บทที่ 4
งานชุมนุมใหญ่
เวลาผ่านไปเร็วราวกับลูกธนูพุ่งออกจากคันศร ทิวาราตรีหมุนเวียนเปลี่ยนผันไม่หยุด
…เสิ่นชิงชิวไม่ได้อยากใช้สำนวนสุดเฉิ่มแบบนี้หรอกนะ แต่เขานึกคำที่เหมาะสมนอกเหนือจากนี้ไม่ออกจริงๆ
วันเวลาบนยอดชิงจิ้งเฟิงของเขาหมดไปกับการดีดกู่ฉินเล่น อ่านหนังสือเล่น เขียนตัวอักษรเล่น วาดภาพเล่น ฝึกวิชาเล่น นานๆทีก็จะบ่นว่าอาหารที่ลั่วปิงเหอทำไม่อร่อยบ้าง หรือหาเรื่องชวนทะเลาะกับหลิ่วชิงเกอบ้าง แล้วคอยไปรายงานตัวกับเยวี่ยชิงหยวนเป็นระยะ วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว บรรลุเป้าหมายในชีวิตที่เขาตั้งไว้ว่า ‘กินฟรีอยู่ฟรี รอวันตาย พักผ่อนในบั้นปลายของชีวิต’ อย่างสมบูรณ์แบบ
จนกระทั่งถึงงานชุมนุมเซียนครั้งใหญ่
ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง ที่ผ่านมาเขาใช้ชีวิตเอ้อระเหยเกินไป จนเกือบลืมจุดไคลแมกซ์ใหญ่จุดแรกของนิยายเรื่องนี้ไปเสียสนิท
ลั่วปิงเหอที่มาพร้อมดัชนีทองคำก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดของชีวิต แต่งหญิงงามเพียบพร้อมเป็นภรรยาและเป็นก้าวแรงของการสร้างเส้นทางที่นับแต่นี้ไม่อาจกลับตัวได้อีก…ทว่าเสิ่นชิงชิวกลับลืมไปเสียได้!
ด้วยเหตุนี้ตอนได้รับเทียบเชิญเคลือบทอง เสิ่นชิงชิวเลยอึ้งไปพักหนึ่ง
งานชุมนุมเซียนเป็นจุดไคลแมกซ์ใหญ่จุดแรกของ ‘เทพมารอหังการ’ ขณะเดียวกันก็เป็นจุดพลิกผันของนิยายอีกด้วย
งานชุมนุมเซียนจัดขึ้นทุกสี่ปี เพื่อคัดเลือกผู้กล้าหน้าใหม่ และเป็นโอกาสอันดีที่จะสร้างชื่อเสียงให้ขจรขจาย
การจัดงานแต่ละครั้งจะมีรูปแบบแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับความเห็นของบรรดาเจ้าสำนักของสำนักใหญ่ที่ได้ร่วมหารือกัน แต่แน่นอนว่าต้องมีป้ายทะเบียนทองจัดอันดับผู้มีความสามารถอยู่ด้วยทุกครั้ง
ไม่ว่าจะมาจากสำนักใหญ่ หรือเป็นจอมยุทธ์พเนจร ขอเพียงท่านแสดงผลงานได้ดีก็สามารถปรากฏชื่ออยู่บนป้ายทะเบียนทองได้ มีชื่อเสียงไปทั่วหล้า
ก่อนหน้านี้ ‘เทพมารอหังการ’ ยังไม่ได้รับความนิยมมากนัก แต่พอใส่ฉากงานชุมนุมเซียนเข้ามา จำนวนรีวิว ยอดคอมเมนต์ ยอดกดฟอลโลว์ ยอดกดให้ทิปก็พุ่งกระฉูดเลยทีเดียว
สาเหตุที่ดังขึ้นมาไม่เพียงเพราะไอ้คุณเซี่ยงเทียนต่าเฟยจีละทิ้งศีลธรรมจรรยาของมันซึ่งเดิมก็ไม่ค่อยจะมีเท่าไรอยู่แล้วจนหมดสิ้น บรรยายถึงพระเอกผู้เก่งกาจที่มีสาวงามมากหน้าหลายตาดาหน้าเข้าหา ฉากเลิฟซีนที่ทำให้หน้าแดงใจเต้นจนเกือบโดนแบบอีกหลายฉาก และยังมีอีกสาเหตุสำคัญที่ทำให้เสิ่นชิงชิวติดนิยายเรื่องนี้อย่างงอมแงม
นั่นก็คือระบบปีศาจ!
ในฐานะที่เซี่ยงเทียนต่าเฟยจีเป็นนักเขียนที่ไม่เคยแม้แต่จะทำการบ้านหาข้อมูลเกี่ยวกับการฝึกวิชาเซียน สับสนปนเประหว่างคำว่าจู้จีกับหยวนอิงก็บ่อย แต่กลับถูกคนเอาประเด็นนี้มาด่าน้อยมาก เพราะนั่นไม่ใช่จุดขายของนิยายเขา
‘เทพมารอหังการ’ เทียบกับนิยายแนวผู้ฝึกวิชาเซียนเรื่องอื่นๆแล้ว สู้เรียกว่าเป็นนิยาย ‘แนวปราบปีศาจ’ ไปเลยจะดีกว่า สัดส่วนของการ ‘ปราบ’ นั้นบดขยี้สัดส่วนของ ‘การฝึกวิชาเซียน’ จนแทบไม่เหลือ ถ้าบอกว่าเป็นนิยายแนนผู้ฝึกวิชาเซียน มันก็คือนิยายกากๆเรื่องหนึ่ง แต่ถ้าบอกว่าเป็นคู่มือปราบปีศาจที่มีภาพประกอบกลับจะน่าสนใจกว่ามาก
พูดอีกนัยหนึ่งคือ ในไม่ช้าเสิ่นชิงชิวกำลังจะได้เจอกับภูตผีปีศาจโหดเหี้ยมอำมหิตสารพัดรูปแบบสารพัดชนิดที่บรรยายไว้ในนิยายแล้ว
และที่สำคัญกว่าคือ อีกไม่นานก็จะถึงเวลาที่เขาต้องผลักลั่วปิงเหอซึ่งถูกเปิดเผยตัวตนอันแท้จริงว่าเป็นทายาทของเผ่ามารตกลงไปในห้วงอเวจีด้วยมือของตัวเองโยไม่ปรานี
กงล้อแห่งโชคชะตา(ความดราม่า) กำลังจะเริ่มแล้ว…
เสิ่นชิงชิวเงียบอยู่นาน จึงค่อยโยนเทียบเชิญใส่หมิงฟาน บอกให้เขาเอาไปเก็บ
ลั่วปิงเหอได้รับการสั่งสอนจากมารฝันทุกวัน ทำให้ก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็วราวกับติดปีก สามารถดูแลรับผิดชอบงานด้วยตัวเองได้แล้ว เสิ่นชิงชิวปลื้มจนยกงานจุกจิกประจำวันภายในสำนักชางฉยงซานให้เขาไปจัดการเสียเลย พอเขาโตขึ้นมาอีกนิด ภารกิจอย่างลงเขาปราบมาร บำบัดทุกข์บำรุงสุขปวงประชาอะไรเหล่านั้นก็โยนให้เขาเช่นกัน ทั้งนี้ก็เพื่อไม่ให้เขามาคอยป้วนเปี้ยนอยู่ข้างตัวทุกวันนั่นเอง
แม้เขาจะคอยปรนนิบัติรับใช้เสิ่นชิงชิวให้สุขสบาย แต่ไม่รู้ว่าเด็กคนนี้โตมาผิดที่ผิดทางหรืออย่างไร ถึงได้เกาะตนติดหนึบเป็นตังเมเกินไปหน่อย
เสิ่นชิงชิวเคยลองถามตัวเองอยู่บ่อยๆ หรือจะเป็นเพราะตนเอ็นดูเขามากไปสมควรต้องทำให้ตัวเองดูแย่ลงเสียหน่อยแล้ว เพื่อยืนยันกับระบบว่าเขาเป็นฝ่ายตัวโกงนะ ไม่อย่างนั้น ขืนยังเป็นเช่นนี้ต่อไป พอถึงเวลา ตนคงทำใจฟาดลั่วปิงเหอให้ตกลงไปในห้วงอเวจีไม่ได้แน่
กระนั้นพูดก็ส่วนพูด หลังจากถามตัวเองเสร็จ พอเจอหน้าลั่วปิงเหอทีไร เห็นหน้าซื่อๆไม่มีพิษมีภัย เห็นร่างที่อดทนหนักเอาเบาสู้ เสิ่นชิงชิวก็มักชมเขาไปก่อนแล้วตามความเคยชิน
“คัดลอกคัมภีร์เสร็จแล้ว” / “ช่วยเหลือคนกลับมาแล้ว” / “หาของเจอแล้ว” / “ทำกับข้าวเสร็จแล้วหรือ” / “อืม ทำได้ไม่เลวเลย”
ชมเสร็จก็ลืมความตั้งใจเดิมของตนไปหมดสิ้นว่าจะทำอะไร…
หมิงฟานเก็บเทียบเชิญไปแล้ว ลอบสังเกตเห็นสีหน้าของซือจุนดูไม่ค่อยดีนัก นึกขึ้นได้ว่าหลังจากเจ้าเด็กหน้าเหม็นลั่วปิงเหอผู้นั้นลงเขาไป ซือจุนก็บ่นรังเกียจอาหารของห้องครัว หลายวันมานี้กินอะไรก็ไม่อร่อย จึงถามขึ้นว่า “ซือจุนขอรับ อยากให้ศิษย์ไปเตรียมโจ๊กให้หรือไม่”
เสิ่นชิงชิวไม่นึกอยากอาหารจึงโบกมือ “ไม่ต้อง เจ้าไปเถอะ”
หมิงฟานไม่กล้าพูดมากจากไปแต่โดยดี เขาน้ำตาตกอยู่ในใจ สองสามปีมานี่เจ้าเด็กน้อยลั่วปิงเหอกลายเป็นแก้วตาดวงใจของซือจุนไปเรียบร้อยแล้ว ส่วนข้ากลับไม่มีปัญญาทำให้ซือจุนกินโจ๊กได้สักคำ
แต่เขาไม่เคยนึกสงสัยเลยสักนิดว่าปัญหาที่แท้จริงมันน่าจะอยู่ที่ฝีมือการทำอาหารไหม
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าใด มีเสียงฝีเท้าดังเข้ามาใกล้อีกครั้ง
เสิ่นชิงชิวกล่าวว่า “มิใช่บอกว่าไม่ต้องแล้วหรอกหรือ”
“ศิษย์รอนแรมเป็นพันลี้เร่งเดินทางกลับมาจากต่างแดน ซือจุนยังไม่ทันแม้แต่จะมองหน้าด้วยซ้ำก็ปฏิเสธไม่ยอมให้พบแล้วหรือขอรับ”
เสียงนี้สดใสนุ่มนวล ในน้ำเสียงหยอกล้อยังแฝงความน้อยอกน้อยใจไว้นิดๆ
พอเสิ่นชิงชิวได้ฟังก็เกือบพลัดตกจากเก้าอี้ร่วงลงมาที่พื้น เขาหันขวับ หนุ่มน้อยวัยสิบเจ็บตัวสูงตรงเป็นสง่า สวมชุดขาวทั้งตัว มุมปากยกโค้งขึ้นยิ้มน้อยๆ มองเขาด้วยดวงตาเป็นประกาย
กระบี่ยาวที่ลั่วปิงเหอสะพายอยู่บนหลังคือกระบี่เจิ้นหยาง(แสงตะวันยามเที่ยง) ที่เขาดึงได้จากวั่นเจี้ยนเฟิง ชื่อของกระบี่ช่างสมกับบุคลิกของลั่วปิงเหอในเวลานี้อย่างมาก ตัวกระบี่เรืองแสงเจิดจ้า แต่ถึงแม้จะเป็นกระบี่ชั้นยอด และตอนที่มันถูกลั่วปิงเหอชักออกมาจากผนังศิลาจะทำให้เหล่าศิษย์ร่วมสำนักทุกคนพร้อมใจกันโห่ร้องชมเชยเป็นเสียงเดียว ทว่าหากเปรียบกับกระบี่เล่มนั้นซึ่งเป็นกระบี่ที่แท้จริงของลั่วปิงเหอ กลับห่างคนละชั้น
เสิ่นชิงชิวตั้งสติ “คราวนี้ทำไมกลับมาเร็วขนาดนี้เล่า”
ลั่วปิงเหอนั่งลงข้างกายเขา รินน้ำชาลงถ้วยอย่างตั้งใจ แล้วผลักไปที่ข้างมือของเสิ่นชิงชิว “ภัยพิบัติหนนี้มิใช่เรื่องตึงมืออะไร อีกทั้งคิดถึงอยากเจอหน้าซือจุนเร็วๆ จึงเร่งเดินทางกลับมาโดยไม่หยุดพักเลยขอรับ”
คำพูดนี้ฟังกะล่อนอยู่บ้าง แต่ในฐานะที่ลั่วปิงเหอเป็นพระเอก แน่นอนว่าย่อมมีสกิลในการกล่าวคำพูดกะล่อนให้ฟังแล้วรู้สึกอบอุ่นจริงใจที่สุดอยู่แล้ว สำหรับเรื่องนี้ เสิ่นชิงชิว…พอใจมาก
เสิ่นชิงชิวยกถ้วยชาขึ้นจิบ นี่คือยอดชาหอมเสวี่ยซานที่เขาตอดเอามาจากยอดฉยงติ่งเฟิง เสียดายที่เขาดื่มแล้วแยกแยะรสชาติไม่ออกอยู่ดี เขากล่าวต่อ “งานชุมนุมเซียนกำลังจะเริ่มแล้ว”
ลั่วปิงเหอรู้เรื่องนี้มาก่อน จึงถามว่า “ต้องการให้ศิษย์ร่างรายชื่อของศิษย์ชิงจิ้งเฟิงที่จะเข้าร่วมงานมาให้ซือจุนผ่านตาก่อนหรือไม่ขอรับ”
หลายปีมานี้เรื่องจิปาถะไม่ว่าเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ เสิ่นชิงชิวล้วนโยนให้ลั่วปิงเหอรับไปจัดการทั้งหมด ในเมื่อลั่วปิงเหอเวลานี้ฉลาดเฉลียวอยู่ในโอวาทและใช้สอยง่าย ทำงานก็ทำด้วยความตั้งอกตั้งใจละเอียดรอบคอบ เขาเลยนึกหาเหตุผลไม่ออกว่าทำไมจะต้องฝืนไปทำเอง และก่อนหน้าที่จะตัดสินใจขั้นสุดท้าย ถึงอย่างไรลั่วปิงเหอก็ต้องเอามาให้เขาผ่านตารอบหนึ่งก่อนอยู่แล้ว เพื่อดูว่ามีตรงไหนต้องแก้ไขหรือไม่
เสิ่นชิงชิวมักแอบคิดอยู่ตลอดว่าความจริงแล้วนายไม่ต้องเอามาให้ฉันตรวจเลยยังได้ จริงๆนะ เพราะความสามารถในการจัดการของนายดีกว่าฉันเยอะเลย!
เสิ่นชิงชิวกล่าว “พอร่างรายชื่อเสร็จก็เอาไปให้ศิษย์พี่เจ้าสำนักดูได้เลย”
ลั่วปิงเหอพยักหน้า ยังคำทำท่าเหมือนอยากพูดต่อ แต่แล้วกลับรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างแปลกไป
วันนี้เสิ่นชิงชิวดูจะใส่ใจตนเป็นพิเศษ เขายิ้มอย่างอดไม่ได้ “ซือจุนทำไมจ้องหน้าข้าตลอดเลยเล่าขอรับ หรือว่าที่ศิษย์ลงเขาไปหลายวันคราวนี้ ซือจุนก็คิดถึงศิษย์เหมือนกัน”
เสิ่นชิงชิวกล่าวว่า “ข้าเลี้ยงเจ้ามา จะดูหน้าเจ้าไม่ได้หรือ”
ลั่วปิงเหอหัวเราะดีใจ “ได้อยู่แล้วซิขอรับ ซือจุนมองแล้วสบายตาไหมขอรับ”
เสิ่นชิงชิวโคลงศีรษะพลางยิ้ม นึกหาถ้อยคำเหมาะมากล่าว “ปิงเหอ”
ลั่วปิงเหอรู้สึกได้เช่นกันว่าเสิ่นชิงชิวเหมือนมีเรื่องสำคัญจะพูดกับเขาจึงปรับสีหน้าให้เรียบร้อยโดยพลัน “ขอรับ”
เสิ่นชิงชิวมองตาเขา “เจ้าอยากแข็งแกร่งใช่หรือไม่ แข็งแกร่งอย่างไม่มีใดเปรียบ แข็งแกร่งถึงขั้นใต้หล้าไม่มีผู้ใดกล้าต่อกรกับเจ้า”
คำถามนี้ลั่วปิงเหอมีคำตอบอยู่ในใจก่อนหน้านี้นานแล้ว
เขานั่งตัวตรง ตอบทันทีอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อยว่า “ขอรับ”
เห็นเขาตอบอย่างแน่วแน่เช่นนี้ เสิ่นชิงชิวก็แอบโล่งใจ ถามต่อว่า “ก่อนจะถึงตอนนั้น หากว่าเจ้าต้องทุกข์ทนสาหัส เผชิญกับความยากลำบากนับไม่ถ้วน กายใจจวนเจียนแหลกสลาย เจ้ายังอยากเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดอยู่หรือไม่”
ลั่วปิงเหอกล่าวช้าๆ “ทุกข์ยากลำบากเพียงใดปิงเหอหากลัวไม่ ขอเพียงสามารถแข็งแกร่งขนาดปกป้องคนและสิ่งที่สำคัญได้เป็นพอ”
เสิ่นชิงชิวได้ฟังคำตอบนี้ ในใจก็สงบลงได้บ้างในที่สุด
ใช่แล้ว ลั่วปิงเหอเอ๊ย เพื่อปกป้องสาวงามราวกับหยกสามพันคนในฮาเร็มที่เจ้าจะได้ซ้ายโอบขวาประคองในวันหน้า เจ้าต้องแข็งแกร่งขึ้นมาถึงจะใช้ได้!
แม้ในใจยังคงไม่ยินยอม แต่เมื่อนึกถึงว่าในฐานะพระเอก ลั่วปิงเหอต้องเผชิญกับขั้นตอนการฉีกรังไหม เพื่อให้กลายเป็นผีเสื้ออยู่ดี เสิ่นชิงชิวเลยปรับเปลี่ยนความคิดตัวเองแทน
ถึงเขาจะล้างสมองตัวเองจนเชี่ยวแล้ว แต่ไม่ว่าจะล้างมากี่ครั้งก็ยังทำใจให้สดชื่นไม่ค่อยได้อยู่ดี
สามวันต่อมา รายชื่อศิษย์ทั้งสิบสองยอดเขาของชางฉยงซานที่จะเข้าร่วมงานชุมนุมจัดทำเสร็จเรียบร้อย จากนั้นก็เตรียมตบเท้ากันไปเข้าร่วมงาน
สถานที่ที่ใช้จัดงานชุมนุมเซียนครั้งนี้ ชัยภูมิค่อนข้างสลับซับซ้อน อยู่ในเทือกเขาที่ทอดตัวยาวเหยียด ภูมิประเทศสูงๆต่ำๆ มีชื่อว่า ‘หุบเขาทางตัน’
ผู้มีชื่อเสียงแล้วช่อมรักษาสถานะตัวเองด้วยการไม่ไปแข่งขันชิงความเป็นหนึ่งกับบรรดาผู้เยาว์รุ่นหลังในงานชุมนุมเซียน เพราะไม่มีความจำเป็น ทั้งยังไม่คู่ควรจะเปลืองตัวด้วย ดังนั้นเจ้ายอดเขาทั้งสิบสองคนรวมทั้งอาจารย์ลุงอาจารย์อาทุกท่านจึงไม่ลงชื่อเข้าแข่งขัน
ด้วยเพราะชางฉยงซานได้โควตาในการส่งศิษย์เข้าร่วมชิงชัยค่อนข้างมาก แน่นอนว่าส่งคนเข้าร่วมยิ่งเยอะยิ่งดี หลังจากเตรียมตัวครบครัน ในที่สุดขบวนที่จะเดินทางไปยังหุบเขาทางตันก็โอ่อ่าอลังการด้วยจำนวนผู้คนรวมแล้วร้อยกว่า
จำนวนคนมากขนาดนี้ หากท่องกระบี่เหินเวหาจะเด่นสะดุดตารบกวนผู้คนมากเกินไป ดังนั้นพวกเขาจึงเดินทางด้วยรถม้า
นิยายแนวผู้ฝึกวิชาเซียน แต่ดันนั่งรถม้ากันตลอด! นี่เป็นไอเดียของเซี่ยงเทียนต่าเฟยจีที่เสิ่นชิงชิวไม่เคยสามารถทำความเข้าใจได้มาแต่ไหนแต่ไร เพราะด่ามาตลอดสามปีจนไม่มีอะไรจะด่า งวดนี้เขาเลยตายด้านไปแล้ว
คนส่วนใหญ่เลือกขี่ม้า ช่างดูสง่างามและน่าเกรงขาม แต่เสิ่นชิงชิวนั้น 1.เพราะขี่ม้าไม่เก่ง ไม่อยากร่วงลงมาคอหักตาย 2.ไม่ชอบที่สายลมแสงแดด สายฝนกลางแจ้งทำให้เขารู้สึกสบายตัวไม่พอ สง่างามไม่พอ เลยเข้าไปนั่งในรถม้าท่ามกลางสายตาจ้องมองของทุกคน
ที่นั่งด้านในรถม้านั้นมีผู้เข้าไปนั่งอยู่ก่อนแล้ว พอเห็นเขาเอาพัดด้ามจิ้วเลิกม่านรถเข้ามา ผู้ที่อยู่ในรถก็กล่าวเหยียดหยามทันที “ผู้ชายตัวโตๆคนหนึ่งจะมาแย่งชิงที่นั่งกับข้าหรือ”
หญิงสาวผู้นี้คิ้วตางามหมดจด มวยผมเป็นทรงเมฆเหิน เอวอ้อนแอ้น อกอวบอิ่ม นางคือฉีชิงชีเจ้ายอดเขาเซียนซูเฟิงนั่นเอง
ฉีชิงชีกับเสิ่นชิงชิวในนิยายดั้งเดิมไม่สนิทกัน ทั้งไม่ค่อยติดต่อคบหาอะไรกันเท่าไรนัก แต่สองสามปีมานี้ เสิ่นชิงชิวต้องร่วมงานกับนางเป็นครั้งคราว ทำให้รู้ว่านางเป็นคนเปิดเผยตรงไปตรงมา ปากร้าย คิดอย่างไรก็พูดอย่างนั้น เลยคบหากันมาได้ไม่เลยทีเดียว
เสิ่นชิงชิวใช้พัดด้ามจิ้วโบกเป็นนัยให้นางขยับที่ให้ พลางกล่าวหน้าตาเฉย “ข้าเป็นคนป่วย”
ฉีชิงชีขยับที่ให้เขานั่งแต่โดยดี ปากยังคงกัดไม่ปล่อย “สำออยเหลือเกิน! เรี่ยวแรงเป็นเด็กน้อยอ้อนแอ้นแบบนี้ ไหนเลยจะคล้ายผู้ฝึกวิชาเซียนระดับจินตาน คงไม่ใช่ว่าอีกประเดี๋ยวจะมีคนมาปรนนิบัติเจ้ากินของว่างหรอกนะ”
เสิ่นชิงชิวพลันนึกขึ้นได้ “จริงด้วย ขอบใจศิษย์น้องหญิงที่ช่วยเตือน” ว่าแล้วก็เอาด้ามพัดเคาะที่ผนังรถม้า
ครู่ต่อมาม่านรถถูกคนเลิกขึ้น ลั่วปิงเหอถามยิ้มๆ “ซือจุน ของว่าง น้ำ หรือว่าปวดเอวขอรับ”
ม้าขาวปลอดทั้งตัวสะบัดแผงคออย่างคึกคักกระปรี้กระเปร่า หนุ่มน้อยรูปงามโดดเด่นเกินใคร ภายใต้แสงตะวันสาดส่อง ช่างดูเจิดจ้าจับนัยน์ตาอย่างมาก
เสิ่นชิงชิวบอกว่า “อาจารย์อาฉีของเจ้าอยากกินของว่างแน่ะ”
ลั่วปิงเหอล้วงของว่างที่ห่ออย่างประณีตออกมาจากอกเสื้อยื่นส่งให้ทันที เห็นชัดว่าเตรียมเอาไว้พร้อม
เขากล่าวต่อ “ซือจุนมีคำสั่งใดอีก ก็เรียกข้านะขอรับ” จากนั้นจึงค่อยเอาม่านลง
หลิ่วชิงเกอกระตุ้นม้าเดินผ่านไป แค่นเสียงดังเฮอะทีหนึ่ง
เสิ่นชิงชิวกล่าวว่า “นั่นย่อมแน่นอน” เขาก้มหน้าแก้ห่อกระดาษออก “ขนมหนวดมังกร* ไม่เลว” จากนั้นหันไปยื่นขนมให้ฉีชิงชี “กินไหม”
(ขนมหนวดมังกร หรือที่คนไทยเรียก ขนมไหมฟ้า ทำจากแป้ง น้ำผึ้งและถั่วหลายชนิด)
ความรู้สึกของฉีชิงชีในเวลานี้ยากจะบรรยายออกมาเป็นคำพูดอย่างที่สุด
นางคิดว่าหลักๆน่าจะนึกเคียงนั่นแหละ ที่ศิษย์ทั้งละเอียดรอบคอบและพลังทิพย์สูงส่งเช่นนี้กลับเป็นศิษย์ของเสิ่นชิงชิวไปเสียได้
แต่ความจริงแล้วไม่ใช่เลย นางไม่รู้หรอกว่า มีคำที่บรรยายความรู้สึกได้เป๊ะกว่านั้น นั่นคือ ‘แสลงตา’
ฉีชิงชีไม่มองเสิ่นชิงชิวที่หยิบขนมหนวดมังกรขึ้นมากิน ด้วยยังกระฟัดกระเฟียดไม่จบ “ขนาดหมิงเยียนยังขี่ม้าเลย”
ขอแค่ทำให้เสิ่นชิงชิวรู้สึกกระดากอายขึ้นมาบ้างก็ถือเป็นชัยชนะแล้ว
พอดีกับที่เสิ่นชิงชิวไม่มีอะไรจะทำ เลยมองออกไปข้างนอก จริงด้วยหลิ่วหมิงเยียนมีผ้าโปร่งคลุมหน้า สะพายกระบี่ ‘สุ่ยเส้อ’ (สีน้ำ) นั่งตัวตรงเป็นสง่าบนหลังม้า สายลมโชยอ่อนพัดเสื้อผ้าเนื้อเบาพลิ้วให้กระพือน้อยๆ ดูราวกับเทพธิดาที่กำลังลอยละล่อง
ภาพนี้ช่างงามจับตาจับใจ เสิ่นชิงชิวอดมองซ้ำไม่ได้ กล่าวพลางถอนใจ “งามตรึงตาตรึงใจโดยแท้”
ฉีชิงชีแหวใส่หน้าเขา “ห้ามจ้องศิษย์รักข้าตาเป็นมันแบบนั้นนะ”
บทสนทนานี้ไปเข้าหูลิ่วปิงเหอที่อยู่ใกล้พอดี เขาหน้างอขึ้นมาเดี๋ยวนั้น แต่เสิ่นชิงชิวไม่ได้สังเกตสีหน้าเขา ตั้งหน้าตั้งตากินขนมพลางมองมาทางนี้พลาง เขาทำท่าราวกับกำลังอยู่ในโรงหนัง กินป็อปคอร์น ดื่มโคล่า รอว่าเมื่อไหร่หนังตัวอย่างจะฉายจบ แล้วหนังจริงจะได้เริ่มเสียทีอย่างไรอย่างนั้น
นั่นคือหลิ่วหมิงเยียนเชียวนะ! นางเอกกับพระเอกเข้าฉากด้วยกันแล้ว พอเฉียดใกล้กันมันก็ต้องมีสปาร์กกันบ้างแหละ
ลั่วปิงเหอเห็นซือจุนมัวแต่มองหลิ่วหมิงเยียนไม่วางตา มือก็กุมบังเหียนแน่นเข้าจนเห็นข้อกระดูกปูดโปน
งามตรึงตาตรึงใจหรือ
หน้ายังเห็นไม่ชัดด้วยซ้ำ ต่อให้งามแค่ไหนยังจะงามสู้ข้าได้รึ
ลั่วปิงเหอไม่ได้หลงตัวเองเลยจริงๆ แต่เขาตระหนักดีว่าหน้าตาตัวเองเป็นอย่างไร ไม่เคยนึกโอ่อวดลำพอง ทว่าก็ไม่เคยเหยียบตัวเอง เพื่อถ่อมตนอย่างเสแสร้งเช่นกัน
ผ่านไปครึ่งค่อนวันก็ไม่เห็นเสิ่นชิงชิวมีทีท่าจะละสายตาเสียที ลั่วปิงเหออดรนทนไม่ไหวอีกต่อไป เขาตวัดแส้กระตุ้นเบาๆ ม้าขาวก็เร่งฝีเท้าไปข้างหน้าจนตีคู่กับม้าของหลิ่วหมิงเยียน
ลั่วปิงเหอยิ้มบางๆกล่าวทักทายว่า “ศิษย์น้องหลิ่ว”
หลิ่วหมิงเยียนตกตะลึงผินหน้ามาเล็กน้อยกล่าวตอบอย่างมีมารยาท “ศิษย์พี่ลั่ว”
โอ้วๆๆๆๆๆ เอาแล้ว เอาแล้ว!
ชีวิตนี้ในที่สุดก็มีวันที่ได้เห็นฉากพระเอกนางเอกในนิยายขี่ม้าคลอคู่กันไปด้วยตาตัวเอง เสิ่นชิงชิวแอบตื่นเต้น ยื่นหน้าออกไปอย่างอดไม่อยู่
ลั่วปิงเหอมองด้วยหางตา เห็นว่าเสิ่นชิงชิวไม่เพียงไม่ยอมละสายตา กลับยิ่งมองมาทางนี้อย่างจริงจังขึ้นไปอีก ขีดดำเรียงแถวขึ้นเต็มหน้าผาก จุกแน่นในอกขึ้นมาถึงคอหอย ทางหนึ่งหัวร่อต่อกระซิกกับหลิ่วหมิงเยียน ทางหนึ่งแอบเร่งม้าของพวกเขาทั้งสองให้เร็วขึ้นอย่างแนบเนียน ในที่สุดก็ออกมาห่างขนาดที่ว่าหากเสิ่นชิงชิวไม่ชะโงกออกมาจากรถม้าเกือบหมดตัวก็ไม่มีทางมองเห็นเด็ดขาด
เสิ่นชิงชิวได้แต่เก็บสายตากลับไปอย่างผิดหวัง
ลืมไปได้อย่างไร ตอนพระนางเขาจู๋จี๋กัน เคยมีก้างขวางคอหรือผู้คนมามุงดูให้เกะกะเสียที่ไหนเล่า แต่เจ้าเด็กน้อยโตแล้วจริงๆ จะจีบกันก็รู้จักหลบรู้จักเลี่ยงไม่ให้ผู้ใหญ่เห็น หรือในที่สุดก็เข้าสู่วัยต่อต้านแล้ว
………………………………………..
ณ หุบเขาทางตัน
หุบเขาทางตันกินเนื้อที่ครอบคลุมเทือกเขาที่ยาวติดต่อกันเจ็ดลูก แลดูเขียวครื้มเป็นทิว ในนั้นมีทั้งคลื่นน้ำวน น้ำตก หินประหลาด เหวลึก เขาสูง ภูมิประเทศสลับซับซ้อน ภูมิประเทศที่นี่เมื่อเข้าไปแล้วจะให้ความรู้สึกว่า ‘ถูกต้อนให้จนมุม’ สมกับชื่อของมัน แต่วนไปวนมาสักครู่ก็จะเห็นทางออกอย่างปุปปับซึ่งทำให้รู้สึกว่าสวรรค์ไม่ตัดสิ้นหนทางคน หากมองด้วยสายตาของเสิ่นชิงชิวแล้ว นับว่าเหมาะสมสำหรับการรวมกลุ่มผจญภัยหรือเอาไว้ปลูกบ้านอยู่เสียจริง
บรรดาน้องใหม่ที่เข้าร่วมการแข่งขันถูกจัดให้ยืนเข้าแถวเป็นหมวดหมู่อย่างมีระเบียบ ล้อมแท่นหินธรรมชาติขนาดใหญ่หน้าทางเข้าหุบเขาเอาไว้
กำลังสำคัญที่เข้าร่วมงานคือสี่สำนักใหญ่ โดยมีชางฉยงซานเป็นผู้นำ ตามมาติดๆด้วยวัดเจาหัว(งามอร่าม) อารามเทียนอี(เป็นหนึ่งเดียวกับสวรรค์) แล้วก็วังฮ่วนฮวา(วังบุปผามายา)
ในสี่สำนักนี้ ชางฉยงซานความสามารถหลากหลายมากที่สุด ในบรรดายอดเขาทั้งสิบสอง แต่ละยอดเขาต่างโดดเด่นไปคนละแขนง สามารถเอามาใช้ได้หลายทาง ส่วนวัดกับอารามนั้นย่อมจะเป็นฐานที่มั่นของบรรดาหลวงจีนและนักพรต ขณะที่วังฮ่วนฮวาค่อนข้างซับซ้อนหน่อย สำนักนี้สอนแนวคิดหลากหลาย เชี่ยวชาญวิชาค่ายกลพิสดาร ติดต่อคบหากับคนธรรดาทั่วไปค่อนข้างมาก วิชาคาถาของพวกเขาอยู่ระดับใดไม่กระจ่างชัด แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งไม่เคยเป็นที่กังขา ก็คือสำนักนี้ได้ชื่อว่าร่ำรวยมากที่สุด งานชุมนุมใหญ่แต่ละครั้งสำนักนี้ออกเงินให้มากที่สุดเช่นกัน
นอกจากนี้ยังมีสำนักขนาดกลางและเล็กอีกนับไม่ถ้วนเข้าร่วมงาน ดังนั้นจำนวนผู้คนที่มารวมตัวกันที่หุบเขาทางตัน เพื่อเข้าร่วมชิงชัยจึงมากกว่าพันคน
ปากทางเข้าหุบเขาที่ก่อนหน้านี้มีแต่ความเงียบสงบ จู่ๆมีผู้คนนับพันหลั่งไหลเข้ามา สัตว์ป่าที่ไม่เคยเห็นคนพากันแตกตื่น ถือเป็นความคึกคักในหลายรูปแบบ
ทางเข้าหุบเขาทั้งสี่ด้านได้สร้างแท่นสูงเอาไว้แล้ว เพื่อให้เหล่าซิวซื่อ* ที่ไม่ได้เข้าร่วมการแข่งขันใช้เป็นอัฒจันทร์สำหรับชม ธงหลากสีอันเป็นสัญลักษณ์ของแต่ละสำนักโบกสะบัดท้าแรงลมอยู่บนแท่น ส่วนตำแหน่งสูงสุดบนอัฒจันทร์จัดไว้สำหรับผู้นำระดับสูงของแต่ละสำนัก กลุ่มคนของชางฉยงซานที่มีเยวี่ยชิงหยวนเป็นผู้นำล้วนนั่งอยู่บนที่สูง
(ซิวซื่อ คือ คำเรียกชาวยุทธ์ผู้ฝึกวิชาเซียน แปลตามตัวอักษรได้ว่า นักรบผู้ฝึกตน)
หลังจากเสิ่นชิงชิวนั่งลง ผู้เฒ่าผมขาวโพลน กิริยาท่าทางสง่างามที่นั่งติดกับเขากล่าวทักทายคนของชางฉยงซานทุกคนไม่มีเว้น รวมทั้งหันมาผงกศีรษะให้เขา “เสิ่นเซียนซือ”
นี่คือกงจู่* เฒ่า หรือประมุขของวังฮ่วนฮวา หรืออีกนัยหนึ่งคืออาจารย์ของแม้แท้ๆลั่วปิงเหอนั่นเอง เสิ่นชิงชิวคารวะตอบด้วยท่าทางของคนที่มามุงดูเชื้อพระวงศ์ผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่
(กงจู่ แปลว่า เจ้าของวัง)
ไม่นาน ศิษย์ของวังฮ่วนฮวาผู้หนึ่งก็ขึ้นไปบนแท่นศิลา เมื่อจ่ายเงินมากที่สุดจะให้ผู้สนับสนุนหลักเป็นผู้เลือกคนมาเป็นพิธีกรดำเนินรายการก็ไม่มีตรงไหนไม่เหมาะสม ผู้คนที่อยู่ใต้แท่นนับพันค่อยๆพากันเงียบเสียงตั้งใจฟังเขาประกาศเรื่องต่างๆเกี่ยวกับงานชุมนุม
คนผู้นี้พื้นฐานกำลังภายในสูง ลมหายใจหนักแน่นเปี่ยมพลัง คนที่อยู่บริเวณปากทางเข้าหุบเขารวมทั้งผู้ที่อยู่บนอัฒจันทร์สูงสามารถได้ยินเสียงเขาอย่างครบถ้วนชัดเจน
“งามชุมนุมใช้เวลาเจ็ดวัน หลังจากที่ทุกท่านเข้าหุบเขาไปแล้ว จะร่ายเขตอาคมขนาดใหญ่ขึ้นครอบคลุมพื้นที่หุบเขาทางตันทั้งหมดภายในเจ็ดวัน ผู้เขาร่วมงานชุมนุมทุกคนที่อยู่ในหุบเขาจะถูกตัดขาด ไม่สามารถติดต่อกับผู้ที่อยู่นอกเขตอาคม ไม่อาจรับรู้สถานการณ์ภายนอก แต่ผู้ชมล้วนสามารถรับรู้สถานการณ์ภายในหุบเขาได้โดยผ่านเหยี่ยวภูตที่จะคอยบินอยู่เหนือน่านฟ้าของหุบเขา ปีศาจกว่าร้อยชนิดได้ถูกนำไปปล่อยไว้ในหุบเขาแล้ว รวมทั้งสิ้นเกือบห้าพันตน จับได้หนึ่งตน จะได้ลูกประคำหนึ่งเม็ดที่อยู่บนตัวพวกมัน ปีศาจแต่ละตนมีระดับชั้นต่างกัน ปราณทิพย์ที่อยู่ในลูกประคำก็แตกต่างกันทุกท่านล้วนสวมสร้อยทองที่ข้อมือกันแล้วใช่หรือไม่”
ผู้ที่อยู่ด้านล่างของแท่นสูงชูมือขึ้นโดยพร้อมเพรียงกัน แสดงสร้อยทองที่อยู่บนข้อมืด ดูเป็นภาพที่อลังการทีเดียว
พิธีกรกล่าวต่อ “หลังจากได้ลูกประคำมา ให้เอามาร้อยเข้าที่สร้อยทอง ผลงานของทุกท่านจะปรากฏบนป้ายจัดลำดับที่อยู่ตรงนี้ทันที”
ตารางจัดลำดับถูกแขวนอยู่ตรงหน้าแท่นสูง ถึงแม้มีมากถึงแปดแผ่น แต่สายตาของผู้คนทั้งหมดทั้งมวลย่อมจับที่รายชื่อร้อยลำดับแรกบนป้ายประกาศรายชื่อทองคำแผ่นที่หนึ่ง หรือไม่ก็แค่สิบคนแรกอยู่แล้ว ดังดำที่ว่า บุ๋นไม่มีที่หนึ่ง บู๊ไม่มีที่สอง* ก็เพราะเหตุนี้
(บุ๊นไม่มีที่หนึ่ง บู๊ไม่มีที่สอง อุปมาว่า การประลองยุทธ์นั้น ตัดสินแพ้ชนะกันได้เห็นชัดง่าย ขณะที่ประลองบุ๋นวัดว่าใครเก่งกว่ากันยาก)
สุดท้ายคนของวังฮ่วนฮวาได้กล่าวย้ำด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “ห้ามไม่ให้มีการต่อสู้แย่งชิงลูกประคำระหว่างสำนัก! หากพบว่ามีการลอบทำร้ายใช้วิธีต่ำทรามแย่งชิงลูกประคำของผู้อื่น จะเพิกถอนสิทธิ์ในการเข้าร่วมงานชุมนุมของคนผู้นั้นทันที และจะถูกห้ามไม่ให้เข้าร่วมงานชุมนุมอีกเป็นเวลาสามสมัย”
สามสมัยก็เท่ากับสิบสองปี
ผู้เข้าร่วมชุมนุมหน้าใหม่ที่มีทั้งปลาและมังกรปะปนกันเหล่านี้ มีมากที่อายุยังเยาว์ ไม่เคยผจญโลกภายนอก แต่ก็มีไม่น้อยที่เป็นพวกรอบจัด เล่นแง่ตีเนียนล้มลุกคลุกคลานมาแล้วหลายปี หากไม่มีการตั้งกฎห้ามต่อสู่ งานชุมนุมคงเละเทะวุ่นวายไปหมด ถึงขั้นเอาชีวิตเลยทีเดียว กฎนี้จึงมีความจำเป็นมาก
เสิ่นชิงชิวว่างจัดจนคันไปถึงกระดูก ทำทีเหมือนมองลงไปข้างล่างอย่างตั้งอกตั้งใจ แต่ใจลอบไปถึงไหนต่อไหนแล้ว แต่แล้วก็ได้ยินเสียงหญิงสาวสองสามคนที่นั่งอยู่ข้างเจ้าสำนักท่านหนึ่งกระซิบกระซาบกัน
“นั่นเป็นศิษย์สำนักไหนกัน หล่อเหลาเอาการทีเดียว”
ชุดขาวนั่นเหมาะกับเขาจริงๆ หล่อไม่แพ้ศิษย์พี่กงอี๋เลย”
“แต่ศิษย์พี่กงอี๋ไม่เพียงหล่อเหลาเกินใคร พลังทิพย์ยังสูงส่งยิ่ง จะเอามาเปรียบได้อย่างไร”
“จุ๊ๆ เจ้านี่ได้ยินคนพูดถึงศิษย์พี่กงอี๋ว่าด้อยหน่อยเป็นไม่ได้เทียวนะ จะต้องรีบค้านหัวชนฝาทันที ยอมรับมาเถอะ!”
ยะ…ยอมรับอะไร เจ้าพูดอะไรของเจ้า แน่จริงพูดอีกทีซิ”
ตามมาด้วยอาการแง่งอนทุบตีกันให้วุ่นวาย แล้วหัวร่อต่อกระซิกกัน เสิ่นชิงชิวฟังแล้วรู้ทันทีว่าเป้าหมายของการซุบซิบนินทาของพวกนางนั้นคือลั่วปิงเหอที่อยู่ในชุดขาว ดูบริสุทธิ์สูงส่งท่ามกลางฝูงชนนั่นเอง
อันที่จริงไม่เพียงพวกนางเท่านั้นที่กำลังแอบซุบซิบ ในบรรดาศิษย์ที่อยู่ด้านล่างของแท่นอัฒจันทร์ สาวๆจำนวนไม่น้อยพากันลอบมองลั่วปิงเหอแล้วหน้าแดงแก้มเรื่อกันเป็นทิวแถว
ถึงพยายามกดเสียงให้เบาที่สุด ทว่าผู้ฝึกวิชาเซียนที่นั่งกันอยู่ตรงนั้นเป็นบุคคลระดับไหนแล้ว ประสาทสัมผัสล้วนเฉียบคมอย่างที่สุด ไหนเลยจะไม่ได้ยิน แต่สาวๆเหล่านี้อายุยังน้อยเลยไม่ทันระวังตัว ถูกคนได้ยินเรื่องที่กระซิบกระซาบกันจนหมด ยังดีที่พวกผู้อาวุโสแต่ละท่านล้วนเห็นแก่หน้า เจ้าสำนักผู้นั้นที่ทำเป็นเอามือป้องหน้าผากก้มหน้าพักผ่อน แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน และไม่หันไปมองด้วย
มีคนกระแอมขึ้นสองทีเพื่อทำลายบรรยากาศอันกระอักกระอ่วนนี้กล่าวยิ้มๆ “สหายพรตทุกท่าน คราวนี้พวกเราก็ลองมานับกัน เหมือนอย่างครั้งก่อนดูสักตั้ง งานชุมนุมเซียนคราวนี้จะมีหน้าใหม่คนไหนแจ้งเกิดหรือไม่”
เสิ่นชิงชิวตื่นตัวขึ้นมาทันที
คำว่า ‘ลองมานับ’ ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงคำนวณจริงจัง แต่เป็น…แทงเดิมพัน
พูดให้ชัดคือ วางเดิมพันลงบนตัวเด็กใหม่ที่เห็นว่าเข้าท่า
ผู้ฝึกวิชาเซียนก็ต้องมีสิ่งบันเทิงใจกันบ้าง อีกอย่างสิ่งเอามาเดิมพันก็ไม่ใช่เงินทองที่เป็นข้าวของรสนิยมต่ำพรรค์นั้น หากแต่เป็นของวิเศษเอย ศิลาทิพย์เอย ไปจนถึงจำนวนศิษย์ที่จะส่งไปอบรมกับสำนักของฝ่ายตรงข้าม ถึงไม่ได้เดิมพันกันด้วยของสำคัญอะไร แต่นับว่าเป็นกิจกรรมหนึ่งที่กลายเป็นประเพณีของงานชุมนุมเซียนไปเสียแล้ว
เจ้าสำนักใหญ่ๆ ที่สุภาพสำรวมอย่างเยวี่ยชิงหยวนแม้ถือตัว ไม่เล่นอะไรแบบนี้ แต่แน่นอนว่าต้องมีคนอื่นที่อยากร่วมสนุกด้วย ไม่นานนักบนอัฒจันทร์ก็มีการพนันขันต่ออย่างครึกครื้นหลายสิบกอง คนไม่น้อยวางเดิมพันข้างศิษย์ที่โดดเด่นของสำนักตัวเอง อย่างเช่นฉีชิงชีที่ใส่ชื่อหลิ่วหมิงเยียนว่าจะเป็นผู้ชนะ
เสิ่นชิงชิวเดิมพันว่าลั่วปิงเหอจะเป็นที่หนึ่งด้วยศิลาทิพย์ 5,000 ก้อนแบบไม่ต้องคิดเลย
เดิมพันหนักขนาดนี้เรียกเสียงฮือฮาขึ้นมาทันที แม้แต่เยวี่ยชิงหยวนยังละการสนทนากับเจ้าอาวาสแห่งวัดเจาหัวหันมามอง เสิ่นชิงชิวเห็นเขาทำท่าอ้ำอึ้งก็กล่าวว่า “ศิษย์พี่เจ้าสำนัก ข้าแค่แทงเล่นๆเพื่อกระตุ้นปิงเหอสักหน่อยเท่านั้น”
หลิ่วชิงเกอหัวเราะหยัน “แทงเล่น? ชิงจิ้งเฟิงของเจ้าขุดจนทะลุจะเจอศิลาทิพย์สักพันก้อนไหม”
เสิ่นชิงชิวอึ้ง ไม่มีจริงๆนั่นแหละ!
เดิมพันกันที่นี่แค่เขียนอักษรสองสามตัวก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย แล้วค่อยจ่ายทีหลัง ไม่ต้องแสดงหลักทรัพย์ ทุกคนล้วนเป็นผู้มีหน้ามีตา ไม่ต้องกลัวหนีหนี้ เขามั่นใจอยู่แล้วว่าไม่มีทางเสียแน่นอนจึงกล้าวางเดิมพันไว้สูง ถึงอย่างไรก็ไม่มีใครรู้อยู่แล้วว่าเขามีทรัพย์สมบัติเท่าไรกันแน่
เยวี่ยชิงหยวนคงกลัวว่าจะเป็นที่ขายหน้าแก่คนนอกจึงรับเข้ามาไกล่เกลี่ย “เอาน่า เบาๆหน่อย ต้องมีอยู่แล้วซิ”
ฉีชิงชีสอดปากแบบเข็มเดียวเห็นโลหิต “ศิษย์พี่เจ้าสำนัก ท่านจะออกให้หรือเจ้าคะ”
เยวี่ยชิงหยวน “ออกให้ซิ”
หลิ่วชิงเกอ “แพ้ใครจ่าย”
เยวี่ยชิงหยวน “ข้าเอง”
เสิ่นชิงชิว “ชนะใครได้”
เยวี่ยชิงหยวน “เจ้าซิ”
ตกลงกันเสร็จ ทุกคนออกพอใจยกเว้นหลิ่วชิงเกอ ขณะที่เสิ่นชิงชิวไปลงชื่อในใบเดิมพันอย่างกระดี้กระด๊า
เหล่าซิวซื่อต่างพากันพึมพำว่าเหตุใดไม่เคยได้ยินชื่อลั่วปิงเหอมาก่อน ความจริงก็ไม่แปลก ลั่วปิงเหอในเวลานี้ทำตัวเรียบๆไม่โฉ่งฉาง ไม่เอาดีเข้าตัว สะสางภารกิจทำความดีเสร็จก็จากไปอย่างเงียบเชียบมาตลอด ชื่อเสียงเรียงนามไม่ปรากฏ ดังนั้นจึงไม่เป็นที่รู้จัก คนส่วนใหญ่ไม่รู้เรื่องราวเลยเหมาเอาดั่งที่เสิ่นชิงชิวว่า ก็แค่เผื่อได้รางวัล และหวังกระตุ้นลูกศิษย์ตัวเองเท่านั้น
ส่วนด้านล่างของแท่นอัฒจันทร์ หลังจากบรรดาหน้าใหม่กล่าวคำปฏิญาณตนเป็นเสียงเดียวเสร็จ ก็เริ่มเข้าสู่สนามแข่งอย่างเป็นทางการ
เพราะมีคนเป็นจำนวนมาก จึงได้กำหนดทางเข้าไว้สิบสองจุด ปล่อยเข้าไปเป็นกลุ่ม คละปนกันหลายสำนัก บรรดามือใหม่ก้าวเข้าสู่เขตอาคมหุบเขาทางตัน เริ่มต้นการผจญภัยด้วยความตื่นเต้นและประหม่า ขณะที่บนอัฒจันทร์เหล่าผู้อาวุโสที่ประสบความสำเร็จมีชื่อเสียงแล้ว พอวางเดิมพันรอบแรกเสร็จ ก็สงบจิตสงบใจนั่งพูดคุยสัพเพเหระ แทะเม็ดกวยจี๊กันไปพลางๆ
ภายใจสนามประลอง มีเหยี่ยวภูตที่ควบคุมสั่งการโดยผู้เชี่ยวชาญร้อยกว่าตัว ที่กรงเล็บมีห่วงเงินฝังแก้วผลึกใสเป็นพิเศษ สามารถเก็บภาพเหตุการณ์และผู้คนทั้งหมดจากมุมสูง แล้วส่งภาพมายังฉากแก้วผลึกที่ติดตั้งไว้หลายจุดหน้าอัฒจันทร์ ให้ผลไม่ต่างอะไรกับอุปกรณ์มอนิเตอร์เลย
มีใครบางคนยิ้มหน้าบาน “จริงๆด้วย กงอี๋เซียวเข้าสนามก็คว้าที่หนึ่งมาเลย”
บนแผ่นป้ายประกาศรายชื่อ รายนามสิบอันดับแรกเรืองแสงสว่างขึ้น ชื่อของผู้ที่ได้อันดับหนึ่งในตอนนี้ กลายเป็นตัวอักษร ‘กงอี๋เซียว’ สามคำตามมาด้วยตัวเลข ‘สิบสอง’
หมายความว่าภายในชั่วเวลาสั้นๆที่ลงสู่สนาม ไม่ถึงครึ่งชั่วยามเขาก็ปราบปีศาจไปได้แล้วสิบสองตัว ได้ลูกประคำมาสิบสองลูก!
ที่ตามมาเป็นอันดับสองคือหลิ่วหมิงเยียน ได้รับลูกประคำมาแค่หกลูก ถูกเขาทิ้งห่างหนึ่งเท่าตัว
บนจอแก้วผลึก ฉายภาพหนุ่มน้อยในชุดขาวคนหนึ่งท่วงท่าสง่างามราวกับเมฆเหินน้ำไหล แต่ยามลงมือกลับรวดเร็วปานสายฟ้า ฟาดฟันวิญญาณร้ายน่าสังเวชที่โผเข้าใส่เขาจนสลายวับไปหมดสิ้นในชั่วพริบตา
ได้ยินเสียงชมเชยไม่หยุดปากลอยเข้าหู เสิ่นชิงชิวเพียงยิ้มไม่พูดอะไร
กงอี๋เซียวผู้นี้ ดูท่าจะออกแนวองอาจมาดแมน แต่ความจริงเป็นแค่ลิ่วล้อตัวประกอบระดับชั้นดีกว่าตนหน่อยเดียวเท่านั้นแหละ หึๆ
หมอนี่จัดเป็นตัวละครประเภท ‘รูปหล่อพ่อรวย พรสวรรค์สูง เป็นที่ชื่นชอบของสาวๆ จิตใจกล้าหาญ ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย’ แต่โชคร้ายไปนิด ในเมื่อมีพระเอกอยู่ทั้งคน นายย่อมตกเป็นลิ่วล้อตัวประกอบที่เสริมให้พระเอกโดดเด่นเท่านั้นแหละ ต่อให้มีคนแทงว่านายจะได้เป็นผู้ที่ได้อันดับหนึ่งมากที่สุด แต่ขอโทษด้วย อันดับรายชื่อนี้อีกไม่นานก็จะถูกลั่วปิงเหอโค่นแล้ว
ชื่อของลั่วปิงเหอในตอนนี้ยังอยู่แถวกลาง ตัวเลขข้างหลังมีแค่ ‘หนึ่ง’ แต่เสิ่นชิงชิวกลับไม่กังวลแม้แต่น้อย
เขารู้ว่าเดี๋ยวพอถึงยามจื่อ* คืนนี้ รายชื่อเหล่านั้นจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง ความวุ่นวายครั้งใหญ่กำลังจะเปิดม่านขึ้น และชื่อของลั่วปิงเหอลำดับจะพุ่งพรวดจนฉุดไม่อยู่
(ยามจื่อ คือ เวลา 23.00-01.00 น.)
งานชุมนุมเซียนวันแรก ใกล้จะเข้ายามจื่อ
จันทราเต็มดวงลอยสูงอยู่บนฟ้าโปร่งใสไร้เมฆหมอก บนแท่นอัฒจันทร์จุดไฟไว้สว่างไสว
ท่ามกลางจอแก้วผลึกที่มีอยู่มากมาย ในที่สุดเสิ่นชิงชิวก็หาจอหนึ่งที่ฉายให้เห็นสถานการณ์ทางฝั่งลั่วปิงเหอพบ
ลั่วปิงเหอกำลังเดินช้าๆในป่า สะอาดเอี่ยมไร้ซึ่งฝุ่นละออง ไม่เห็นเค้าความเหนื่อยล้าแม้แต่น้อย ดวงตาเป็นประกายเจิดจ้าประหนึ่งจะทะลุจอแก้วผลึก
แต่เขาไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว
คนส่วนใหญ่จะออกปฏิบัติการตามลำพัง หากหลายคนช่วยกันปราบปีศาจ แล้วจะแบ่งลูกประคำกันอย่างไร หรือไม่ก็ต้องจับกลุ่มกับคนที่สนิทกันอย่างพวกศิษย์พี่ศิษย์น้องอย่างมากไม่เกินสามคน
ผู้ฝึกวิชาเซียนที่เป็นผู้หญิงความจริงแล้วก็เก่งกาจไม่เบา ทว่าหากพูดในภาพรวม กำลังกายยังไม่แกร่งพอ กำลังขวัญก็ไม่แกร่งพอเช่นกัน มักจำเป็นต้องมีคนช่วย โดยมากมักรวมกลุ่มกันเองศิษย์พี่ศิษย์น้องที่สนิทกัน หัวเราะพูดคุยสนุกสนานกันไม่หยุดไปตลอดทาง โดยมากแล้วไม่ได้เรื่องได้ราวอะไร
ทว่าทางฝั่งลั่วปิงเหอกลับมีคนติดตามเขาอยู่เจ็ดแปดคน ซึ่งถ้าไม่ใช่หญิงสาวบอบบางอ่อนแอ ก็เป็นศิษย์ชายที่อายุยังน้อย ลักษณะการรวมกลุ่มเช่นนี้ ช่างดึงดูดความสนใจได้ไม่น้อย จนเริ่มมีคนละสายตาจากงอี๋เซียวผู้หล่อเหลาหันมามองคณะผู้คนที่เกาะกลุ่มกันมาเป็นโขยงอ้วนๆเหล่านี้แทน
ในบรรดาคนเหล่านี้ คนที่เดินใกล้ลั่วปิงเหอมากที่สุดคือศิษย์ของวังฮ่วนฮวาในชุดสีเหลืองอ่อน ชูไข่มุกประกายราตรีอยู่ในมือเพื่อสร้างความสว่าง
สตรีผู้นี้หน้าตางดงามหมดจด ท่าเดินกะโผลกกะเผลกอยู่บ้าง ดูเหมือนว่าขาจะแพลง น่าจะได้รับบาดเจ็บตอนสู้กับปีศาจ นางกล่าวด้วยน้ำเสียงเป็นเชิงรู้สึกผิด “ศิษย์พี่ลั่ว ข้าขอโทษจริงๆ เมื่อครู่ได้ท่านช่วยเหลือ ตอนนี้ยังสร้างความลำบากให้ท่าน หากไม่ใช่เพราะปกป้องพวกเรา ท่านคงเดินไปได้ไกลแล้ว…พวกเรามาถ่วงท่านไว้แท้ๆ”
ลั่วปิงเหอกล่าวตอบอย่างมีมารยาท “เป็นผู้ฝึกวิชาเซียนด้วยกัน ย่อมต้องช่วยเหลือกันอยู่แล้ว”
เสิ่นชิงชิวรับรู้ถึงความดอกบัวบาวของลั่วปิงเหอมานานแล้ว จึงไม่แปลกใจแม้แต่น้อย
เขาปราบปีศาจไปพลางยังต้องพานักรบอ่อนหัดซึ่งมีเด็กและสตรีที่อ่อนแอกลุ่มนี้ไปด้วย จึงเป็นเหตุให้อยู่มาทั้งวันแต่อันดับไม่ขยับขึ้นเลย หาไม่แล้วด้วยความสามารถของเขา ย่อมแข่งกับกงอี๋เซียวได้สบาย พึงรู้ว่าแม้แต่อันดับของหมิงฟานยังไม่เลว แต่ไม่เป็นไรเดี๋ยวลั่วปิงเหอมาทีหลังดังกว่า!
เสิ่นชิงชิวไม่ได้นึกเอะใจเลยว่าตัวเองเกิดความคิดเป็นเดือดเป็นแค้นอย่าง ลูกศิษย์ข้าร้ายกาจที่สุดในโลก หากไม่ใช่เพราะเขาดีเกินไป มีน้ำใจเกินไป รังแกง่ายเกินไปแล้วล่ะก็ พวกเจ้าอย่าได้คิดมาแข่งกับเขาเด็ดขาด ขึ้นมาได้อย่างไร
เยวี่ยชิงหยวนกล่าวยิ้มๆ “ชิงชิว ศิษย์ของเจ้าผู้นี้ นิสัยใจคอดีมากทีเดียว”
เสิ่นชิงชิวคลี่พัดด้ามจิ้วยิ้มรับอย่างสบายอกสบายใจ
ฉีชิงชีแค่นเสียง “นั่นซิเจ้าคะ ช่างดูไม่ให้เลยว่าเป็นศิษย์ที่เขาสอนมา”
คนอื่นก็กล่าวชมเช่นกัน แต่ไม่แน่ว่าจะจริงใจเท่าใดกัน นิสัยใจคอดีแล้วมีประโยชน์อะไร ที่งานชุมนุมเซียนให้ความสำคัญคือความสามารถ ลั่วปิงเหอทำเช่นนี้ ในสายตาของพวกเขาคืออ่อนต่อโลกนั่นเอง
กงจู่เฒ่ามองดูใบหน้าของลั่วปิงเหอชัดๆจากจอแก้วผลึก ทำเสียง “เอ๊ะ” เบาๆชนิดที่แทบไม่ได้ยิน ทว่ากลับเห็นได้ชัดว่าเกือบจะลุกขึ้นยืนอยู่แล้ว
เสิ่นชิงชิวรู้โดยไม่ต้องเหลียวไปมอง หน้าตาหล่อเหลาของลั่วปิงเหอค่อนไปทางแม่ กงจู่เฒ่าจะต้องเห็นใบหน้านี้แล้วนึกว่าเป็นชนรุ่นหลังที่หน้าตาคล้ายคลึงกันโดยบังเอิญ แล้วหวนนึกถึงศิษย์เอกของตัวเองในครั้งนั้นขึ้นมา โดยไม่รู้เลยว่าลั่วปิงเหอเป็นลูกชายแท้ๆของศิษย์รักตนนั่นเอง
ส่วนอีกด้านหนึ่งในหุบเขาทางตัน ลั่วปิงเหอครุ่นคิดเงียบๆว่าจะจัดการหาทางแก้ปัญหาให้กับคนที่อ่อนแอกลุ่มนี้อย่างไรดี
ว่ากันด้วยมโนธรรมเขาไม่อาจทอดทิ้งกลุ่มคนเหล่านี้ที่เพิ่งเข้าวังฮ่วนฮวาได้ไม่นาน แต่ก็ไม่อยากพลาดโอกาสที่จะได้แสดงความสามารถในงานชุมนุมเซียน เพื่อเป็นหน้าเป็นตาให้แก่ซือจุน
ขณะที่ลั่วปิงเหอกำลังคิดว่าจะหาทางสลัดให้หลุดจากสถานการณ์นี้อย่างไร เสิ่นชิงชิวกลับเข้าใจว่าเขากำลังสปาร์คกับสาวๆจนไม่อยากถอนตัวจากไป
นี่คือน้องหนูคนแรกที่มีอะไรกับลั่วปิงเหอเชียวนะ ฉินหว่านเยวีย ศิษย์น้องหว่านเยวียเลยนะ!
ที่เสิ่นชิงชิวจำน้องสาวคนนี้ได้แม่นยำเพราะนางเป็นผู้ที่ช่วยให้ลั่วปิงเหอได้เป็นชายหนุ่มเต็มตัวนั่นเอง ต่อมาภายหลังก็รับบทผู้ถูกกระทำจากการแก่งแย่งตบตีประจำวันในฮาเร็ม มีแต่ไอ้เซี่ยงเทียนต่าเฟยจีจอมวิปริตผิดมนุษย์นี่แหละที่สามารถเขียนนิยายฮาเร็มฟินๆให้ออกมามีกลิ่นอายแบบเจินหวน จอมนางคู่แผ่นดิน* ได้
(เจินหวน จอมนางคู่แผ่นดิน เป็นนิยายแนวพีเรียด ถูกนำมาสร้างเป็นละครโทรทัศน์ในชื่อเดียวกัน เน้นบทบาทของตัวละครหญิงและการแก่งแย่งชิงอำนาจในตำหนักใน)
ฉันขออ่านที่แกบรรยายว่าแมงมุมปีศาจมันผสมพันธุ์กันอย่างไรสักแสนตัวอักษรดีกว่าต้องอ่านเรื่องที่ซาหัวหลิงฉีกทึ้งน้องฉินหว่านเยวียอย่างไร จะขอบใจมาก
พอเห็นคนกลุ่มนี้ยึดถือลั่วปิงเหอราวกับเป็นพระเจ้ามาโปรด เดินตามหลังเขาต้อยๆไม่ห่าง เสิ่นชิงชิวชักไม่พอใจขึ้นมา
ในบรรดาศิษย์เหล่านี้ มีบางคนที่ยังปรับตัวไม่ได้ในช่วงนี้ เลยยังแสดงความสามารถออกมาได้ไม่เต็มที่ แต่พอปรับตัวได้ก็ไม่มีปัญหา ไม่เหมือนบางคนที่ไม่ตั้งใจร่ำเรียน ไม่มีวิชาความรู้ แล้วดันไม่ยอมถอนตัวจากการแข่งขัน หมายเกาะขาลั่วปิงเหอตีเนียนเอาลูกประคำและติดอันดับไปกับเขา
หากเป็นลั่วปิงเหอสายดาร์กแล้วล่ะก็ รับรองโดนฆ่าเรียบไม่เหลือภายในหนึ่งนาทีชนิดไม่กะพริบตา คนดีก็ถูกเอาเปรียบอย่างนี้แหละ!
เดินกันไปสักพัก ปีศาจเล็กปีศาจน้อยที่อาศัยความมืดฉวยโอกาสออกมาจู่โจมล้วนถูกลั่วปิงเหอจัดการเรียบร้อยเพียงแค่ดีดนิ้ว โดยไม่ต้องชักกระบี่ออกจากฝักด้วยซ้ำ ถึงกระนั้นก็ยังไม่อาจเดินทางไปได้เร็วขึ้น
เหตุผลน่ะหรือ
ศิษย์สตรีคนหนึ่งของวังฮ่วนฮวาเกาะฉินหว่านเยวีนไว้ ร้องไห้สะอึกสะอื้น “ท่านพี่ ข้าปวดขามากเลย”
ลั่วปิงเหอที่เดินนำอยู่ข้างหน้าหยุดเดิน แต่ไม่ได้หันกลับมา ก้มหน้าเอามือคลึงขมับ
ฉินหว่านเยวียทำหน้าเครียด ก้มหน้าไปกระซิบเสียงเบากับสตรีผู้นั้น
“หว่านหรง อดทนหน่อยได้หรือไม่ พวกเราต้องเดินกันให้เร็วขึ้นอีกหน่อยนะ”
น้องหว่านหรงร้องไห้กระซิก “แต่คนเขาปวดขาจริงๆนะ เดินไม่ไหวแล้ว! แล้วยังเดินกันมาทั้งวัน น้ำก็ไม่ได้อาบ เหนียวตัวจะแย่อยู่แล้ว”
ศิษย์ในกลุ่มนี้มีไม่น้อยที่เป็นพวกไม่รู้จักความลำบาก ต่างส่งเสียงเห็นด้วย หากเสิ่นชิงชิวมีอำนาจในการตัดสินล่ะก็ เป็นได้ตัดสิทธิ์ในการเข้าร่วมของคนเหล่านี้ แล้วเตะโด่งออกนอกหุบเขาทางตันไปนานแล้ว
ปวดขาง่ายดายขนาดนี้แล้วลงชื่อเข้าร่วมงานชุมนุมเซียนทำไม ลงชื่อก็แล้วไปเถอะ แต่ทำไมจะต้องมาเกาะถ่วงคนอื่นด้วย ดูหลิ่วหมิงเยียนซิ ความห่างชั้นไม่ใช่น้อยๆ มิน่าถึงได้ยึดตำแหน่งนางเอกอันดับหนึ่งไป
อย่างไรเขาก็ทำอะไรฉินหว่านหรงผู้นี้ไม่ได้อยู่ดี จะดีจะชั่วฉินหว่านเยวียกับฉินหว่านหรง สองศรีพี่น้องคู่นี้ก็เป็นสมาชิกในฮาเร็มของลั่วปิงเหอ ตามระเบียบสากลแล้วพวกนางจะเป็นคนที่ต่อให้รนหาที่ตายอย่างไรก็ไม่มีวันตายอยู่แล้ว
ในใจของเสิ่นชิงชิวอึดอัดกลัดกลุ้มขึ้นมาอย่างไม่รู้สาเหตุ
ปิงเหอเอ๊ย…วันหน้าตอนเริ่มสะสมสาวในฮาเร็ม นึกถึงปัญหาเชิงคุณภาพหน่อยก็ดีนะ อย่าเห็นแค่หน้าตาดีก็คว้ามากกหมด เหวยซือเห็นฮาเร็มของเจ้าที่คุณภาพไม่ได้มาตรฐานแล้วปวดใจแทน!
ฉินหว่านเยวียมองเงาหลังของลั่วปิงเหอแวบหนึ่ง กระซิบเบาๆว่า “น้องเล็ก พวกเราสร้างความลำบากให้ศิษย์พี่ลั่วมามากแล้วนะ…” นางยังคิดจะอาศัยเกาะลั่วปิงเหอสักตั้งในงานชุมนุมเซียนเพื่อขอลำดับที่ดีหน่อย หากความไม่รู้จักแยกแยะหนักเบาของน้องสาวทำให้เขารำคัญก็คงไม่ได้การแล้ว
ฉินหว่านหรงถามซื่อๆอย่างไม่คิดอะไรมาก “ศิษย์พี่ลั่วเป็นคนดีปานนี้เขาไม่ว่ากระไรหรอก ใช่หรือไม่เจ้าคะศิษย์พี่ลั่ว”
ลั่วปิงเหอหันมาในที่สุด บนใบหน้ายังคมมีรอยยิ้มบางหล่อเหลาไม่เกรงใจใคร ทว่าไม่พูดไม่จา ฉินหว่านเยวียกลับแอบตัวสั่นไปแล้วโดยไม่รู้สาเหตุ
ฉินหว่านหรงที่ในสมองมีแต่ปุยนุ่นผู้นี้ เห็นเขายิ้มก็เหมาเอาว่าเขาเห็นด้วย เดินตัวปลิวไปยังธารสายน้อยทันทีประหนึ่งโดนลมหอบ
มาแล้ว! เสิ่นชิงชิวจ้องเขม็ง
ลั่วปิงเหอตกตะลึง จากที่นางพูดเมื่อครู่ชวนให้เขาเข้าใจว่านางอยากอาบน้ำ ค่อยยังชั่วที่น้องสาวผู้นี้ยังไม่ใจกล้าถึงขั้นนั้น แค่ถอดรองเท้าออกแล้วเอาเท้าหย่อนลงไปในน้ำ
นี่เป็นต้นน้ำ หากที่ปลายน้ำมีคนอยากดื่มน้ำขึ้นมาล่ะก็…
เสิ่นชิงชิวได้แต่นึกสวดภาวนาให้กับบรรดาศิษย์ที่อยู่ปลายน้ำแล้ว
นางนำเป็นตัวอย่างเช่นนี้ คนอื่นเลยเอาอย่างบ้าง คนกลุ่มนี้เริ่มหัวเราะหยอกเย้ากันเป็นที่สนุกสนาน
ลั่วปิงเหอเห็นดังนี้ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ครั้นจะเข้าไปใกล้ก็ไม่เหมาะ จึงได้แต่กล่าวอยู่ไกลๆ “เล่นนี้ตอนกลางคืนไม่ปลอดภัย ศิษย์น้องทุกคนรีบขึ้นมาจะดีกว่า”
เสิ่นชิงชิวนึกแปลกใจในนิยายดั้งเดิม ลั่วปิงเหอไม่ควรยืนเสียห่างขนาดนี้ซิ เขาไม่น่าจะจำผิดนะ ตอนนั้นเนื่องจากลั่วปิงเหอเป็นห่วง (หรือไม่ก็เป็นความปรารถนาส่วนตัวของไอ้เซี่ยงเทียนต่าเฟยจีที่อยากเขียนเอาใจแฟนๆ) เลยเดินไปที่ธารน้ำ หลังจากนั้นก็เพลินกับฉากที่บรรดาสาวๆเริ่มถอดถุงเท้า แล้วไล่ถอดขึ้นบนมาเรื่อยๆ เอาใจพวกนักอ่านที่ชอบเท้าสาวสวยเต็มที่
ลั่วปิงเหอกล่าวเตือน แต่เสียงหัวเราะสนุกสนานของคนเหล่านั้นไม่วายดังมาถึงทางนี้ “ไม่มีอะไรหรอกน่า ศิษย์พี่ลั่ว ท่านมาเล่นด้วยกันซิ!”
แม้แต่บรรดาเจ้าสำนักที่อยู่หน้าจอผลึกแก้วต่างอึ้งกันไปหมด
ใบหน้าของเสิ่นชิงชิวไม่แสดงความรู้สึก
ลั่วปิงเหอ ทำไมยังไม่เข้าไปอีกล่ะ ขืนยังไม่เข้าไปจะพลาดฉากนี้เอานะ
ฉินหว่านเยวียรู้ว่าน้องสาวตัวเองนิสัยประหลาด จึงขอโทษลั่วปิงเหออย่างเกรงอกเกรงใจ “ศิษย์พี่ลั่ว ขอโทษด้วยนะเจ้าคะ พวกศิษย์น้องข้าเข้าร่วมงานชุมนุมเป็นครั้งแรก…” ท่าทางน่ารักน่าสงสารเสียจริง นางกัดริมฝีปาก คล้ายดั่งตัดสินใจทำสิ่งที่ทรมานใจที่สุด “หากศิษย์พี่ลั่วลำบากใจก็ไม่ต้องสนใจพวกเรา ท่านไปก่อนเลย ไม่เป็นไร…”
ถ้อยคำบวกกับสีหน้าที่เหมือนจะร้องไห้แสดงชัดว่าไม่ได้หมายความตามนั้นจริง ผู้ชายที่มีบรรทัดฐานทางด้านมโนธรรมสูงกว่ามาตรฐาน ได้ยินแล้วย่อมไม่อาจจากไปตามที่นางบอกได้หรอกนะ!”
ลั่วปิงเหอยังไม่ทันได้เอ่ยคำ เสียงหวีดร้องแสบแก้วหูก็ดังมาจากริมธาร เขาหน้าเปลี่ยนสีในฉับพลัน ทิ้งฉินหว่านเยวียที่หน้าซีดไร้สีเลือดไว้ พุ่งกายไปยังธารน้ำทันที ทุกคนที่อยู่หน้าจอแก้วผลึกล้วนตกตะลึงไปตามๆกัน
ลั่วปิงเหอชูกระบี่ขึ้นขวางหน้า ถามเสียงต่ำ “เกิดอะไรขึ้น!”
ศิษย์ห้าหกคนที่เดิมทีเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนาน ตอนนี้กลับหายไปสองคน ซึ่งมีฉินหว่านหรงรวมอยู่ด้วย
เสิ่นชิงชิวแค้นที่เหล็กไม่เป็นเหล็กกล้า* ดูซิ! บอกแล้วไงว่าให้รีบไป แล้วตอนนี้เป็นไงเล่า เมียหายไปคนแล้ว! เห็นไหม!
(แค้นที่เหล็กไม่เป็นเหล็กกล้า หมายถึง ขัดใจที่ลูกหลานไม่ได้ดั่งใจ)
โธ่ แล้วจากนี้ไปฉาก 3P* กับสองศรีพี่น้องสกุลฉินจะทำยังไงล่ะนี่!
(3P หมายถึง มีเพศสัมพันธ์พร้อมกันทีเดียว 3 คน)
นึกไม่ถึงจริงๆ คราวนี้น้องฉินหว่านหรงที่จะเป็นหนึ่งในฮาเร็มของพระเอกกลับรนหาที่ตายให้ตัวเองเสียอย่างนั้น!
ศิษย์คนหนึ่งกรีดร้อง “เมื่อครู่เกิดอะไรขึ้นก็ไม่รู้ จู่ๆใต้น้ำแปรเปลี่ยนเป็นสีดำ พวกศิษย์พี่ไม่รู้ถูกตัวอะไรม้วนลงน้ำไปแล้ว!”
ลั่วปิงเหอรีบฉุดคนที่ยังมัวยืนตกตะลึงขึ้นจากน้ำ ตอนที่เขายื่นมือไปดึงคนหลังสุด คนผู้นั้นก็คล้ายกับเท้าลื่น ชั่ววูบก็ล้มลง แล้วจมลงไปในน้ำจนมิดศีรษะ หายลับไปต่อหน้าต่อตาทุกคนชนิดทำอะไรกันไม่ถูก
ขณะเดียวกันไอสีดำในน้ำก็ม้วนตัวยกขึ้นสูงอย่างฉับพลัน เสิ่นชิงชิวมองผ่านจอแก้วผลึก มันคือเส้นสีดำมากมายนับไม่ถ้วน ดูเหมือนผมยาวของผู้หญิง ในเส้นสีดำมีเลือดสีแดงฉานแทรกซึมออกมา จากนั้นก็ถูกสายน้ำเจือจางไป ดูน่ากลัวเสียยิ่งกว่าผมของซาดาโกะซังแห่งเดอะริง* อีก!
(เดอะริง เป็นภาพยนตร์ญี่ปุ่นแนวสะเทือนขวัญ ตัวเอกเป็นผีผู้หญิงผมยาวชื่อ ซาดาโกะ)
ที่หน้าจอมีคนหวีดร้องอย่างเสียขวัญ “นางมารเกศาพยาบาท!”
ส่วนในหุบเขาทางตัน ลั่วปิงเหอมองออกอย่างรวดเร็วว่าที่อยู่ในน้ำคือปีศาจอะไร เขาแผ่ปราณกระบี่ลงน้ำ ตะโกนว่า “รีบหนี้ไปให้ไกลจากริมน้ำ มันคือนางมารเกศาพยาบาทแห่งภพมาร!”
ปีศาจที่ดูเหมือนแพผมปื้นมหึมาหมุนวนอยู่ในน้ำครู่หนึ่ง จู่ๆก็ ‘พ่น’ บางสิ่งบางอย่างออกมาจากเส้นสีดำราวกับคนที่กินอิ่มจัดจนเรอ
ศพทั้งสามซึ่งถูกสูบเลือดสูบเนื้อจนเหลือซากร่างที่มีแต่หนังหุ้มกระดูกเปียกโชกนั่นเอง
รูขุมขนบนร่างศพดูใหญ่ผิดธรรมดา นั่นก็เพราะบนผิวหนังยังมีเส้นผมจำนวนมากแทงเข้าไปในรูขุมขน เพื่อดูดดื่มเลือดเนื้อและปราณละเอียดอย่างหิวกระหาย
มันซอกซอนเข้าไปทุกที่ เห็นรูเป็นมุด คือคุณสมบัติน่ากลัวที่สุดของนางมารเกศาพยาบาท
พวกศิษย์ที่อยู่ริมน้ำถูกภาพน่าสะพรึงกลัวนี้ทำจนตกใจเสียขวัญไปแล้ว ในป่าเต็มไปด้วยเสียงหวีดร้องระงม ทุกคนพากันเข้าไปหลบอยู่หลังลั่วปิงเหอ ฉินหว่านเยวียเห็นสภาพการตายอันสยดสยองของน้องสาวตัวเองก็แทบเป็นลมไปเดี๋ยวนั้น
แต่ดีที่นางยังฉลาดไม่ได้เป็นลมล้มพับไป ไม่อย่างนั้นแล้ว ในสภาพที่วุ่นวายโกลาหลแบบนี้ ใครจะมัวมาสนใจแบกนางหนีไปด้วยเล่า!
นางมารเกศาพยาบาทอยู่ได้ทั้งในน้ำและบนบก หลังจากสูบคนสามคนจนแห้งเหือดก็เตรียมคลานขึ้นบกหาเป้าหมายใหม่อย่างอดใจรอไม่ไหว
ลั่วปิงเหอสีหน้าเยียบเย็น ดีดนิ้วทีหนึ่ง เปลวไฟดวงหนึ่งพลันลุกขึ้นที่ปลายนิ้ว เขาใช้พลังทิพย์ยิงลูกไฟพุ่งเข้าใส่นางปีศาจร้าย พอโดนเข้าที่เส้นผมก็ลุกไหม้กลายเป็นลูกไฟขนาดยักษ์ทันที จนมันต้องถอยกรูดลงน้ำ ไม่กล้าขึ้นมาบนบกอีก การเคลื่อนไหวทั้งมวลรวบรัดหมดจด ทรงอานุภาพมหาศาลไม่เหลือช่องโหว่ใดๆ
เสิ่นชิงชิวชูป้ายรัวในใจ ‘ลั่วปิงเหอเอาไปเลยเต็มสิบ!’
ลั่วปิงเหอเก็บไข่มุกประกายราตรีที่ฉินหว่านเยวียลนลานทำตก แล้วชูขึ้นสูงราวกับเป็นตะเกียงดวงหนึ่ง เพื่อช่วยเรียกสติให้ผู้คนสงบใจแล้วตะโกนขึ้นว่า “อย่าได้วิ่งเพ่นพ่าน รวมกลุ่มกันไว้!” จากนั้นล้วงเอาพลุสัญญาณที่ทุกคนได้รับแจกออกมายิงขึ้นฟ้าเพื่อขอความช่วยเหลือ
พลุสัญญาณเป็นอุปกรณ์ขอความช่วยเหลือที่เตรียมเอาไว้ให้บรรดาศิษย์ที่เจอปีศาจที่ไม่สามารถรับมือด้วยตนเองได้ ความจริงสมาพันธ์เซียนไม่มีทางเอาปีศาจที่อันตรายเกินไปมาใส่ไว้แน่นอน หากใช้ไปสามครั้งจะถือเป็นการสละสิทธิ์ในการแข่งขันต่อโดยอัตโนมัติ ด้วยเหตุนี้งานชุมนุมที่ผ่านมาจึงเอามาใช้ต่อเมื่อจำเป็นจริงๆเท่านั้น โดยทั่วไปแล้วก็ไม่มีใครเอาออกมาใช้ แต่เวลานี้เหนือน่านฟ้าของหุบเขาทางตัน ดอกไม้ไฟดอกแล้วดอกเล่าถูกยิงขึ้นฟ้าอย่างต่อเนื่องจนสว่างไสว อันที่จริงควรเป็นภาพที่สวยงามมาก แต่ในยามนี้ดอกไม้ไฟที่เห็นไม่เพียงไม่เจิดจ้างดงาม แต่ยังส่งผลให้ผู้คนหวาดผวาขวัญเสียไปตามๆกัน
เพราะเมื่อดอกไม้ไฟดอกหนึ่งถูกจุด ย่อมแสดงว่ามีศิษย์ผู้หนึ่งเจอปีศาจที่น่ากลัวเข้าให้แล้ว และกำลังมีภัยถึงชีวิต!
“จอผลึกแก้ว รีบดูที่จอผลึกแก้วเร็วเข้า!”
เสียงกรีดร้องและเสียงขอความช่วยเหลือดังระงมมาจากจอผลึกแก้วไม่หยุด มีศิษย์ที่ตายคาที่ไปแล้ว และศิษย์ที่ยังต่อสู้ในสภาพโชกเลือด แววตาเต็มไปด้วยความประหวั่นพรั่นพรึง “เพราะอะไร ทำไมที่นี่ถึงมี…มันไม่ควรมีซิ…”
“ใครก็ได้ช่วยด้วย อาจารย์ช่วยด้วย ศิษย์พี่ช่วย…”
ทันใดนั้นเสียงคำรามแหบห้าวดังขึ้นจากจอผลึกแก้วจอหนึ่ง และเสียงเหยี่ยวภูตหวีดร้องยาวอย่างเจ็บปวด ต่อมาภาพก็ดำมืดไปแถบหนึ่ง
ทุกคนพากันตะลึงลาน “เกิดอะไรขึ้น”
เสียงคำรามแหบห้าวเมื่อครู่คือเหยี่ยวกระดูกแห่งภพมารนั่นเอง มันเป็นอสูรกายบินได้ที่โหดร้ายกระหายเลือดประเภทหนึ่ง เหยี่ยวภูตตัวนี้น่ากลัวว่าจะถูกพวกเหยี่ยวกระดูกฉีกทึ้งเป็นชิ้นๆแล้ว ผลึกแก้วจึงได้พังเสียหายไปด้วย
ที่ว่ายในน้ำ ที่เดินบนบก ที่บินบนฟ้า…สิ่งมีชีวิตจากภพมารที่ดุร้ายเหล่านี้ ไม่มีทางเป็นสิ่งที่จัดไว้สำหรับการแข่งขันแน่นอน
ต่อให้เตรียมใจไว้ก่อนแล้ว แต่พอได้เห็นฉากอันวุ่นวายโกลาหลในสเกลอภิมหาใหญ่ยักษ์ระดับนี้เกิดขึ้นตรงหน้า เสิ่นชิงชิวก็ยังคงหนังหัวชาดิก ปลายนิ้วเย็นเฉียบ เมื่อพบว่าเอาเข้าจริง เขาไม่อาจมองว่ามันเป็นแค่ฉากไคลแมกซ์ฉากหนึ่งที่สมจริงอย่างมากตามในนิยายต้นฉบับบรรยายได้เลย
นอกหุบเขาทางตัน สภาพบนอัฒจันทร์สูงราวกับหม้อระเบิด นักพรตอารามเทียนอี กล่าวเสียงเครียด “เกิดอะไรขึ้น ปีศาจที่คัดเลือกและเอาไปใส่ไว้ในงานชุมนุมเซียนล้วนถูกกำหนดและคัดเลือกมาอย่างเคร่งครัด ไฉนสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในภพมารอย่างนางมารเกศาพยาบาทถึงหลุดเข้ามาได้!”
ศิษย์ของวังฮ่วนฮวาตายไปแล้วหลายคน กงจู่เฒ่าลุกขึ้นเดี๋ยวนั้น “เปิดเขตอาคม!”
เขตอาคมขนาดยักษ์ที่แผ่คลุมหุบเขาทางตัน เป็นสิ่งที่หลวงจีนเกือบร้อยรูปของวัดเจาหัวรับหน้าที่ร่ายอาคมยันเอาไว้ เจ้าอาวาสวัดเจ้าหัวเตรียมใช้วิชาส่งเสียงพันลี้สั่งการบรรดาหลวงจีนให้เอาเขตอาคมออกเดี๋ยวนี้ แต่ไม่ว่าใครก็นึกไม่ถึงว่าเยวี่ยชิงหยวนจะกล่าวปุบปับ “เปิดไม่ได้!”
กงจู่เฒ่าตะลึง “เจ้าสำนักเยวี่ยพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร”
ในหุบเขาทางตันมีศิษย์ของชางฉยงซานที่มาร่วมงานชุมนุมอยู่เกินร้อย เยวี่ยชิงหยวนกลับห้ามไม่ให้เปิดเขตอาคม เพื่อปล่อยให้ศิษย์ที่อยู่ข้างในหนีออกมา ย่อมต้องมีเหตุผลไม่ธรรมดาแน่
เสิ่นชิงชิวปะติดปะต่อเรื่องราวได้ก่อน ตอบแทนเยวี่ยชิงหยวนว่า “หากยกเขตอาคมออก พวกศิษย์หนีออกมาได้ก็จริง แต่ปีศาจที่เดิมถูกขังอยู่ในนั้นก็จะออกมาเพ่นพ่านไปทั่ว ในรัศมีไม่กี่ลี้นอกสถานที่แห่งนี้มีหมู่บ้านคนอยู่ ถึงเวลานั้นสถานการณ์จะยิ่งวิกฤติขึ้นไปอีก พวกศิษย์ที่ติดอยู่ข้างในอย่างน้อยก็ยังมีความสามารถต่อกรอยู่บ้าง แต่ชาวบ้านธรรมดาที่ไม่มีพลังทิพย์เหล่านั้น…”
เมื่ออธิบายให้ฟังแล้วผู้อาวุโสทุกท่านที่อยู่บนอัฒจันทร์ซึ่งล้วนมีชื่อเสียงก็พากันอ้ำอึ้งพูดไม่ออก เงียบกริบกันไปหมด ในเวลาเช่นนี้ต่อให้ท่านมีความสามารถมีฤทธิ์เดชปานใด จะพลังฝึกปรือระดับจินตานหรือหยวนอิงก็ไม่อาจทำอะไรได้มากกว่านี้
นักพรตท่านหนึ่งกล่าวอย่างทำอะไรไม่ถูก “ไม่อาจเปิดเขตอาคมปล่อยพวกเขาออกมา เช่นนั้น…สมควรทำอย่างไรดี”
หลิ่วชิงเกอกล่าวว่า “ออกมาไม่ได้ เช่นนั้นก็ได้แต่เข้าไปแล้ว”
ฝ่ายชางฉยงซานทุกคน เพียงสบตากันก็เข้าใจโดยไม่ต้องเอ่ย เยวี่ยชิงหยวนกดเสียงต่ำ “สหายพรตทุกท่าน เรื่องในวันนี้จะต้องมีผู้จงใจคิดยืมมือเผ่ามารกวาดล้างผู้ฝึกวิชาเซียนหน้าใหม่ซึ่งจะเป็นเสาหลักในวันหน้าในคราวเดียวเป็นแน่ แผนในยามนี้คือพวกเราได้แต่ปล่อยให้เขตอาคมคงอยู่ต่อไป มีสหายพรตท่านใดคิดเข้าไปในหุบเขากับชางฉยงซาน เพื่อกำจัดปีศาจช่วยชีวิตเหล่าศิษย์หรือไม่”
จะกวาดล้างเส้นทางสายโลหิต กำจัดปีศาจที่อยู่ข้างใจให้สิ้นซากไม่เพียงต้องการพลังฝีมือ แต่ยังต้องการความกล้าหาญด้วย
กงจู่เฒ่าตอบรับทันที “นี่เป็นหน้าที่ของวังฮ่วนฮวาอย่างไม่อาจปฏิเสธได้”
งานชุมนุมคราวนี้วังฮ่วนฮวาส่งคนเข้าร่วมมากที่สุด อีกทั้งทุ่มเงินไปมากที่สุด ย่อมเป็นฝ่ายที่ไม่อาจแบกรับความเสียหายมากกว่าใครเพื่อน เมื่อมีคนนำ คนอื่นก็ลุกขึ้นตามติดทันที ทยอยกันขันอาสาอย่างต่อเนื่อง ต่อให้มีคนส่วนน้อยที่มีใจขลาดเขลาอยู่บ้างในคราแรก ยามนี้ก็ถูกกระตุ้นขึ้นมาแล้ว
ศิษย์รักผู้มีพรสวรรค์โดดเด่นของพวกเราล้วนอยู่ในนั้นนะ!
เสิ่นชิงชิวก้าวออกเดิน เตรียมเข้าไปอาสาเป็นกองกำลังช่วยเหลือ หลิ่วชิงเกอขยับเอาปลอกกระบี่ขวางเสิ่นชิงชิวทันที
เสิ่นชิงชิวไม่พูดไม่จา เอาสองนิ้วคีบปลอกกระบี่ออกไป “เช่นนี้หมายความว่าอย่างไร”
หลิ่วชิงเกอตอบสั้นๆแต่ได้ใจความ “พิษของเจ้า”
เยวี่ยชิงหยวน “ถูกต้อง พิษไร้ยาถอนในกายเจ้ายังไม่หมด ความปลอกภัยของศิษย์ชิงจิ้งเฟิงให้เป็นหน้าที่พวกเราเถอะ”
หากเข้าไปในหุบเขาทางตันแล้วพิษเกิดกำเริบขึ้นมา ปราณทิพย์ติดขัดระหว่างที่ถูกปีศาจรุมล้อมเช่นนั้นล่ะก็ จะเรียกฟ้า ฟ้าไม่ขาน เรียกดิน ดินไม่ตอบเป็นแน่
เสิ่นชิงชิวส่ายหน้า “มีอย่างที่ไหน ศิษย์ตกที่นั่งลำบาก อาจารย์กลับหลบมานั่งสบายอยู่บนแท่นสูง หากไม่อาจปกป้องศิษย์ของตัวเองได้ ตำแหน่งเจ้ายอดเขาชิงจิ้งเฟิงของข้าก็ไม่ต้องเป็นมันแล้ว”
อีกทั้งเขายังเป็นคนสำคัญที่จะต้องกระตุกปมสำคัญของพล็อตเรื่องด้วย หากเขาไม่เข้าฉาก เรื่องมันก็ไปต่อไม่ได้นะ
ติ๊ง! ระบบแจ้งข้อความ
[จากการสร้างภาพลักษณ์เชิงบวก ทำให้บทตัวโกงมีมิติมากขึ้น ค่า B บวกเพิ่ม 30 คะแนน]
เสิ่นชิงชิวนึกกลอกตาในใจ นี่ถือเป็นการยื่นขนมหวานให้ก่อนเอามีดแทงกันรึเปล่าฟะ
พวกเยวี่ยชิงหยวนคัดค้านไม่เป็นผล ได้แต่กล่าวอย่างจำใจ “เช่นนั้นเจ้าต้องระวังให้มาก หากไม่อาจรับมือ ให้รีบเรียกพวกเราไปช่วยทันที”
สำหรับระดับความสามารถในการรับมือกับปีศาจของตนเอง เสิ่นชิงชิวกลับไม่ได้มองในแง่ร้ายเท่าพวกเขา นอกเหนือจากความเชื่อมั่นที่มีต่อพลังฝึกปรือและพลังทิพย์ของตัวเองแล้ว ยังเป็นเพราะความสนใจของเขาที่มีต่อบรรดาปีศาจใน ‘เทพมารอหังการ’ นั้น มีมากกว่าความสนใจที่มีต่อบรรดาน้องๆหนูๆเสียอีก เขาอาจจำไม่ได้ว่า นางเอกคนไหนกันแน่ที่เวลาถูกรังแกจะชอบควงลั่วปิงเหอไปดูดาวที่ไหนสักแหน่ง หรือบางทีอาจจำชื่อไม่ถูก แต่คุณลักษณะและจุดอ่อนของปีศาจทุกตัว เขาเป๊ะ!
นอกจากรู้เนื้อเรื่องเป็นอย่างดี หากจะหาสิ่งที่เรียกว่าดัชนีทองคำในตัวเขาล่ะก็คงมีแต่ประเด็นนี้เท่านั้น
ในหุบเขาทางตัน ลั่วปิงเหอกำลังปลอบศิษย์น้องหญิงชายที่ขวัญกระเจิงเหล่านี้อยู่ ในเวลาเช่นนี้ ห้ามอยู่แยกกันคนละทิศละทางเด็ดขาด หากเจอปีศาจตัวใหม่ หรือวิ่งเตลิดหลงหายไป สถานการณ์จะยิ่งแย่เข้าไปใหญ่
ลมราตรีพัดแรง เสียงโหยหวนครวญครางที่ไม่รู้ว่าเป็นเสียงคนหรือปีศาจดังมาจากสี่ทิศแปดทาง พวกที่ขวัญก่อนหน่อยกอดกันร้องไห้ไปนานแล้ว ฉินหว่านเยวียหน้าซีดเผือด แต่พอเห็นลั่วปิงเหอยืนพิงต้นไม้ กอดกระบี่เจิ้งหยางในอ้อมแขน ดูสงบนิ่งแต่ไม่ละซึ่งความระแวดระวัง คอยสกัดทุกสิ่งทุกอย่างที่บุกเข้ามาจากความมืด ความรู้สึกหวานล้ำก็แทรกเข้ามารำไรในช่วงเวลาที่อับจนหนทาง
หากเสิ่นชิงชิวอยู่ตรงนี้ด้วย เขาจะต้องตื่นเต้นเป็นที่สุด ต่อมเผือกร้อนฉ่า น้องสาว เธอตกหลุมรักเขาเข้าแล้วล่ะ!
เวลานี้เองอยู่ๆ พุ่มไม้ทางนั้นเกิดเสียงสวบสาบแว่วมา ลั่วปิงเหอจ้องเขม็ง พลังทิพย์แล่นมารวมตัวกันที่ฝ่ามือ เตรียมพร้อมเปิดศึก
เสียงเคลื่อนไหวจากพุ่มไม้ดังขึ้นเรื่อยๆ และเข้ามาใกล้ยิ่งขึ้น ใจของทุกคนเตลิดขึ้นมาอยู่ที่คอหอย อาจเป็นเพราะกลัวจนถึงขีดสุด จึงไม่มีใครร้องออกมาก่อน
ทันใดนั้นมีเสียงตึงเหมือนมีคนล้มลงกับพื้น จากนั้นรูปทรงกลมของอะไรบางอย่างก็กลิ้งขลุกๆออกมาจากพุ่มไม้
ศีรษะคน
ศีรษะที่สองตาปิดสนิทมีเลือดอาบทั่วหน้า ผมเผ้ากระเซิงเหมือนรังนก ภาพนี้เดิมทีก็น่ากลัวอยู่ แต่ในเวลานี้กะโหลกคนตายที่ไม่มีพลังสังหารยังดีกว่าปีศาจกินคนมากนัก ดังนั้นจึงมีคนไม่น้อยผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก
ฉินหว่านเยวียกล่าวเสียงสั่น “นี่…นี่…นี่เป็นศิษย์พี่สำนักใด มีใครรู้จักบ้าง”
ศิษย์จากแต่ละสำนักทยอยกันเข้าไปดูใกล้ๆขึ้นอีกหน่อย ต่างผ่อนลมหายใจโล่งอก “ไม่ใช่คนของสำนักข้า”
“ไม่เคยเห็น”
ลั่วปิงเหอมองฝ่าความมืดไปยังพุ่มไม้ที่อยู่ห่างออกไป ในเมื่อหัวอยู่ตรงนี้ ร่างก็น่าจะอยู่แถวนี้นี่แหละ มิสู้ไปดูชุดที่สวมว่าเป็นของสำนักไหน เขาเพิ่มพลังทิพย์ที่ฝ่ามือ เดินเข้าไปในความมืด
จริงดังคาด มีศพแข็งทื่อศพหนึ่งนอนอยู่ด้านหลังพุ่มไม้ เสื้อคลุมนักพรตสีฟ้า น่าจะเป็นศิษย์ของอารามเทียนอี ลั่วปิงเหอมองชายเสื้อของเขาก็ถอนใจ ศิษย์แรกเข้าสำนักเช่นนี้ เดิมทีคงเข้าร่วมงานชุมนุมเพียงเพื่อเพิ่มพูนประสบการณ์ มิคาดกลับต้องประสบเคราะห์กรรมเข้าอย่างเหนือความคาดหมาย เอาชีวิตมาทิ้งเสียที่นี่
เขามองเลยขึ้นไป กลับต้องตะลึงค้าง
ที่คอของศพนี้ ยังมีศีรษะติดอยู่!
เช่นนั้นศีรษะเมื่อครู่มาจากไหน
ตัวลั่วปิงเหอยังไม่ทันหันกลับมา เจิ้งหยาวลอยออกจากฝักเปล่งแสงสีขาวเจิดจ้า เขาร้องตะโกนลั่น “ออกมาให้พ้นศีรษะนั่น!”
ไม่ทันขาดคำ ศีรษะที่เดิมทีอยู่แน่นิ่งกับพื้น ลืมตาสองข้างขึ้นฉับพลัน!
มันถลึงตาใส่ทุกคน ใต้ลำคอจู่ๆมีขาแปดข้างซึ่งงอกมาจากตรงจุดไหนก็สุดจะกล่าว ขาเรียวยาว ลำขาเป็นท่อนๆเต็มไปด้วยหนามแหลมเหมือนขาแมงมุม จากนั้นกระโจนพรวดขึ้นทันที!
คนที่อยู่ใกล้มันที่สุดหลบไม่ทัน ถูกมันกระโจนขึ้นหัว เขาแหกปากร้องลั่น แทงกระบี่ออกสะเปะสะปะ คนอื่นรีบหลบกันจ้าละหวั่น ลั่วปิงเหอไม่กล้าบุ่มบ่ามแทงกระบี่ใส่ เพราะหากแทงไม่โดนเจ้าสัตว์ประหลาดนั่นแต่ไปโดนศีรษะของคนผู้นั้นแทน ผลลัพธ์จะยิ่งเลวร้ายกว่าที่คิด ของที่น่ากลัวขนาดนี้คลานไปคลานมาบนหัว ทำเอาหวาดกลัวใจแทบขาด คนผู้นั้นอับจนหนทาง วกกระบี่หมายแทงเข้าไปด้านบนศีรษะตัวเอง แต่ยังไม่ทันยกมือ ขาแมงมุมผอมยาวทั้งแปดก็หาตำแหน่งได้ แทงเข้าไปในขมับเขาอย่างแม่นยำ
คนผู้นั้นตัวแข็งทื่อในฉับพลัน กระทั่งลิ้นก็เหมือนจะพันกัน ร้องยังร้องไม่ออก ขาที่อยู่ใต้ลำคอของแมงมุมหัวคนแทงเข้าไปลึกยิ่งขึ้น พร้อมกันนั้นร่างก็กระตุกสั่นไปทั้งตัว ในชั่วอึดใจขาทั้งแปดก็ชัก ทิ้งโพรงใหญ่โชกเลือดไว้บนขมับของคนผู้นั้น ด้านในของกะโหลกศีรษะเหมือนถูกสูบจนหมดเกลี้ยง ไม่มีอะไรเหลือ
นี่เป็นภาพสยดสยองอย่างถึงที่สุด แม้แต่ลั่วปิงเหอยังทำอะไรไม่ถูกไปครู่หนึ่ง อสูรกายที่เหมือนแมงมุมหัวคนตัวนั้นสูบกินสมองอิ่มแล้วก็คลานไปคลานมาบนซากศพ ในปากหวีดเสียงร้องแหลม ฟังคล้ายเสียงเด็กร้องไห้
เวลานี้เองธนูแสงซึ่งก่อตัวจากปราณทิพย์สายหนึ่งก็พุ่งเข้ามาแทงทะลุปากที่กำลังหวีดร้องยาวของมันจนเป็นโพรงอย่างแม่นยำ
ท่ามกลางความเงียบที่เกิดขึ้นกะทันหันและสายตางุนงงของทุกคน เสิ่นชิงชิวเอามือลูบหูที่ปวดเพราะเจอเสียงร้องของมันเข้าไป จากนั้นสะบัดแขนเสื้ออย่างใจเย็น คลี่พัดด้ามจิ้วกล่าวเสียงเบาว่า “หนวกหูจะตายอยู่แล้ว”
ออกโรงฉากนี้ มาแบบเงี๊ยบเงียบจริงๆนะนี่!
“ซือจุน!”
พอเห็นเสิ่นชิงชิว ลั่วปิงเหอก็ดีใจมากกว่าตกใจ
นับจากเกิดเหตุวุ่นวาย เขาคาดการณ์ไว้แล้วว่าเสิ่นชิงชิวไม่มีทางวางใจ จะต้องเข้าหุบเขามาช่วยพวกตนด้วยตัวเองแน่
เสิ่นชิงชิวยืนสบายๆ มองดูบรรดาศิษย์ที่ล้อมวงเข้ามา “มีใครบาดเจ็บหรือไม่”
ลั่วปิงเหอกล่าวว่า “นอกจากศิษย์น้องสองสามคนที่…ตรงริมน้ำและศิษย์น้องที่ถูกสูบสมองจนตาย เท่าที่เห็นตอนนี้ไม่มีใครบาดเจ็บอะไรอีกขอรับ”
เสิ่นชิงชิวเอ่ยต่อ “ลำบากเจ้าแล้ว”
ลั่วปิงเหอยิ้มน้อยๆ ดวงตาเป็นประกาย “ศิษย์ทำตามหน้าที่ขอรับ”
เสิ่นชิงชิวเห็นฉินหว่านเยวียตาแดงก่ำก็นึกในใจ นายยังมายิ้มอยู่อีก รู้รึเปล่าว่าเมียตัวเองตายไปคนนึงแล้ว!
พวกศิษย์เห็นผู้อาวุโสยอดฝีมือปรากฏตัวมาช่วย แต่ละคนราวกับเห็นแม่มา ขาดแต่ยังไม่ได้เข้ามากอดขาเขาร้องไห้เท่านั้น เสิ่นชิงชิวกล่าว “พวกเจ้าไม่ต้องตกใจกลัวไป เหล่าเจ้าสำนักด้านนอกรู้เรื่องที่เกิดขึ้นในนี้แล้ว และผู้อาวุโสกลุ่มใหญ่ได้เข้าเขตอาคมมาให้ความช่วยเหลือแล้วเช่นกัน พวกเจ้าดูแลตัวเองให้ดี อีกไม่นานก็จะฝ่าวงล้อมออกไปได้”
ประโยกนี้ของเขาดุจดั่งยาทิพย์บำรุงใจ ช่วยเรียกขวัญที่กระเจิดกระเจิงของหนุ่มน้อยสาวน้อยได้เป็นอย่างดี ลั่วปิงเหอกล่าวว่า “ซือจุนขอรับ เมื่อครู่มันคือสิ่งใดกัน”
หากถามเรื่องปีศาจใน ‘เทพมารอหังการ’ นับว่าถามถูกคนแล้วจริงๆ
เสิ่นชิงชิวกล่าวคล้ายกำลังจาระไนสมบัติในบ้านตัวเอง “ไม่แปลกหรอกที่พวกเจ้าไม่เคยเห็น เจ้าสิ่งนี้เรียกว่าแมงมุมหัวผี นิสัยโหดเหี้ยม หน้าตาอัปลักษณ์ดุร้าย สามารทำเสียงเด็กร้องไห้เพื่อล่อเหยื่อให้เข้ามาใกล้ พอเหยื่อเข้ามาใกล้ แผ่นดูดที่อยู่ใต้หัวมันก็จะยึดเข้ากับกระหม่อมของเหยื่ออย่างเหนียวแน่น ขาทั้งแปดแหลมคมสุดจะเปรียบ สามารถเจาะไชหัวกะโหลกแล้วสูบเอาสมองของเหยื่อ”
ลั่วปิงเหอได้ฟังเขาสาธยายอย่างละเอียดก็ทั้งนึกเลื่อมใสและประหลาดใจ “ในโลกนี้กลับมีสิ่งมีชีวิตที่โหดร้ายถึงปานนี้ ศิษย์ช่างโง่เขลาและหูตาคับแคบโดยแท้”
นับจากลั่วปิงเหอคำนับมารฝันเป็นอาจารย์ วิชาคาถาและวิชากระบี่ที่เสิ่นชิงชิวสามารถชี้แนะลั่วปิงเหอได้ก็น้อยลงไปทุกที ไม่ง่ายนักที่จะมีโอกาสวางมาดอาจารย์ต่อหน้าลูกศิษย์ เสิ่นชิงชิวแอบลิงโลดในใจ รู้สึกราวกับได้รัศมีของอาจารย์ที่หายไปกลับคืนมา
“แมงมุมหัวผีเป็นสิ่งที่มีอยู่เฉพาะในเผ่ามาร ไม่อาจปรับตัวเข้ากับดินน้ำของภพมนุษย์ ไม่มีใครเห็นมันมานานมากแล้ว เอกสารหรือคัมภีร์โบราณจึงบันทึกเอาไว้น้อยนัก หากเจ้าเห็นมันอีก จำไว้ว่าให้ตีที่ขมับมันเลย แมงมุมตัวเมื่อครู่เป็นตัวผู้ ดีที่ไม่ไปเจอเอาแมงมุมตัวเมียเข้า ไม่เช่นนั้นแล้วจะน่ากลัวกว่านี้…”
คนทั้งสองเพิ่งจะคุยกันได้ไม่ทันไรก็มีเสียงประหลาดดังขึ้นมาจากใบไม้เหนือศีรษะของทุกคน
หัวจำนวนมากห้อยอยู่กับใยแมงมุมสีขาว ทิ้งตัวลงมาจากต้นไม้
เสิ่นชิงชิวหน้าเปลี่ยนสี
เสียงของแมงมุมหัวผีจะดึงดูดพวกเดียวกันให้มารุมเหยื่อ!
เขาตวัดพัดด้ามจิ้วในมือ โบกพัดเรียกลมสลาตันสายหนึ่ง เพียงชั่วแล่นก็ตัดใยแมงมุมขาดไปหลายสิบเส้น พวกแมงมุมหัวผีร่วงตกลงพื้นดังตุบตับดั่งผลไม้สุกหล่นจากต้น เสิ่นชิงชิวตะโกน “ไป!”
ลั่วปิงเหอตอบรับอย่างรวดเร็ว ฉวยโอกาสที่พวกแมงมุมหัวผีกำลังมึนจากการตกลงมาพาทุกคนวิ่งหนี สองศิษย์อาจารย์คนหนึ่งวิ่งนำหน้าอีกคนหนึ่งปิดท้าย ตรงกลางคือขบวนผู้คนที่วิ่งกันอุ้ยอ้าย ขณะที่หัวท้ายกลับลงมือสังหารกันเลือดสาด พวกแมงมุมหัวผีเคลื่อนไหวว่องไว กระโดดได้ไกล แต่พอกระโจนขึ้นกลางอากาศก็จะถูกพลังทิพย์ของคนทั้งสองสลับกันจู่โจมจนพรุน
พอรู้ว่าต้องจัดการอย่างไร ลั่วปิงเหอก็ประหนึ่งมีเทพเจ้าช่วยเหลือ แทบจะหลับตาฟาดคราวละสองตัวขึ้นไปก็ยังได้ เหนือศีรษะของทุกคนมีโลหิตสาดกระจายราวกับสายฝน เสียงหวีดร้องโหยหวนดังระงม
ถึงจะเป็นเช่นนี้ แต่พวกมันมีมากเกินไป ทั้งไม่สามารถป้องกันได้หวาดไหว ขณะที่เสิ่นชิงชิวกำลังกังวลว่าไอ้พิษระยำตำบอนนั่นจะกำเริบขึ้นมาเมื่อใดก็ไม่รู้ พลังทิพย์ของเขาพลันสะดุดกึก มือที่ฟาดออกไปตีอากาศวืด
ไรวะ พูดถึงก็มาเลยเหรอ!
เสิ่นชิงชิวรีบเปลี่ยนจากพลังทิพย์เป็นพลังกายโจมตีแทน พลิกมือใช้สันพัดฟาดขวางแมงมุมหัวปีศาจที่พุ่งเข้ามาตัวนั้นขาดเป็นสองท่อน
ลั่วปิงเหอสังเกตสถานการณ์ฝั่งของเสิ่นชิงชิวอยู่ตลอด เห็นผิดปกติก็ร้องถาม “ซือจุน?”
เสิ่นชิงชิวรีบกล่าว “ไม่มีอะไร เจ้าคอยระวังตัวเองไว้”
ดีที่พวกเขาถูกเสิ่นชิงชิวพาเข้ามาในพื้นที่พิเศษแห่งหนึ่งแล้ว พวกแมงมุมหัวผีคล้ายเจอปราการไร้รูปเข้า ไม่กล้ารุกคืบบินเข้ามา ซ้ำยังหวีดเสียงร้องโหยหวน ถอดกรูดเข้าพุ่มไม้ต้นไม้หายวับไป
เสิ่นชิงชิวผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก
ฉินหว่านเยวียหอบหายใจพลางถามด้วยความฉงน “ผู้อาวุโสเสิ่นไฉนพอเข้ามาในนี้ ปีศาจพวกนั้นจึงไม่กล้าตามเข้ามาเล่าเจ้าคะ”
เสิ่นชิงชิวกล่าวว่า “พวกเจ้าลืมไปแล้วหรือ ในหุบเขาทางตันมีดอกไม้มหัศจรรย์อะไรงอกอยู่”
อันที่จริงตัวเขาเองก็ลืมไปแล้วเช่นกัน
ขอโทษทีที่เขาจำชื่อดอกไม้นั่นไม่ได้เลยจริงๆ!
ลั่วปิงเหออุตส่าห์ช่วยนึกให้อย่างมีน้ำใจ สักพักก็เอ่ยชื่อดอกไม้ออกมา “บัวหิมะพิสุทธิ์พันใบ!”
เสิ่นชิงชิวรู้ในที่สุดว่าทำไมตนถึงจำชื่อดอกไม้นี่ไม่ได้เลย
ไม่ ‘อะไรสักอย่างหิมะๆ’ ก็ ‘บัวๆอะไรสักอย่าง’ ดอกไม้มหัศจรรย์ที่ตั้งชื่อแนวนี้มีมากมายเสียจนเอาคำว่าเต็มท้องถนนมาบรรยายยังไม่ได้เลย จำได้ก็บ้าแล้ว!
เสิ่นชิงชิว “…ถูกต้อง เป็นบัวหิมะพิสุทธิ์พันใบ ดอกไม้นี้งอกอยู่ในส่วนลึกของหุบเขาทางตันมาเป็นเวลาพันปีแล้ว ปราณทิพย์ไม่ธรรมดาจึงเป็นศัตรูโดยธรรมชาติกับเผ่าพันธุ์ปีศาจ บริเวณโดยรอบจึงกลายเป็นปราการที่สามารถขับไล่ปีศาจไปในทันที ดังนั้นขอเพียงอยู่ในเขรปราการของมัน จะไม่โดนพวกปีศาจมารุกรานเลย”
ลั่วปิงเหอรีบซักถามทันควัน “ศัตรูทางธรรมชาติของเผ่าพันธุ์ปีศาจหรือขอรับ”
เขาตั้งอกตั้งใจฟังมาตลอด เสิ่นชิงชิวเห็นในแววตาของเขาราวกับมีกองไฟลุกโชน เรืองประกายแปลกๆวูบหนึ่งก็นึกฉงน “ใช้แล้ว”
ลั่วปิงเหอกล่าวว่า “เช่นนั้นบัวหิมะพิสุทธิ์พันใบนี้สามารถขับพิษของเผ่ามารได้หรือไม่ขอรับ”
เสิ่นชิงชิวผวาเฮือก
ท่าทางแบบนี้ ลั่วปิงเหอคงไม่ได้…คิดไปเก็บดอกไม้มหัศจรรย์นั่นมาขับพิษให้เขาหรอกนะ
แต่เดี๋ยวก่อน น้องฉินหว่านเยวี่ยที่นานจะไปเก็บดอกไม้ให้ในนิยายดั้งเดิม ตอนนี้อยู่ข้างๆนายเลยนะ ต่อหน้าต่อตาน้องเขา นายยังคิดจะไปเก็บดอกไม้ให้คนอื่น นี่มัน…แถมยังเป็นผู้ชายด้วย…เก็บดอกไม้เนี่ยนะ
ไว้หน้าเมียนายสักนิดไม่ได้รึ
เสิ่นชิงชิวรีบกล่าว “รับมือกับสถานการณ์ตรงหน้าก่อนเถอะ”
ลั่วปิงเหอกลับไม่ยอมเลิกรา “ซือจุนโปรดบอกศิษย์ด้วยขอรับ”
เสิ่นชิงชิวกล่าวว่า “ขับไม่ได้”
ลั่วปิงเหอไม่ลดละ “ซือจุนเคยทดลองแล้วหรือขอรับ ไม่ลองสักครั้งจะรู้ได้อย่างไร ศิษย์รู้ว่าซือจุนไม่อยากให้ศิษย์ไปเสี่ยงอันตราย แต่หากไม่เสี่ยงอันตรายดูสักตั้ง ศิษย์จะไม่มีวันนอนใจได้เลยชั่วชีวิต!”
มันขับไม่ได้จริงๆนะเฟ้ย!
ทำไมต้องมากตัญญูในเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้ให้ได้เนี่ย หา!!
จะบอกได้ยังไงว่าวิธีขับพิษให้หมดเกลี้ยงคือต้องปั้บๆๆกับนาย!
เสิ่นชิงชิวพูดกับเขาไม่รู้เรื่องก็ทำหน้าเย็นชา “ยามปกติเหวยซือตามใจเจ้าเกินไปใช่หรือไม่ ถึงทำให้เจ้าเข้าใจว่าในเวลาเช่นนี้ก็สามารถก่อความวุ่นวายตามใจชอบได้”
พูดกันตามจริง สองสามปีมานี้เนื่องจากภายในใจเกิดรู้สึกอยากชดใช้ความผิดล่วงหน้า และความรู้สึกอื่นๆประกอบกัน เขาไม่เคยใช้คำพูดแรงกับศิษย์คนนี้เลย ดังนั้นพอลั่วปิงเหอได้ยินวาจานี้เข้าก็นิ่งอึ้ง แน่นอนว่ายอมฝืนใจหุบปากแต่โดยดี แต่ในแววตายังคงดื้อดึง กระบี่เจิ้งหยางก็ไม่ยอมเก็บเข้าฝัก บ่งชัดถึงการไม่ยอมจำนน
ขณะที่ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมอ่อนข้อให้แก่กัน ใบไม้ใบหญ้าในป่ารกด้านหนึ่งก็ไหวยวบยาบ คนผู้หนึ่งเดินออกมา ด้านหลังยังมีศิษย์ที่ผ่านการต่อสู้อย่างโชกเลือดกลุ่มหนึ่งเดินตามมาในสภาพกะปลกกะเปลี้ย
เสิ่นชิงชิวเบนสายตาไปทางนั้นอย่างระแวดระวัง พอเห็นหน้าก็ราวกับโดนค้อนสวรรค์อันใหญ่ยักษ์ทุบเข้าที่ขมับเลยทีเดียว
ความจริงคนผู้นี้หน้าตานับว่าหล่อเหลาดูดีมีคุณธรรมอยู่หรอก แต่ในคำพูดและกิริยาอาการมีกลิ่นอายแห่งความชั่วร้ายเจือปนอยู่อย่างยากจะกำจัด ครั้นเขาเห็นเสิ่นชิงชิวกับลั่วปิงเหอก็ยิ้มกว้าง สอดกระบี่คู่กายที่แผ่ประกายเจิดจ้าคืนลงฝัก “ที่แท้ก็ศิษย์พี่เสิ่นนี่เอง ในเมื่อมาสมทบกับพวกท่านแล้ว ข้าก็วางใจล่ะ”
วางใจ?! วางใจพ่องซิ!
มีนายอยู่ด้วย ไม่วางใจถึงจะเป็นเรื่องถูก!
ไอ้คนที่อยู่ตรงหน้านี้คือผู้ร้ายตัวจริงเสียงจริงของความวุ่นวายครั้งนี้เลยเชียวล่ะ!
ซั่งชิงหัวคือตัวละครที่เสิ่นชิงชิวเลยแอบเล่นมุกว่า ‘นายเข้าเรียนชิงหัว เหอะๆ ส่วนฉันก็เคยสอบเข้าม.ปักกิ่ง*’ คนผู้นี้เป็นเจ้ายอดเขาอันติ้งเฟิง ขณะเดียวกันก็มีอีกตัวตนหนึ่งด้วย เขานี่เองคือไส้ศึกที่ก่อภัยพิบัติในงานชุมนุมเซียน เป็นเบี้ยตัวหนึ่งที่เผ่ามารวางเอาไว้เมื่อหลายปีก่อน
(ม.ชิงหัว กับ ม.ปักกิ่ง เป็นมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงคู่กันเหมือนจุฬา ธรรมศาสตร์ ผู้เขียนเอาชื่อของซั่งชิงหัวมาเล่นมุกคำพ้องเสียงแต่ต่างรูป ด้วยชื่อ ‘ซั่งชิวหัว’ พ้องเสียงกับคำว่า ‘ชั่งชิงหัว’ แปลว่า เข้าเรียนที่ ม.ชิงหัว)
เดิมทีซั่งชิงหัวเป็นแค่ศิษย์ตัวเล็กๆ ไร้ชื่อไร้นามคนหนึ่งของอันติ้งเฟิง ต่อมาถูกเผ่ามารระดับสูงผู้หนึ่งจับตัวไป แล้วบังคับให้เขาทำหน้าที่เป็นไส้ศึกแฝกตัวอยู่ภายใน
แต่ไม่หรอก ไม่เห็นต้องบังคับเท่าไรเลย เขากระดี๊กระด๊ารับหน้าที่เป็นไส้ศึกคนสำคัญโดยไม่รู้สึกกดดันสักนิด
มีเผ่ามารคอยช่วยหนุ่นหลังอย่างลับๆนับจากนั้นมาซั่งชิงหัวก้าวหน้าเลื่อนขั้นอย่างรวดเร็วคล้ายกับว่าวติดลมบน จนได้ขึ้นนั่งตำแหน่งเจ้ายอดเขาอันติ้งเฟิงในที่สุด
แต่ว่า…เขายังไม่พอใจอยู่ดี เพราะอะไรน่ะหรือ
เพราะมันคืออันติ้งเฟิง(ราบเรียบมั่นคง) ไง!
ได้ยินชื่อนี้ก็รู้เลยว่านี่ไม่ใช่สถานที่ๆมีแรงจูงใจอะไรเลย สิ่งที่ปฏิบัติสืบต่อกันมาและเป็นความถนัดของยอดเขานี้ก็อีหรอบเดียวกันกับชื่อของยอดเขานั่นแหละ…งานธุรการ
ก็ควรให้เขาไม่พอใจอยู่หรอก คนทั้งยอดเขา รวมทั้งตัวเจ้ายอดเขากลายเป็นเพียงก้อนอิฐ ที่ไหนต้องการตัวก็ย้ายไปที่นั่น วันนี้ไปเป็นกรรมกรที่นี่ พรุ่งนี้เอาข้าวของไปส่งให้ที่นั่น ประตูทางขึ้นเขาชำรุดเหรอ ตามอันติ้งเฟิงมาซ่อมซิ ขาดคนขับรถม้า? ให้อันติ้งเฟิงส่งคนมาซิ เดือนนี้ใช้เกินงด ไม่มีเงินใช้? ก็ไปเบิกอันติ้งเฟิงซิ เจ้ายอดเขาแบบนี้ต่อให้ความสามารถในงานธุรการดูแลจัดการทั่วไปจะเจ๋งขนาดซัดพวกโรงเรียนหลานเสียง* กระจุย ถีบพวกโรงเรียนชินตงฟางกระจาย แล้วมันดูเท่ไหมล่ะ มีสง่าราศีไหมล่ะ ดูองอาจมาดเท่ไหมล่ะ มีศักดิ์มีศรีของความเป็นเจ้ายอดเขาไหมล่ะ
(หลานเสียง เป็นชื่อโรงเรียนสอนอาชีพแนวสารพัดช่าง ส่วนฟางตงชิน เป็นชื่อโรงเรียนสอนทำอาหาร ทั้งสองโรงเรียนนี้โหมโฆษณาหนักมา เลยโดยเอามาล้อคู่กันบ่อยๆ)
สู้ศิษย์ตัวน้อยของยอดเขาอื่นที่มีพรสวรรค์ติดตัวมาแต่กำเนิดยังไม่ได้ด้วยซ้ำ
ดังนั้นซั่งชิงหัวจึงเดินหน้ายอมเป็นสุนัขรับใช้ของเผ่ามารชนิดไม่เหลียวหลัง ทุ่มเททำเรื่องชั่วช้าอย่างเต็มกำลังเพื่อช่วยเผ่ามารยึดครองภพมนุษย์
แค่เห็นเขา เสิ่นชิงชิวก็ปวดมวนท้องแล้ว “ศิษย์น้องซั่ง ตอนเจ้ามาเห็นปีศาจขนาดใหญ่อยู่แถวนี้หรือไม่”
ซั่งชิงหัวตะลึงงัน ถามว่า “ปีศาจขนาดใหญ่หรือ ไม่เห็นสักตัวเลยนะ”
เสิ่นชิงชิวในเต้นตูมตาม ไม่เห็นหรือ
‘ปีศาจขนาดใหญ่’ ในที่นี้เป็นหนึ่งในตัวประกอบสำคัญของเนื้อเรื่องช่วงนี้ ในนิยายดั้งเดิมเรื่องที่ลั่วปิงเหอมีสายเลือดของเผ่ามารถูกเปิดเผยออกมา สืบเนื่องจากมีแรดดำงูเหลือมวงพระจันทร์ตัวหนึ่งถูกเอามาปล่อยในงานชุมนุมเซียน
เพื่อปกป้องทุกคน ลั่วปิงเหอยอมเสี่ยงชีวิตเข้าสู้ แต่พลังสังหารและรูปร่างของแรดดำงูเหลือมวงพระจันทร์เข้าขั้นมโหฬาร แน่นอนว่าย่อมสู้ไม่ได้ แต่พอสู้ไม่ได้จะทำอย่างไรดี ระเบิดพลังเผ่ามารซิ
ดังนั้นเรื่องของลั่วปิงเหอ จึงได้เปิดเผยต่อหน้าเสิ่นชิงชิว เสิ่นชิงชิวเลยมีเหตุผลที่จะเอา ‘ความถูกต้องอยู่เหนือครอบครัว’ มาอ้าง ฟาดเขาหนึ่งฝ่ามือให้ร่วงลงไปเก็บเลเวลอยู่ในห้วงอเวจี
เมื่อครู่เสิ่นชิงชิวไม่รู้สึกถึงไอปีศาจของแรดดำงูเหลือมวงพระจันทร์เลย ยิ่งไม่ได้ยินเสียงของตัวประหลาดที่ ‘คล้ายทั้งงูเหลือมและแรด’ อันกังวานนาวไปถึงพระจันทร์ ซึ่งตำนานบอกว่าเป็นสัญลักษณ์ของมัน ทั้งตอนนี้ซั่งชิงหัวก็บอกว่าไม่เห็น เขาเลยอดระแวงไม่ได้ หากไม่มีไอเทมสำคัญชิ้นนี้ก็ไม่มีเหตุให้เขาใช้เป็นข้ออ้างในการที่จู่ๆจะถีบลั่วปิงเหอน่ะซิ
เขาอดรนทนไม่ไหวหันไปมองลั่วปิงเหอที่นิ่งเงียบไม่พูดไม่จา เด็กคนนี้เห็นชัดว่ายังคงคิดเรื่องขับพิษ จะไปเก็บดอกไม้ให้จงได้ ในแววตาดื้อดึงของเขาคล้ายมีความรู้สึกน้อยอกน้อยใจเจืออยู่ด้วย
จะมาน้อยใจอะไรล่ะ ฉันทำเพื่อนายนะ นายเก็บดอกไม้น่ะได้ แต่จะเก็บดอกไม้ส่งให้ผิดคนไม่ได้ ขอบใจ!
ซั่งชิงหัวกล่าวอย่างคับแค้นเดือดดาล “ตอนข้ามา ตลอดทางมีศิษย์บาดเจ็บล้มตายไม่น้อย คนเหล่านี้ล้วนเป็นเสาหลักของโลกผู้ฝึกวิชาเซียนในวันข้างหน้า คนที่เอาปีศาจเข้ามาปล่อยช่างโหดเหี้ยมไร้ความละอายนักต่ำช้า สติวิปลาสโดยแท้!”
เสิ่นชิงชิวพูดอะไรไม่ออก
ปีศาจพวกนั้นก็นายนั่นแหละเอามาปล่อยไม่ใช่รึ ใช้คำพูดนี้ด่าตัวเองไม่เป็นไรรึ ถึงแม้ตัวนายเองจะไม่นึกเดือดร้อนก็เถอะ…
ยังไม่ทันจะแขวะเสร็จ เกิดแผ่นดินไหวขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
ศิษย์แต่ละคนตัวโคลงเคลง พากันหวาดกลัวทำอะไรไม่ถูกไปแล้ว เสียงถามไถ่ดังเซ็งแซ่ ส่วนเสิ่นชิงชิวตื่นตัวโดยพลัน
แผ่นดินไหวระดับ 7.5 ไม่ผิดพลาดแน่
ในที่สุดห้วงอเวจีก็ถูกเปิดออกแล้ว!
สิ่งที่เรียกว่าห้วงอเวจีนั้นคือรอยต่อที่อยู่ระหว่างภพมนุษย์กับภพมาร
เนื่องจากเป็นช่องว่างระหว่างรอยต่อของสองภพ ห้วงอเวจีจึงเต็มไปด้วยอันตรายและสิ่งลึกลับ ห้วงอากาศก่อตัวเป็นมิติอันบิดเบี้ยวและขาดวิ่น ลาวาร้อนแรงดั่งไฟโลกันตร์มีอยู่ทุกหนแห่ง
ศิษย์ทั้งหมดที่อยู่ตรงนี้ต่อสู้มาตลอดทาง เหน็ดเหนื่อยทั้งกายใจจนทนไม่ไหวแล้ว หลังจากเกิดเผ่นดินไหวรุนแรงขึ้นก็สลบไปเกือบหมด ที่ยังเหลือและฝืนยืนอยู่ได้มีเพียงเสิ่นชิงชิว ลั่วปิงเหอ และซั่งชิวหัวสามคนเท่านั้น
ในเมื่อห้วงอเวจีถูกเปิดออก แสดงว่าจะต้องมีอะไรบางอย่างของเผ่ามารออกมาจากทางนั้น คนทั้งสามกลั้นลมหายใจ ตั้งสติมั่น เตรียมรับมือเต็มที่ เฝ้ารออย่างเงียบเชียบ
ในความมืดค่อยๆ ปรากฏร่างของชายหนุ่มผู้หนึ่งขึ้น
เห็นใบหน้าที่เย็นชาราวกับมีน้ำแข็งเกาะ และสีหน้าที่กีดกันคนให้ออกห่างพันลี้นั่นแล้ว เสิ่นชิงชิวรู้ทันทีว่าเขาเป็นใคร
เสิ่นชิงชิวชำเลืองมองซั่งชิวหัวด้วยหางตา เห็นเขาหน้าซีดเผือดทันควันก็นึกขำ แต่หัวเราะไม่ออก
ทำไมคนที่วันหน้าจะกลายเป็นเพื่อนสนิทและลูกน้องของลั่วปิงเหอคอยช่วยเขาทำความชั่ว ฆ่าคนวางเพลิงถึงได้มาปรากฏตัวที่นี่ตอนนี้ล่ะ!
โม่เป่ยจวินมีสายเลือดบริสุทธิ์ของเผ่ามาร เป็นมารรุ่นสอง* โดยชอบธรรมของตระกูลผู้ปกครองดินแดนทางเหนือในภพมาร เป็นบุคคลลึกลับไปมาไร้ร่องรอย มักอยู่ว่างไม่ทำอะไร ไม่สนใจใครหน้าไหน ตัวละครที่แยกตัวโดดเดี่ยวเช่นนี้ หลังจากช่วงกลางเรื่องถูกลั่วปิงเหอที่มีดัชนีทองคำโค่นก็ก้มหัวศิโรราบ ยอมทำทุกอย่างตามแต่ลั่วปิงเหอจะสั่งเอาง่ายๆเสียอย่างนั้น นับจากนั้นมาลั่วปิงเหอก็ได้ลูก้องผู้จงรักภักดีที่มีความสามารถ คอยวิ่งเต้นทำงานจิปาถะเพิ่มมาคนหนึ่ง แต่ว่า…ที่จริงแล้วตามนิยายเดิม ยังอีกห้าร้อยตอนจึงจะถึงคิวนายออกโรงนะลูกพี่
(คำว่า ‘มารรุ่นสอง’ ในที่นี้เป็นการล้อคำว่าเศรษฐีรุ่นสอง หมายความว่า ได้ตำแหน่งมาจากการสืบทอดทางสายเลือด ไม่ต้องขวนขวาย ไม่ได้หมายถึงว่า เป็นผู้สืบทอดรุ่นที่สอง)
ซั่งชิงหัวก้าวออกมาข้างหน้า ตะโกนถาม “ท่านคือผู้ใด ไฉนมาปรากฏตัวที่นี่”
นั่นไม่ใช้ผู้บังคับบัญชาโดยตรงของนายหรอกรึ ผู้ที่สั่งให้นายเอาของอันตรายมาปล่อยในงานชุมนุมเซียนก็คือเขาไม่ใช่หรือไง เชิญเหอะๆ เชิญนายเสแสร้งต่อตามสบายเลยละกัน
โม่เป่ยจวินเบือนหน้ามาเล็กน้อย โครงหน้าอันหล่อเหลาซีกหนึ่งจมอยู่ในความมืด เห็นแล้วทำให้รู้สึกหนาวเยือก เขาเพียงยกนิ้วขึ้น ซั่งชิงหัวก็ลอยหวือขึ้นมากลางอากาศ กระเด็นไปฟาดต้นไม้เก่าโบราณต้นหนึ่งสลบเหมือดไป ขัดกับเลือดในปากซึ่งกระอักออกมาไม่หยุด จนเสิ่นชิงชิวอดเลื่อมใสไม่ได้
ทุ่มเทเต็มร้อย ตั้งใจทำหน้าที่สุดกำลัง พี่น้อง เพื่อหน้าที่แล้ว นายอึดจริงๆ!
เลื่อมใสเสร็จก็แอบถอนใจ ด้วยรู้ว่าเขาต้องออกหน้าแล้ว
เสิ่นชิงชิวชูกระบี่ขึ้นขวางด้วยท่าทีไม่อ่อนไม่แข็ง “เผ่ามาร?”
ประโยคนี้ไร้สติเสียจริง ปราณมารดำปี๋ลอยตลบอบอวลเป็นลูกๆขนาดนี้ มองไม่เห็นก็ตาบอดแล้ว
เงาร่างสีขาววาบขึ้น ลั่วปิงเหอไม่พูดไม่จา เอาตัวมาขวางหน้าเขาไว้
ครู่ก่อนยังดื้อแพ่งอยู่เลย ทว่าตอนนี้เมื่อเผชิญกับศัตรูที่เข้มแข็งกลับเอาตัวเข้ามาเป็นกำแพงมนุษย์ให้อย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย หากบอกว่าเสิ่นชิงชิวไม่รู้สึกซาบซึ้งเลยก็จะเป็นการโกหก
แต่ยิ่งซาบซึ้งก็ยิ่งรู้สึกว่าเรื่องที่อีกสักประเดี๋ยวจะต้องทำมันช่างใจร้ายใจดำเหลือแสน เสิ่นชิงชิวอยากให้เขาไม่ทำอะไรเลยเสียยังจะดีกว่า
“ปิงเหอ ถอยมา”
ลั่วปิงเหอไม่ตอบและไม่ถอย จ้องหน้าโม่เป่ยจวินเขม็ง ไม่ได้หวั่นไหวกับการประกาศศักดาของเขาแม้แต่น้อย
โม่เป่ยจวินทำเสียงเอ๊ะ ราวกับค้นพบสิ่งที่สามารถกระตุ้นความสนใจของเขาได้แล้ว
เสิ่นชิงชิวกล่าวว่า “มีศิษย์ที่ไหนเอาตัวมาขวางหน้าให้อาจารย์บ้าง”
โม่เป่ยจวินถามว่า “เจ้าเป็นศิษย์ของชางฉยงซานเช่นนั้นหรือ”
ลั่วปิงเหอตอบเสียงเย็น “ลั่วปิงเหอ ศิษย์ชางฉยงซานในสังกัดชิงจิ้งเฟิง ขอรับการสอนสั่งจากท่าน”
โม่เป่ยจวินหัวเราะหยัน “เซียนไม่เป็นเซียน มารไม่เป็นมาร น่าสนุกนี่”
เสิ่นชิงชิวที่ได้ยินวาจานี้ รู้สึกเหมือนคว้าจับอะไรบางอย่างได้
หรือที่โม่เป่ยจวินปรากฏตัวในเวลานี้ เพื่อสวมบทตัวประกอบทำหน้าที่เดินเรื่องแทนแรดดำงูเหลือมวงพระจันทร์?
ที่บอกว่า ‘เซียน’ น่าจะหมายถึงซั่งชิงหัวที่แกล้งสลบไสล แต่ดันไม่ลืมกระอักเลือดอยู่ข้างๆนี่ เห็นชัดว่าเป็นผู้ฝึกวิชาเซียน แต่กลับทำหน้าที่เป็นวัวเป็นม้ารับใช้ให้เผ่ามารจนไม่เหลือความเป็นเซียน นับว่าด่าไม่ผิดเลย ส่วน ‘มาร’ นอกจากลั่วปิงเหอที่อยู่ตรงนี้แล้ว ยังจะหมายถึงใครอื่นได้อีก?
เสิ่นชิงชิวไม่แน่ใจว่าโม่เป่ยจวินสามารถมองทะลุถึงสายเลือดที่ซ่อนเร้นอยู่ในกายลั่วปิงเหอได้หรือไม่ ใจครุ่นคิดไปร้อยแปด
ลั่วปิงเหอเห็นเขานิ่วหน้าก็เข้าใจว่าอาจารย์โกรธที่ตนไม่เชื่อฟัง กล่าวว่า “ซือจุน เขาไม่มีทางปล่อยพวกเราไปแม้แต่คนเดียวแน่ เช่นนั้นก็สู้จนสุดแรงไปเลยสักตั้งดีกว่า”
นายพูดได้ถูกต้อง แต่มันไม่ช่วยอะไรหรอก
เสิ่นชิงชิวกล่าวว่า “เจ้ารั้งอยู่ที่นี่ มีแต่จะเอาชีวิตมาทิ้งเสียเปล่าๆ”
ลั่วปิงเหอกล่าวว่า “จะสู้จนตายเพื่อซือจุน หรือสู้ตายร่วมกับซือจุนศิษย์ยินยอมด้วยความเต็มใจขอรับ”
โม่เป่ยจวินเยาะ “สู้กับข้าหรือ” ส่วนที่ว่า ‘ช่างไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ’ ไม่ได้กล่าวออกมาอย่างไว้หน้าให้
เสิ่นชิงชิวนึกในใจ ดีแล้วที่นายไม่ได้พูดออกมา ไม่เกิน 3 ปี ลั่วปิงเหอมือเดียวก็ฟาดนายลุกไม่ขึ้นแล้ว แถมนายยังทำหน้าที่เป็นคนรับใช้ผู้ซื่อสัตย์ให้เขาอีกต่างหาก แบบนั้นเป็นการตบหน้าตัวเองไหมล่ะเนี่ย
โม่เป่ยจวินกล่าวว่า “ก็ดี เช่นนั้นข้าจะคอยดู”
ไม่ทันสิ้นคำ ไอสังหารในอากาศเพิ่มขึ้นฉับพลัน
เสิ่นชิงชิวขยับเท้าอย่างไรไม่ทราบ ไปอยู่หน้าลั่วปิงเหอในชั่วพริบตา มือซ้ายตวัดซิวหย่าออกมา ไม่สนว่าจะช่วยอะไรได้หรือไม่ ขอเข้าไปขวางก่อนแล้วค่อยว่ากัน มือขวาคว้าตัวลั่วปิงเหอโยนออกไปราวกับอินทรีหิ้วลูกเจี๊ยบ ให้เขาพ้นจากรัศมีปราณมารของโม่เป่ยจวิน จากนั้นหันไปฟาดฝ่ามือใส่โม่เป่ยจวินทันที
คนทั้งสองประมือกัน เสิ่นชิงชิวเลือดลมในอกตีซ่านขึ้นมาระลอกหนึ่ง เหมือนถูกฟาดเข้ามาตรงๆ พลังทิพย์พลุ่งพล่านไปทั่วร่างไม่หยุด พลังฝึกปรือเขาไม่นับว่าต่ำ ทว่าจินตานของเขา ยามอยู่ต่อหน้าว่าที่ผู้ช่วยคนสำคัญของลั่วปิงเหอราชันแห่งมารที่จะกวาดล้างโลกในวันข้างหน้า จะไปพอได้อย่างไร
แต่เขาก็ต้องสู้ให้ถึงที่สุด!
มีแต่สู้โดยไม่คิดชีวิต ถึงจะมีชีวิตต่อไปได้
จากประสบการณ์สิบกว่าปีในการอ่านนิยายกำลังภายในและเทพเซียนมาสารพัด ตัวละครประเภททะเยอทะยาน มั่นใจในตนเองสูง แถมนิสัยประหลาดพิสดารมักยอมรับนับถือพวกหัวแข็งที่สู้ถวายชีวิตไม่ยอมแพ้อยู่บ้าง แต่กับพวกขี้ขลาดขวัญอ่อน มีแต่จะลงมือโดยไม่ปรานี!
ลั่วปิงเหอถูกเสิ่นชิงชิวโยนออกไปไม่ทันตั้งตัว ไปได้ครึ่งทางก็ย้อนกลับมา เจิ้งหยางดีดตัวออกจาฝัก โม่เป่ยจวินชักมือกลับมาฟาดใส่ รัศมีกระบี่ขาวพร่างพรายที่พุ่งเข้ามา เจิ้งหยางไม่อาจทนรับปราณมารมหาศาลที่โถมเข้าใส่ไหว ประกายสีขาวระเบิดออกแล้วหักกระจายเป็นชิ้นๆอยู่ตรงนั้นนั่นเอง
โม่เป่ยจวินรับสองมือของเสิ่นชิงชิวด้วยมือเดียว แต่กลับเป็นฝ่ายเหนือกว่าอย่างถล่มทลายจนรู้สึกหมดสนุก ออกแรงสะบัดเสิ่นชิงชิวก็กระเด็นออกไป “พื้นฐานฝีมือไม่ค่อยจะมีเท่าไร วิชาบำเพ็ญฌานเบื้องต้นทื่อด้านพลิกแพลงไม่เป็น เจ้าไปเสียเถอะ”
เสิ่นชิงชิว “…”
ฝีมือของเสิ่นชิงชิวนั้น สำหรับภพมนุษย์ไม่อาจใช้คำว่า ‘อัจฉริยะที่อดีตกาลไม่เคยมีมาก่อน อนาคตไม่ปรากฏอีก’ ได้ก็จริง แต่อย่างน้อยก็ใช้คำว่า ‘อัจฉริยะหนึ่งในพัน’ ได้ ส่วนรากฐานวิชาบำเพ็ญฌานของชางฉยงซานนั้น เขาไม่เรียกว่าทื่อด้านนะ เขาเรียก ‘อนุรักษ์นิยม’ ต่างหาก! แต่ก็นั่นแหละ สำหรับโม่เป่ยจวินมันไม่ต่างอะไรกับแค่ขยะชิ้นหนึ่ง หากเสิ่นชิงชิวตัวออริจินอลมาได้ยินเข้า จะต้องกระอักเลือดออกมา 3 ลิตร กลับไปร้องไห้ก่นด่าไม่หยุดแน่
กระบี่ของลั่วปิงเหอหักเป็นชิ้นๆแล้ว เขาก็ไม่ได้สนใจแม้แต่นิด ทว่าพอเห็นเสิ่นชิงชิวถูกฟาดกระเด็นจนกระทบกระเทือนอวัยวะภายใน ตามไรฟันมีเลือดไหลซึมออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ แววตาเขาก็พลันทอประกายเย็นเยือกอึมครึม กระแสพลังปราณรอบตัวเกิดการเปลี่ยนแปลงในชั่วพริบตา
โม่เป่ยจวินรู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงอันชวนเขย่าขวัญนี้ ดวงตาสีน้ำเงินเยียบเย็นเรืองประกายด้วยความสนใจใคร่รู้ ทันใดนั้นกระบี่น้ำแข็งสีดำสนิทอยู่ๆก็ปรากฏในอากาศ 1 แตกเป็น 2 / 2 แตกเป็น 4 / 4แตกเป็น 8 ชั่วอึดใจก็แตกตัวออกมานับร้อยๆเล่ม ก่อตัวเป็นค่ายกลกระบี่น้ำแข็ง พุ่งจาก 4 ทิศ 8 ทาง เข้าใส่เสิ่นชิงชิวที่อยู่ตรงกลาง
กระบี่น้ำแข็งเหล่านี้ไม่อาจต้านทานหรือสกัดขวางด้วยวิธีสามัญธรรมดาได้ เพราะพวกมันหลอมสร้างขึ้นมาจากปราณมารบริสุทธิ์ พลังทิพย์ของเสิ่นชิงชิวในเวลานี้จวนแห้งเหือดหมดแล้ว สองฝ่ายปะทะกันก็เหมือนความต่างชั้นระหว่างประกายไฟเล็กจ้อยกับคลื่นยักษ์นั่นเอง ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร ไม่ต้องบอกก็รู้
ชั่วขณะที่ค่ายกลกระบี่สาดซัดลงมาดุจสายฝน พาให้เสิ่นชิงชิวใจเต้นกระหน่ำ
ฉันพยายามเต็มที่แล้ว แต่คนอื่นคิดว่าฉันไร้ความสามารถ ฉันจะทำยังไงได้
ที่น่าเจ็บใจคือจะตายทั้งทีดันไม่ตายให้ดูดีกว่านี้หน่อย กระบี่ดำถี่ยิบเป็นร้อยเล่มเสียบเข้าให้ ตัวมีหวังพรุนเป็นกระชอน ยังจะดูได้อยู่อีกหรือ
ทว่ารออยู่เป็นนานก็ไม่รู้สึกเจ็บปวดเหมือนห่าธนูทิ่มแทงหัวใจเลย
หากไม่ใช่โม่เป่ยจวินเกิดเป็นโรคลมชักขึ้นมากะทันหัน เช่นนั้นก็มีเพียงคนเดียวเท่านั้น ที่น่าจะสามารถต้านรับการโจมตีอันเปี่ยมล้นด้วยไอสังหารระลอกนี้ได้
เสิ่นชิงชิวประคองกายให้ตรง ค่อยๆเงยหน้าขึ้น
เป็นอย่างที่คิด
ค่ายกลกระบี่หนาแน่นถี่ยิบทั่วสารทิศบนท้องฟ้า สลายเป็นจุณไปเรียบร้อย
แตกสลายหมดสิ้นราวกับสูญหายโดยไร้ร่องรอย ท้องฟ้ายามราตรีบัดนี้เหลือเพียงเกล็ดน้ำแข็งสีดำลอยละล่องเต็มฟ้า สะท้อนแสงจันทร์ระยิบระยับแล้วตกลงมา
ภาพนี้สามารถเอาคำว่าสวยงามมาบรรยายได้เลยทีเดียว
ทว่าภาพของลั่วปิงเหอที่ยืนอยู่ตรงกลาง ทั่วทั้งร่างและในดวงตาประหนึ่งมีพายุหิมะมารวมตัวกัน คงมีแต่คำว่า ‘น่ากลัว’ เท่านั้นที่เอามาใช้บรรยายได้
เสิ่นชิงชิวนั่งลงข้างต้นไม้ใหญ่ กลืนเลือดที่คั่งในคอลงท้องพลางโคจรพลังเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ และสังเกตการณ์ศึกจอมมารแห่งยุคระดับผ่าภูเขาทลายก้อนหินไปด้วย
ผนึกที่สะกดโลหิตมารของลั่วปิงเหอยังไม่ได้ถูกปลดออก โม่เป่ยจวินเพียงแค่ลองทดสอบเขาดูเท่านั้น แต่ก็สู้กันชนิดมืดฟ้ามัวดิน ตะวันจันทราสิ้นแสง ปราณมารของทั้งสองราวกับคลื่นลมคลั่งทะเลเดือด แทบจะคลุมเมฆาพร่าตะวันเลยทีเดียว
พื้นที่บริเวณนี้ความจริงอยู่ในรัศมีของบัวหิมะพิสุทธิ์พันใบ…มันใช่ชื่อนี้ไหมนะ คงจะใช่ ในรัศมีของบัวหิมะพิสุทธิ์พันใบ ปกติแล้วสิ่งมีชีวิตจากเผ่ามารจะไม่กล้าเข้าใกล้ แต่ปราณมารที่ตลบอบอวลทั่วฟ้าจรดดินเช่นนี้ ได้ส่งผลให้บัวหิมะที่เต็มไปด้วยปราณทิพย์ดอกนั้นเหี่ยวเฉายันราก ตายไปเรียบร้อยแล้ว พวกปีศาจที่แฝงตัวหลบอยู่ในความมืดเหล่านั้นค่อยๆคลานเข้ามาดูดซับพลังปราณอันหอมหวนสำหรับพวกมันอย่างตะกละตะกลาม
แมงมุมหัวผีสองสามตัวค่อยลอบคืบคลานเข้าหาศิษย์ของชางฉยงซานสองสามคน ขาที่เต็มไปด้วยขนของมันกำลังจะเสียบเข้าที่ขมับอยู่แล้ว เสิ่นชิงชิวพลังทิพย์แทบหมดเกลี้ยง ไม่อาจใช้พลังโจมตี ทำได้เพียงคว้าเส้นผมอันสกปรกรุงรังของพวกมันโดยไปด้านข้าง เขาเล็งไว้อย่างดีแล้วถึงค่อยจงใจโยนไปทางซั่งชิวหัวคนทรยศ!
ส่วนอีกด้านโม่เป่ยจวินทดสอบฝีไม้ลายมือของลั่วปิงเหอพอสมควรแล้ว เขาตั้งใจจะโจมตีอีกทีเป็นครั้งสุดท้ายก่อนยุติ ดีดนิ้วทีหนึ่ง ส่งลำแสงสีแดงเข้มเข้าใส่กลางหน้าผากลั่วปิงเหอ
เมื่อลำแสงสีแดงสายนั้นสัมผัสหน้าผากลั่วปิงเหอก็ซึมเข้าผิวหนังทันที แปรเปลี่ยนเป็นตราประทับสีแดงเพลิงจุดหนึ่ง
ลั่วปิงเหอต่อสู้จนมึนไปหมด ไม่รู้ว่ามันคืออะไร รู้เพียงว่าปวดหัวแทบระเบิดจนเจียนทรุดลงไปกองกับพื้น ทั่วทั้งร่างพลุ่งพล่านปั่นป่วนไปด้วยความรู้สึกร้อนรนรุนแรงที่ไม่อาจระบายออก แค่สะบัดมือส่งๆ ปราณมารที่ระเบิดออกมาพลันพุ่งเข้าหาโม่เป่ยจวินคล้ายดังกระสุนปืนใหญ่
พลังที่ส่งออกไปคราวนี้อานุภาพร้ายแรงมาก โม่เป่ยจวินยกมือขึ้นสลายพลัง เขาดูประหลาดใจอยู่บ้าง กล่าวชมว่า “ไม่เลว”
โม่เป่ยจวินไม่สนใจว่าตอนนี้ลั่วปิงเหอจะมีสติอยู่หรือไม่ กล่าวเองเสร็จสรรพ “ภพมนุษย์หาใช้ที่ๆเจ้าควรอยู่ ไยไม่กลับคืนสู่รากเหง้าที่แท้จริงของเจ้าเล่า”
ตอนนี้เสิ่นชิงชิวมั่นใจเต็มร้อยแล้ว การปรากฏตัวขึ้นกะทันหันของโม่เป่ยจวิน ก็เพื่อมาทำหน้าที่ของแรดดำงูเหลือมวงพระจันทร์ แต่เทียบกับนิยายต้นฉบับแล้ว โม่เป่ยจวินทำงานได้เบ็ดเสร็จรวบรัดกว่า ขะ ขะ เขาถึงกับปลดผนึกโลหิตมารในร่างลั่วปิงเหอเสร็จสรรพเรียบร้อย!
และพอจบภารกิจปิดการขายก็หมุนตัวจากไปดื้อๆ!
ช่างเป็น NPC ที่ตรงไปตรงมาอย่างถึงที่สุด ไม่มีโอ้เอ้ยืดยาดเลยจริงๆ ลักษณะนิสัยในนิยายดั้งเดิมก็แบบนี้เป๊ะ ไม่ว่าลั่วปิงเหอจะต้องการตัวเขาที่ไหน เขาจะไปโผล่ตรงนั้นอย่างน่าพิศวง เหลือเชื่อขนาดนี้ ไม่เหมือนใครขนาดนี้ ไม่ต้องการตรรกะใดๆทั้งสิ้น!
ที่เหลือเชื่ออีกอย่างคือ สิ่งที่เสิ่นชิงชิวกำลังจะต้องเผชิญหน้าต่อไปนี่แหละ มันคือการปิดจ็อบฉากสุดท้าย
ลั่วปิงเหอที่เพิ่งผ่านศึกหนักนั่งคุกเข่าข้างหนึ่งกับพื้นอย่างเหม่อลอยอยู่กลางกองเศษดินเศษหิน แต่ก็ดูราวกับจะฉีกทำลายทุกอย่างให้เป็นจุณได้ ยามนี้สมองของเขาเหมือนภูเขาไฟที่หลับใหลมาหลายปีลูกหนึ่ง ซึ่งจู่ๆระเบิดออก ในเส้นเลือดดุจมีลาวาไหลพล่าน แต่คิดเสิ่นชิงชิวก็เหมือนจะร้อนจนปวดหัวปวดกระดูกตามไปด้วย
เวลานี้เอง ระบบประกาศด้วยเสียงโหยหวนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
[ประกาศ! ภารกิจสำคัญ : ‘ห้วงอเวจีกับความคับแค้นไร้ประมาณ เกล็ดน้ำแข็งกับหยดน้ำตาโลหิตหลั่งรินทั่วฟ้า’ เปิดแล้วอย่างเป็นทางการ หากทำไม่สำเร็จค่าความฟินของพระเอก ติดลบ 20,000 คะแนน!]
ชื่อภารกิจทุเรศขึ้นทุกที นี่เราหลอนไปเองรึเปล่าเนี่ย
ดูเหมือนเมื่อวานซืน ตอนที่ผมคอนเฟิร์มกับคุณ มันคือ 10,000 ไม่ใช่รึ
ผ่านไปไม่กี่วันเพิ่มมาหนึ่งเท่าตัวแล้ว?
เสิ่นชิงชิวเดินด้วยขาอันสั่นเทาไปยังข้างกายลั่วปิงเหอที่ยังคงอยู่ในสภาพกึ่งเสียสติอยู่ ตบหลังเขาหนักๆ เพื่อส่งพลังทิพย์ที่เหลืออยู่น้อยเต็มทีเข้าร่างเขา
คิดว่าง่ายๆแค่นี้จะได้ผลเหรอ โลกสวยไปหน่อยแล้ว!
ลั่วปิงเหอไม่เพียงไม่ได้สติกลับคืน ปราณมารในร่างเขากลับยิ่งแผ่ออกมาจนกระแทกใส่เสิ่นชิงชิว ทำเอาเลือดคั่งที่สู้อุตส่าห์ข่มมานานกระอักออกมาเดี๋ยวนั้น
ช่วงเวลานี้เอง ลั่วปิงเหอจึงได้สติคืนมาบ้าง
เขาค่อยๆถอยออกจากภวังค์อันสับสนอย่างเชื่องช้า ฝืนปะติดปะต่อคำพูดอย่างมึนงง จากนั้นใบหน้าที่คุ้นเคยก็เริ่มปรากฏชัดเจนขึ้น
ในที่สุดเสิ่นชิงชิวก็เห็นแววตาลั่วปิงเหอดูแจ่มชัดขึ้นบ้างแล้ว เลยถอนใจอย่างโล่งอก เอามือเช็ดเลือดที่มุมปากตัวเอง ถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ได้สติแล้วหรือ”
เว้นระยะไปครู่หนึ่งแล้วกล่าวต่อ “หากได้สติแล้ว เราจะได้พูดจากัน”
เสิ่นชิงชิวคาดคั้น “ลั่วปิงเหอ เจ้าสารภาพความจริงเสีย เจ้าฝึกวิชามารมานานแค่ไหนแล้ว”
พอได้ยินถ้อยคำดังกล่าว ลั่วปิงเหอราวกับร่วงลงมาอย่างแรงจากห้วงอากาศที่สูงจนหายใจไม่ออก ตกลงสู่บ่อน้ำเย็นเฉียบเข้ากระดูก ต่อให้ไม่อยากได้สติก็ช่วยอะไรไม่ได้แล้ว
เขามองสีหน้าเย็นเยือกของเสิ่นชิงชิวแล้วใจหายวาบ
ปกติแล้วเสิ่นชิงชิวมักเรียกเขาว่าปิงเหอ แทบไม่เคยเรียกชื่อแซ่เขาเต็มๆ
เขากล่าวเสียงแผ่ว “ซือจุน ศิษย์อธิบายได้นะขอรับ”
ลั่วปิงเหอถึงอายุยังน้อย แต่เป็นคุนสุขุมหนักแน่น ไม่ลนลานมาตลอด มักทำตัวเป็นผู้ใหญ่เกินวัย แต่เวลานี้สีหน้ากลับแตกตื่นชัดแจ้ง ดูเหมือนร้อนใจอยากอธิบาย แต่ไม่รู้ควรพูดอย่างไรดี
พระเอกผู้ยิ่งใหญ่ต้องมาตกต่ำถึงเพียงนี้ เสิ่นชิงชิวแทบทนดูไม่ได้ชิงเอ่ยตัดหน้า “หุบปาก!”
สิ้นคำแม้แต่ตัวเขาเองยังรู้สึกได้ว่าคุมโทนเสียได้ไม่ดีนัก น้ำเสียงจึงออกจะดุดันไปหน่อย
ลั่วปิงเหอดูตกใจที่ได้ยิน ทำท่าราวกับเด็กที่ถูกตบหน้าเข้าให้ มึนงงสับสนไปหมด ดวงตาดำขลับมองเขาอย่างตกตะลึง หุบปากตามคำสั่งแต่โดยดี
เสิ่นชิงชิวหักใจมองหน้าเขาตรงๆไม่ได้เลย ได้แต่ถามเสียงห้วนตามบท “ตั้งแต่เมื่อใด”
“…สองปีก่อนขอรับ”
เสิ่นชิงชิวเงียบไม่กล่าววาจา ถามอะไรก็ตอบซื่อๆแบบนี้ เห็นได้ชัดว่าเขาตกใจกลัวมากจริงๆ
ไหนเลยจะรู้ว่าลั่วปิงเหอตีความเงียบของเขาเป็นว่า “ดีมากเจ้าศิษย์ชั่ว กล้าปิดบังข้ามานานถึงเพียงนี้”
เสิ่นชิงชิวกล่าวเสียงเบา “สองปี มิน่าเล่าเจ้าถึงได้ก้าวหน้ารวดเร็วถึงขั้นนี้ ลั่วปิงเหอ เจ้าช่างสมกับเป็นลั่วปิงเหอโดยแท้ พรสวรรค์ไม่ธรรมดาจริงๆ”
ความจริงประโยคนี้เป็นคำชมที่กล่าวออกมาจากใจจริงของเขาเลยทีเดียว ในฐานะพระเอก ความจริงที่ว่าลั่วปิงเหอมีพรสวรรค์ไม่ธรรมดานั้นก็ถูกต้องแล้ว หากเสิ่นชิงชิวจะมีความหมายอะไรแฝงอยู่ ก็เพียงแค่อิจฉาริษยานั่นเอง
แต่ลั่วปิงเหอฟังแล้ว กลับตีความไปคนละเรื่อง
เขาคุกเข่าลงตรงหน้าเสิ่นชิงชิวทันที
เสิ่นชิงชิวนึก ฉิบหายแล้ว ใต้เข่าลูกผู้ชายมีทองคำ พระเอกคุกเข่าให้ ชีวิตตูก็จบน่ะซิ ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้ยังมาคุกเข่าอีก เกิดวันข้างหน้าลั่วปิงเหอนึกได้ขึ้นมา ไม่ยิ่งแค้นเข้าไปใหญ่หรือ เขาสะบัดแขนเสื้อทันที “ลุกขึ้น!”
ลั่วปิงเหอถูกลมแรงจากแขนเสื้อของเขาฟาดใส่จนต้องลุกขึ้นยืน ถอยหลังไปหลายก้าว ทำอะไรไม่ถูกยิ่งกว่าเก่า
ทำผิดไปแล้ว ผิดจนไม่อาจแก้ไข กระทั่งจะคุกเข่าขออภัยต่อซือจุนยังไม่มีสิทธิ์เลยหรือ
เขากล่าวพึมพำ “แต่ซือจุนเคยกล่าวว่า คนเรามีดีมีชั่ว เผ่ามารเองก็ย่อมมีทั้งดีและเลวแตกต่างกันไป ในโลกนี้ไม่แน่ว่าฟ้าดินจะไม่ยอมอภัยให้”
ฉันเคยพูดหรือ มันก็หลายปีแล้วนะนี่ เสิ่นชิงชิวพยายามคิด
ดูท่าจะเคยพูดแบบนั้นไปจริงๆนั่นแหละ!
เพียงแต่ตอนนั้นพูดไปเพราะคำนึงถึงสถานการณ์ในภายหน้า ผิดกับตอนนี้ที่มันเป็นช่วงคอขาดบาดตาย คมมีดมาจ่อคออยู่
ถึงเป็นสุดวิสัย แต่ตอนนี้ตบปากตัวเองไม่ยอมรับ จะหน้าด้านไปหน่อยไหม
“เจ้าไม่ใช่เผ่ามารชนชั้นธรรมดาสามัญ” เสิ่นชิงชิวกล่าว “ตราประทับบนหน้าผากเจ้า เป็นตราบาปของมารที่ถูกขับจากสวรรค์ สายตระกูลนี้ได้เข่นฆ่าผู้คนในภพมนุษย์ไปนับไม่ถ้วน นิสัยใจคอยิ่งยากจะควบคุม ก่อภัยพิบัติไว้มากมายนับแต่โบราณนา ไม่ว่าอย่างไร ก็ไม่สามารถนำมาเปรียบกับเผ่ามารอื่นๆได้เลย ข้าไม่อาจรอให้เจ้าเข่นฆ่าสังหารผู้คนจนติดเป็นนิสัยควบคุมตัวเองไม่ได้เสียก่อน ซึ่งเป็นการพิสูจน์ให้ประจักษ์ว่าคำพูดของข้าในครั้งนั้นมันผิด”
ได้ยินเสิ่นชิงชิวพูดถึงขนาดนี้กับหู ความหวังดับสลาย ลั่วปิงเหอขอบตาแดงก่ำ
เขากล่าวเสียงสั่น “…แต่ท่านเคยบอกว่า”
คำพูดที่ฉันเคยพูดไว้มันเยอะมากเลยนะ ตอนนั้นฉันยังเคยไปเมนต์ยาวเหยียดตั้งร้อยกว่าเมนต์ให้จับเสิ่นชิงชิวตอนเลย
…ไม่ตลกเลยสักนิด
เสิ่นชิงชิวที่เก่งกาจในเรื่องปรับตัว ควบคุมความคิดของตนเองมาตลอด วันนี้ได้สร้างสถิติในการแขวะใหม่แล้ว แต่ทำไมถึงไม่สบายใจเลย กลับรู้สึกอ่อนเปลี้ยเพลียแรงด้วยซ้ำ
เขาล้างสมองตัวเองไม่หยุด ความทุกข์ทรมานที่ลั่วปิงเหอได้รับในตอนนี้ ล้วนเป็นหนทางที่ต้องผ่าน เพื่อจะได้อยู่เหนือคนนับหมื่นในวันหน้าหากไม่ผ่านความหนาวเหน็บเข้ากระดูก ไหนเลยจะมีกลิ่นดอกบ๊วยหอมหวานให้ดอมดม ไม่ผ่านการฝึกฝนสามปีในห้วงลึก ไหนเลยจะมีราชามารผู้ยิ่งใหญ่ได้ซินหมัวอยู่ในมือ ใต้หล้านี้เป็นของเจ้า มีสามงามสามพันในฮาเร็ม ก็ไม่ต้องทนเหงาอีกแล้ว…
เฮ้อ ไม่ได้ผล
ไม่ได้ผลเลยจริงๆ ไม่รู้สึกดีขึ้นสักนิด
เสิ่นชิงชิวเงยหน้าขึ้นทันที วาดมือเรียกซิวหย่ามาถือไว้ในมือ มือที่ถือกระบี่ของเขาสั่นเล็กน้อย เส้นเอ็นปูดโปน
ลั่วปิงเหอยังไม่ยอมเชื่อ “ซือจุน ท่านจะฆ่าข้าจริงๆหรือ”
เสิ่นชิงชิวทนมองสีหน้าเขาไม่ไหว สายตามองทะลุร่างเขา “ข้าไม่อยากฆ่าเจ้า”
ในความทรงจำของลั่วปิงเหอ เสิ่นชิงชิวไม่เคยเย็นชากับตนถึงขนาดนี้มาก่อน ต่อให้เป็นตอนที่เข้าชางฉยงซานใหม่ๆ ไม่ได้รับการเหลียวแลจากซือจุน สายตาที่มองตนก็ไม่เคยว่างเปล่าถึงขนาดนี้ มองเขาราวกับเป็นอากาศธาตุ
ไม่มีความอบอุ่นให้เห็นสักนิด ไม่ต่างอะไรกับสายตายามที่มองปีศาจชั่วช้าขณะกำลังจะลงกระบี่สังหาร ไม่ต่างเลยจริงๆ
เสิ่นชิงชิวกล่าวว่า “แต่ที่มารตนเมื่อครู่กล่าวก็ไม่ผิด ภพมนุษย์หาใช่ที่ที่เจ้าควรอยู่นาน เจ้าสมควรกลับไปยังโลกที่เป็นของเจ้า”
เขาเดินหนึ่งก้าว ลั่วปิงเหอก็ถอยหนึ่งก้าว จนคนทั้งคู่ถอยมาถึงหน้าห้วงอเวจีแล้ว
หันกลับไปเห็นปราณมารตลบอบอวลอยู่ในหุบเขาลึก หมื่นวิญญาณกรีดร้องโหยหวน แขนรูปร่างพิกลพิการนับร้อยนับพันคู่ยื่นขึ้นมาที่รอยแตก ด้านภพมนุษย์โหยหาเลือดเนื้อสดใหม่ ส่วนลึกลงไปกว่านั้นถูกบดบังอยู่ในหมอกดำทะมึนและแสงประหลาดสีแดงฉาน
เสิ่นชิงชิวเอาซิวหย่าชี้ลงไปที่ห้วงลึก แล้วกล่าว “เจ้าจะลงไปเอง หรือจะให้ข้าลงมือ”
เขาแอบหวังอย่างเห็นแก่ตัวว่าลั่วปิงเหอจะลงไปเอง ปกติแล้วคนที่เลือกกระโดดเหวลงไปเองจะไปแขวนติดอะไรสักอย่าง เช่นนี้เขาจะได้หลอกคนอื่นและหลอกตัวเองได้ว่าฉากนี้จบลงอย่างสวยงาม
ดีกว่านับจากนี้ไปทุกวันคืนเขาต้องจดจำฉากที่ตนเองฟาดลั่วปิงเหอตกลงไป
แต่ลั่วปิงเหอยังคงไม่ยอมแพ้
ไม่ยอมเชื่อว่าซือจุนที่ดีต่อตนปานนั้นจะผลักตนตกลงไปจริงๆ ไม่เชื่อว่าที่เจอหน้ากันทุกเช้าค่ำตลอดหลายปีมานี้จะลงเอยแบบนี้ได้
ต่อให้ซิวหย่าเสียบเข้าไปในอกเขา เขาจะกอดความหวังสุดท้ายเอาไว้มั่น
เสิ่นชิงชิวไม่ได้อยากแทงเขา
ที่จริงแล้วเขาเพียงแข็งใจทำเป็นกวัดแกว่งกระบี่ขู่ลั่วปิงเหอเท่านั้น ขอเพียงลั่วปิงเหอตกใจผงะหลบก็จะร่วงลงไปเอง แต่นึกไม่ถึงว่าลั่วปิงเหอจะยืนนิ่งอยู่กับที่เช่นนั้น จึงรับกระบี่เข้าไปตรงๆ
ชีวิตข้าพเจ้าจบสิ้นแล้ว นิยายดั้งเดิมคือแค่ถีบลงไป คราวนี้เพิ่มความแค้นที่เอากระบี่จิ้มหน้าอกอีกหนึ่งกระทง
ลั่วปิงเหอพลิกมือกำปลายกระบี่ แต่มิได้กำแรง เพียงกุมไว้เบาๆ กล่าวคือหากเสิ่นชิงชิวออกแรง ซิวหย่าก็จะแทงเข้าไปอีกจนทะลุอกเขา
ลูกระเดือกเขาขยับแผ่วเบาทว่าไม่มีเสียงใดเปล่งออกมา เห็นชัดว่าปลายกระบี่ยังมิได้แทงเข้าไปในหัวใจ แต่เสิ่นชิงชิวกลับรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงหัวใจของลั่วปิงเหอเต้นด้วยความเจ็บปวดผ่านทางปลายกระบี่มาถึงหลังมือ แล้วแล่นผ่านแขนตรงถึงหัวใจของตน
เสิ่นชิงชิวชักกระบี่กลับมาเดี๋ยวนั้น
การกระทำนี้ของเขาส่งผลให้ร่างลั่วปิงเหอโงนเงนเล็กน้อย ก่อนตั้งตัวได้อย่างรวดเร็ว เห็นเสิ่นชิงชิวมิได้สังหารตนให้ถึงที่สุด แสงในดวงตาที่เดิมทีริบหรี่ไปแล้วเรืองรองอีกครั้ง คล้ายประกายไฟในเถ้าถ่านที่พยายามจะดิ้นรนเฮือกสุดท้าย มุมปากพยายามจะฝืนยกขึ้นไม่รู้ว่าคิดจะยิ้มหรืออย่างไร
แต่เสิ่นชิงชิวกลับใช้แรงเฮือกสุดท้ายดับประกายไฟแห่งความหวังที่เรืองรองขึ้นมาในดวงตาของเขา
เสิ่นชิงชิวตระหนักดีว่าตนเองจะไม่มีวันลืมแววตาของลั่วปิงเหอในเสี้ยววินาทีที่ตกลงสู่ห้วงอเวจีไปตลอดกาล
………………………………………
รอจนเหล่าเจ้าสำนักและซิวซื่อเก็บกวาดปีศาจร้ายในเขตอาคมหุบเขาทางตันเสร็จจนตามมาถึง ช่องว่างของห้วงอเวจีที่เปิดออกก็ปิดสนิทเรียบร้อยแล้ว
นอกจากซั่งชิงหัวที่แกล้งตาย เสิ่นชิงชิวจัดการทำแผลให้คนอื่นที่นอนสลบอยู่กับพื้นเสร็จสรรพแล้ว แต่บาดแผลบนร่างตนเองกลับไม่ได้สนใจ ตามเสื้อผ้ามีรอยเลือดเปรอะเปื้อนไปทั่ว ใบหน้าไม่แสดงความรู้สึก หน้าซีดเผือดดูอเนจอนาถแท้
เยวี่ยชิงหยวนก้าวเข้ามาจับชีพจรเขาแล้วนิ่วหน้า เปลี่ยนให้มู่ชิงฟางเข้ามาตรวจ แต่ละสำนักเข้ามาหาคนของตนที่นอนระเกะระกะอยู่ที่พื้น เมื่อระบุตัวตนได้ก็แบกกลับไปรักษากันเองต่อ
หลิ่วชิงเกอรู้สึกว่าคนหายไปคนหนึ่ง ทั้งยังเป็นศิษย์คนนั้นที่ตามติดหน้าติดหลังเสิ่นชิงชิวไม่ยอมห่าง จึงถามขึ้น “ศิษย์คนนั้นของเจ้าเล่า”
เสิ่นชิงชิวก้มหน้าไม่ตอบ เก็บเศษกระบี่ชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่กระจายเกลื่อนพื้นขึ้นมา ศิษย์ของชิงจิ้งเฟิงกรูเข้ามาหาทันที หมิงฟานที่เป็นผู้นำตาไว พอเห็นกระบี่เล่มนั้นก็กล่าวตะกุกตะกัก “ซือจุน กระบี่เล่มนั้นมิใช่…”
ตอนแรกเขาเคยหมายปองกระบี่เจิ้งหยางของวั่นเจี้ยนเฟิงเล่มนี้อยู่หลายปี หลังจากถูกลั่วปิงเหอชักออกมาเลยอิจฉาแทบแดดิ้น นอนกระสับกระส่ายแช่งชักหักกระดูกอยู่หลายคืน จึงไม่มีทางจำกระบี่เล่มนี้ผิดพลาดเด็ดขาด
หนิงอิงอิงร้องไห้โฮออกมาเดี๋ยวนั้น “ซือจุนท่านอย่าทำให้ข้ากลัวซิ นี่มิใช่..มิใช่ เจิ้งหยางของอาลั่วหรอกหรือ ไม่ใช่กระมัง ไม่ใช่หรอก…”
เสียงผู้คนกระซิบกระซาบ “เจิ้งหยางหรือ”
“พูดถึงลั่วปิงเหอศิษย์รักของเจ้าหุบเขาเสิ่นอยู่หรือ”
“กระบี่อยู่คนอยู่ กระบี่นี้หักหมดแล้ว คนเล่า”
“คงไม่ได้…แค่กๆ”
มีคนถอนใจ “หากเป็นเช่นนี้ ก็น่าเสียดายเหลือเกินแล้ว จนถึงตอนนี้ลั่วปิงเหอขึ้นนำอันดับหนึ่งบนทะเบียนทองแล้วนะ”
“ฟ้าอิจฉาผู้มีความสามารถ ฟ้าอิจฉาผู้มีความสามารถ!”
มีทั้งผู้ถอนใจ ตกใจ เศร้าเสียใจ และผู้ที่ดีใจในคราวเคราะห์ของผู้อื่น
หนิงอิงอิงปล่อยโฮลั่นอยู่ตรงนั้นนั่นเอง
แม้หมิงฟานเกลียดลั่วปิงเหอ ด่าเขาให้ไปตายทั้งในที่ลับและที่แจ้งมาตลอด แต่ไม่เคยนึกอยากให้เขาตายไปจริงๆเลย ยิ่งพอคิดว่าหลังๆมานี้ซือจุนโปรดปรานเขาปานไหน เจ้าเด็กหน้าเหม็นนั่นกลับตายจากไปขนาดศพก็ไม่เหลือ ซือจุนจะต้องเศร้าเสียใจมากแน่ จึงไม่รู้สึกดีเลยสักนิด เมฆหมอกแห่งความทุกข์ปกคลุมทั่วชิงจิ้งเฟิง
เซียนซูเฟิงที่มีแต่ศิษย์สตรีนำโดยฉีชิงชีก็อดสะเทือนใจตามไปด้วยไม่ได้
หลิ่วชิงเกอไม่ใช่ผู้มีวาทศิลป์ เขาตบบ่าเสิ่นชิงชิวแล้วกล่าว “ศิษย์ไม่อยู่แล้วก็รับใหม่ได้”
ทราบดีว่าเขาอยากปลอบใจตน แต่เสิ่นชิงชิวยังอยากกลอกตาใส่เขาอย่างละเหี่ยใจ
คนที่ไม่ได้ถีบพระเอกบวกศิษย์ในสังกัดตัวเองลงห้วงอเวจี ล้วนเป็นพวกที่ยืนพูดไม่ปวดเอว*ทั้งหมดนั่นแหละ
(คนยืนพูดไม่ปวดเอว อุปมาถึงคนที่ดีแต่วิจารณ์คนอื่นโดยที่ตัวเองไม่ได้ลงมือทำ เหมือนดังเช่น คนที่ยืนพูดได้เรื่อยๆ โดยตัวเองไม่เดือดร้อน ไม่สนใจว่าคนอื่นที่ต้องก้มหน้าก้มตาทำงานจะทำได้หรือทำไหวไหม)
ช่างเถอะ มันเปลี่ยนแปลงไม่ได้แล้ว
เสิ่นชิงชิวกล่าวช้าๆ “ลั่วปิงเหอ ศิษย์ในสังกัดชิงจิ้งเฟิงถูกเผ่ามารทำร้าย สิ้นชีพแล้ว”
……………………..
งานชุมนุมเซียนคราวนี้เป็นปีที่สูญเสียหนักที่สุดนับแต่มีมา
ผู้ฝึกวิชาเซียนหน้าใหม่ที่แต่ละสำนักส่งเข้าร่วมมีทั้งหมดพันกว่าคน วัดเจาหัวที่มุ่งเน้นไปที่การร่ายเขตอาคมโชคดีรอดชีวิตไปได้ วังฮ่วนฮวาเสียหายมากที่สุด ตายไปเกือบร้อยคน ชางฉยงซานเบาสุด บาดเจ็บแค่สามสิบกว่าคน
ส่วนสำนักเล็กสำนักน้อยที่เหลือ มือใหม่ที่พลังตื้นเขินวิชาต่ำต้อยล้วนเกาะกลุ่มกันอยู่แถวๆนี้เช่นกัน บริเวณนี้จึงเป็นพื้นที่ประสบภัยหนักอย่างแท้จริง เต็มไปด้วยผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิต
การได้มีชื่อติดอันดับอยู่บนทะเบียนทอง เดิมทีเป็นเรื่องน่าดีใจ แต่ตอนนี้มาดูอีกที ผู้ที่ได้ขึ้นชื่อติดอันดับอยู่บนทะเบียนทองมีไม่น้อยที่เสียชีวิตอยู่ในหุบเขาทางตัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ขึ้นอันดับหนึ่ง ศิษย์ชางฉยงซานในสังกัดชิงจิ้งเฟิง ลั่วปิงเหอศิษย์รักของเสิ่นชิงชิว กระบี่หักคนม้วยจะไม่ให้เจ็บปวดใจได้อย่างไร
และนี่ยังไม่ได้นับเหล่าซิวซื่อที่เข้าไปช่วยชีวิตคน แล้วต้องเสียชีวิตอยู่ข้างในหุบเขา หลังจากศึกครั้งนี้แต่ละสำนักเรียกได้ว่ากำลังพลทรุดหนัก
ชิงจิ้งเฟิงได้รับเทียบแดงหนึ่งแผ่น
บนเทียบแดง ชื่อของลั่วปิงเหอที่ได้อันดับหนึ่งเขียนอยู่สูงเหนือใครเรืองประกายสีทองอร่ามตา
หมิงฟานเดินเข้ามารายงานว่า “ซือจุน มีศิลาทิพย์หนึ่งหมื่นก้อนส่งมา ควรจัดการอย่างไรดีขอรับ”
ศิลาทิพย์หนึ่งหมื่นก้อนหรือ เสิ่นชิงชิวตะลึง “ทำไมอยู่ๆ ถึงมีศิลาทิพย์จำนวนมากส่งมา”
หมิงฟานกล่าวอย่างระมัดระวัง “ซือจุนลืมแล้วหรือขอรับ ตอนงานชุมนุมเซียน ซือจุนลงเดิมพันเอาไว้ห้าพัน…”
เสิ่นชิงชิวจำได้แล้ว นี่เป็นเงินรางวัลที่เขาเดิมพันข้างลั่วปิงเหอ เยวี่ยชิงหยวนบอกว่าถ้าแพ้จะจ่ายให้ ชนะยกให้ตน
ลั่วปิงเหอสู้เต็มที่จริงๆ พลังที่ทุ่มเทชั่วก้านธูปสุดท้ายส่งให้เขาแซงหน้ากงอี๋เซียวและหลิ่วหมิงเยียนที่อยู่อันดับหนึ่งและอันดับสองไปยืนอยู่จุดบนสุด จนทำให้เสิ่นชิงชิวได้กำไรมาเท่าตัว
เวลานั้นทั้งที่คิดเพียงว่าหารายได้สักก้อนด้วยความหวังคิดปลอบใจตัวเอง แต่มาตอนนี้กลับไม่รู้จะทำอย่างไรกับมันดี
อีกทั้งเมื่อก่อนสิ่งของเหล่านี้เขาล้วนมอบให้ลั่วปิงเหอจัดการ ควรเก็บเข้าคลัง หรือเอามาใช้ทำอย่างอื่น จะทำอะไร อย่างไร ล้วนไม่ต้องให้เขากังวล ตอนนี้กลับกลายเป็นหมิงฟานมาถามเขาว่าควรจัดการอย่างไร
เสิ่นชิงชิวนิ่งคิด ก่อนตอบว่า “เก็บไว้ก่อน”
“…” ความจริงหมิงฟานยังคิดถามรายละเอียดว่า ‘เก็บไว้ที่ไหนขอรับ’ แต่สีหน้าซือจุนดูจะไม่ดีนักจึงไม่กล้าถามต่อ พลางคิดว่า เมื่อก่อนลั่วปิงเหอเก็บไว้ที่ไหน ข้าเก็บไว้ที่นั่นก็แล้วกัน จึงถอยออกไปทันที
ตลอดหลายวันที่ผ่านมา ศิษย์ชิงจิ้งเฟิงต่างพากันระมัดระวังตัว หลีกเลี่ยงหัวข้อต้องห้ามให้มากที่สุด เพราะกลัวจะไปแตะเอาเส้นที่ยังเจ็บของซือจุนเข้า ล้วนเข้าใจว่าผ่านไปสักพักก็น่าจะดีขึ้น ผ่านมาครึ่งเดือนกว่า เสิ่นชิงชิวก็ดูเหมือนค่อยๆ คืนสู่สภาวะปกติ แต่นึกไม่ถึงว่าอยู่มาวันหนึ่งใกล้จะได้เวลาอาหาร จู่ๆได้ยินเสิ่นชิงชิวเรียกชื่อลั่วปิงเหออยู่ในเรือนไผ่ออกมาสองครั้ง
หนิงอิงอิงวิ่งพรวดเข้ามา ทำเอาเสิ่นชิงชิวตกใจสะดุ้ง “ทำกระไร จู่ๆวิ่งพรวดพราดเข้ามาเป็นสาวเป็นนางทำกิริยาเอะอะมะเทิ่งเช่นนี้ใช้ได้ที่ไหน”
หนิงอิงอิงตาแดงก่ำ ดูเหมือนกระต่ายตัวหนึ่ง อาสาว่า “ซือจุน ท่าน…อยากกินอะไรเจ้าคะ ข้าจะทำให้!”
เสิ่นชิงชิวไอแห้งๆ ออกมาทีหนึ่ง “ไม่ต้อง เจ้าออกไปเล่นข้างนอกเถอะ”
หนิงอิงอิงกระทืบเท้า “ซือจุน! ต่อให้ไม่มีอาลั่วแล้ว แต่ท่าน…ท่านยังมีศิษย์คนอื่นอยู่นะเจ้าคะ ท่านเสียขวัญสูญวิญญาณเช่นนี้ ศิษย์…พวกศิษย์เป็นห่วงแทบตายแล้ว!”
อยู่มาครึ่งชีวิต เสิ่นชิงชิวไม่เคยนึกมาก่อนว่า คำว่า ‘เสียขวัญสูญวิญญาณ’ จะเอามาใช้กับตนได้
ความจริงแล้วพลังฝึกปรือระดับจินตาน จะกินข้าวหรือไม่กินก็ไม่มีความหมาย เขาแค่ตะกละขึ้นมากะทันหันอยากินของว่าง กอปรกับเมื่อกี้ดันลืมไปเสียสนิทว่าลั่วปิงเหอถูกเขาถีบลงห้วงอเวจีไปแล้ว แค่นี้ ถึงกันจะเอาคำว่า ‘เสียขวัญสูญวิญญาณ’ มาแปะป้ายให้เลยเหรอ
เสิ่นชิงชิวอ้าปากจะโต้แย้ง แต่เห็นหนิงอิงอิงร้อนใจจนจะร้องไห้ออกมาอยู่แล้ว เลยต้องรีบปลอบอกปลอบใจนางแทน สบถสาบานเป็นการใหญ่ว่าเมื่อครู่พลั้งปากไป นางจึงค่อยสงบลงได้
หลังจากปะเหลาะหนิงอิงอิงให้ออกไปได้ เสิ่นชิงชิวเป่าลมหายใจออกมายาวเหยียด พลันรู้สึกว่าแม่นางน้อยน่ารักน่าเอ็นดูที่ทำเป็นแต่สร้างปัญหาและเป็นตัวถ่วงมาตลอดในนิยายคนนี้เติบโตขึ้นไม่น้อย
พึงรู้ว่าถึงอย่างไรนางก็เป็นหนึ่งในฮาเร็มของลั่วปิงเหอ นางต่างหากที่สมควรร่ำไห้สะท้านฟ้าสะเทือนดิน ยามนี้รู้จกมาปลอบใจอาจารย์เสียแล้ว
นี่ถือว่าการสั่งสอนของเขาพอจะมีประสิทธิภาพได้หรือไม่
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่อาจปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปได้แล้ว!
เห็นๆอยู่ว่าเป็นเขาที่เลี้ยงพระเอกที่เหมือนลูกแกะให้เติบใหญ่ขึ้นมา เหตุใดตอนนนี้กลับดูเหมือนว่าเขาถูกพระเอกเลี้ยงเสียอย่างนั้น แค่ไม่เห็นหน้าไม่กี่วันก็ทำหน้าเป็นแม่ม่ายผัวตายทั้งวี่ทั้งวันไปแล้ว คิดจะให้ใครมาเห็นใจหรือไร
ไม่ใช่ละ! ถุยๆ! เสิ่นชิงชิวตบปากตัวเองในใจ
ว่าใคร ‘ทำหน้าแม่ม่าย ใครผัวตาย!’ ประโยคนี้ดันพูดมั่วซั่วออกมาได้ ยิ่งแก่ยิ่งสมองกลับ งาช้างไม่งอกออกมาจากปากสุนัข* จริงๆ
(งาช้างไม่งอกออกมาจากปากสุนัข หมายถึง คนปากเสียก็จะพูดดีๆไม่เป็น)
แต่พอลั่วปิงเหอไปแล้ว เขารู้สึกเหงาอยู่เหมือนกัน
ยิ่งพอคิดขึ้นมาว่าหลังจากนี้ห้าปี ตอนได้เจอกันอีกที ภาพอาจารย์เมตตาศิษย์กตัญญูในอดีต (…) จะต้องเปลี่ยนเป็นซ่อนดาบในรอยยิ้มที่แฝงไอสังหารแล้ว
เศษชิ้นส่วนของกระบี่เจิ้นหยางถูกเสิ่นชิงชิวเอากลับมาด้วย เขาขุดหลุมอย่างสุ่มๆหลังเรือนไผ่ของชิงจิ้งเฟิงเข้าหลุมหนึ่งแล้วปักป้ายสร้างสุสานกระบี่ คนอื่นเห็นเขายืนเหม่อลอยที่สุสานอันว่างเปล่า เข้าใจเอาว่าเขาคิดถึงศิษย์รัก เลยอดร่ำไห้กับความผูกพันลึกซึ้งของศิษย์อาจารย์คู่นี้ไม่ได้ โชคชะตาช่างเล่นตลกกับคนโดยแท้ มีแต่ตัวเขาเท่านั้นที่รู้ ที่เขาทอดถอนใจนั้นเพราะหนุ่มน้อยผู้แสนจะอบอุ่นสดใสราวกับดวงตะวันที่ฝังไว้ในสุสานกระบี่ผู้นั้นไม่มีทางหวนกลับคืนมาอีกแล้วต่างหาก
ส่วนความจริงสิ่งที่ทำให้จิตใจเขาสับสนน้ำตาไหลพราก เพราะระบบที่เงียบหายไปหลายวันมาประกาศข่าวอย่างไร้มนุษยธรรมว่า
[ขอแสดงความยินดีด้วย! ท่านสามารถทำภารกิจสำคัญ ‘เปิดตำนาน : ความตกต่ำและถือกำเนิดใหม่ของลั่วปิงเหอ’ ได้สำเร็จ ขอมอบรางวัลเป็น ค่าความฟินของพระเอก 10,000 คะแนน]
เสิ่นชิงชิวไม่ทันจะดีใจ ระบบก็ประกาศต่อ :
[แต่ขณะเดียวกัน เนื่องจากสถานการณ์พิเศษ เกิดการเปิดใช้งานค่าตัวเลขใหม่ นั่นคือ ‘ค่าใจสลายของลั่วปิงเหอ’ เนื่องด้วยค่าใจสลายสูงมากเกินไป ค่าความฟินของพระเอกจึงรีเซตเป็น 0! โปรดพยายามต่อไป]
…เป็น 0…เป็น 0…เป็น 0
สองคำนี้หมุนเวียนอยู่ในหัวของเสิ่นชิงชิวไม่หยุด
แล้วไอ้ค่าใจสลายมันคือบ้าอะไร บอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าอย่าเปิดใช้งานค่าตัวเลขแปลกๆตามใจชอบน่ะ!
ไปไกลๆเลย ลั่วปิงเหอเป็นลูกรักของระบบจริงด้วย กระทั่งใจสลายก็ยังเอามานับค่าได้!
เป็นวัวเป็นม้ารับใช้สามสิบปี คืนเดียวกลับเป็นเหมือนก่อนหน้า หัวอกตัวโกงนี่มันรันทดจริงๆ อัดอั้นตันใจเป็นที่สุด
ในเมื่อตัวเขาเองไม่มีความสุข เช่นนั้นก็ต้องทำให้คนอื่นไม่มีความสุขไปด้วย
ดังนั้นเสิ่นชิงชิวจึงใช้หมิงฟานไปส่งเทียบเชิญซั่งชิงหัวมาที่เรือนไผ่
ซั่งชิงหัววางถ้วยชากระเบื้องสีขาวปานหิมะ กล่าวยิ้มๆ “ชิงจิ้งเฟิงของศิษย์พี่เสิ่นนี่ช่างสงบบริสุทธิ์ละเมียดละไมโดยแท้ กระทั่งของเล็กน้อยอย่างถ้วยชายังงามประณีตถึงเพียงนี้ เรื่องรสนิยมสูงส่งนี่ชิงหัวสู้ไม่ได้จริงๆ”
เมื่อก่อนชิงจิ้งเฟิงกับอันติ้งเฟิงต่างคนต่างอยู่ เสิ่นชิงชิวที่สูงส่งเย็นชาน้อยนักจะเป็นฝ่ายเชื้อเชิญแขก คราวนี้กลับส่งศิษย์ไปอันติ้งเฟิงเพื่อเชิญคนมา ซั่งชิงหัวไม่รู้เขาจะมาไม้ไหน แต่โบราญว่าไม่ยื่นมือตีผู้ยิ้มให้ เขาพูดดีไว้ก่อน ไม่น่าจะผิดกระมัง
เสิ่นชิงชิวให้พวกศิษย์ออกไป แล้วปิดประตูถอนใจกล่าว “ศิษย์น้องกล่าวเช่นนี้ ข้าก็เห็นของก็อาลัยคนอีกแล้ว ในเรือนอันเงียบสงบนี้ หญ้าทุกใบ ไม้ทุกต้น ถ้วยทุกลูก จานชามทุกใบพวกนี้ ศิษย์ผู้นั้นของข้าจัดวางด้วยตัวเองทั้งสิ้น”
“…” ซั่งชิงหัวถอนใจตามเขาไปอีกคน “เฮ้อ ศิษย์หลานลั่วเป็นอัจฉริยะอายุน้อย น่าเสียดายจริงๆ เผ่ามารพวกนั้นทำให้พวกเราเสียหายยับเยินช่างแค้นใจนัก ทั่วหล้าเศร้าเสียใจไปตามๆกัน ศิษย์พี่เสิ่นโปรดระงับความโศกเศร้าเถิด”
เสิ่นชิงชิวกล่าวเสียงเบา “หากศิษย์น้องซั่งคิดว่าน่าเสียดายอย่างปากว่าจริง คงไม่เกิดหายนะเช่นนี้หรอก”
เมื่อได้ฟัง ซั่งชิงหัวก็ตัวแข็งทื่อ
หลังจากนั้นรอยยิ้มหายสาบสูญไปจากหน้าเขาอย่างไร้ร่องรอย “ศิษย์พี่เสิ่นพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร หรือจะตำหนิว่าอันติ้งเฟิงของข้าดูแลจัดการได้ไม่เต็มกำลัง หากเป็นเช่นนั้นศิษย์น้องขออภัยมา ณ ที่นี้”
เสิ่นชิงชิวยื่นชาให้เขา “ไม่เต็มกำลังที่ไหนได้ เห็นชัดว่าเต็มกำลังเกินไปด้วยซ้ำ กระทั่งสิ่งมีชีวิตของภพมารอย่างแมงมุมหัวผี นางมารเกศาพยาบาท เหยี่ยวกระดูกพวกนี้ที่ไม่เคยเป็นฝ่ายบุกเข้ามาในภพมนุษย์เองก็ยังหามาได้ ศิษย์พี่ไหนเลยจะมีแก่ใจไปตำหนิเจ้าว่าจัดการดูแลได้ไม่เต็มกำลัง”
ซั่งชิงหัวลุกยืนทันที กล่าวหน้าเขียวหน้าเหลืองและอีกสารพัดสี “เจ้ายอดเขาเสิ่น ท่านพูดจาเลยเถิดไปแล้วนะ!”
เสิ่นชิงชิววางมือบนไหล่ซั่งชิงหัว ถามอย่างจริงจังว่า “ศิษย์น้องซั่งทำไมต้องร้อนตัวขนาดนั้น พวกเรานั่งลงพูดจากันดีๆ ข้าจะถามอะไรเจ้าคำหนึ่ง เจ้ากล้าตอบหรือไม่”
ซั่งชิงหัว หัวเราะหยัน ปัดมือเขาออกจากไหล่ “มีอะไรไม่กล้า ผู้แซ่ซั่งกล้าถามใจตัวเองแล้วว่าไม่มีสิ่งใดต้องละอาย จะมากลัวท่านยัดเยียดข้อหาหรือ”
เสิ่นชิงชิว “เซี่ยงเทียนต่าเฟยจี”
พริบตานั้นราวกับอสนีบาตจากสวรรค์เก้าชั้นฟ้า ผ่าลงมาที่กบาลของซั่งชิวหัวจนเขาพูดอะไรไม่ออก
ผ่านไปครู่ใหญ่เขาจึงค่อยกล่าวตะกุกตะกัด “คุณ…คุณรู้ไอดีของผมได้ไง”
ปฏิกิริยาตอบกลับของเขาทำเอาเสิ่นชิงชิวเหมือนถูกฟ้าผ่าตามไปด้วยอีกคน
เขาเพียงแค่อยากอาศัยปฏิกิริยาของซั่งชิงหัวตอนได้ยินชื่อนี้ เพื่อตัดสินว่าอีกฝ่ายเคยอ่าน ‘เทพมารอหังการ’ มาก่อนหรือไม่ ดูท่าว่าจะไม่ใช่แค่เคยอ่าน
หลังจากนั้น 3 วินาที เสิ่นชิงชิวปรี่เข้าไปบีบคอ
“แกนั่นเอง ฉันอ่านนิยายเรื่องนี้ของแกจบแล้ว จะไม่รู้ไอดีแกได้ไง ถ้าไม่ใช่เพราะตอนที่โม่เป่ยจวินออกมาแล้วได้ยินแกเผลอหลุดพูดออกมา คงยังไม่รู้หรอกว่าจริงๆแล้วแกมาจากไหน ไอ้นักเขียน!