Skip to content

I Shall Seal The Heaven Chapter 960

ตอนที่ 960

มันเป็นตะเกียงวิญญาณของใคร!?

ปรมาจารย์รุ่นเจ็ดหอบหายใจออกมา จ้องนิ่งไปยังตะเกียงสัมฤทธิ์ที่อยู่ในมือเมิ่งฮ่าว ตะเกียงนั้นทำให้หนังศีรษะมันต้องด้านชา และความหวาดกลัวก็แผ่กระจายไปทั่วร่าง ขณะที่เกิดเป็นคำถามอันน่าตื่นตระหนกขึ้นมาเต็มอยู่ในจิตใจ

“ตะเกียงวิญญาณนั่น…เป็นของใคร?!?!”

กลุ่มหมอกในอุโมงค์หมอกสวรรค์พลุ่งพล่านปั่นป่วน กระจายออกเต็มไปทั่วดินแดนบรรพบุรุษ พื้นหลุมฝังศพโบราณ, เก้าภูเขายมโลก, สุสานปรมาจารย์เสมือนเต๋า และแม้แต่สนามรู้แจ้งแห่งเวทต่างก็จมอยู่ภายใต้กลุ่มหมอกอันไร้ขอบเขตนี้

พื้นดินแทบจะกลายเป็นทะเลแห่งกลุ่มหมอก ปกคลุมทุกสิ่งทุกอย่างไว้จนทำให้ทั้งหมดตกอยู่ในเงาอันเลือนลาง บริเวณรอบๆ ตัวเมิ่งฮ่าวเป็นสถานที่เพียงแห่งเดียวที่ยังคงมีแสงสว่าง ซึ่งได้ส่องออกมาจากแสงของแก่นแท้แห่งเปลวไฟศักดิ์สิทธิ์

เมิ่งฮ่าวกำลังหอบหายใจ ด้วยจิตใจที่เต้นรัวมากกว่าฟางเต้าหงและฟางหลินเหอ หรือแม้แต่ปรมาจารย์รุ่นเจ็ดที่กำลังประหลาดใจอยู่ซะอีก

การนำตะเกียงสัมฤทธิ์ออกมาเป็นแค่การลองเสี่ยงดูเท่านั้น อันที่จริงแม้แต่เมิ่งฮ่าวก็ยังคิดว่ามันเป็นเรื่องที่น่าขบขันและไม่อาจจะเป็นไปได้อย่างแท้จริง

เขามักจะคิดว่ามันเป็นแค่ตะเกียงสัมฤทธิ์โบราณเท่านั้น…ไม่เคยจะคาดคิดมาก่อนว่ามันจะเทียบได้กับตะเกียงวิญญาณของผู้ฝึกตนแห่งอาณาจักรโบราณ

แต่ตอนนี้ขณะที่เขามองไปรอบๆ ยังกลุ่มหมอกที่กำลังเดือดพล่าน และเส้นทางที่เปิดออกอยู่ที่เบื้องหน้า รวมทั้งอุโมงค์ที่นำตรงไปยังวิหารสีดำสนิทที่เบื้องหน้าขึ้นไป จิตใจก็ต้องเต้นรัวด้วยความรุนแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

“ตะเกียงวิญญาณนี้…เป็นของใครกัน?!?!” นี่คือคำถามที่พุ่งขึ้นมาอยู่ในจิตใจของเมิ่งฮ่าว ขณะที่เขาคิดย้อนกลับไปยังปีนั้นในห้องโถงของวิหาร ที่ซึ่งเขาได้ตะเกียงสัมฤทธ์นี้มาไว้ในครอบครอง

มันเคยอยู่ที่นั่นนานกี่ปีมาแล้ว…?

เขาทำให้ตะเกียงมีชีวิตขึ้นมาด้วยโลหิตของตัวเอง และเมื่อมันดับลงไป เขาก็ได้ดูดซับกลุ่มควันสีดำที่มันกระจายออกมาเข้าไป นั่นคือสิ่งที่…ทำให้เขากลายเป็นผู้ที่แตกต่างไปจากคนอื่นๆ ทั้งหมด เป็นผู้ที่มีชีพจรเซียนแท้อยู่ภายในร่าง

“มันคือตะเกียงวิญญาณจริงๆ เป็นตะเกียงที่ประกอบด้วยพลังคุกคามอันน่าตกใจ แม้แต่ดินแดนบรรพบุรุษตระกูลฟางนี้ ก็ยังต้องยอมจำนนต่อมันอย่างไร้ทางเลือก!”

“ถ้าตะเกียงนี้ทรงพลังมากเช่นนี้…ใครก็ตามที่เป็นผู้สร้างมันขึ้นมา ก็ต้องยิ่งแข็งแกร่งอย่างน่าเหลือเชื่อนัก!!” เมิ่งฮ่าวกำลังหอบหายใจด้วยความไม่อยากจะเชื่อต่อเหตุการณ์ที่กลับกลายเป็นเช่นนี้ แต่มันเป็นเรื่องที่ไม่ควรจะครุ่นคิดให้ลึกซึ้งมากเกินไปจริงๆ ยิ่งเขาคิดเกี่ยวกับมันมากเท่าใด ก็จะยิ่งทำให้ต้องประหลาดใจมากขึ้นเท่านั้น

“วิหารพิธีเต๋าเซียนโบราณ…” ดวงตาเมิ่งฮ่าวสาดประกายขึ้นด้วยแสงอันเข้มข้น ขณะที่ความมุ่งมั่นใหม่ๆ ได้เต็มอยู่ในจิตใจและทำให้เขาเกิดความแน่วแน่เด็ดเดี่ยวมากยิ่งขึ้น “ข้าจะต้องไปยังเซียนกู่เต้าฉ่าง (พิธีเต๋าเซียนโบราณ) ให้จงได้!” ร่องรอยของเรื่องราวที่อยู่เบื้องหลังตะเกียงนี้ ซึ่งเขาได้พบมันอยู่ในห้องโถงวิหารบนซากปรักหักพังของพิธีเต๋าเซียนโบราณบนดาวหนานเทียน ดูเหมือนจะขึ้นอยู่กับสี่คำนี้ ‘เซียนกู่เต้าฉ่าง’

จากสิ่งที่เห็นนี้ การที่เขาได้ครอบครองตะเกียงสัมฤทธิ์ในปีนั้น ได้ทำให้โชคชะตาในชีวิตทั้งหมดของเขาต้องเปลี่ยนไป!!

ฟางเต้าหงและฟางหลินเหอซึ่งอยู่ใกล้บริเวณนั้น กำลังมองไปด้วยหนังศีรษะที่ด้านชา และจิตใจก็รู้สึกราวกับว่ากำลังถูกฟาดด้วยสายฟ้า ดวงตาเบิกโพลงด้วยความตกตะลึงไปโดยสิ้นเชิง

พวกมันไม่อยากจะเชื่อหรือแม้แต่จะคิดได้ถึงคำพูดที่จะอธิบายในสิ่งที่พวกมันกำลังมองเห็นอยู่นี้ ราวกับว่าพวกมันได้กลายเป็นใบ้ไป จากนั้นก็เห็นเมิ่งฮ่าวสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ ถือตะเกียงสัมฤทธิ์ไว้ในมือจนแน่น และก้าวตรงไปตามทางเดิน นั่นเป็นภาพที่ดูเหมือนจะทำให้จิตใจพวกมันต้องสั่นสะท้านขึ้น

“มันเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นได้อย่างไรกัน…?” ฟางเต้าหงคิดขณะที่มองไปยังเมิ่งฮ่าวซึ่งกำลังเดินตรงไปตามเส้นทางในกลุ่มหมอกอย่างเงียบๆ มันรู้สึกราวกับว่ากำลังตกอยู่ในภาพลวงตา, ความฝันหรือว่าจินตนาการในจิตใจของตนเอง

ฟางหลินเหอต่อยลงไปที่หน้าอกตัวเองอย่างรุนแรง และความเจ็บปวดได้ทำให้ดวงตามันต้องเบิกกว้างขึ้นด้วยความประหลาดใจ มันรู้สึกราวกับว่าโลกนี้ได้พลิกกลับตาลปัตร ที่เบื้องหน้าขึ้นไปคือหลุมฝังศพของท่านปรมาจารย์รุ่นแรก เป็นสถานที่ซึ่งไม่มีใครเคยผ่านเข้าไปได้มาก่อน แต่เมิ่งฮ่าว…ก็ได้หยิบเอาตะเกียงสัมฤทธิ์ออกมา และจากนั้น…ก็เดินเข้าไปในกลุ่มหมอก

ฟางหลินเหอสั่นไปทั้งร่าง และจู่ๆ มันก็เกิดความรู้สึกยินดีขึ้นมา เป็นความยินดีที่มันได้โจมตีไปยังคนที่น่ากลัวราวกับไม่ใช่มนุษย์ผู้นี้ แต่มันก็ยังคงมีชีวิตอยู่

สูงขึ้นไปในกลางอากาศ ปรมาจารย์รุ่นเจ็ดกำลังหอบหายใจออกมาด้วยเช่นกัน ในแง่ของทั้งอารมณ์ความรู้สึกภายในและสีหน้าท่าทางภายนอก มันไม่อาจจะรักษาความเยือกเย็นได้อีกต่อไป ไม่สำคัญว่าพื้นฐานฝึกตนของมันจะอยู่ในชั้นสูงสุดของอาณาจักรโบราณหรือไม่ มันก็ยังคงถูกเมิ่งฮ่าวทำให้ต้องสั่นสะท้านใจอย่างลึกล้ำ

“พี่ใหญ่มีพื้นฐานฝึกตนอยู่ที่แก่นแท้แรกในอาณาจักรเต๋า และมีศักดิ์ฐานะเป็นปรมาจารย์ปฐพีของตระกูลฟาง แต่ก็สามารถเดินเข้าไปในกลุ่มหมอกได้แค่สามสิบเก้าก้าวเท่านั้น แต่ตะเกียงที่เด็กผู้นั้นถืออยู่ กลับสามารถสร้างเป็นเส้นทางผ่านอุโมงค์หมอกสวรรค์ไปจนถึงสุสาน!”

“ถ้าคิดคำนวนดูเส้นทางนั้นจากจำนวนก้าวที่ต้องเดินไป มันก็คงไม่ต่ำว่าหนึ่งพันก้าว!!”

“มันเป็นแค่ตะเกียงวิญญาณ แต่ก็ยังมีพลังมากกว่าแก่นแท้แรก แล้วพื้นฐานฝึกตนของบุคคลที่สร้างตะเกียงวิญญาณนี้ขึ้นมาจะเป็นเช่นไร? ในแง่ของระดับ จะเป็นผู้ยิ่งใหญ่หกแก่นแท้? หรืออาจจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่เก้าแก่นแท้?!”

“เป็นไปไม่ได้ ในจิ่วต้าซานไห่ (เก้าขุนเขาทะเลอันยิ่งใหญ่) ไม่มีผู้ยิ่งใหญ่เก้าแก่นแท้แม้แต่คนเดียว! คนที่เคยผ่านเข้าไปในระดับเก้าแก่นแท้แห่งอาณาจักรเต๋าคือ ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสามจากยุคตำนานของเซียนโบราณ ในช่วงที่เกิดสงครามซึ่งทำให้สวรรค์ต้องสั่นสะท้านปฐพีต้องสั่นสะเทือนเท่านั้น!”

“ข้าไม่ควรแม้แต่จะไปคิดเกี่ยวกับเก้าแก่นแท้ แม้แต่ผู้ยิ่งใหญ่เจ็ดแก่นแท้ก็ยังไม่มีอยู่ในจิ่วต้าซานไห่ พื้นฐานฝึกตนที่สูงมากที่สุดในยุคนี้อยู่แค่หกแก่นแท้เท่านั้น!” จิตใจของปรมาจารย์รุ่นเจ็ดกำลังหมุนคว้างด้วยความตกตะลึงจนยากที่จะอธิบายออกมาได้ มันมองไปยังภาพของเมิ่งฮ่าวที่กำลังก้าวเดินไปบนเส้นทางในกลุ่มหมอกด้วยตะเกียงที่ถืออยู่ในมือ จากนั้นก็สูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ และดวงตาก็เริ่มสาดประกายขึ้นด้วยแสงแปลกๆ

มันไม่มีความคิดละโมบพุ่งขึ้นมาในจิตใจ เมื่อเมิ่งฮ่าวได้ครอบครองตะเกียงสัมฤทธิ์ เขาก็มีคุณสมบัติที่จะผ่านเข้าไปในอุโมงค์หมอกสวรรค์ แต่สำหรับคนอื่นๆ แล้ว นี่อาจจะเป็นจุดสิ้นสุดของเส้นทางพวกมัน

ถึงแม้ปรมาจารย์รุ่นเจ็ดอดไม่ได้ที่จะต้องมองไปยังตะเกียงสัมฤทธิ์ด้วยความอยากได้ แต่มันก็ไม่ได้พยายามจะไปหยิบฉวยมา มันเป็นผู้อาวุโสของตระกูล และยิ่งไปกว่านั้นมันก็เป็นหนึ่งในผู้พิทักษ์ นอกจากนั้นแล้วเมื่อเป็นสิ่งของของผู้เยาว์รุ่นหลังมันก็จะมีหลักการของตนเอง

เหล่านั้นคือกฎของตระกูล!

พวกมันเป็นกฎที่ช่วยให้ตระกูลเจริญก้าวหน้าขึ้นทวีคูณ และสามารถจะต้านทานการทดสอบของกาลเวลาได้!

กลุ่มคนรุ่นเดียวกันสามารถจะต่อสู้และแย่งชิงโชคชะตามาจากคนอื่นๆ ได้ เรื่องเช่นนี้เป็นสิ่งที่ไม่ถูกหวงห้าม ต่อให้สวรรค์ไม่สนใจต่อการที่กลุ่มคนรุ่นอาวุโสจะไปแย่งชิงสิ่งของจากเหล่าผู้เยาว์ แต่ก็เป็นสิ่งที่ถูกห้ามโดยสิ้นเชิงจากกฎของตระกูล

ถึงแม้ว่าจะมีใครบางคนอาจจะกล้าเสี่ยงที่จะทำเรื่องเช่นนี้ได้ แต่ปรมาจารย์รุ่นเจ็ดไม่ใช่บุคคลเช่นนั้น

“จากสมัยโบราณมาตั้งแต่ครั้งที่ท่านปรมาจารย์รุ่นแรกได้นั่งเข้าฌาณจนตายไปจนกระทั่งถึงตอนนี้ นี่คือ…ครั้งแรกที่สามารถมองเห็นสุสานของท่านได้! เป็นไปได้หรือไม่ว่าเวทหนึ่งรำพึงกลายเป็นดวงดาว จะมาปรากฏขึ้นอีกครั้งในตี้จิ่วซานไห่ (ขุนเขาทะเลที่เก้า) แห่งนี้!?” ปรมาจารย์รุ่นเจ็ดมองไปที่แผ่นหลังของเมิ่งฮ่าว ขณะที่เขาเดินห่างออกไปไกล ทันใดนั้นก็มีลางสังหรณ์เกิดขึ้นอยู่ลึกๆ ในจิตใจ

“ความสำเร็จในอนาคตของมันอาจจะไม่ถูกจำกัดอยู่ในตี้จิ่วซานไห่เท่านั้น! บางทีมันอาจจะนำตระกูลฟางเข้าไปสู่ความรุ่งโรจน์ที่สูงมากขึ้นไปกว่าเดิม!”

ย้อนกลับไปยังเส้นทางในอุโมงค์หมอกสวรรค์ จิตใจเมิ่งฮ่าวกำลังเต้นรัว ถือตะเกียงสัมฤทธิ์ไว้ในมือ ขณะที่ค่อยๆ เดินตรงเข้าไปในกลุ่มหมอกอย่างช้าๆ ดูเหมือนว่าที่ด้านล่างเท้าของเขาจะเป็นความว่างเปล่า แต่พื้นก็ปรากฏขึ้นขณะที่เขาเหยียบลงไป

แสงของเปลวไฟส่องประกายออกมาจากตะเกียงสัมฤทธิ์ และกลุ่มหมอกที่อยู่ด้านข้างก็พลุ่งพล่านปั่นป่วน สิ่งกีดขวางใดๆ ที่อยู่เบื้องหน้ากระจัดกระจายออกไป ขณะที่เมิ่งฮ่าวมุ่งหน้าเดินไปอย่างต่อเนื่อง

เมื่อเขาผ่านเข้าไปไกลมากขึ้น กลุ่มหมอกที่อยู่ด้านหลังก็ปิดลง ทำให้เส้นทางถูกปิดไป คนภายนอกใดๆ รวมทั้งฟางเต้าหงและฟางหลินเหอ แม้แต่ปรมาจารย์รุ่นเจ็ด ในที่สุดก็มองไม่เห็นเมิ่งฮ่าวอีก ขณะที่เขาหายตัวเข้าไปในกลุ่มหมอก

ฟางเต้าหงและฟางหลินเหอสบตากันไปมา และมองเห็นความตกตะลึงอยู่ในแววตาของกันและกัน รวมทั้ง…ความประหลาดใจ

ความเป็นตายของพวกมันตกอยู่ในกำมือของเมิ่งฮ่าว ดังนั้นสำหรับพวกมันแล้ว ยิ่งเมิ่งฮ่าวมีความแข็งแกร่งมากขึ้นเท่าใด โอกาสที่พวกมันจะหลบหนีจากไปได้ก็ยิ่งมีน้อยลงมากขึ้นเท่านั้น อย่างไรก็ตาม…ขณะที่เขามีความแข็งแกร่งเพิ่มมากขึ้น ความสำเร็จในอนาคตของพวกมัน…ก็จะยิ่งไร้ขีดจำกัดมากขึ้นเท่านั้น

“บางทีฟางซิ่วซานอาจจะมอบโอกาสให้พวกเราทั้งสอง บรรลุถึงความสำเร็จได้มากขึ้นโดยที่ไม่ได้ตั้งใจก็เป็นได้!!” ฟางเต้าหงกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้ง

ฟางหลินเหอสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ และพยักหน้า “ถ้าฟางฮ่าวได้โชควาสนาบางอย่างในสุสานนี้ ถ้ามันกลายเป็นเพียงคนเดียวในตระกูล ที่สามารถฝึกฝนเวทหนึ่งรำพึงกลายเป็นดวงดาวได้ ความสำเร็จในอนาคตของมันก็คงจะไร้ขีดจำกัดอย่างแน่นอน!”

ดวงตาพวกมันสาดประกายขึ้นด้วยความมุ่งมั่น ขณะที่นั่งลงขัดสมาธิอยู่ที่ด้านนอกของอุโมงค์หมอกสวรรค์ ทำตัวเป็นผู้พิทักษ์เต๋าขณะที่เฝ้ารอคอยให้เมิ่งฮ่าวโผล่ออกมา

ย้อนกลับเข้าไปในอุโมงค์หมอกสวรรค์ วิหารสีดำสนิทที่อยู่ตรงสุดทาง ดูเหมือนจะไม่ไกลมากนัก แต่เมิ่งฮ่าวก็ต้องเดินไปเป็นเวลานาน

หนึ่งวัน สองวัน สามวัน

เมื่อถึงวันที่สาม ในที่สุดเมิ่งฮ่าวก็เริ่มเข้าไปใกล้วิหารสีดำสนิทนั้น ถึงแม้ว่าจะยังคงอยู่ห่างจากวิหารประมาณหนึ่งพันจ้าง แต่เขาก็รู้ว่า…ได้มาอยู่ในอาณาเขตของสุสานแล้ว!

สูงขึ้นไปที่เบื้องหน้า มีรูปปั้นของบุรุษวัยกลางคนอยู่ที่ด้านหน้าของวิหารสีดำสนิท สวมใส่ชุดนักพรต มีใบหน้าที่สง่างามและดูสูงส่ง ไร้ร่องรอยของโทสะ ประกอบไปด้วยเสน่ห์อันอ่อนโยน นั่งขัดสมาธิอยู่ที่นั่น หลับตาลงราวกับว่ากำลังทำการสูดลมหายใจเข้าออกอยู่ ถึงจะเป็นเพียงแค่รูปปั้น แต่เมื่อมองไป ก็ดูแทบจะคล้ายกับว่ามีชีวิต

ท่านมีหน้าตาที่ดูคล้ายคลึงกับเมิ่งฮ่าว หรืออาจจะพูดให้ถูกต้องมากกว่านี้ว่า สมาชิกของตระกูลฟางทั้งหมด มีรูปร่างหน้าตาที่คล้ายคลึงกับรูปปั้นนี้

นั่นเป็นเพราะว่าท่านไม่ใช่ใครอื่น นอกจากเป็นปรมาจารย์รุ่นแรก

ท่านเป็นบุรุษที่น่าทึ่งไร้ผู้ทัดเทียม ซึ่งได้กลายมาเป็นปรมาจารย์รุ่นแรกของตระกูล!

มองเห็นมังกรขนาดใหญ่สิบแปดตัวม้วนพันไปมาอยู่บนเส้นทางที่นำไปสู่วิหาร แต่ละตัวกระจายความรู้สึกที่เก่าแก่โบราณออกมา แทบจะดูคล้ายกับว่ามังกรทั้งสิบแปดตัวนี้ จริงๆ แล้วก็กำลังค้ำจุนสุสานทั้งหมดนี้ด้วยร่างกายของพวกมันเอง

เพียงมองไปแค่แวบเดียว ก็เห็นได้ชัดว่าเป็นภาพที่งดงามเป็นอย่างยิ่ง!

จิตใจเมิ่งฮ่าวสั่นสะท้าน ขณะที่มองไปยังวิหารขนาดใหญ่ เขารู้ว่านี่คือสถานที่พักพิงแห่งสุดท้ายของปรมาจารย์รุ่นแรก!

ปรมาจารย์รุ่นแรกเป็นผู้ที่ทำให้เกิดเป็นตระกูลฟางขึ้น เนื่องจากท่านจึงทำให้ตระกูลฟางมีความแข็งแกร่งอยู่ในขุนเขาทะเลที่เก้านี้ ตำนานและความลึกลับเกี่ยวกับตัวท่านได้หมุนวนอยู่ในตระกูลอย่างไร้จุดสิ้นสุดมาจนถึงทุกวันนี้

ตำนานได้กล่าวไว้ว่าปรมาจารย์รุ่นแรก ได้ครอบครองพลังสายโลหิตของตระกูลฟางในเศษซากเซียน และได้ติดตามราชันหลี่เพื่อปราบพิชิตความวุ่นวายในขุนเขาทะเลที่เก้า และรวมทั้งหมดให้กลายเป็นหนึ่งเดียวกัน!

ยังมีอีกตำนานที่ได้กล่าวว่าปรมาจารย์รุ่นแรกไม่ได้ตายไปจริงๆ ท่านยังคงมีชีวิตอยู่ด้วยชีวิตที่ห้าของท่าน และท่านก็ได้หายตัวไปเพื่อมีชีวิตอยู่อย่างเป็นอิสระ

ยังมีตำนานอีกมากมายที่ได้หมุนคว้างขึ้นมาในจิตใจเมิ่งฮ่าว เขาสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ ขณะที่เดินผ่านเขตหนึ่งพันจ้างเข้าไปใกล้ตัวสุสาน เมื่อใกล้เข้าไปหลายก้าว ก็มองขึ้นไปยังประตูวิหารขนาดใหญ่และโค้งตัวลงต่ำ

“ผู้เยาว์รุ่นหลังแห่งตระกูลฟาง, ฟางฮ่าวขอคารวะท่านปรมาจารย์รุ่นแรก!”

ขณะที่คำพูดเขาดังก้องออกไป วิหารก็เริ่มสั่นสะท้าน และประตูวิหารที่ถูกตกแต่งอย่างประณีตงดงามก็เริ่มเปิดออกอย่างช้าๆ!

ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นเอง…ที่ด้านนอกของดินแดนบรรพบุรุษ ที่ด้านนอกของดาวตงเซิ่ง ฝานตงเอ๋อร์ได้กระแทกโจมตีเข้าไปยังประตูเซียนที่อยู่เหนือทะเลที่เก้า ทำให้ประตูค่อยๆ เริ่มเปิดออก แสงเซียนอันไร้ขอบเขตพุ่งออกมา อาบไล้ไปทั่วร่างฝานตงเอ๋อร์ ทำให้ร่างกายนางค่อยๆ เริ่มโปร่งใสขึ้น ความศักดิ์สิทธิ์ที่เปล่งออกมาจากร่างนางก็เริ่มมีความเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ

โดยปกตินางมีความงดงามอยู่แล้ว แต่ในตอนนี้ความงดงามของนางยิ่งเกินกว่าจะเทียบเปรียบได้

ผู้ฝึกตนของอาณาจักรแห่งท้องทะเลที่เก้าจ้องมองไปยังนางด้วยความจดจ่อ พวกมันรู้ว่า…ช่วงเวลาวิกฤตได้มาถึงแล้ว

ตอนนี้ถึงเวลาที่จะได้เห็นว่า ฝานตงเอ๋อร์จะเปิดชีพจรเซียนได้มากมายเท่าใดกันแน่!

ไม่เพียงแต่ผู้ฝึกตนของอาณาจักรแห่งท้องทะเลที่เก้า กำลังเฝ้ามองไปด้วยจิตใจที่จดจ่อเท่านั้น สำนักและตระกูลต่างๆ ทั้งหมด กำลังใช้วิธีการที่หลากหลายเพื่อเฝ้าสังเกตดูถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับฝานตงเอ๋อร์ด้วยเช่นเดียวกัน!

หญิงชราที่อยู่ในอาณาจักรเต๋ายืนอยู่ที่นั่นอย่างเงียบๆ มองขึ้นไปยังฝานตงเอ๋อร์ด้วยรอยยิ้มน้อยๆ ดวงตาสาดประกายขึ้นด้วยความมุ่งหวัง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!