซึ่งมีชื่อเสียงด้านความเชี่ยวชาญในศิลปะเพลงดาบก็ยังเทียบชั้นกับเขาไม่ได้ ดังนั้น จึงไม่ยากเกินไปสำหรับเขาที่จะโดดเด่นกว่าผู้เข้าแข่งขันคนอื่นๆ ในด้านศิลปะเพลงดาบ
“ก็ดี” จางเซวียนพยักหน้า
เขาได้ใช้ความพยายามไปมากในการชี้แนะจางจิ่วเซี่ยวเพื่อหวังว่าอีกฝ่ายจะสามารถผ่านการทดสอบ และก็ได้เห็นว่าจางจิ่วเซี่ยวฝึกฝนอย่างหนักมาตลอด เป็นเรื่องน่ายินดีที่ได้เห็นว่าความพยายามของเขาสัมฤทธิ์ผล
“คะแนนของผมคงน่าจะเพียงพอให้ผมได้เข้าเรียนในปูชนียสถานนักปราชญ์ แต่คงไม่ได้เข้าโซนหัวกะทิหรอก” จางจิ่วเซี่ยวพูดต่อ
“โซนหัวกะทิ?” นี่เป็นครั้งที่ 2 ที่จางเซวียนได้ยินคำนี้ เขาอดส่งสายตาสงสัยใส่จางจิ่วเซี่ยวไม่ได้
“โซนหัวกะทิคือชั้นเรียนที่นักเรียนผู้ปราดเปรื่องที่สุดจะได้เข้าไป มีเพียง 50 ที่นั่งเท่านั้น” จางจิ่วเซี่ยวอธิบายด้วยแววตาที่บ่งบอกความตื่นเต้น
“50 ที่นั่งเท่านั้นหรือ?” จางเซวียนประหลาดใจ
ด้วยจำนวน 50 ที่นั่ง ย่อมหมายความว่าท็อป 10 เปอร์เซ็นต์ของผู้เข้าแข่งขันที่ผ่านการทดสอบมาได้เท่านั้นถึงจะได้เข้าสู่โซนหัวกะทิ
ด้วยความเข้มงวดของการคัดเลือก ก็บ่งบอกได้ว่าผู้ที่เข้าสู่โซนหัวกะทิได้จะต้องโดดเด่นขนาดไหน
“ใช่แล้ว คนส่วนใหญ่ที่ได้เข้าสู่โซนหัวกะทิจะลงเอยด้วยการได้เป็นผู้นำในองค์กรของพวกเขา ถ้าผมได้เข้าโซนหัวกะทิ ก็คงมีโอกาสที่สถานภาพของผมในตระกูลจางจะสูงกว่าจางเฉี่ยน!” จางจิ่วเซี่ยวพูดอย่างตื่นเต้น
“ลำดับของทายาทในตระกูลนักปราชญ์ถูกจัดโดยใช้ความบริสุทธิ์ของสายเลือดไม่ใช่หรือ?”
จางเซวียนถามด้วยความสงสัย
“ในภาพรวมก็เป็นอย่างนั้น แต่มันไม่ใช่เกณฑ์เดียวที่ใช้ประเมิน อัจฉริยะบางส่วนที่มาจากครอบครัวสาขา แม้จะมีความบริสุทธิ์ของสายเลือดที่อ่อนด้อย แต่หากประสบความสำเร็จในด้านอื่นๆ ก็จะได้รับสถานภาพที่ดีในตระกูลจางเช่นกัน” จางจิ่วเซี่ยวอธิบาย
“ไม่มีอะไรที่จะต้องพูดถึงมากนักเกี่ยวกับสถานภาพของปูชนียสถานนักปราชญ์ในทวีปแห่งปรมาจารย์ นอกจากเหล่านักเรียนในโซนหัวกะทิจะประสบความสำเร็จในอนาคตแล้ว ลำพังเส้นสายที่พวกเขาสร้างขึ้นก็มากพอที่จะค้ำจุนสถานภาพของพวกเขาในโลกใบนี้!”
“ก็จริง” จางเซวียนพยักหน้า
ผู้ที่ได้เข้าสู่โซนหัวกะทินั้น ส่วนใหญ่จะเป็นอัจฉริยะจากกลุ่มอำนาจชั้นยอด ต่อให้ในอนาคตพวกเขาจะไม่ได้เป็นหัวหน้าองค์กร แต่อย่างน้อยที่สุดก็ยังมีคุณสมบัติเทียบเท่ากับผู้อาวุโส
การอยู่ในระดับเดียวกับคนเหล่านั้นจะช่วยสร้างความสัมพันธ์ต่อกันและกัน และสร้างเครือข่ายอันทรงพลังขึ้น
ในทางตรงกันข้าม โซนทั่วไปนั้นจะอ่อนด้อยกว่ากันมาก
“เอาเถอะ ปรมาจารย์จาง แล้วคุณคิดว่าคุณได้คะแนนเท่าไหร่ ได้นับหรือเปล่า? จะเข้าโซนหัวกะทิได้ไหม?” จางจิ่วเซี่ยวถามด้วยความอยากรู้
เขาได้ใช้เวลากับชายหนุ่มคนนี้มาระยะหนึ่งแล้ว รู้ดีว่าหากอีกฝ่ายใช้พละกำลังเต็มที่ในการทดสอบ ก็มีโอกาสสูงที่จะได้เข้าสู่โซนหัวกะทิ
แต่ก็นั่นแหละ การจะระบุลงไปให้แน่ชัดก็ยังถือเป็นเรื่องยาก
อัจฉริยะรุ่นเยาว์ผู้โดดเด่นส่วนใหญ่ของสภาปรมาจารย์ก็มารวมกันอยู่ในจัตุรัสแห่งนี้ การจะอยู่เหนือพวกเขาย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย
“เอ่อ” จางเซวียนยิ้มเจื่อนๆ ขณะส่ายหน้า “ตอบตามตรงนะ ผมเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน”
แม้นักปราชญ์ขุยจะพูดว่าได้มอบคะแนนให้เขามากพอที่จะเข้าสู่โซนหัวกะทิ แต่เขาก็ยังไม่แน่ใจว่าตัวเองได้คะแนนเท่าไหร่
“คุณไม่แน่ใจหรือ?” จางจิ่วเซี่ยวเข้าใจว่าจางเซวียนไม่อยากเปิดเผยคะแนนของตัวเอง จึงไม่ถามต่อ เขาหัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า “เอาเถอะ ตอนนี้คะแนนของพวกเรากำลังถูกคำนวณอยู่ คงจะออกเร็วๆ นี้แหละ!”
หากไม่มีอะไรผิดพลาด พวกเขาคงจะได้รู้ว่าจะได้เข้าสู่ปูชนียสถานนักปราชญ์หรือไม่ภายในวันนี้
“อือ” จางเซวียนพยักหน้า
ทั้งคู่พบหม่าหมิงไห่กับคนอื่นๆ และเดินตรงเข้าไปหา
ดูจากท่าทีสุขุมของหม่าหมิงไห่กับสีหน้าของพี่ซุน ดูเหมือนพวกเขาจะทำการทดสอบได้ไม่เลวนัก ส่วนคนอื่นๆ มีสีหน้าที่ออกจะย่ำแย่ ทั้งเครียดและวิตกกังวล บ่งบอกว่าพวกเขามีความมั่นใจไม่มาก
ก็ไม่น่าแปลกใจที่จะรู้สึกแบบนี้ คนพวกนั้นอาจเป็นหัวกะทิในตระกูลหรือในจักรวรรดิของตัวเอง แต่เมื่อมาเจอกับผู้เชี่ยวชาญมากมาย จากหลากหลายอาชีพ หลากหลายตระกูลนักปราชญ์ และจากนานาจักรวรรดิ ความโดดเด่นในฐานะอัจฉริยะก็ย่อมหมองลงเมื่อเปรียบเทียบกับคนอื่นๆ
“อยากรู้จังว่าจะมีสักกี่คนที่ได้เข้าสู่ปูชนียสถานนักปราชญ์” จางเซวียนสงสัยขณะที่มองใบหน้าเป็นกังวลของคนเหล่านั้น
การแข่งขันเพื่อขึ้นสู่ความเป็นที่สุดนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย หากจะเปรียบเทียบ ก็เหมือนกับเหล่าทหารม้านับพันที่พุ่งผ่านป่าแคบๆ เพื่อจะไปยังอีกด้านหนึ่ง
แน่นอนว่าจะต้องมีบางคนที่ตกจากหน้าผา คือต้องออกจากการแข่งขัน
อย่างตัวเขาเป็นตัวอย่าง หากไม่ใช่เพราะความโดดเด่นของตัวเขาเอง ก็คงไม่ได้ก้าวขึ้นถึงจุดที่เป็นอยู่นี้ ทั้งที่มาจากอาณาจักรไร้ขั้นอย่างอาณาจักรเทียนเซวียน
…..
ไม่ช้า ผู้เข้ารับการทดสอบทั้งหมดก็ออกมาจากประตู และกระดานที่แสดงผลคะแนนของผู้เข้ารับการทดสอบ 500 อันดับแรกก็เปลี่ยนแปลงเป็นครั้งสุดท้าย
เหล่าผู้นำทางที่ต่างก็กระวนกระวายพากันยืนอออยู่หน้าแผ่นหยกสีเขียวอมเทา ต่างคนต่างจับจ้องที่แผ่นหยกนั้น