ตอนที่ 944
ท่าทีของผู้เฒ่าสูงสุด
ขณะที่คนทั้งสองเผชิญหน้ากัน ภาพแห่งธรรมของเมิ่งฮ่าวก็ปรากฏขึ้น มีความสูงแปดพันจ้าง เมื่อรวมเข้ากับกายเนื้อผู้ศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริงของเขา ก็ทำให้พลังได้พุ่งขึ้นมาอย่างรุนแรง และมีแต่จะเพิ่มขึ้นไปอย่างต่อเนื่อง จากนั้นเขาก็ยื่นมือขวาออกไป และลูกทรงกลมที่เปล่งแสงเจิดจ้าก็ปรากฏขึ้นบนฝ่ามือ ขณะที่ลอยอยู่ที่นั่น ลูกทรงกลมนั้นดูเหมือนจะดูดความอบอุ่นทั้งหมดในบริเวณนั้นเข้าไป และทำให้ทุกสรรพสิ่งเริ่มหนาวเย็นลงไปในทันที
บุรุษผู้นั้นมีสีหน้าที่เคร่งขรึม และดวงตาก็จ้องนิ่งไปยังเมิ่งฮ่าวด้วยความจดจ่อ มันรู้สึกได้ถึงอันตรายอันร้ายแรงเมื่อมองไปยังแสงลูกทรงกลม และจากนั้นเมิ่งฮ่าวก็เริ่มเดินตรงมาที่มัน ในตอนนี้เองที่…
“ฮ่าวเอ๋อร์ มายังวิหารหลัก!” เสียงอันเก่าแก่โบราณของผู้เฒ่าสูงสุดดังก้องออกมาอยู่รอบๆ ตัวคนทั้งหมด
เมิ่งฮ่าวไม่กล่าวอะไรออกมา แต่ดวงตาแวบขึ้นด้วยแสงที่แทบจะมองไม่เห็น สำหรับบุรุษวัยกลางคน เมื่อมันได้ยินเสียงของผู้เฒ่าสูงสุด มันก็แอบถอนหายใจด้วยความโล่งอกออกมา
ในเวลาเดียวกันนั้น ดวงตามันก็สาดประกายด้วยแสงอันคมกริบขึ้น และเจตจำนงอันน่ากลัวก็ค่อยๆ พุ่งขึ้นมาในจิตใจ นั่นเป็นเพราะมันได้ตระหนักว่าภาพแห่งธรรมของเมิ่งฮ่าวยังคงยืนอยู่ที่นั่น และพลังของเขาก็ยังไม่ได้จางหายไป แทบจะราวกับว่าเขากำลังเตรียมตัวที่จะปฏิเสธคำสั่งเรียกตัวของผู้เฒ่าสูงสุด
ดวงตาของมันสาดประกายขึ้นขณะที่เตรียมพร้อมรับมือ มองไปยังเมิ่งฮ่าวอย่างเงียบๆ
สิบลมหายใจผ่านไป ตลอดช่วงเวลานั้นสีหน้าเมิ่งฮ่าวไม่เคยเปลี่ยนไป ในที่สุดภาพแห่งธรรมของเขาก็หายไป และพลังที่พุ่งขึ้นมาก็กระจายออกไป ทุกสิ่งทุกอย่างกลับมาเป็นปกติเหมือนเดิม แต่แสงลูกทรงกลมก็ยังคงลอยอยู่ที่นั่น ขณะที่เขาเริ่มเดินตรงไป มันก็ลอยขึ้นไปอยู่ที่ด้านบนศีรษะเขา ดูดซับความร้อนและแสงทั้งหมดที่อยู่รอบๆ ตัวเขาเข้าไป
เมิ่งฮ่าวเก็บหอกที่ส่วนคมเป็นกระดูกกลับไป และจากนั้นก็ไม่สนใจบุรุษวัยกลางคนโดยสิ้นเชิง ขณะที่บินขึ้นไปในอากาศตรงไปยังวิหารหลักของคฤหาสน์โบราณ
ภายในใจของบุรุษวัยกลางคน ได้ถอนหายใจด้วยความเสียดายออกมา และจากนั้นก็ดึงรังสีสังหารที่อยู่ในแววตามันกลับไป ในที่สุดมันก็ติดตามเมิ่งฮ่าวไป สำหรับบุรุษอีกห้าคน พวกมันไม่ได้รับบาดเจ็บอย่างสาหัส แต่ก็ยังคงรุนแรงเป็นอย่างยิ่ง พวกมันไม่อาจจะฟื้นฟูร่างกายให้กลับคืนมาได้ทันเวลา ดังนั้นในตอนนี้พวกมันได้แต่ดิ้นรนลุกขึ้นมายืน และกลืนกินเม็ดยาลงไป จากนั้นก็ติดตามไปด้วยใบหน้าที่ซีดขาว
เมิ่งฮ่าวบินไปตลอดทาง ติดตามมาด้วยบุรุษทั้งหก มีคนในตระกูลไม่น้อยที่มองเห็นเขา เดิมทีพวกมันส่วนใหญ่ตั้งใจที่จะไปสังเกตดูความพยายามของเขาในแผนกเต๋าแห่งการปรุงยา และต้องกระวนกระวายใจขึ้น เมื่อมองเห็นเขาบินตรงไปยังวิหารหลัก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนที่ได้เห็นหกบุรุษซึ่งกำลังติดตามเขามา ห้าคนในพวกมันได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรงและมีหน้าตาที่ห่อเหี่ยว ใบหน้าซีดขาว กลุ่มคนในตระกูลที่มองเห็นเหตุการณ์นี้ต่างก็สั่นสะท้านใจไปตามๆ กัน
เห็นได้ชัดว่าลมฝนกำลังก่อตัวขึ้นมาอยู่ภายใต้เปลือกนอกที่สงบนิ่งของตระกูลฟางแล้ว
ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ ท้องฟ้าในยามเข้าตรู่เหนือตระกูลฟางไม่ได้ดูสดใสสว่างจ้าไร้ปุยเมฆอีกต่อไป ตอนนี้กลุ่มเมฆสีดำกำลังมารวมตัวเข้าด้วยกัน และเสียงฟ้าร้องก็ดังกระหึ่มไปทั่วจนทำให้พื้นดินต้องสั่นสะเทือน แสงที่แวบขึ้นจนคล้ายกับเป็นมังกรสีเงินมองเห็นได้เป็นระยะจากภายในกลุ่มเมฆเหล่านั้น
เมื่อกลุ่มคนในตระกูลฟางมองเห็นเช่นนี้ พวกมันก็เริ่มเงียบไป ไม่แน่ใจว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น แต่พวกมันก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าอากาศกำลังเริ่มมีความหนาวเย็นมากขึ้นไปเรื่อยๆ
สีหน้าเมิ่งฮ่าวสงบนิ่งขณะที่มุ่งหน้าตรงไป แสงลูกทรงกลมเหนือศีรษะขยายขนาดใหญ่มากขึ้นไปอย่างต่อเนื่อง ในที่สุดก็มีความกว้างถึงหนึ่งร้อยจ้าง และดูน่าตกใจเป็นอย่างยิ่ง…
ผู้คุ้มกันตระกูลฟางทั้งหกคนที่อยู่ด้านหลัง มองไปพร้อมกับหนังศีรษะที่ด้านชา เต็มไปด้วยความประหลาดใจโดยสิ้นเชิง ไม่มีใครเข้าใจว่าทำไมท้องฟ้าถึงได้เปลี่ยนสีและอากาศก็เริ่มหนาวเย็นลง แต่พวกมันรู้ ทั้งหมดนี้เป็นเพราะลูกทรงกลมที่ส่องแสงเจิดจ้าอยู่เหนือศีรษะเมิ่งฮ่าว!
ขณะที่เมิ่งฮ่าวมุ่งหน้าตรงไปยังวิหารหลัก แสงลูกทรงกลมก็ดูดซับความร้อนและแสงทั้งหมดที่อยู่รอบๆ ตัวเขาไปอย่างต่อเนื่อง
“นี่คือความสามารถศักดิ์สิทธิ์ที่มันสร้างขึ้นตอนที่เผชิญหน้ากับดวงตะวัน!” ผู้นำกลุ่มคนทั้งหกคิด ดวงตามันเบิกกว้าง ถึงแม้จะด้วยระดับพื้นฐานฝึกตนของมันก็ตามที แต่ความรู้สึกหวาดกลัวกำลังเริ่มพุ่งขึ้นมาอยู่ในจิตใจ
ไม่นานนักก่อนที่แสงลูกทรงกลมจะมีความกว้างสองร้อยจ้าง ตอนนี้เมิ่งฮ่าวอยู่ที่ด้านนอกของวิหารหลัก สิ่งแรกที่เขาสังเกตเห็นก็คือผู้เฒ่าสูงสุดกำลังนั่งอยู่ที่ด้านใน
ยังมีผู้อาวุโสอีกจำนวนมาก ที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ขนาดใหญ่ซึ่งมีอยู่เต็มในวิหารหลัก แต่ละคนมีสีหน้าที่สงบนิ่ง และไม่มีใครพูดจาออกมา ทำให้วิหารหลักเต็มไปด้วยแรงกดดันอันมหาศาล
ที่กำลังนั่งอยู่ด้านข้างของผู้เฒ่าสูงสุดคือปู่และบิดาของฟางเว่ย คนทั้งสองมองมายังเมิ่งฮ่าวด้วยสายตาที่เย็นชา
รังสีสังหารแวบขึ้นมาอยู่ในส่วนลึกของแววตาฟางซิ่วซาน
สีหน้าเมิ่งฮ่าวสงบนิ่งเหมือนเช่นเคย โดยไม่ลังเลใดๆ เขาก้าวเท้าเข้าไปในจุดตรงกลางของวิหารหลัก
สำหรับแสงลูกทรงกลมที่มีขนาดสองร้อยจ้าง เมิ่งฮ่าวปล่อยให้มันลอยตัวอยู่ที่ด้านนอกวิหาร และมันก็ทำการดูดซับแสงและความร้อนเข้าไปอย่างต่อเนื่อง
เนื่องจากลูกทรงกลมนั้น การเข้าไปในวิหารหลักของเมิ่งฮ่าว ก็ติดตามมาด้วยความหนาวเย็นราวน้ำแข็ง แม้แต่แสงก็ยังได้เริ่มจางหายไป และเกล็ดน้ำแข็งก็เริ่มปรากฏขึ้นบนพื้น
สีหน้าของผู้อาวุโสที่อยู่รอบๆ บริเวณนั้นไม่ได้เปลี่ยนไป แต่พวกมันได้ส่งสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกไปนานแล้ว เพื่อตรวจสอบดูแสงลูกทรงกลมที่กำลังลอยตัวอยู่ที่ด้านนอกวิหาร
“ฟางฮ่าวขอคารวะผู้เฒ่าสูงสุดและผู้อาวุโสทั้งหลาย” เขากล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไม่เย่อหยิ่งและไม่ถ่อมตัว ขณะที่ประสานมือและโค้งตัวลงต่ำ เขาปฏิบัติตามกฎของตระกูลอย่างเคร่งครัด
ใบหน้าของผู้เฒ่าสูงสุดไร้ความรู้สึก ขณะที่มองมายังเมิ่งฮ่าว กล่าวขึ้นอย่างช้าๆ ว่า
“ฮ่าวเอ๋อร์ ตั้งแต่ช่วงปรากฏการณ์ตงเซิงจือหยาง เจ้าได้แสดงถึงพรสวรรค์อันน่าตกใจออกมา เจ้าบินสูงขึ้นไปกว่าคนรุ่นเดียวกันทั้งหมดของตระกูล ตลอดทั้งหลายปีจนนับไม่ถ้วนที่ผ่านมาในประวัติศาสตร์”
“เจ้าก้าวเท้าออกไปจากดวงดาวและก้าวเข้าไปในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว เจ้าเผชิญหน้ากับดวงตะวันได้สิบลมหายใจ ได้รับโชควาสนาและความรู้แจ้งที่สำคัญ”
“สิ่งทั้งหมดเหล่านี้ทำให้ข้ารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง” ถึงแม้ว่ามันจะกล่าวคำพูดที่เยินยอและให้กำลังใจ แต่ใบหน้าก็ยังคงไร้ความรู้สึกอยู่ตลอดเวลา
เมิ่งฮ่าวยืนอยู่ที่นั่นอย่างเงียบๆ และกวาดมองไปยังกลุ่มฝูงชน เขาจำได้ถึงคำพูดของผู้อาวุโสสายโลหิตหลักที่ได้กล่าวเตือนเขาเกี่ยวกับฟางซิ่วซาน ตั้งแต่นั้นมาก็ผ่านไปแล้วครึ่งเดือน และจากเรื่องนั้นทำให้เมิ่งฮ่าวสามารถบอกได้ว่า การเรียกตัวมาครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องดีสำหรับเขาอย่างแน่นอน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาสังเกตเห็นความวิตกกังวลที่อยู่ภายในแววตาของผู้อาวุโสสายโลหิตหลักซึ่งมาอยู่ในวิหารแห่งนี้ ยิ่งไปกว่านั้นบิดาของฟางซีก็มาด้วย และกำลังมองมายังเมิ่งฮ่าวด้วยความกังวลใจ
“ผู้อาวุโสทั้งหมดได้เสนอที่จะมอบรางวัลให้กับเจ้าสำหรับการกระทำทั้งหมดนั้น” ผู้เฒ่าสูงสุดกล่าวต่อไป “หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่นานเหล่าฟูก็เห็นด้วย รางวัลของเจ้าจะมาในรูปแบบที่จะได้เข้าไปในดินแดนบรรพบุรุษของตระกูล ซึ่งถูกสร้างขึ้นมาโดยท่านปรมาจารย์รุ่นแรก ในตอนแรกดินแดนบรรพบุรุษของพวกเราเคยเป็นส่วนหนึ่งของเศษซากเซียน แต่ท่านปรมาจารย์ได้ตัดส่วนของเศษซากเซียนไป และนำมันมายังที่นี่”
เมื่อเมิ่งฮ่าวได้ยินเช่นนี้ ดวงตาก็หดเล็กลง เขารู้ว่าตระกูลฟางมีสิ่งของที่ลึกล้ำอยู่มากมาย แต่ก็ไม่เคยตระหนักว่าปรมาจารย์รุ่นแรกจะแข็งแกร่งจนสามารถนำชิ้นส่วนของเศษซากเซียนกลับมายังตระกูล ทำให้กลายเป็นดินแดนบรรพบุรุษได้!
“ความสามารถศักดิ์สิทธิ์และวิชาเวทของตระกูลฟาง ไม่ได้ถูกส่งต่อมาอย่างง่ายดายโดยท่านปรมาจารย์รุ่นแรก” ผู้เฒ่าสูงสุดอธิบาย “แต่กลับกัน สำหรับรุ่นสู่รุ่น กลุ่มคนในตระกูลฟางของพวกเราต้องเข้าไปในดินแดนบรรพบุรุษที่ท่านได้ทิ้งไว้ให้ หลังจากที่ทำการค้นหาครั้งแล้วครั้งเล่า เวทต่างๆ ของตระกูลฟางก็ค่อยๆ ถูกรวบรวมเข้าด้วยกัน”
“อย่างไรก็ตาม…ยังมีวิชาเวทอีกมากมาย ที่ยังคงไม่ถูกค้นพบ การที่จะค้นหาพวกมันได้เป็นเรื่องของโอกาสและโชควาสนา”
“นอกจากนั้น หลายปีนับไม่ถ้วนที่ผ่านมา คนในตระกูลฟางใดๆ ก็ตามที่บรรลุถึงอาณาจักรเต๋า และไม่ได้ตายไปจากดาวดวงนี้ ก็เลือกที่จะฝังร่างอยู่ในดินแดนบรรพบุรุษแห่งนี้ เมื่อถึงเวลาที่พวกท่านได้กลับคืนไปสู่เถ้าธุลี พวกท่านก็จะทิ้งเวทฝึกตนและความลับอื่นๆ ไว้ที่นั่น ถ้าพวกท่านยังคงอยู่ ก็จะรอคอยให้ผู้สืบทอดเข้าไปและได้ครอบครองสิ่งต่างๆ เหล่านั้น”
“สำหรับห้าเวทแห่งเต๋าอันยิ่งใหญ่ของท่านปรมาจารย์รุ่นแรก สี่ในนั้นถูกค้นพบแล้ว แต่ที่ทรงพลังมากที่สุดในพวกมันทั้งหมด หนึ่งรำพึงกลายเป็นดวงดาว ยังไม่ถูกพบเห็น”
“นอกจากนั้น ก็ยังมีต้นสมุนไพรและสูตรยาอยู่ในดินแดนบรรพบุรุษอีกด้วย แม้แต่ของวิเศษเต๋าเซียนโบราณก็ยังมีอีกด้วย ทั้งหมดนั้นกำลังเฝ้ารอคอยให้บุคคลที่ถูกลิขิตไว้ มานำพวกมันออกไป” ขณะที่ผู้เฒ่าสูงสุดพูด เสียงอันเย็นชาของมันได้ดังก้องออกไปทั่วทั้งวิหารหลัก
เมิ่งฮ่าวรับฟังเรื่องราวทั้งหมด แต่สีหน้าก็ยังคงสงบนิ่งราวกับเป็นก้อนศิลา
“การเปิดดินแดนบรรพบุรุษต้องมีค่าใช้จ่ายที่มากมาย กล่าวกันโดยทั่วไปแล้วพวกเราจะเปิดมันออกหนึ่งครั้งในทุกๆ หนึ่งพันปีเท่านั้น อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าเวลานั้นยังมาไม่ถึง แต่พวกเราก็จะทำการยกเว้นและเปิดออกให้กับเจ้าเป็นการพิเศษเฉพาะ”
“แต่….” ในตอนนี้เองที่จู่ๆ ผู้เฒ่าสูงสุดก็หยุดชะงักไป และมองมายังเมิ่งฮ่าวด้วยสายตาที่ลึกล้ำอยู่นานชั่วครู่ก่อนที่จะกล่าวต่อไป
“ก็มีอันตรายอันยิ่งใหญ่ซุกซ่อนอยู่ที่ด้านใน อันตรายนั้นเกิดขึ้นในรูปแบบของการทดสอบที่ถูกทิ้งไว้โดยปรมาจารย์รุ่นแรกสำหรับผู้สืบทอดของท่าน ดินแดนบรรพบุรุษเป็นสถานที่ที่แปลกประหลาด ซึ่งจะมีสิ่งมีชีวิตที่แปลกๆ มากมายโผล่ออกมา”
“ดังนั้นสำหรับบุคคลเช่นเจ้า ดินแดนบรรพบุรุษอาจจะเป็นสถานที่แห่งโชควาสนาก็เป็นได้ แต่มันก็มีอันตรายเป็นอย่างยิ่งด้วยเช่นกัน ถึงแม้ว่าจะไม่มีผู้คนตกตายอยู่ในดินแดนบรรพบุรุษนั้นมามากมาย นานหลายปีแล้วก็ตามที แต่ก็ยังพอมีบ้างที่ตายไป”
“เจ้าสามารถตัดสินใจว่า…จะใช้โอกาสจากของรางวัลนี้หรือไม่ก็ได้” คำพูดสุดท้ายของผู้เฒ่าสูงสุด ทำให้สีหน้าของฟางซิ่วซานและปู่ของฟางเว่ยต้องเปลี่ยนไปจนแทบจะมองไม่เห็น โดยที่ไม่ต้องขบคิดใดๆ พวกมันจ้องมองไปยังผู้เฒ่าสูงสุดในทันที
คิ้วของฟางซิ่วซานขมวดมุ่น จากข้อตกลงก่อนหน้านี้ของพวกมันกับผู้เฒ่าสูงสุด เมื่อดินแดนบรรพบุรุษเปิดออก เมิ่งฮ่าวจะถูกบังคับให้เข้าไป ไม่ว่าต้องการหรือไม่ เขาไม่มีทางเลือกสำหรับเรื่องนี้
ในตอนนี้ทั้งฟางซิ่วซานและปู่ของฟางเว่ย ไม่เข้าใจว่าทำไมผู้เฒ่าสูงสุด ซึ่งมักจะสนับสนุนสายโลหิตของพวกมัน จู่ๆ ก็ให้ทางเลือกกับเมิ่งฮ่าวว่าจะผ่านเข้าไปหรือไม่ก็ได้ ในช่วงเวลาสุดท้ายนี้
ขณะที่คนทั้งสองรู้สึกลังเล ผู้เฒ่าสูงสุดก็ชี้นิ้วไป ทำให้กระแสน้ำวนปรากฏขึ้นในกลางอากาศของวิหาร กระแสน้ำวนนั้นหมุนวนออกไป จนมีขนาดใหญ่ขึ้นหลายสิบจ้าง เต็มไปด้วยกลุ่มหมอกที่หมุนวนไปมา ภายในนั้นค่อยๆ เผยให้เห็นเป็นภาพของโลกแห่งอื่นออกมา
อย่างช้าๆ โลกแห่งนั้นเริ่มมองเห็นได้ชัดเจนมากขึ้นไปเรื่อยๆ
เมิ่งฮ่าวมีใบหน้าที่สงบเยือกเย็นขณะที่มองไปยังผู้เฒ่าสูงสุด การที่มันได้มอบทางเลือกให้ค่อนข้างจะเป็นเรื่องแปลก หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ เขาก็มองไปยังผู้อาวุโสสายโลหิตหลัก และสามารถมองเห็นได้ว่าพวกมันกำลังรู้สึกลังเลขึ้นด้วยเช่นกัน ตอนนี้เขากำลังตกอยู่ในสถานะที่ยากลำบาก ที่จะก้าวผ่านสถานการณ์นี้ไปได้
ในเวลาเดียวกันนั้น เขาก็กำลังเผชิญหน้ากับอันตรายที่ใกล้เข้ามา
“ฮ่าวเอ๋อร์” บิดาฟางซี, สือจิ่วซูกล่าวขึ้น “เจ้าต้องใคร่ครวญเรื่องราวให้รอบคอบ ข้าขอแนะนำว่าอย่าได้เข้าไปยังดินแดนบรรพบุรุษในตอนนี้ ให้รอจนกระทั่งเจ้าอยู่ในอาณาจักรเซียนแล้ว หรืออีกไม่กี่ร้อยปีข้างหน้า เจ้าจึงจะสามารถเข้าไปในดินแดนบรรพบุรุษได้ นั่นจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า เจ้าไม่มีเหตุผลใดๆ ที่จะต้องเข้าไปในตอนนี้ ฮ่าวเอ๋อร์ ครุ่นคิดให้รอบคอบด้วย”
เมิ่งฮ่าวเงียบไปชั่วขณะ ก่อนที่จะหันหน้ากลับไปยังผู้เฒ่าสูงสุด ประสานมือและโค้งตัวลงต่ำ
“ท่านผู้เฒ่าสูงสุด มีข้าเพียงคนเดียวที่สามารถผ่านเข้าไปในครั้งนี้ใช่หรือไม่? ข้าสามารถเลือกได้ว่าจะปฏิเสธโอกาสการเข้าไปนี้ได้ใช่หรือไม่?”
“ถ้าเจ้าเข้าไป เจ้าก็จะไปเพียงลำพัง” ผู้เฒ่าสูงสุดกล่าวขึ้นช้าๆ สีหน้าไม่มีทั้งความยินดีและโทสะ “ถ้าเจ้าต้องการปฏิเสธโอกาสที่จะผ่านเข้าไปนี้ เจ้าก็สามารถไปยังแผนกเต๋าแห่งการปรุงยาเพื่อทำการทดสอบที่ศาลาโอสถได้ต่อไป”
ห่างออกไปด้านข้าง ฟางซิ่วซานนั่งอยู่ที่นั่นด้วยความกระวนกระวายใจ มันได้จ่ายค่าตอบแทนไปอย่างสูงลิ่วเพื่อที่จะจัดการเรื่องราวนี้ขึ้นมาได้ ถ้าเมิ่งฮ่าวไม่เข้าไป ก็คงไม่มีทางที่มันจะสังหารเมิ่งฮ่าวไปได้
“จดจำไว้” ผู้เฒ่าสูงสุดกล่าวต่อ มองมายังเมิ่งฮ่าวด้วยสายตาที่คมกริบ “การติดต่อที่ด้านนอกทั้งหมดจะถูกตัดขาดออกไป เมื่อไหร่ที่เจ้าผ่านเข้าไปในดินแดนบรรพบุรุษ สิ่งที่เกิดขึ้นด้านในพวกเราไม่อาจจะมองเห็นได้”
คำพูดเหล่านี้ทำให้สีหน้าของฟางซิ่วซานบิดเบี้ยวขึ้น มันมองไปยังบิดาของมัน และเห็นว่าถึงแม้สีหน้าบิดามันจะไร้ความรู้สึก แต่ม่านตาก็หดเล็กลง
เมิ่งฮ่าวไม่แน่ใจว่าทำไมผู้เฒ่าสูงสุดถึงได้มีท่าทีเช่นนี้ ปกติแล้วสิ่งที่ควรจะเกิดขึ้นก็คือ ผู้เฒ่าสูงสุดจะไม่ให้ทางเลือกใดๆ แก่เขา สำหรับสิ่งที่กลับกลายเป็นเช่นนี้ทำให้เมิ่งฮ่าวต้องมองไปยังกระแสน้ำวนอย่างครุ่นคิด เขากำลังจะพูดปฏิเสธออกไป ในสิ่งที่เห็นได้ว่าเป็นกับดักที่ถูกสร้างขึ้นมาโดยฟางซิ่วซาน แต่ทันใดนั้น แรงสั่นสะเทือนก็วิ่งผ่านร่างเขาไป ขณะที่มองเข้าไปในโลกที่อยู่ด้านในของกระแสน้ำวน ดวงตาเมิ่งฮ่าวทันใดนั้นก็เบิกกว้างขึ้น
ในตอนนั้นดูเหมือนว่าเขาได้มองเห็นบางสิ่งที่ไม่อยากจะเชื่อโดยสิ้นเชิง สีหน้าเขากลับมาเป็นปกติได้อย่างรวดเร็ว แต่ถึงกระนั้นภายในใจก็ยังรู้สึกตื่นตระหนกมากกว่าการถูกฟาดด้วยสายฟ้า จิตใจเขาเริ่มเต้นรัวเกินกว่าที่จะควบคุมไว้ได้
ปากคอเมิ่งฮ่าวแห้งผาก กล่าวขึ้นในทันที “ข้าเลือกที่จะเข้าไปในดินแดนบรรพบุรุษ!”