บทที่ 876 การยินยอมของเทพเจ้า
เหนือ 3 เมืองรอบเขาเทวะ ท้องฟ้าเต็มไปด้วยคลื่นไร้ที่สิ้นสุด
เสียงคำรามของกระแสวน พร้อมกับสายฟ้าที่แผ่กระจายออกไป ก่อให้เกิดปรากฏการณ์ทางธรรมชาติอันน่าสะพรึงกลัว
เสียงสะท้อนดังก้องไปทั่วทุกทิศทาง ทำให้เหล่าผู้บำเพ็ญ ณ ที่แห่งนี้อกสั่นขวัญแขวน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งความผันผวนของสายโลหิตซึ่งบัดนี้รุนแรงขึ้นตามเสียงฟ้าร้อง
เหล่าผู้บำเพ็ญเผ่านภาคิมหันต์ทุกคน เลือดลมเดือดพล่าน ใบหน้าเปลี่ยนไปทันที
ส่วนเผ่าพันธุ์ที่สวามิภักดิ์ แม้จะไม่รับรู้ถึงแรงดึงดูดทางสายโลหิต แต่เมื่อเห็นการเปลี่ยนแปลงของกลิ่นอายของเหล่าผู้บำเพ็ญเผ่านภาคิมหันต์ ทุกผู้ทุกนามต่างเกิดความสงสัย
และบนท้องฟ้า ไม่เพียงแต่เทียนโม่จื่อที่กำลังก้มลงคารวะ ฝานซื่อซวงที่อยู่ข้างๆ ก็ก้มลงคารวะเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเงาร่างก้าวออกมาจากกระแสวน ผู้เข้าร่วมรอบที่ 2 ส่วนใหญ่ก็ก้มศีรษะลงโดยสัญชาตญาณ
ทั้งทั่วสือซาน ตลอดจนเหล่าอัจฉริยะฟ้าประทานคนอื่นๆ
แม้แต่เหยียนเสวียนจื่อเองยังมองไปยังกระแสวน ด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป
ส่วนเอ้อร์หนิว…เมื่อเห็นบรรยากาศรอบข้างเช่นนี้ เขาก็ลอบถอนหายใจ พร้อมกับความรู้สึกขมปร่า เจือด้วยความเหลือเชื่อเล็กน้อย
ฉากนี้ทำให้เหล่าผู้บำเพ็ญทั้ง 3 เมืองตกตะลึง และเข้าใจในทันใดว่า หลังจากที่ผู้เข้าร่วมบนท้องฟ้าเหล่านี้ปรากฏตัว สิ่งที่รออยู่คือบุคคลที่กำลังเดินออกมาจากกระแสวน จึงจ้องมองเป็นตาเดียว
ภายใต้สายตาของผู้คนนับหมื่น กระแสวนดูเหมือนจะหมุนช้าลง ร่างกายภายในปรากฏชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
หมอกสีเทาเองก็ปั่นป่วนเหมือนทะเล แผ่กระจายไปทั่วความว่างเปล่า ปกคลุมทั่วแผ่นดิน
ไอโบราณกาลที่บรรจุอยู่ภายในนั้น ก่อให้เกิดลมพัดโหมกระหน่ำ ท้องฟ้าเปลี่ยนสี ยิ่งไปกว่านั้น เนื่องจากการดึงดูดของสายโลหิตจากทุกทิศทาง ทำให้ได้ยินเสียงคำรามราวกับเทพเจ้าภายในหมอกสีเทา
นพกาฬ 9 หัว ปรากฏขึ้นมาเป็นระยะๆ แปลงร่างไปรอบๆ เงาร่างนั้น มองลงมายังแผ่นดินผ่านปราณหมอก
บนแผ่นดิน ความผันผวนทางสายโลหิตของเหล่าผู้บำเพ็ญเผ่านภาคิมหันต์ทุกคนรุนแรงยิ่งขึ้นในขณะนี้ ไม่ว่าจะมีพลังบำเพ็ญระดับใด ตราบใดที่เป็นผู้บำเพ็ญเผ่าเดียวกัน ก็ไม่สามารถควบคุมการดึงดูดจากภายในจิตวิญญาณได้
และในนั้นมีผู้แข็งแกร่งรุ่นเก่าของเผ่านภาคิมหันต์ เมื่อเห็นรูปลักษณ์ 9 หัวนั้น ต่างก็ตกตะลึง จิตใจพลันสั่นสะเทือน แสดงสีหน้าเหลือเชื่อออกมา
“นั่นมัน…”
“นี่…”
ในกลุ่มเผ่าพันธุ์ที่สวามิภักดิ์ต่อนภาคิมหันต์ ก็มีคนเห็น 9 หัวในปราณหมอกสีเทาเช่นกัน ใบหน้าเปลี่ยนสี เกิดการคาดเดาต่างๆ มากมาย พร้อมกับคำตอบที่พวกเขาไม่กล้าเชื่อ ปรากฏขึ้นในใจ
แต่ก่อนที่คำตอบนั้นจะได้รับการยืนยัน กระแสวนก็คำรามอีกครั้ง ปราณหมอกสีเทาภายในแผ่ซ่านออกไปอย่างรวดเร็ว ครอบคลุมทุกทิศทาง จากนั้น 9 หัวภายในก็พุ่งออกมาจากกระแสวน ปรากฏตัวอยู่ท่ามกลางฟ้าดิน
ฉิวหนิว, หยาจื้อ, เฉาเฟิง, ผูเหลา, ซวนหนี, ป้าซย่า, ปี้อั้น, ฟู่ซี่, และชือเหวิ่น 9 หัวเคลื่อนไหว ส่งเสียงคำรามดังก้องทั่วฟ้าดิน
นพกาฬ หลังจากถูกขับไล่ไปนานแสนนาน ในที่สุดก็ปรากฏตัวอีกครั้ง!
กลิ่นอายของบรรพจารย์ผู้ใช้วิญญาณ สายโลหิตของมหาผู้ใช้วิญญาณ ก่อตัวเป็นความรู้สึกของต้นกำเนิดพุ่งทะยานถึงจุดสูงสุด
ในขณะนั้น จิตวิญญาณของเหล่าผู้บำเพ็ญเผ่านภาคิมหันต์ทุกคนต่างสั่นสะเทือน สายโลหิตปะทุ การดึงดูดจากภายในสายโลหิต การรับรู้ของเผ่าพันธุ์ ทำให้เหล่าผู้บำเพ็ญเผ่านภาคิมหันต์ทุกคน ก้มลงคารวะ 9 หัวโดยสัญชาตญาณ
ส่วนเผ่าพันธุ์ใต้ปกครอง แม้จะไม่มีการดึงดูดของสายโลหิต แต่ก็ตกตะลึงกับเหตุการณ์นี้ ข้ออนุมานในใจกลายเป็นความจริง
ความรู้สึกเหลือเชื่อปะทุออกมาไม่มีหยุดหย่อน
สิ่งที่ตามมาคือตำนานของนพกาฬ และการคารวะของเผ่านภาคิมหันต์ ทำให้พวกเขาเลือกที่จะก้มศีรษะลงด้วยความตกตะลึงอย่างยิ่ง
ในขณะนั้น ไม่ว่าจะมีพลังบำเพ็ญระดับใด ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะใด ก็ต่างก้มศีรษะลง
และในเวลานี้เอง เงาร่างภายในกระแสวนก็ก้าวพ้นออกมาจากกระแสวน
เมื่อยืนอยู่กลางฟากฟ้า ท่ามกลางการคารวะจากทุกทิศทาง รูปลักษณ์ของเขาก็ปรากฏออกมาอย่างสมบูรณ์
ผมยาวสลวยดุจธารธาราแห่งกาลเวลา ปลิวไสวอยู่ด้านหลัง
ดวงตาดุจวิญญาณแห่งดาราจักร อัดแน่นด้วยดวงดาวนับไม่ถ้วน
ใบหน้าดุจเจ้าแห่งชีวิต กระตุ้นให้สายโลหิตปั่นป่วน
นั่นคือสวี่ชิง!
ในขณะที่ปรากฏตัว นพกาฬ 9 หัวก็ส่งเสียงคำรามดังขึ้น ในการเคลื่อนไหวไปมานั้น พุ่งตรงไปหาสวี่ชิง โอบล้อมเขาไว้ กลายเป็นโคมไฟเนื้อ 9 ดวง!
เมื่อรู้สึกถึงความเชื่อมโยงระหว่าง 9 หัวกับตนเอง สวี่ชิงไม่ได้มองลงไปยังแผ่นดิน แต่หันไปมองกระแสวนเบื้องหลังตน
ในขณะนี้ เมื่อเขาเดินออกมา กระแสวนกำลังสลายไป
และสวี่ชิงสามารถรับรู้ถึงแผ่นดินใหญ่ผืนคีรี รับรู้ถึงสัตว์ร้ายจำนวนมากภายในผ่านกระแสวนนี้
สิ่งนี้ทำให้ความคิดหนึ่งผุดขึ้นในใจ
“หากข้าอยู่ในโลกภายนอก แล้วใช้พลังทั้งหมดเพื่อปล่อยกลิ่นอายนพกาฬออกมา ข้าจะเรียกแผ่นดินใหญ่ผืนคีรีได้หรือไม่…”
สวี่ชิงคิดอยู่ครู่หนึ่ง แต่เห็นได้ชัดว่าการทำเช่นนี้ภายในเผ่านภาคิมหันต์ ผลที่ตามมานั้นร้ายแรงมาก เขาจึงฝังกลบความคิดนี้ไว้ในใจ
และในขณะนี้ ท่ามกลางสายตาของคนภายนอก ผืนฟ้าที่เปลี่ยนสี ความว่างเปล่าอันพร่ามัว มีเพียงร่างของสวี่ชิงและโคมไฟ 9 ดวงเท่านั้นที่เด่นชัด แผ่พลานุภาพอันยิ่งใหญ่
ฝั่งเหยียนเสวียนจื่อ หัวใจเขาส่งเสียงกรีดร้อง หายใจถี่ เขาไม่อยากก้มศีรษะ แต่การดึงดูดของสายโลหิตทำให้เส้นเลือดที่หน้าผากของเขาปูดโปนขึ้น ทำได้เพียงก้มศีรษะลง
ฟ้าดินสงบลงในเวลานี้
มีเพียงสายฟ้าแปลบปลาบไร้เสียง ที่ระเบิดขึ้นในใจของเหล่าผู้บำเพ็ญที่กำลังคารวะ
และสิ่งที่สั่นสะเทือนหาได้มีแต่เหล่าผู้บำเพ็ญที่นี่ ในขณะนี้ เมื่อกลิ่นอายนพกาฬแผ่กระจายออกไป ภายในเผ่านภาคิมหันต์ เหล่าผู้บำเพ็ญเผ่าเดียวกันทุกคน ไม่ว่าจะอยู่ที่ใด สายโลหิตล้วนปั่นป่วนอย่างรุนแรง
ดังนั้น ที่ด้านนอกเขาเทวะ ในขณะที่สวี่ชิงเดินออกมา ในขณะที่ทุกคนก้มลงคารวะ เงาเสมือนจริง 3 เงาซึ่งเปี่ยมด้วยพลังมหาศาล ก็ปรากฏตัวขึ้นในเวลาเดียวกัน
นั่นคือกระโจมขนาดมหึมา 3 หลัง!
แต่ละหลังเปรียบดุจเมืองเมืองหนึ่ง
หลังหนึ่งแผ่กลิ่นอายแห่งไฟน่าสะพรึงกลัว บรรจุพลังแห่งสุริยัน รายล้อมด้วยทะเลเพลิง ทะลุผ่านทะเลเพลิงเข้าไป สามารถมองเห็นกระโจมสีทองลักษณะคล้ายพระราชวังอยู่ลึกเข้าไป
กระโจมหลังที่ 2 แผ่กลิ่นอายแห่งความหนาวเย็น แสงจันทราดุจผ้าคลุมลึกลับ ทำให้ทุกอย่างตกอยู่ในห้วงมืดมน ลึกเข้าไปในความมืดมนนั้น คือกระโจมคล้ายพระราชวังจันทรา
ส่วนหลังที่ 3 นั้น ประกายแสงระยิบระยับ กลุ่มดาวส่องแสง ความว่างเปล่าอยู่ภายใน คล้ายจะถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นจักรวาล ที่สุดปลายของจักรวาล แสงดาวนับไม่ถ้วนรวมตัวกันเป็นพระราชวัง
พระราชวังทั้ง 3 หลังนี้ คือกระโจมที่ 3 อุปราชผู้ปกครองเผ่านภาคิมหันต์ใต้อาณัตเทพเจ้าใช้เป็นที่ประทับ
นั่นคืออำนาจขั้นสูงสุดแห่งเผ่านภาคิมหันต์
พวกมันคือกระโจมของอุปราชเมฆาสวรรค์ใต้อาณัติเทพเจ้ารื่อเหยียน อุปราชธาราเงินใต้อาณัติเทพเจ้าเยวี่ยเหยียน และอุปราชวิญญาณลุ่มหลงใต้อาณัติเทพเจ้าซิงเหยียน!
ทันทีที่ปรากฏตัวขึ้น เหล่าผู้บำเพ็ญที่กำลังคารวะอยู่และเผ่าพันธุ์ใต้ปกครองต่างก็ก้มศีรษะลงต่ำกว่าขึ้น
แม้ว่าจะเป็นเพียงภาพลวงตา แต่การที่กระโจมแห่งอำนาจทั้ง 3 หลังปรากฏตัวพร้อมกันนอกเหนือจากพิธีเซ่นสรวงครั้งใหญ่ เป็นเรื่องที่หายากยิ่ง
และในขณะนี้ ภาพลวงตาของกระโจมแห่งอำนาจทั้ง 3 หลังปรากฏตัวพร้อมกัน และในขณะที่ปรากฏตัวขึ้น สายตาอันน่าสะพรึงกลัว 3 สาย จากกระโจมแต่ละหลังก็ทะลุผ่านความว่างเปล่าตกที่ร่างสวี่ชิง
สายตาเต็มไปด้วยความพินิจพิเคราะห์
สวี่ชิงเงยหน้าขึ้นมองไปยังเขาเทวะ
เขาเข้าใจว่าเรื่องที่เขาได้รับนพกาฬนั้น โลกภายนอกอาจจะไม่รู้ แต่เทพเจ้าทั้ง 3 ย่อมทราบ
แต่ตั้งแต่ต้นจนจบ เทพเจ้าทั้ง 3 ไม่ได้เข้าแทรกแซง แม้แต่ในขณะนี้ที่เขาก้าวออกมา ก็เช่นกัน
รวมถึงสถานการณ์ใต้ดินของนพกาฬ สิ่งนี้ทำให้สวี่ชิงมั่นใจในการตัดสินของตนมากขึ้น
เทพเจ้าทั้ง 3 ยินยอมให้นพกาฬปรากฏตัว และ อาจหวังว่าจะมีคนนำนพกาฬออกมาในระดับหนึ่ง…
แม้จะไม่รู้เหตุผล แต่การกระทำของกระโจมแห่งอำนาจทั้ง 3 หลังต่อจากนี้ ก็ทำให้สวี่ชิงมั่นใจในการตัดสินของตนมากขึ้น
สิ่งแรกที่เปลี่ยนไปคือกระโจมอุปราชวิญญาณลุ่มหลงใต้อาณัตเทพเจ้าซิงเหยียน แสงดาวภายนอกพลันสั่นสะเทือน สายตาจากพระราชวังดาราแปรเปลี่ยนจากสายตาพินิจเป็นความลุ่มลึก น้ำเสียงสงบราบเรียบดังก้องไปทั่วฟ้าดิน
“นพกาฬ นักบุญแห่งนภาคิมหันต์ ข้าขอมอบเสื้อคลุมแสงดาวแก่เจ้า!”
เมื่อเสียงนี้ดังขึ้น เสื้อคลุมที่เต็มไปด้วยแสงดาวก็ลอยออกมาจากภาพลวงตากระโจมวิญญาณลุ่มหลง ตกลงมาอยู่ตรงหน้าสวี่ชิง
เสื้อคลุมนี้งดงามอย่างยิ่ง ลอยอยู่กลางอากาศ เหมือนกับหน้าต่างจักรวาล สามารถมองเห็นดวงดาวนับไม่ถ้วนส่องแสงอยู่ภายใน
เหล่าผู้บำเพ็ญบนแผ่นดิน ไม่ว่าจะเป็นเผ่าเดียวกันหรือเผ่าพันธุ์ใต้ปกครอง ต่างก็เกิดความคิดต่างๆ มากมาย
เสื้อคลุมแสงดาวของกระโจมวิญญาณลุ่มหลง ความหมายเชิงสัญลักษณ์นั้นยิ่งใหญ่ การสวมใส่เสื้อคลุมนี้ หมายถึงมีสิทธิ์เข้าเฝ้าอุปราชวิญญาณลุ่มหลงผู้ทรงอำนาจได้ตลอดเวลา และจนถึงทุกวันนี้ ในเผ่านภาคิมหันต์ มีผู้ได้รับเสื้อคลุมนี้ไม่มากนัก
แต่ละคนล้วนแต่สร้างคุณงามความดียิ่งใหญ่
สวี่ชิงประสานมือคารวะ
เขาเข้าใจถึงพลังของตนเอง และเข้าใจถึงความน่าสะพรึงกลัวของเผ่านภาคิมหันต์ ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าหยิ่งผยองเพราะนพกาฬ
ถัดจากอุปราชวิญญาณลุ่มหลงใต้อาณัติเทพเจ้าซิงเหยียน เสียงเย็นยะเยือกก็ดังออกมาจากกระโจมอุปราชธาราเงินใต้อาณัติเทพเจ้าเยวี่ยเหยียน
“ข้าของมอบป้ายจารึกวิญญาณธาราจันทร์สีเงิน”
เมื่อเสียงนี้ดังขึ้น ป้ายสีเทาก็ลอยออกมาจากกระโจมธาราเงิน การปรากฏตัวของมันดึงดูดแสงจันทร์ ก่อให้เกิดพลังลึกลับ
และการคาดเดาเกี่ยวกับมันก็เต็มไปด้วยความลึกลับ
นั่นคือป้ายกระดูก
เมื่อปรากฏตัวขึ้น ดวงตาของเอ้อร์หนิวในฝูงชนก็เบิกกว้าง มองป้ายกระดูกอย่างเหม่อลอย หายใจถี่ขึ้นเล็กน้อย
สวี่ชิงก้มลงคารวะอีกครั้ง
จากนั้น เปลวไฟก็พลันปะทุขึ้นจากกระโจมนภาเมฆาใต้อาณัติเทพเจ้ารื่อเหยียน แผ่กระจายออกไป แยกออกเป็นหลายเส้น รวมตัวกันเป็นดาบสั้น
ดาบนี้ส่องแสงเจิดจ้า เปลวไฟไหลวน ลอยอยู่ตรงหน้าสวี่ชิง
จากนั้น เสียงที่คล้ายกับเสียงระฆังใหญ่ก็ดังก้องไปทั่วฟ้าดิน จากกระโจมนภาเมฆา
“ข้าขอมอบดาบนภาเมฆาเพลิงสุริยัน”
เสื้อคลุม 1 ผืน ป้าย 1 แผ่น ดาบ 1 เล่ม
แต่ละอย่างมีความหมายเชิงสัญลักษณ์อันยิ่งใหญ่ ขณะนี้ปรากฏตัวพร้อมกัน ความหมายที่แสดงออกมานั้นไม่จำเป็นต้องอธิบาย
ส่วนอันดับ 1 ของด่านที่ 2 ก็ไม่จำเป็นต้องจัดอันดับอีกต่อไป
ไม่ว่าจะเป็นการปรากฏตัวของนพกาฬ หรือการกระทำของ 3 อุปราช อธิบายทุกอย่างหมดแล้ว
ในขณะนี้ ภาพลวงตาของกระโจมแห่งอำนาจทั้ง 3 หลังก็ค่อยๆ เลือนหายไปในที่สุด
และที่เขาเทวะ ก็มีเสียงเทพเจ้าแว่วออกมา
“ด่านสุดท้ายของมหกรรมล่าเหยื่อจะเริ่มต้นขึ้น 7 วันหลังจากนี้”
เสียงก้องกังวาน กระแสวนบนท้องฟ้าสลายไป ด่านที่ 2 ของมหกรรมล่าเหยื่อสิ้นสุดลงโดยสมบูรณ์
ในเวลาเดียวกัน ภายในเผ่านภาคิมหันต์ เหนือท้องฟ้าบริเวณหนึ่ง เมื่อความว่างเปล่าสั่นสะเทือน เมืองลอยฟ้าอันกว้างใหญ่ก็ค่อยๆ ปรากฏออกมาจากระยะไกล
ภายในมีเมืองอยู่ไม่น้อยกว่าหมื่นเมือง แต่ละเมืองส่องแสงระยิบระยับราวกับดวงดาว
ภายในมีสิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วน แผ่คลื่นความผันผวนอันน่าสะพรึงกลัว
และบางส่วน เพียงแค่กลิ่นอาย ก็สามารถทำให้ฟ้าดินเปลี่ยนสี จิตใจสั่นสะเทือนได้
และสิ่งที่ล้อมรอบด้วยดวงดาวเหล่านี้ คือกระโจมที่สร้างจากแสงดาว
นั่นคือกระโจมของอุปราชวิญญาณลุ่มหลงใต้อาณัติเทพเจ้าซิงเหยียน
ในขณะนี้ ภายในกระโจมนั้น มีร่างใหญ่ยักษ์กำลังนั่งสมาธิ ดวงตาค่อยๆ เปิดออก มองไปยังทิศทางของเขาเทวะ พึมพำเบาๆ
“นพกาฬปรากฏตัวในที่สุด…”
“เทพเจ้าทั้ง 3 ยินยอม…”
“บุคคลผู้นี้เกี่ยวข้องกับมหาเคราะห์…”
(>>>พิสูจน์อักษร By Zank<<<)



