Skip to content

Tales of Herding Gods 398

Tales of Herding Gods
BC

ตอนที่ 398 เนตรเทวะอันดับหนึ่ง

C

ฉินมู่รับฟังจนเหม่อลอย โลกขนนกสวรรค์ได้เข้าชนและ ซ้อนทับกับโลกอันแดนโบราณวินาศตั้งอยู่ ดังนั้นท้องฟ้าของโลก ขนนกสวรรค์จึงกลายเป็นแดนโบราณวินาศ มันช่างเป็นภาพ ปรากฏการณ์ที่พิสดารเกินจินตนาการ

น่าเสียดายว่าคงมิอาจได้เห็นอีกต่อไป

โลกขนนกสวรรค์เคยอยู่ใต้การปกครองของจักรวรรดิจักรพรรดิก่อตั้งอันโบราณ แต่เพราะว่าจักรวรรดิโบราณนั้นประสบมหาภัยพิบัติ พวกที่อยู่ใต้ปกครองของมันจึงสูญเสียผู้พิทักษ์คุ้มกัน เพราะอย่างนั้น มารเทวะตนนั้นจึงเสาะหาพบเจอโลกขนนกสวรรค์ และเข้าแทรกซึมครอบงําประชากรทั้งหมด

ภัยพิบัติจักรพรรดิก่อตั้งนั้นเกิดขึ้นเมื่อราวๆ 20,000 ปีก่อน และมันก็เป็นเวลานั้นที่จักรวรรดิได้กลายมาเป็นแดนโบราณวินาศ

อาณาเขตของจักรวรรดิจักรพรรดิก่อตั้งนี้มิช่ค่แดนโบราณวินาศ แต่ยังมีโลกมิติอื่นๆ อีก

เขาอดไม่ได้ที่จะจมดิ่งลงในความคิดอันเพริดพิสดาร จักรวรรดิจักรพรรดิก่อตั้งได้ยึดครองโลกมิติแห่งอื่นและปกครอง โลกอันแสนอัศจรรย์อย่างโลกขนนกสวรรค์อันมีสิ่งมีชีวิตทุกรูปลักษณ์ ถ้าได้มีชีวิตอยู่ในยุคสมัยนั้นคงน่าสนใจมิใช่น้อย

“ข้าได้ยินว่าสถานที่แห่งนี้ถูกเรียกว่าสภาสวรรค์” อวี่เจ้าชิงกล่าว “และจักรพรรดิผู้นั้นเป็นผู้ที่ปกครองสรวงสวรรค์อีกจํานวนมาก”

ฉินมู่พลันนึกถึงตอนที่เขาได้พาเสียงซีอวี่และบุตรสาวของนาง เดินทางผ่านแดนโบราณวินาศ และภาพที่เขาได้เห็นตอนที่ผ่าน ตําหนักสุขาวดี มันเป็นแดนโบราณวินาศที่มีแผ่นดินตั้งฉากชิ้น มหึมาปักลงไปในนั้น มีสิ่งปลูกสร้างอลังการและกําแพงอันพังทลาย มากมายเสาทั้งหลายล้มพินาศและชี้เด่ออกมาทั่วทิศทาง และก็มี เครื่องจักรกลมหึมาซุ่มซ่อนอยู่ในรอยแยกของหินผา…

ฉินมู่ตั้งสติตนเองและรีบผลักไสความคิดเพ้อเจ้อเหล่านั้นออกไป “มารเทวะมารชิงร่างได้ตายไปแล้ว ดังนั้นพวกเจ้าก็ปลอดภัยล่ะ หัวหน้าเผ่าอวี่ เจ้ามีแผนอย่างไร”

“ฟื้นฟูประเทศของพวกเราขึ้นมาใหม่และกลับไปสู่มาตุภูมิ” ภูษาของอวี่เจ้าชิงส่งเสียงหึ่งแผ่วเบา และไม่นานมันก็

แปรเปลี่ยนเป็นชุดเกราะ จิตหาญศึกของนางผสานผสมไปด้วยรังสี สังหารได้พวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า “ข้าหมายที่จะนําชนเผ่าของข้า กลับไปยังโลกขนนกสวรรค์! ที่นั่นมีเผ่ามารอยู่มากมาย พวกมัน เป็นผู้ช่วยของมารเทวะมารชิงร่างผู้ซึ่งได้ช่วงชิงดินแดนอันลํ้าค่า ของเผ่าขนนกสวรรค์พวกเรา ข้าจะต้องช่วงชิงมันกลับมา และสังหารอริศัตรูทุกคนเพื่อฟื้นฟูมาตุภูมิใหม่อีกครั้ง!”

“ยังมีเผ่ามารอื่นๆ ในโลกขนนกสวรรค์อีกหรือ” ฉินมู่ตื่นตะลึง และคิดคํานวณอยู่ครู่หนึ่ง “เผ่าขนนกสวรรค์เหลือผู้คนเพียงไม่กี่ล้านคนเหล่านี้ เจ้าจะมีกําลังอํานาจเพียงพอที่จะช่วงชิงโลกขนนก สวรรค์กลับมาได้หรือ”

อวี่เจ้าชิงเต็มไปด้วยความมั่นใจ “จากมรณกรรมของมารเทวะ มารชิงร่าง ชนเผ่าอื่นๆ ของข้าที่นั่นก็คงได้สติฟื้นคืนกลับมา พวก เรา เผ่าขนนกสวรรค์ อาศัยคลื่นสมองเพื่อติดต่อสื่อสารซึ่งกันและ

กัน เมื่อพวกเราต่อสู้ในศึกสงคราม มันก็ง่ายดายราวกับควบคุม แขนและขา ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะช่วงชิงโลกขนนกสวรรค์ กลับมา”

“หัวหน้าเผ่าอวี่ มรรคา วิชา และทักษะของยุคสมัยนี้แตกต่าง จากในอดีต พวกเจ้าถูกมารเทวะมารชิงร่างควบคุมมานานหลาย ต่อหลายปี ดังนั้นพวกเจ้าอาจจะยังไม่เข้าใจยุคสมัยนี้ เมื่อเข้าสู้ใน

สมรภูมิ คลื่นสมองของเจ้าก็จะถูกขัดขวางอย่างง่ายดาย พวกเจ้า ถูกควบคุมมานานหลายต่อหลายปี ศัตรูของพวกเจ้าน่าจะได้ เรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เรียนรู้ได้เกี่ยวกับพวกเจ้าไปแล้ว ในสายตา ของพวกเขา พวกเจ้าก็ไม่ต่างอะไรกับแพะแกะที่รอถูกเชือด”

ปราณชีวิตเขาแผ่พุ่งไปและขับเคลื่อนทักษะเทวะ ปราณชีวิต ของเขาแปรเปลี่ยนเป็นอักษรรูนพิสดารมากมายเพื่อก่อขึ้นมาเป็น กระทะใบใหญ่ที่ควํ่าปากลง

อักษรรูนสั่นสะเทือนอย่างต่อเนื่องและสร้างคลื่นเสียงอันยากที่ ผู้ค นทั่วไปจะได้ยิน แต่ทว่า ในหูของอวี่เจ้าชิงนั้น มันราวกับระฆัง

ใหญ่กึกก้องที่ดังเหง่งหง่างอย่างไม่หยุดยั้ง ขัดจังหวะจิตของนาง เสียงอึงอลเหล่านั้นทําให้นางหูหนวกอื้อไปหมด และมิอาจสร้างการ เชื่อมต่อกับคนในเผ่าได้

ฉินมู่สลายทักษะเทวะนี้แล้วกล่าว “หัวหน้าเผ่าอวี่ ข้าคิดว่าท่านควรกระทําการอย่างค่อยเป็นค่อยไป อย่าเพิ่งรีบร้อนทําอะไร”

อวี่เจ้าชิงหัวใจปั่นป่วนไปหมด และเสื้อผ้าของนางก็แปรเปลี่ยน สีสันไปมาไม่สิ้นสุด ลวดลายสับสนเปะปะทุกรูปเงาก็ผุดขึ้นมา ทํา ให้เห็นได้ชัดว่าจิตคิดของนางกําลังหวั่นไหวไม่เสถียร

ฉินมู่ได้พบเจอกับเผ่าขนนกสวรรค์เป็นครั้งแรก แต่เขาก็ ตระหนักอย่างรวดเร็วว่าการเชื่อมโยงระหว่างดวงจิตของพวกนาง นั้นสามารถถูกฉวยประโยชน์ได้ ยอดฝีมือเผ่ามารก็จะต้องตระหนัก

เรื่องนี้เช่นกันและคงได้ศึกษาประเด็นนี้มาเป็นเวลานานแล้ว

หากว่าเผ่าขนนกสวรรค์ไม่อาจงัดความสามารถใหม่ๆ ขึ้นมา การฟื้นฟูมาตุภูมิของพวกตนขึ้นมาใหม่ก็คงเป็นเพียงฝันลมๆ แล้งๆ กลับไปยังโลกขนนกสวรรค์จะต้องตายอย่างแน่นอน!

“จักรวรรดิสันตินิรันดร์กําลังอยู่ระหว่างการปฏิรูป และมรรคา วิชาและทักษะเทวะทุกประเภทก็กําลังวิวัฒน์ก้าวหน้าไปอย่าง

รวดเร็ว” ฉินมู่กล่าว “ทําไมพวกเจ้าไม่ไปลงหลักปักฐานที่ จักรวรรดิสันตินิรันดร์ก่อนล่ะ เพื่อเรียนรู้ความสามารถใหม่ๆ เมื่อ พวกเจ้าได้ความสามารถใหม่ๆ แล้วก็จะสามารถกลับไปยังโลกขน

นกสวรรค์เพื่อช่วงชิงดินแดนกลับคืนมาได้”

อวี่เจ้าชิงลังเลอยู่เล็กน้อย ในฐานะหัวหน้าเผ่า นางปรารถนา ยิ่งกว่าสิ่งใดที่จะได้กลับไปยังโลกขนนกสวรรค์และกวาดล้างมาร ร้ายทั้งหมดที่อยู่ที่นั่น กระนั้น ตามที่ฉินมู่กล่าว การกลับไปที่นั่น จะต้องตายอย่างแน่แท้ และนางจะต้องไม่รีบร้อน

“หัวหน้าเผ่าอวี่อาจจะยังไม่รู้ แต่บุคคลตรงหน้าท่านนี้มิใช่คน นอก เขานั้นเป็นองค์ชายท่านหนึ่ง” หัวหน้าเผ่านักต้อนตะวันพลัน กล่าว

“องค์ชาย?” อวี่เจ้าชิงข่มระงับความขัดแย้งในหัวใจของนาง และถามอย่างกังขา “องค์ชายที่ไหน”

“องค์ชายของเผ่านักต้อนตะวันพวกข้าก็เป็นองค์ชายของเผ่า ขนนกสวรรค์ของพวกเจ้าด้วยเช่นกัน” หัวหน้าเผ่านักต้อนตะวัน กล่าวด้วยเสียงทุ้มลึกและเต็มไปด้วยความนัย

หัวใจของอวี่เจ้าชิงสั่นสะท้านอย่างรุนแรง และนางพลันคุกเข่า ลงข้างหนึ่ง เสื้อผ้าของนางแปรเปลี่ยนเป็นชุดข้าราชบริพาร และก็ น้อมกายคารวะฉินมู่อีกครั้ง

“พิธีรีตองพวกนี้มาจากไหนกันเยอะแยะ จักรวรรดิจักรพรรดิ

ก่อตั้งสิ้นสูญไปนานแล้ว ดังนั้นข้าจึงมิใช่องค์ชายของพวกเจ้าอีก ต่อไป พี่สาวอวี่ ได้โปรดอย่าทําให้ตกใจเลย” ฉินมู่รีบพยุงนางลุก

ขึ้น  และลองหยิบจับเสื้อผ้าบนร่างกายของนาง เขารู้สึกว่าเนื้อผ้า

นั้นนุ่มลื่นและชุ่มฉํ่า เขาถามด้วยรอยยิ้ม “เสื้อผ้าบนร่างกายของ พี่สาวอวี่ทําจากอะไรหรือ”

อวี่เจ้าชิงมองไปยังหัวหน้าเผ่านักต้อนตะวันด้วยความฉงน และเขาก็ขมวดคิ้วเช่นกัน ฉินมู่ดูจะไม่อยากยอมรับว่าเขาคือองค์ ชายแห่งราชวงศ์จากหมู่บ้านไร้กังวล เขาไม่ยอมรับศักดิ์ฐานะนี้ต่อ หน้าเขา และก็ไม่ยอมรับศักดิ์ฐานะดังกล่าวต่อหน้าอวี่เจ้าชิง เช่นกัน

“องค์ชาย ภูษาบนร่างของข้านั้นจริงๆ เป็นผิวหนังและปีกของ ข้า” อวี่เจ้าชิงอธิบาย “โครงสร้างร่างกายของเผ่าขนนกสวรรค์ของ ข้านั้นแตกต่างจากของพวกท่าน พวกเรามีปีกบางๆ มากมาย ทว่า ไม่มีขนนกแต่กลับเป็นเกล็ดแทน เมื่ออารมณ์ ของพวกเราเปลี่ยนแปลง พวกมันก็จะเปลี่ยนสีไปเช่นกัน ชนเผ่าขนนกสวรรค์ ของพวกข้ามีวิธีการประดับประดาร่างกายแบบนี้”

เมื่อฉินมู่ได้ยินว่าเสื้อผ้าของนางมิใช่ใดอื่นนอกเสียจากผิวหนัง เขาก็อดไม่ได้ที่จะลองบีบจับดูอีกครั้ง เขาพบว่าเกล็ดนั้น มิได้แข็งแกร่ง มันกลับอ่อนนุ่มเหมือนเนื้อหนัง

อวี่เจ้าชิงใบหน้าแดงฉานจากการถูกบีบจับ “องค์ชาย ท่านอย่าทําแบบนั้น…”

ฉินมู่ปล่อยไปและอดจะรู้สึกเสียดายไม่ได้ เขาอยากจะขอ เสื้อผ้าแบบนี้จากอวี่เจ้าชิงสักหลายชุด แต่ทว่ามันกลายเป็นส่วน หนึ่งของร่างกายของชนเผ่านาง ดังนั้นจึงมิอาจเอาออกไปได้ และ เขาก็ได้แต่ล้มเลิกความคิด

ซีอวิ๋นเซี่ยง หลิงอวี้จิว และฮู่หลิงเอ๋อก็ก้าวเข้ามา และลอง สัมผัสภูษาบนร่างของหญิงผู้นี้พลางเดาะปากด้วยความทึ่ง เมื่อพวกนางทําเช่นนั้น ใบหน้าของอวี่เจ้าชิงก็ยิ่งแดงฉานเข้าไปใหญ่ นางไม่อยากให้พวกเขาแตะจับ แต่ว่าก็อายเกินกว่าที่จะปฏิเสธ นางจึงได้แต่ยืนอยู่ตรงนั้นอย่างกระสับกระส่าย

“ผิวสัมผัสมหัศจรรย์จริงๆ มันนุ่มกว่าขนฟูของหลิงเอ๋อเสียอีก”

พวกสาวๆ อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจด้วยความชื่นชม หลิงอวี้ จิวถามอย่างใคร่รู้ “หัวหน้าเผ่าอวี่ หากว่าหน้าหนาวมาถึงและโลก ก็เยือกเย็นหนาวเหน็บ พวกท่านจะไม่รู้สึกหนาวหรือถ้าใส่ เพียงแค่นี้”

อวี่เจ้าชิงส่ายหัวแล้วกล่าว “ทั้งสี่ฤดูในโลกขนนกสวรรค์ของ พวกข้านั้นอบอุ่นสบาย ไม่มีฤดูหนาว ยิ่งไปกว่านั้นเมื่ออากาศเริ่ม จะหนาวยะเยือก เกล็ดของพวกเราก็จะสามารถพองอากาศขึ้นมา ได้เพื่อรักษาความอบอุ่นให้ร่างกายพวกเรา ลองดูสิ”

ขณะที่นางกล่าวอยู่นั่นเอง เสื้อผ้าของนางก็กลายเป็นหนาและ พองฟูขึ้นมา แต่รูปลักษณ์ของมันก็ยังคงสวยงามต่อสายตา

ทุกคนอุทานด้วยความชื่นชมไม่รู้จบ หัวหน้าเผ่านักต้อนตะวันยืนอยู่ข้างๆ ไม่รู้จะหัวเราะหรือรํ่าไห้

พวกเขามาที่วิหารตะวันเพื่อสนทนาหารือเรื่องสําคัญ แต่กลายเป็น

การพบปะเพื่อชื่นชมเสื้อผ้าอาภรณ์ของสาวๆ แทน

หลังจากความวุ่นวายสงบลง ฉินมู่ก็กล่าว “หัวหน้าเผ่าอวี่ เจ้า สามารถนําชนเผ่าไปอาศัยอยู่ในแดนโบราณวินาศ หรือไม่ก็ติดตามข้าไปที่จักรวรรดิสันตินิรันดร์ เมื่อเวลาเหมาะเจาะสุกงอม

เจ้าก็จะสามารถนํากองทัพกลับไปยังโลกขนนกสวรรค์ได้ คิดว่าอย่างไร”

อวี่เจ้าชิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “องค์ชายโปรดรอสักประเดี๋ยว ให้ข้าปรึกษาหารือกับคนในเผ่าก่อนที่จะตกลงใจ”

ฉินมู่พยักหน้า และอวี่เจ้าชิงก็จากไปเพื่อจัดการตามที่กล่าว

“หัวหน้าเผ่า พวกเราไปดูดวงอาทิตย์ที่ถูกผ่ากันเถอะ!”

ฉินมู่ลุกขึ้นและเดินไปยังใจกลางของดวงตะวันที่ถูกผ่าครึ่งพร้อมๆ กับทุกคน นักต้อนตะวันมากมายกําลังพยายามดึงเอาโซ่ ออกจากก้อนวัตถุ 2 ซีกนี้

พวกเขากะว่าจะใช้โซ่ของเรือตะวันมาเกี่ยวเอาดวงอาทิตย์อีก ดวงขึ้นมาจากบ่อตะวัน

ฉินมู่ได้ทุบดวงตะวันแห่งเรือตะวันออกเป็น 2 เสี่ยง ดังนั้น พวกเขาจึงต้องไปหาดวงอาทิตย์ดวงใหม่มาเป็นแหล่งพลังงานให้แก่เรือตะวัน มิเช่นนั้นผู้พิทักษ์ตะวันคนใหม่ก็จะถูกเรือตะวัน ดูดกลืนเข้าไป

กระนั้นโซ่ก็ยังจมฝังอยู่ในดวงอาทิตย์ แม้ว่ามันจะแตกเป็น 2  เสี่ยง แต่ก็ยังยากที่จะดึงโซ่ออกมาอยู่ดี

ฉินมู่เดินตรงไปยังด้านในของครึ่งทรงกลมและเห็นว่าข้างใน นั้นมีวงจรพยุหะเป็นโครงสร้าง 3 มิติ วงจรพยุหะนับพันจะต้องถูก กระตุ้นให้ทํางานเพื่อให้ดวงตะวันที่เคยเป็นสีทองสุกปลั่งเปล่งแสง และรังสีเพลิงอันเจิดจ้า

เพราะว่าฝีมือทุบฟาดของฉินมู่ พยุหะมากมายจึงได้รับความ เสียหาย เมื่อดวงอาทิตย์ฟาดไปใส่เป้าหมาย ส่วนประกอบของมัน มากมายก็แตกหักหายไป

มีนักต้อนตะวัน 10 กว่าคนที่เข้าไปข้างในดวงอาทิตย์เพื่อพยายามปลดโซ่ออก แต่ไม่ว่าพวกเขาจะรีดเร้นพละกําลังมากแค่ไหน ก็ยังไม่สามารถดึงออกมาได้อยู่ดี

“มีใครไหมที่เชี่ยวชาญด้านวิชาพยุหะ” ผู้อาวุโสคนหนึ่งถาม ด้วยเสียงอันดัง “โซ่พวกนี้มันติดอยู่ในวงจรพยุหะเป็นสิบๆ และ จะต้องปลดมันออกถึงจะทําอะไรได้…”

นักต้อนตะวันจํานวนมากที่กําลังง่วนอยู่กับสิ่งตรงหน้ารีบหยุด มือทันทีและคารวะทักทายฉินมู่

เขาทักทายตอบกลับไปและเพ่งพิศดูวงจรพยุหะภายในอย่าง ละเอียด โซ่ที่เกาะเกี่ยวดวงอาทิตย์เอาไว้นั้นจมเข้าไปจากชั้นผิว นอกถึงแกนกลาง และก็มีวงจรพยุหะ 10 กว่าวงจรก็รัดโซ่ 4 เส้นนั้นเอาไว้อย่างแน่นหนา

หัวหน้าเผ่าเฒ่าก็กําลังพิจารณาดูโครงสร้างของวงจรพยุหะ เช่นกัน เมื่อเขาเห็นอักษรรูนและส่วนประกอบอันสลับซับซ้อน ตา เขาก็ลายไปหมด เขาส่ายหัวแล้วกล่าว “ในเผ่านักต้อนตะวันเราไม่ มีอาจารย์ด้านพยุหะ ดังนั้นพวกเราจึงมิอาจคลี่คลายมันออกไปได้”

ฉินมู่ขบคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะกล่าว “ในที่สุดข้าก็เข้าใจแล้ว ว่าทําไมจื่อชิงถึงมิอาจหลอมสร้างบ่อตะวันและบ่อจันทรา แม้จะใช้ เวลาถึง 100 ปี !”

ทุกคนมองไปที่เขา พิศวงเล็กน้อย พวกเขาไม่รู้ว่าทําไมจู่ๆ ฉินมู่ถึงเอ่ยถึงเรื่องจื่อชิงหลอมสร้างบ่อตะวันจันทรา

“โครงสร้างของวงจรพยุหะในดวงอาทิตย์นี้จริงๆ แล้วเป็นของ เนตรเทวะ” ฉินมู่เดินไปท่ามกลางวงจรพยุหะและแยกแยะอักษรรูน ที่ปรากฏอยู่บนนั้นพลางกล่าวอย่างรวดเร็ว “ที่จักรพรรดิสั่ง ให้จื่อชิงหลอมสร้าง 2 บ่อนี้ก็ต้องเป็นเพราะว่าเขาเล็งเห็นความสามารถของนาง นางจะต้องเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งด้าน เนตรเทวะในครั้งกระโน้น! ความสําเร็จของนางในเนตรเทวะจะต้อง ไร้เทียมทาน ดังนั้นจักรพรรดิจึงบัญชาให้นางไปหลอมสร้างบ่อ ตะวันและบ่อจันทรา”

เขากวาดตามองดูโครงสร้างวงจรพยุหะทั้งหลายที่เกาะเกี่ยวโซ่ ทั้ง 4 เส้นเอาไว้อีกครั้งหนึ่ง เมื่อเดินออกมาจากดวงอาทิตย์ เขาก็พิจารณาพื้นผิวภายนอกของมันอย่างถี่ถ้วน มันไม่ได้ราบเรียบ แต่มีรอยฝังสลักลึกลงไปมากมายราวกับลายไม้

“สาเหตุที่จื่อชิงไม่ทําอะไรเลยตลอดเวลา 100 ปี ก็เพราะว่า นางตระหนักว่าในการหลอมสร้างบ่อตะวันและบ่อจันทรา นางจะต้องใช้เนตรเทวะของตนเป็นเครื่องสังเวย เมื่อบ่อถูกสร้างสําเร็จ เมื่อนั้นดวงตาของนางก็จะบอด นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ว่านางใช้เวลา 100 ปี ในการใช้ชีวิตอย่างสุดเหวี่ยง”

ฉินมู่ลูบไปตามผิวดวงอาทิตย์ และสักพักหนึ่ง เขาก็พบรอยฝัง รูปวงกลมที่นูนขึ้นมาตรงจุดหนึ่ง ปราณชีวิตเขาไหลออกไป และ ทันใดนั้นเขาก็เห็นรอยฝังนั้นเรืองรองขึ้นมาก่อนจะหมุนวนไปอย่าง ต่อเนื่อง

ในเวลาเดียวกันนั้น วงจรพยุหะ 10 กว่าวงจรที่เกาะเกี่ยวโซ่เอาไว้ก็เรื่องทํางาน และค่อยๆ คลายออก

ฉินมู่พยักหน้าแล้วกล่าว “จนเมื่อจักรพรรดิพิโรธ นางถึงอุทิศ ทั้งหัวใจและเจตจํานงลงไปในการหลอมสร้างบ่อ จากนั้นนางก็ควัก ลูกตาทั้ง 2 ข้างของนางออกมา เพื่อจุดแสงให้แก่บ่อตะวันและบ่อจันทรา”

ตรงหน้าพวกเขา โครงสร้างภายในของดวงอาทิตย์เริ่ม เปลี่ยนแปลงไปอย่างต่อเนื่อง เมื่อวงจรพยุหะทั้งหลายถูกไขออกมา ด้วยเสียงปังๆ ดังสนั่น พื้นผิวของดวงอาทิตย์และรอยฝังอัน สลับซับซ้อนก็เปล่งแสงวาววามออกมาอย่างไม่หยุดนิ่ง ชิ้นส่วน ใหญ่มหึมาที่พื้นผิวก็เริ่มหดเข้าไปทีละชั้นทีละชั้น!

ครึ่งซีกของดวงตะวันดูราวจะมีชีวิตขึ้นมา และมันทําให้ทุกคน ที่อยู่ข้างในนั้นผละถอยอย่างแตกตื่น

พวกเขาเห็นก็เพียงแต่พยุหะทั้งหลายในดวงตะวันแปรเปลี่ยน ไปอย่างไม่หยุดยั้ง จนกระทั่งมันหดกลับไปเป็นกําแพงโลหะ แข็งแกร่ง ตั้งสูงลิ่วอยู่ตรงหน้าพวกเขา

จากนั้นฉินมู่ก็ไปยังเบื้องหน้าของอีกครึ่งซีกดวงอาทิตย์และกระทําอย่างเดียวกัน ในท้ายที่สุด มันก็แปรเปลี่ยนเป็นกําแพงโลหะ แข็งเกร็งเช่นเดียวกันกับครึ่งก่อนหน้า

ทั้ง 2 กําแพงตั้งตรงแหน็วอยู่ตรงหน้าทุกๆ คน พวกมันมีสีทองคํา เรียบกริบ ไร้การประดับประดา ความสูงของกําแพงนั้น ประมาณ 150 วา และยาวหลายลี้

“เทพจื่อชิงรู้ดีว่านางจะต้องสังเวยเนตรเทวะของนางเข้าไปใน บ่อเพื่อสําเร็จตามพระบัญชาของจักรพรรดิ ดังนั้นนางจึงใช้เวลา 100 ปีเพื่อแสวงความสุขให้กับชีวิตอย่างเต็มที่ ก่อนที่จะใช้ เวลาอีก 50 ปีในการรังสรรค์งานตามที่จักรพรรดิสั่ง ช่างเป็นสตรี ที่เหนือธรรมดาอะไรอย่างนี้!” ฉินมู่อุทานด้วยความชื่นชม

เมื่อเขามองไปยังกําแพงทั้ง 2  ความยกย่องนับถือก็ปรากฏ บนใบหน้า จากนั้นเขาก็กล่าวด้วยเสียงเบา “นางมีชื่อเรียกว่าจื่อชิง จื่อหมายถึงพี่สาว และชิงหมายถึงสีเขียว มันหมายความว่านางเป็น พี่สาวที่ชอบใส่ชุดสีเขียวในครอบครัวของนาง น่าเสียดายที่ข้าไม่มี วาสนาได้พานพบกับผู้คนที่เหนือธรรมดาเช่นนี้…พวกเจ้าเป็นอะไร กัน”

เขามองกลับไปและเห็นว่าทุกคนจ้องมายังเขาด้วยดวงตาที่ เบิกกว้าง และล้วนแต่อ้าปากค้าง

ฉินมู่อดไม่ได้ที่จะฉงนฉงาย เขาอธิบาย “จื่อแปลว่าพี่สาว ส่วนชิงแปลว่าสีเขียว จื่อชิงแปลว่าพี่สาวที่ชอบใส่ชุดสีเขียว”

“ไม่…ไม่ใช่อย่างนั้น!” ผู้อาวุโสคนหนึ่งกล่าวตะกุกตะกัก “องค์ ชาย ท่านได้คลี่คลายพยุหะในดวงตะวัน!”

ฉินมู่ถึงตระหนักได้ว่าเขาหมายความว่าอย่างไรและแย้มยิ้ม “มันก็คลี่คลายไม่ยากเท่าไร ข้าเคยศึกษาค้นคว้าในด้านทักษะเท วะเกี่ยวกับเนตรเทวะมาก่อน ในจักรวรรดิสันตินิรันดร์ ข้ายังได้หลอมสร้างเนตรเทวะ และมันมีโครงสร้างที่คล้ายคลึงกันมาก แน่ล่ะ

ว่าผลงานของข้าไม่ซับซ้อนเท่าดวงอาทิตย์นี้ จื่อชิงนั้นเลิศลํ้าเหนือ ธรรมดาจริงๆ!”

เขาเงยหน้าขึ้นมองไปยังกําแพงทั้ง 2  “ข้าได้ เรียนรู้จากสิ่งนี้ค่อนข้างเยอะทีเดียว ข้าเริ่มอยากที่จะลงไปในบ่อเพื่อชมดูเนตรของนางล่ะ…”

AC

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!