บทที่ 5
น้ำค้างขาว
ตอนนั้นพอซั่งชิงหัวเห็นโม่เปยจวินอยู่ๆก็ปรากฏกาย เขาหลุดคำหนึ่งออกมาโดยไม่ตั้งใจ ‘วอท เดอะ ฟัก*!’ เวลานั้นเสิ่นชิงชิวได้ยินไม่ถนัดจึงไม่ได้สนใจ ภายหลังยิ่งคิดยิ่งสงสัย
(ต้นฉบับใช้คำว่า WTF)
ซั่งชิงหัวในฐานะที่เป็น(แผนกธุรการ) มือมืดผู้อยู่เบื้องหลัง ทั้งที่มีข้อบังคับของเนื้อเรื่องอยู่ แต่กลับไม่ได้ใส่แรดดำงูเหลือมวงพระจันทร์ซึ่งเดิมควรมีบทบาทมากมายเข้ามา นี่ก็น่าสงสัยมากพอแล้ว แต่หากบอกว่านี่เป็นการจงใจขัดขวางการดำเนินเรื่องโดยตัดต้นตอความดราม่าของเนื้อเรื่องตอนลั่วปิงเหอถูกฟาดตกลงไปในห้วงอเวจีมันก็พอจะเข้าเค้าอยู่
คนทั้งสองเผชิญหน้ากันอย่างเงียบเชียบ ต่างฝ่ายต่างช็อคเหมือนถูกฟ้าผ่า
ครู่ต่อมาเสิ่นชิงชิวด่าเป็นชุด “ขุดหลุมไว้ก็ไม่กลบ! ผูกเงื่อนปมทิ้งๆขว้างๆ! ทั้งเรื่องมีแต่พล็อตกากๆ! อย่างกับเอานักเรียนประถมมาเขียน! จะเขียนแนวฮาเร็มก็เขียนฮาเร็มให้มันดีๆซิ จะต้องเขียนให้มันกระชากน้ำตาทำไม!”
ซั่งชิงหัวกล่าวว่า “…ผมตกเป็นเหยื่อเหมือนกันนะ จะดีจะร้ายผมก็เป็นถึงนักเขียน ถ้าไม่ได้สวมบทพระเอก อย่างน้อยก็ควรได้เป็นระบบใช่ไหม ใครจะไปรู้ว่าแค่เสียบปลั๊กคอมปุ๊บ ระบบก็สุ่มบทนี้มาให้เลย นี่มันบทลิ่วล้อตัวประกอบชัดๆ”
เสิ่นชิงชิวหัวเราะหยัน “ยังไงนายก็ดีกว่าฉัน พอฐานะสปายของนายเปิดเผย นายก็โดนโม่เปยจวินกำจัดเลย ยังไงก็ตายสบาย ฉันซิ! ถูกลั่วปิงเหอแล่เนื้อเถือหนังจนกลายเป็นอะไร ยังจำได้ไหม”
ซั่งชิงหัวกล่าวว่า “คุณเพิ่งมาเกิดใหม่ไม่กี่ปีเองไม่ใช่รึไง พอมาก็เป็นระดับปรมาจารย์เลย ผมซิ ต้องรับบทนี้ตั้งแต่ตอนแบเบาะเลยนะ วัยเด็กยากจนข้นแค้น ตอนเป็นศิษย์นอกสำนักไม่ได้รับการเหลียวแล คุณเจออะไรเยอะเท่าผมไหมล่ะ”
มาแข่งว่าใครจะรันทดกว่ากันก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา สรุปแล้วก็อุบาทว์พอๆกันนั่นแหละ ซั่งชิงหัวถอนใจเศร้าสร้อย “นึกไม่ถึงว่าจะมาเจอนักอ่านเข้า ชะตาลิขิตโดยแท้ ชะตาลิขิตโดยแท้ เรื่องน่ายินดีหนึ่งในสี่ของชีวิตคือ พบพานคนรู้จักในต่างถิ่น ว่าแต่ไอดีในเว็บนิยายของคุณคืออะไรล่ะ เผื่อจะเป็นคนคุ้นเคยกัน”
เสิ่นชิงชิวตอบว่า “เจวี๋ยซื่อหวงกวา*” (แตงกว่าสะท้านภพ)
(เจวี๋ยซื่อ แปลว่า สะท้านภพ หวงกวา แปลว่า แตงกวา)
ซั่งชิงหัวคิดอยู่ครู่หนึ่ง “เหมือนจะคุ้นๆที่เคยไปตามเมนต์ในกระทู้ที่เรียกร้องให้จับตัวโกงตอนใช่ไหม ตอนที่คุณ แค่กๆ เสิ่นชิงชิวตัวเดิมอยากจับหนิงอิงอิงมา…”
“…” เสิ่นชิงชิว “ฉันไม่เชื่อหรอกว่านายแค่คุ้นๆ อยู่เรื่องนี้เรื่องเดียว เรื่องมันผ่านไปแล้วก็แล้วกันไปเถอะ”
เขากล่าวด้วยเสียงเป็นการเป็นงาน “หยุดพูดเรื่องไร้สาระกันดีกว่า วันนี้ที่ฉันเชิญนายมาเปิดอกคุยด้วย เพราะหลังจากงานชุมนุมเซียนผ่านไป จู่ๆฉันคิดวิธีหนึ่งขึ้นมาได้ และอาจช่วยแก้ปัญหาของนายกับฉันได้ด้วย”
ซั่งชิงหัวชะงักกึก “จริงรึ”
เสิ่นชิงชิวกล่าวว่า “เรื่องแบบนี้ล้อเล่นได้เหรอ วิธีนี้รับรองแก้ปัญหาแต่ต้นเหตุ ขอเพียงไม่รั่วไหลออกไปถึงคนนอกก็ตัดไฟแต่ต้นลมได้ ต้องพึ่งนายแล้ว จำได้ไหมว่านายเขียนว่ามีพืชอะไรสักอย่างที่พันปีจะถือกำเนิดสักครั้งน่ะ”
“…” ซั่งชิงหัวไร้คำพูด “คำถามของคุณกว้างเกินไป ต้นไม้ที่พันปีจะถือกำเนิดสักครั้งแล้วถูกปิงเกอเขากินเขาใช้น่ะ ผมเขียนไว้ไม่แปดสิบก็ร้อยชนิดแหละ…”
นายก็รู้ตัวนี่!
เสิ่นชิงชิวถอนใจ กระซิบที่ริมหูเขาเก้าพยางค์
ซั่งชิงหัวทำหน้าสยองเมื่อได้ยิน แต่ไม่นานหลังจากนั้นก็มองเสิ่นชิงชิวด้วยสายตามีความหมาย
เสิ่นชิงชิวกล่าวว่า “มองฉันแบบนั้นทำไม”
“ไม่มีอะไร” ซั่งชิงหัวกล่าวว่า “ผมคิดมานานแล้วว่าหวงกวาซยง* เป็นนักอ่านที่เป็นแฟนพันธุ์แท้ของผม แต่ไม่ชอบใช้วิธีปกติมาแสดงความรู้สึก ฉากที่ผมเขียนเสร็จก็ลืมไปแล้ว คุณอุตส่าห์ไปขุดมาได้ ผมซึ้งจริงๆ”
(ซยง เป็นคำเรียกผู้ที่นับถือเป็นพี่น้อง หรือสหายคอเดียวกัน หวงกวาซยง แปลว่า พี่แตงกวา จากนี้ไปซั่งชิงหัวจะเรียกว่า กวาซยง แปลว่า พี่แตง)
“…” เสิ่นชิงชิว “พรุ่งนี้นายลงเขาไปกับฉัน ไปที่ๆต้นไม้นี้มันงอกสักเที่ยวแล้วกัน”
ซั่งชิงหัวกล่าวว่า “พรุ่งนี้? นี่มัน…ไม่กะทันหันไปหน่อยรึ”
เขากล่าวตะกุกตะกัก “ความจริงผม…จำไม่ได้แล้วว่าลักษณะหน้าตากับตำแหน่งที่แน่นอนของมันเป็นยังไง นิยายทั้งเรื่องเกือบ 20 ล้านตัวอักษรเชียวนะ เขียนถึงมันไว้แค่ย่อหน้าเดียวเอง ให้เวลาผมหน่อย คิดออกแล้วจะมาบอก”
เสิ่นชิงชิวประชดให้ “รอจนลั่วปิงเหอกลับมา โม่เป่ยจวินถูกเขาสยบ ถึงตอนนั้นคนหนึ่งฆ่าฉัน คนหนึ่งฆ่านาย แล้วนายค่อยคิดออกก็ไม่สาย”
ซั่งชิงหัวรับรองว่า “…ได้ พรุ่งนี้ผมต้องคิดออกแน่”
ถึงอย่างไรเรื่องหยุมหยิมอย่างจัดสรรห้องพักหรือเครื่องแบบสำหรับศิษย์ใหม่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องให้เจ้ายอดเขาอันติ้งเฟิงไปทำเองอยู่แล้ว
ซั่งชิงหัวกลับไปเค้นสมองคิดอย่างกลัดกลุ้มหนึ่งคืน ในหัวปั่นป่วนพลุ่งพล่านไม่หยุด จนเมื่อแสงระยิบระยับของอรุณรุ่งใกล้จะปรากฎ เขาก็คิดออก กาจุดหนึ่งลงไปบนแผนที่ได้
พอเสิ่นชิงชิวเห็นแผนที่ก็ตบโต๊ะ หิ้วคอเขาออกเดินทางทันที กินดื่มระหว่างทางบ้าง เที่ยวเล่นระหว่างทางบ้าง ท่องกระบี่บ้าง นั่งรถม้าบ้าง ความจริงน่าจะเป็นการเดินทางที่แสนจะสำราญใจไม่น้อย
แต่จุดที่ไม่สำราญใจนิดหน่อยคือ ซั่งชิงหัวนั่งอยู่ตรงที่นั่งคนขับ ถอนใจพลางคร่ำครวญ
เขาถาม “ทำไมค่ากินดื่มและที่พัก คนจ่ายเงินถึงเป็นผมหมดเลยล่ะ ทำไมเวลานั่งรถม้า คนขับก็ยังเป็นผมอีก”
เสิ่นชิงชิวตอบมาจากในตัวรถ “ไม่ละอายซะบ้างเลย เงินก็เงินกองกลางที่ศิษย์พี่เจ้าสำนักให้มา นายแค่ควักออกจากถุงข้างเอวเท่านั้นเอง”
นึกถึงตอนจะออกเดินทาง คำพูดที่เยวี่ยชิงหยวนกำชับไว้ทำเอาซั่งชิงหัวระทม
อะไรคือ ‘ศิษย์น้องซั่ง ระหว่างเดินทางขอฝากฝังชิงชิวไว้กับเจ้าแล้ว ร่างกายเขาได้รับพิษ หวังว่าเจ้าจะคอยดูแลเขาให้ดีๆ’
ในฐานะนักเขียน เซี่ยงเทียนต่าเฟยจีพยายามดำเนินบทซั่งชิงหัวให้ออกมาเป็นตัวละครสารเลวสมบูรณ์แบบ ในที่สุดเขาก็ซาบซึ้งถึงความเจ็บปวดของตัวละครนี้ด้วยตัวเองแล้ว
งานธุรการช่างไร้อนาคตเสียจริง ใครก็เห็นเขาเป็นแม่บ้าน มิน่าซั่งชิงหัวของเดิมถึงคิดอยากเลื่อนตำแหน่งโดยไม่เลือกวิธีการ เข้าใจได้แจ่มแจ้งเกินไปแล้ว!
ซั่งชิงหัวกล่าวว่า “คุณก็มีมือมีเท้า ทำไมไม่ทำเองเล่า ฉิบหายแล้ว!”
เสิ่นชิงชิวรู้สึกว่าอยู่ๆ รถม้าก็พุ่งไปข้างหน้า เหมือนซั่งชิงหัวดึงบังเหียนกะทันหัน จึงเลิกม่านรถ ตั้งท่าเตรียมระวัง “เกิดอะไรขึ้น”
รถม้ากำลังแล่นผ่านป่าหนาทึบแห่งหนึ่ง
รอบด้านล้วนเป็นต้นไม้โบราณสูงเสียดฟ้า ใบไม้ร่วงเกลื่อนกลาดแสงแดดถูกกิ่งใบหนาทึบบดบังเอาไว้ ตามพื้นกระทั่งแสงเล็กๆน้อยๆยังแทบมองไม่เห็น
เสิ่นชิงชิวไม่เห็นว่ามีอะไรผิดปกติ แต่ยังไม่คลายการระวังป้องกัน “แหกปากร้องทำบ้าอะไร”
ซั่งชิงหัวหวาดกลัวจนลนลาน “เมื่อกี้ผมเห็นผู้หญิงคนหนึ่งอยู่บนพื้นคลานผ่านไปไวมากเหมือนงูเลย! ถ้ารถม้าจอดไม่ทันก็ทับไปแล้ว!”
ฟังแล้วแปลก เสิ่นชิงชิวกล่าว “แบบนั้นสมควรแหกปากร้องจริงๆนั่นแหละ”
ในป่าเงียบสงบ เวลานี้ยังไม่เห็นอะไรผิดปกติ เสิ่นชิงชิวไม่กล้าวางใจ ไม่เข้าไปนั่งในรถ แต่ออกมานั่งกับซั่งชิงหัวตรงที่นั่งคนขับ มือหนึ่งร่ายวิชาสั่งการกระบี่ ลอบสังเกตการณ์ อีกมือหนึ่งคว้าเม็ดกวยจี๊ในถุงของว่างออกมากำหนึ่งยัดใส่มือซั่งชิงหัว “เด็กดี เอาเม็ดกวยจี๊ไปแทะเล่นไป”
ใช้ให้ซั่งชิงหัวนั้นทำงานสัพเพเหระยังพอได้ แต่ใช้ให้ไปปราบผี ปราบปีศาจนั้นคงไม่มีประโยชน์ เขาก็รู้ดีว่าตัวเองอยู่ระดับไหน จึงรับเม็ดกวยจี๊ไปนั่งขบแต่โดยดี รถม้าเคลื่อนไปหนึ่งจังหวะ เขาขบไปหนึ่งเม็ด หลังจากผ่านไปหนึ่งก้านธูป พวกเขาจึงพบปัญหาใหญ่เข้าเรื่องหนึ่ง
ทั้งสองคนสบตากันเงียบๆ มองถนนสายเปลือกเม็ดกวยจี๊ที่ดูคุ้นตาสายนี้
ซั่งชิงหัวกล่าวว่า “อืม ไม่ต้องสงสัย เม็ดกวยจี๊กระดูกมังกรหอมของเชียนเฉ่าเฟิงแห่งชางฉยงซาน เปลือกนอกแดงสดใสเป็นมันวาว เปลือกด้านในเป็นสีเหลืองทอง นี่เป็นแถวของเปลือกเม็ดกวยจี๊ที่ผมเพิ่งแทะไปแน่นอน”
เสิ่นชิงชิวกล่าวว่า “รู้น่าว่าเร่ขายเม็ดกวยจี๊เป็นงานอีกอย่างของอันติ้งเฟิง พอเหอะ”
นั่นปะไร ปัญหามาละ พวกเขาวกกลับมาที่เดิมได้อย่างไร
ทั้งสองคนมองหน้ากันอ้ำอึ้ง
ผีบังตา ฉากสุดคลาสสิกที่แทบทุกเรื่องต้องมี
ซั่งชิงหัวคิดถึงวิธีการพื้นบ้านขึ้นมา “หรือจะลองใช้ฉี่เด็ก*รดตาม้าดู”
(ปัสสาวะเด็ก ชาวจีนเชื่อกันว่ามีสรรพคุณเป็นยา เด็กในที่นี้คือ ต้องเป็นเด็กพรหมจรรย์ที่อายุต่ำกว่าสิบขวบเท่านั้น)
เสิ่นชิงชิวกล่าวว่า “ม้ามันก็มีศักดิ์ศรีนะ จะเอาของสกปรกไปใส่ตามันทำไม อีกทั้งกลางป่ากลางเขาแบบนี้ นายจะไปหาฉี่เด็กมาจากไหน”
พอพูดประโยคนี้ออกไป เสิ่นชิงชิวก็พบว่าซั่งชิงหัวกำลังมองเขาตาแป๋ว
เสิ่นชิงชิวกล่าวว่า “มองฉันแบบนั้นทำไม ฉันตัวจริงน่ะนะ…อย่าเพิ่งไปพูดถึงเลย ส่วนคาแรคเตอร์เดิมของเสิ่นชิงชิว นายเป็นคนเขียนเอง เปลือกนอกสูงส่งบริสุทธิ์ เนื้อในมั่วโลกีย์ ไฟราคะสุมตัวทั้งวัน วัยรุ่นลอบคบชู้ วัยหนุ่มเที่ยวซ่อง นายว่าตอนนี้ร่างกายฉันยังจะบริสุทธิ์ผุดผ่องอยู่หรือ แล้วไม่ต้องคิดหวังเอาจากตัวนายด้วย ตัวละครซั่งชิงหัวก็เขียนออกมาแทบไม่ต่างกันหรอก”
เสิ่นชิงชิวนิ่วหน้าคิด ทันใดนั้นก็เอามือตบขาฉาด เขาหมุนกายเข้าไปในรถม้า แต่ได้ยินเสียงซั่งชิงหัวแหกปากร้องโหยหวนอีกครั้ง เสิ่นชิงชิวถือของที่ต้องการหาเจอแล้ว มุดหัวออกมาตะโกนถาม “มีอะไร”
ซั่งชิงหัวตกใจกลัวเสียจนพูดรัวเว้นวรรคไม่ทัน “ตอนคุณเข้าไปในรถ ผมรู้สึกว่ามีตัวอะไรเป็นขนๆมาไซร้คอ พอเงยหน้าดูก็เห็นผมยาวๆด้านหลังมีใบหน้าขาวโพลนแต่มองเห็นไม่ชัดเชี่ยๆๆๆ!”
เสิ่นชิงชิวเงยหน้าขึ้น ย่อมมองไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น เขานั่งลงกางแผนที่ในมือออก เลิกคิ้วกล่าว “ไม่ว่ามันจะเป็นตัวอะไร มันก็แสนรู้มาก”
“แน่ใจได้ยังไง”
“มันรู้จักเลือกบีบลูกพลับนิ่ม ขู่แต่คนที่กลัวมัน” ว่าแล้วตบบ่าเขาเบาๆ “จะน่ากลัวยังไงก็เป็นสิ่งที่นายเขียนขึ้นมาเองทั้งนั้น กลัวทำไม”
ซั่งชิงหัวกล่าวว่า “ผมไม่ยักจำได้ว่าเขียน…กวาซยง คุณดูแผนที่อยู่เหรือ ดูให้ดี นี่เป็นแผนที่ของแผ่นดินใหญ่ แผ่นดินใหญ่ทั้งหมดวาดไว้บนแผนที่นี้ ป่าน้ำค้างขาวต่อให้มาร์กลงไปก็เป็นแค่จุดเล็กๆจุดหนึ่งเท่านั้น”
เสิ่นชิงชิวชี้ด้านล่างของแผนที่ “นายดูเอาเอง ตรงตำแหน่งนี้ ชางฉยงซาน วัดเจาหัวอยู่ทางตะวันออก อารามเทียนอีอยู่ตรงกลาง และทางใต้คือถิ่นของวังฮ่วนฮวา จุดที่เป็นป่าน้ำค้างขาวอยู่ตรงชายแดนที่เห็นเป็นเส้นหมึกรางๆ ของวังฮ่วนฮวา”
ซั่งชิงหัวมองเห็นแสงสว่างโดยพลัน “วังฮ่วนฮวารวบป่าน้ำค้างขาวเข้ามาอยู่ในเขตอิทธิพลของตัวเองแล้วเหรอ ที่แท้พวกเราไม่ได้เจอผีบังตา แต่เข้ามาในค่ายกลรักษาวังของพวกเขาน่ะเอง”
แต่ละสำนักใหญ่ล้วนมีค่ายกลคาถาของตนเองเพื่อป้องกันคนนอกเข้ามาก่อกวน ตัวอย่างเช่นบันไดสวรรค์ของชางฉยงซาน หากเป็นชาวบ้านธรรมดาทั่วไปที่ไม่รู้วิธี ปีนบันไดหนึ่งหมื่นสามพันขั้นให้ตายก็ไม่มีวันขึ้นถึงยอดเขาได้ ต้องรอให้ศิษย์ที่เป็นเวรยามเฝ้าทางส่งพวกเขาขึ้นไป
วันนี้หากมาติดอยู่ที่นี่แล้วไม่มีคนนำทาง เกรงว่าได้แต่วนอยู่กับที่แล้ว
เสิ่นชิงชิวเคาะประตู “ระบบอยู่เปล่า”
เว้นจังหวะอยู่ครู่หนึ่งก็ไม่มีเสียงตอบ เขาเคาะอีก “ไหนบอกบริการตลอด 24 ชั่วโมงไง ไม่ออกมาจะให้คะแนนแย่นะ”
ระบบ [สวัสดี ระบบเข้าโหมดพักผ่อนอยู่ ตอนนี้สมาร์ทยูนิตรักษาการแทน หากประสงค์สิ่งใด โปรดบริการตนเอง]
พักผ่อน? เสิ่นชิงชิวแทบหงายหลัง
จะว่าไปหลายวันมานี้ระบบไม่ได้โผล่มาคำนวณค่า B หรือค่าตัวเลขแปลกพิสดารพันลึกให้เขาจริงๆนั่นแหละ
สมาร์ทยูนิต [‘ลั่วปิงเหอ’ ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานหลักของระบบถูกตัดขาด ระบบกำลังอยู่ระหว่างการอัปเดตสำรองข้อมูล เมื่อเชื่อมต่อได้ ระบบจะทำงานอีกครั้ง หวังว่าท่านจะได้รับความเพลิดเพลินระหว่างบริการตนเอง ขอขอบพระคุณ]
ขนาดที่ใช้งานในปัจจุบันยังล่อซะเจ็บไข่ขนาดนี้ พอเวอร์ชั่นใหม่มา ไข่ไม่แตกเลยเรอะ———แต่ประเด็นสำคัญคือ ‘ลั่วปิงเหอ’ ดันเป็นแหล่งพลังงานหลักนี่ซิ เชี่ย!
เสิ่นชิงชิวยังอยากถามต่อ แต่พบว่าคำตอบของตัวแทนรักษาการก็คือสองประโยคเดิมซ้ำไปซ้ำมา
สมาร์ทยูนิตรักษาการบ้าบอคอแตก แบบนี้มันต่างอะไรกับข้อความอัตโนมัติของ QQ* ล่ะ แล้วยังจะหน้าไม่อายใส่คำว่า ‘สมาร์ท’ ลงไปอีก
(QQ คือ แอพพลิเคชั่น instant message ที่นิยมในจีน คล้ายๆ msn)
เสิ่นชิงชิวตบไหล่ซั่งชิงหัว “ลองเรียกระบบของนายดูที ดูซิว่าจะติดต่อได้เปล่า”
ซั่งชิงหัวหลับตา ผ่านไปครู่หนึ่ง “มันบอกว่าอยู่ระหว่างซ่อมบำรุง”
ที่แท้ลั่วปิงเหอไม่ได้เป็นแค่แหล่งพลังงานหลักของระบบเท่านั้น เพราะพอเขาออฟไลน์ ระบบทั้งหมดก็เป็นอัมพาตไปเลย
เรื่องนี้หากจะบอกว่าเป็นเรื่องใหญ่ ที่จริงก็ไม่ได้ซีเรียสอะไรขนาดนั้น แค่ระหว่างที่ลั่วปิงเหอฝึกวิชาเก็บเลเวลอยู่ในห้วงอเวจีจึงไม่สามารถปรับค่า B ได้ คิดๆแล้วแบบนี้ดีเหมือนกัน ไม่ปรับก็ย่อมไม่ลด เท่ากับทำอะไรก็ได้ตามใจชอบ!
ขณะที่เสิ่นชิงชิงกำลังปลุกปลอบตนเองอยู่ ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าที่พุ่มไม้ด้านข้างมีเสียงสวบสาบ เขาดีดนิ้วเสียงดังก้อง ตวาดว่า “ออกมา!”
ซิวหย่าที่ห้อยอยู่ข้างเอวดีดออกจากฝัก แล้วเหินตวัดฟาดฟันทันทีตามท่าที่เสิ่นชิงชิววาดมือสั่งการ จนใจที่สิ่งนั้นผลุบหายเข้าไปในพุ่มไม้อย่างรวดเร็วราวกับปลามุดโคลน แทงร้อยครั้งไม่มีเข้า
จู่ๆเบื้องหน้าเสิ่นชิงชิวเกิดแสงสว่างจ้าบาดตาขึ้นวูบหนึ่ง เจ้าสิ่งนั้นกรีดร้องเสียงแหลมสูง ถอยพรวดไปข้างหลังหลายจั้ง
พุ่มไม้ถูกฟันกระจุยกระจายบดบังอะไรไว้ไม่ได้ เจ้าสิ่งนั้นหนีไปแล้ว ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆอีก
เมื่อกี้นี้เสิ่นชิงชิวไม่ได้ปล่อยกระบวนท่าร้ายแรงออกไปเสียหน่อย ดูท่าว่าเป็นแสงสะท้อนของแดดเพียงชั่วแวบเท่านั้นเอง
ซั่งชิงหัวชะโงกศีรษะมา “มันกลัวแสงหรือ เชี่ย เป็นผีผู้หญิงจริงด้วย! ผมไม่เคยเขียนนะ ไม่เคยเขียนแน่นอน!”
ขณะที่พวกเขาสองคนกำลังถกเถียงกันอยู่ เกิดมีเสียงฝีเท้าเบามากดังขึ้น
คนผู้นี้ท่าทางเป็นเยี่ยม หากเปลี่ยนเป็นผู้มีพลังฝึกปรือตื้นเขิน คงไม่มีทางรู้สึกได้เลยว่ามีคนเข้ามาใกล้ จากนั้นหนุ่มน้อยชุดขาวผู้หนึ่งจึงเดินออกมาจากป่าทึบ
หนุ่มน้อยผู้นี้ความจริงชักกระบี่ออกจากฝักแล้ว สีหน้าระแวดระวังแต่พอเห็นผู้ที่มาอย่างชัดเจน สีหน้าพลันเปลี่ยนเป็นประหลาดใจ รีบเก็บกระบี่ แสดงความเคารพทันที
“ผู้เยาว์รู้สึกว่ารอบๆเขตอาคมปั่นป่วนผิดปกติจึงรีบรุดมา ไม่ทราบว่าเสิ่นเซียนซือและซั่งเซียนซืออยู่ที่นี่ ขออภัยที่มิได้รีบออกมาต้อนรับเสียแต่เนิ่นๆขอรับ”
เสิ่นชิงชิวมองใบหน้าหล่อเหลานั่น รู้สึกไม่คุ้นตาเท่าไร จึงถามอย่างเกรงใจ “จอมยุทธ์น้อยคือ?”
หนุ่มน้อยผู้นั้นขาเซวูบ
ซั่งชิงหัวกระซิบข้างหูเขา “ไม่ไว้หน้าคนอื่นเกินไปแล้ว เขาคือกงอี๋เซียวไงเล่า”
กงอี๋เซียวทำหน้าอึดอัดเล็กน้อย
ถึงเขาจะถูกลั่วปิงเหอเตะลงจากอันดับหนึ่งบนทะเบียนทอง แต่อย่างน้อยก็ได้อันดับสองเชียวนะ สร้างผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม อีกทั้งก่อนหน้ามีหลายคนคาดว่าเขาจะได้อันดับหนึ่ง เวลาปกติก็จะคอยติดตามกงจู่เฒ่าไปเยี่ยมเยียนสำนักต่างๆอยู่เป็นนิจ แต่เสิ่นชิงชิวกลับจำเขาไม่ได้ ช่างเหนือความคาดหมายเสียจริง
เสิ่นชิงชิวกล่าวชมเชย “อายุยังน้อยก็เป็นจอมยุทธ์แล้ว”
กงอี๋เซียวกล่าวว่า “มิกล้า” เจ้ายอดเขาทั้งสองท่านมาถึงถิ่นวังฮ่วนฮวาเหตุใดจึงไม่แจ้งมาก่อนขอรับ ต้อนรับผู้อาวุโสบกพร่อง ข้าไม่สบายใจเอาเสียเลย”
พวกเขาถือเอาป่าน้ำค้างขาวเป็นถิ่นของตัวเองไปแล้ว ในฐานะศิษย์กินเงินเดือนที่สำนักภาคภูมิใจ จำต้องคิดให้ถี่ถ้วนว่าการที่ระดับเจ้ายอดเขาของชางฉยงซานถึงสองคน โผล่มาอย่างลับๆล่อๆในถิ่นของพวกเขา ตกลงแล้วมีเจตนาใดกันแน่
เสิ่นชิงชิวกล่าวว่า “หาได้มีเจตนาจะมาเยือนวังฮ่วนฮวาไม่ เพียงจะมาทำธุระในป่าน้ำค้างขาวเท่านั้น”
เสิ่นชิงชิวบอกไปเสียเลยว่ามาทำธุระ แต่ไม่บอกว่าเรื่องอะไรเป็นการแสดงให้เห็นว่าไม่ต้องการจะพูดมากความ ว่ากันตามจริงกงอี๋เซียงก็ไม่ควรซักถามตามใจชอบ อย่างไรเสียผู้เยาว์มาเที่ยวซักถามที่มาที่ไปของผู้อาวุโสนั้นไม่เหมาะสมเท่าไร หลังจากลังเลอยู่ชั่วครู่กงอี๋เซียวยังคงกล่าวว่า “แม้ไม่ทราบว่าธุระที่ผู้อาวุโสสองท่านมาทำคืออะไร ผู้เยาว์ไร้สามารถ บังอาจขอติดตามไปด้วยเพื่อช่วยเหลือขอรับ”
เสิ่นชิงชิวปั้นหน้ายิ้มยาก กล่าวงึมงำกับเพื่อนร่วมทีมโดยริมฝีปากแทบไม่ขยับ “ตอนนี้ถ้าปฏิเสธไม่ให้เขาไปด้วย เดี๋ยวอีกครู่ที่จะมาหาพวกเราคงไม่ได้มีแค่คนเดียวแล้ว พาเขาไปด้วยดีกว่า อย่างน้อยๆก็ช่วยต่อยตีได้”
ซั่งชิงหัวที่ช่วยต่อยตีไม่ได้กล่าวงึมงำ “หากเขาไม่ยอมให้พวกเราเอาหญ้าน้ำค้างแก่นสุริยันจันทราไปล่ะจะทำไง ของที่ขึ้นในสนามบ้านฉันก็ถือว่าเป็นสมบัติบ้านฉัน ของที่ขึ้นบนรั้วบ้านฉันก็ถือว่าเป็นสมบัติบ้านฉันอีกเหมือนกัน อย่าบอกนะว่าผมไม่เคยบอกคุณเรื่องตรรกะของวังฮ่วนฮวาน่ะ”
เสิ่นชิงชิวกล่าวว่า “โง่รึไง พอถึงเวลาก็เอาของแล้วชิ่งซิ เขายังจะมีปัญญาแย่งชิงไปได้รึไง ต่อให้กลับไปฟ้องอาจารย์ ป่านนั้นพวกเราก็สะบัดตูดไปไหนต่อไหนแล้ว ยังจะอยู่รอให้เขามาจับตัวเหรอ”
ซั่งชิงหัวถามว่า “หากสองสำนักต้องกลายเป็นศํตรูกันจะทำไง”
“เอาชีวิตตัวเองให้รอดกับความสัมพันธ์ทางการทูต นายเลือกเอา”
ซั่งชิงหัวตอบอย่างไม่ลังเล “พาเขาไปด้วยแล้วกน”
เสิ่นชิงชิวเงยหน้า กล่าวกับกงอี๋เซียวอย่างตัดสินใจได้ “ไปกันเถอะ”
ดังนั้นงานจับกังอย่างขับรถม้าจึงตกเป็นของผู้เยาว์
เขาถือบังเหียนพลางซักถามอย่างใคร่รู้ “ผู้อาวุโสเสิ่น ผู้เยาว์ยังมีเรื่องไม่เข้าใจขอรับ”
เสิ่นชิงชิวเอ่ยว่า “เชิญกล่าว”
กงอี๋เซียงเอ่ยข้อสงสัย “ด้วยระดับพลังฝึกปรือของผู้อาวุโส การจะฝ่าทำลายค่ายกลคาถา ไม่จำเป็นต้องใช้เวลานานเลย อีกทั้งสามารถกระทำได้ถึงขั้นเทพไม่รู้ผีไม่เห็น เหตุใดจึงทำให้เกิดการปั่นป่วนของพลังทิพย์รุนแรงถึงขึ้นนี้เล่าขอรับ”
เสิ่นชิงชิวกล่าวว่า “ความปั่นป่วนระลอกนั้นหาใช่เป็นผลมาจากการฝ่าค่ายกลคาถา หากแต่เกิดจากการโจมตีของสัตว์ประหลาดเผ่ามารตนหนึ่ง”
“สัตว์ประหลาดเผ่ามาร”
เสิ่นชิงชิวกล่าวว่า “ความจริงก็ยากจะชี้ชัดว่าเป็นสัตว์ประหลาดเผ่ามารหรือไม่ แต่รูปร่างของมันแปลกประหลาด ไม่คล้ายสิ่งมีชีวิตทั่วไปในภพมนุษย์”
กงอี๋เซียงกล่าว “ในรัศมีสิบลี้ละแวกป่าน้ำค้างขาวมีคนอาศัยอยู่ประปราย แต่ไม่เคยได้ยินว่าเจอภพมารบุก กระทั่งสิงสาราสัตว์ดุร้ายก็ไม่เคยมีมาก่อนเลยขอรับ”
เสิ่นชิงชิวกล่าวพึมพำกับตัวเอง “ตกลงมันเป็นตัวอะไรกันแน่ ผมสยายปกคลุมหน้า กระดูกโค้งอ่อน ใบหน้าบวมพองราวกับศพขึ้นอืด”
กงอี๋เซียวเอ่ย “ไม่ว่าจะเป็นอะไร อย่าได้ออกมาอีกเป็นดีที่สุด แต่หากว่าออกมา ไม่ต้องรบกวนผู้อาวุโสทั้งสองท่านลงมือ ส่งให้ผู้เยาว์จัดการได้เลยขอรับ”
ความนับถือที่อยู่ในน้ำเสียงมิได้เสแสร้ง ถึงเขาจะรู้จักผู้อาวุโสเจ้าของฉายากระบี่ซิวหย่าท่านนี้ไม่มาก ก่อนหน้านี้เพียงแค่เคยเห็นหน้าอยู่ไกลๆ แต่งานชุมนุมเซียนคราวก่อน ศิษย์ที่เสิ่นชิงชิวสั่งสอนมากับมือแซงหน้าตนจนขึ้นเป็นอันดับหนึ่ง ทั้งตัวเสิ่นชิงชิวเองยังได้ช่วยชีวิตศิษย์ของวังฮ่วนฮวาเอาไว้มากมาย ความยอมรับนับถือจึงมีไม่น้อย
เสิ่นชิงชิวเห็นเขาวางตัวเหมาะสม ความอ่อนน้อมถ่อมตนที่พึงมีก็ครบถ้วน อีกทั้งหน้าตาสไตล์เดียวกับลั่วปิงเหอ คือมาแนวอบอุ่นอ่อนโยนอ่อนไหว รูปหล่อ หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส เลยหวนนึกถึงศิษย์รักลั่วปิงเหอตอนที่จิตใจยังไม่เข้าสู่ด้านมืด ทำให้รู้สึกดีด้วยอย่างไม่ยากเย็น
มีกงอี๋เซียวนำทาง คนทั้งสามก็ฝ่าออกมาจากค่ายกลของวังฮ่วนฮวาได้อย่างรวดเร็ว และหาตำแหน่งทิศทางด้วยความแม่นยำ
นิยายดั้งเดิมบรรยายเกี่ยวกับสถานที่ๆหญ้าน้ำค้างแก่นสุริยันจันทรางอกไว้ไม่มาก เพียงเขียนคร่าวๆว่า ‘เป็นถ้ำศิลาแห่งหนึ่งที่ถูกต้นไม้ปกคลุมมืดครึ้มไปหมด’ เพื่อนึกรายละเอียดตรงนี้ให้ออก ซั่งชิงหัวแทบต้องแลกมาด้วยชีวิตเลยที่เดียว เพราะของสิ่งนี้มิใช่ให้ลั่วปิงเหอใช้ แต่เขียนมาเพื่อให้ศัตรูคนหนึ่งของลั่วปิงเหอใช้
เหตุนี้เสิ่นชิงชิวถึงได้กล้าลงมือ หากเกี่ยวพันกับพล็อตหลัก หรือเป็นหญ้าวิเศษมหัศจรรย์ที่ลั่วปิงเหอใช้เพื่อเก็บเลเวล เขาไม่มีทางขวัญกล้าไปชิงมาอยู่แล้ว ผลของการแย่งชิงทรัพยากรกับพระเอก จะต้องลงเอยเลวร้ายยิ่งกว่าขโมยไก่ไม่สำเร็จกลับต้องเสียข้าวสารไปด้วยแน่นอน แต่ในเมื่อเป็นผู้ร้ายเหมือนกัน ฉวยเอามาก็คงไม่น่าจะเป็นอะไร
ดีที่ป่าน้ำค้างขาวถึงแม้กว้างใหญ่ ถ้ำศิลากลับมีอยู่แห่งเดียวเท่านั้นช่วยแก้ปัญหาไม่ได้ไม่น้อย
เสิ่นชิงชิวดีดนิ้วเสียงดัง เปลวไฟสีเหลืองลูกหนึ่งลุกขึ้นที่ปลายนิ้ว ดีดอีกทีหนึ่ง ยอดเปลวไฟก็ส่ายวูบวาบ แล้วแหวกว่ายเข้าไปในถ้ำศิลาอันมืดมิดอับชื้น ช่วยเบิกหนทางข้างหน้า
ปากถ้ำยังกว้างพอจะให้สามคนเดินเรียงหน้าเข้าไปพร้อมกันได้ แต่ยิ่งเดินเข้าไปลึกยิ่งแคบ ต้องตะแคงตัวถึงจะผ่านไปได้ ทางเดินในถ้ำขดไปขดมา โค้งแล้วโค้งเล่าเหมือนลำไส้ขนาดยักษ์ก็ไม่ปาน
แสงสว่างเริ่มน้อย เปลวไฟที่เสิ่นชิงชิวเสกออกมาลูกนั้นเดี๋ยวสว่างเดี๋ยวมืด เขาจึงดีดเพิ่มออกไปอีกสองสามลูก ดวงไฟสองสามลูกนั้นแล่นไล่กวดกัน กงอี๋เซียวปิดท้าย ซั่งชิงหัวเดิมทีอยากรออยู่ข้างนอก แต่ถูกเสิ่นชิงชิวลากตัวมาด้วย ไม่รู้เพราะกลัวหรืออะไร เขาจะคอยแตะๆลูบๆแขนเสิ่นชิงชิวเป็นระยะ ทำเอาขนแขนลุกซู่
ในที่สุดเสิ่นชิงชิวทนไม่ไหว ติดที่มีคนนอกอยู่ด้วยเลยกดเสียงต่ำ “อย่ามากระแซะได้ไหม”
ไม่มีเสียงตอบ และไม่มีการแตะต้องตัวแล้ว เสิ่นชิงชิวคลำทางไปข้างหน้าต่อ ใครจะไปนึกว่าซั่งชิงหัวกลับเตะที่น่องเขาทีหนึ่ง
เสิ่นชิงชิวหลุดปากอย่างทนไม่ไหว “เชี่ย”
เสียงซั่งชิงหัวดังมาจากข้างหลังไกลๆ “ศิษย์——พี่——เสิ่น! ท่าน——ว่า——อาราย”
เสียงเขาสะท้อนก้องในทางเดินของถ้ำศิลาอันคดเคี้ยวราวกับอยู่ห่างออกไปมิใช่น้อย ที่แท้ระหว่างที่ไม่รู้สึกตัว เสิ่นชิงชิวยิ่งเดินยิ่งเร็ว ซั่งชิงหัวชักช้างุ่มง่าม พานให้กงอี๋เซียวที่ปิดท้ายไปได้ไม่เร็วเช่นกัน คนทั้งสองจึงถูกเขาทิ้งห่างไปไกล
ไม่ใช่ซั่งชิงหัว เช่นนั้นแล้วใครคือคนที่ลูบแตะตัวเขาเมื่อครู่
หรือพูดให้ถูก สิ่งที่แตะแขนเขาเมื่อครู่ คือตัวอะไร
เสิ่นชิงชิวหยุดเดินฉับพลัน
เขาตบที่แขนตัวเองด้วยสีหน้าไม่บอกความรู้สึก พยายามตบให้ขนที่ลุกชูชันราบลงไป
เปลวไฟสองสามลูกยังคอยลอยแขวนอยู่กลางอากาศ ลุกไหม้สลัว
ศัตรูอยู่ในที่มืด เราอยู่ในที่สว่าง
เสิ่นชิงชิวพลิกมือซ้ายทีหนึ่ง ตวัดยันต์สองสามแผ่นออกมาจากแขนเสื้อโดยไร้สุ้มเสียง มือขวาค่อยๆดึงซิวหย่าออกจากฝักเล็กน้อย รัศมีที่แผ่ออกมาจากกระบี่ทำให้ในถ้ำสว่างเรืองรองขึ้น ไม่ว่าจะด้านหน้าหรือด้านหลัง ล้วนเป็นหินดำมะเมื่อม ส่งกลิ่นอับชื้นคาวๆ
เขาฉุกคิดขึ้นได้โดยพลัน ที่เตะน่องเขาเมื่อกี้เหมือนไม่ใช่การใช้ขาเตะ หากแต่เป็นการ…เอาหัวชน
เสิ่นชิงชิวก้มลงมอง สายตาพลันสบเข้ากับใบหน้าขาวซีดพอดิบพอดี
เสิ่นชิงชิวใช้มือซ้ายฟาดยันต์ไปที่ใบหน้านั้น ชั่วพริบตาทางเดินในถ้ำอันคับแคบก็เกิดแสงไฟลุกฟู่ขึ้น เดิมทีเขาคิดจะชักกระบี่ออกมาฟันด้วย แต่ลืมนึกว่าพื้นที่แคบเกินไป ดึงออกมาได้ยังไม่ถึงครึ่งเล่ม แขนซ้ายก็ชนเข้ากับผนังหินของถ้ำ ส่วนด้ามกระบี่กระแทกเข้ากับก้อนหินจนเกิดเสียงดังเคร้ง
เจ้าสิ่งนั้นนุ่มนิ่มไร้กระดูก ไถลตัวไปบนพื้นหลบหลีกอย่างรวดเร็วเหมือนงูยัก์ ใกล้กันแค่นี้แต่ยันต์กลับฟาดไม่โดน มิหนำซ้ำมันยังเคลื่อนไหวปราดเปรียวกว่าเขา เสิ่นชิงชิวชักกระบี่ช้าไปก้าวหนึ่ง มันจึงวกกลับหัว คลานเฟี้ยวออกไป ซั่งชิงหัวกลับกงอี๋เซียวกำลังเดินมาด้านหลังพอดี เสิ่นชิงชิวตะโกนลั่น “ระวัง! มันไปทางนั้นแล้ว!”
ซั่งชิงหัวได้ยินก็หันไปกล่าวทันที “จอมยุทธ์น้อย เร็วเข้า รีบเปลี่ยนที่กัน” แผนกธุรการซึ่งเป็นพวกแนวหลังจะมีปัญญาไปยืนอยู่แถวหน้าบุกตะลุยฝ่าแนวข้าศึกได้อย่างไร
กงอี๋เซียวทำตามคำสั่ง เจ็บใจที่ทางเดินคับแคบเกินไป เพียงยอมให้คนหนึ่งเดินผ่านและเหลือที่แค่ฝ่ามือหนึ่งเท่านั้น เขาเลยผ่านไปไม่ได้
ซั่งชิงหัวได้ยินเสิ่นชิงชิวตะโกนมาอีก “บนพื้น! ดูที่พื้น! มันคลานอยู่บนพื้น!”
ครั้นหันไปมองอีกที งูครึ่งคนตัวหนึ่งกำลังคลานปราดๆเข้ามา
ซั่งชิงหัวตัดสินใจเดี๋ยวนั้น ลงนอนทันที
กงอี๋เซียวไม่เคยเห็นสัตว์ประหลาดเช่นนี้มาก่อน เลยยืนเซ่อไปวูบหนึ่ง แต่แล้วพอเห็นผู้อาวุโสซั่งชิงหัวลงนอนพังพาบกับพื้นก็หน้ากระตุก ได้สติทันที ร้องว่า “ล่วงเกินแล้ว” แล้วกระโดดข้ามไป
ไม่ว่าจะด้วยสภาพทุเรศอย่างไร ในที่สุดแผนกธุรการแนวหลังกลับทหารแนวหน้าก็เปลี่ยนตำแหน่งกันได้สำเร็จ…
เสิ่นชิงชิวตะโกนมาอีก “ห้ามดึงกระบี่” แต่คำว่า ‘กระบี่’ ยังไม่ทันจบ กงอี๋เซียวชักกระบี่ออกมาโดยไม่ทันคิด ผลลัพธ์ลงเอยอีหรอบเดียวกัน ด้ามกระบี่กระแทกเข้ากับผนังสนั่นหวั่นไหว
เสิ่นชิงชิวแบกกระบี่ปรี่เข้ามา หลุดปากด่า “โง่จริง!”
กงอี๋เซียวถูกด่าอย่างไม่เป็นธรรม ความจริงเสิ่นชิงชิวรู้ดี ต้องโทษที่ปฏิกิริยาเขารวดเร็วเกินไป ยังไม่ทันฟังเสียงร้องเตือนให้จบก็ลงมือเลย เปลี่ยนเป็นคนอื่นผลลัพธ์ย่อมเป็นเช่นเดียวกัน ทว่าเพราะเมื่อก่อนเวลาร่วมมือกับลั่วปิงเหอต่อสู้ ตนไม่เคยต้องพูดมาก
ลั่วปิงเหอก็เข้าใจเองโดยไม่ต้องบอก ตอบรับอย่างเข้าขาเป็นอันดี เมื่อเปรียบเทียบกันก็จะเห็นได้ถึงความรู้อกรู้ใจระหว่างตนกับลั่วปิงเหออย่างชัดแจ้ง เสิ่นชิงชิวเลยอดคิดถึงความว่าง่าย ไม่เคยสร้างปัญหาให้ และข้อดีของศิษย์รักไม่ได้
ทางในถ้ำคดเคี้ยวเลี้ยวลด อีกทั้งมืดสลัว สร้างความได้เปรียบให้กับเจ้าสิ่งนั้น
เสิ่นชิงชิวคว้ายันต์ออกมาอีกปึกหนึ่ง แต่เจ้าสิ่งนั้นเลื้อยหายไปแล้ว
กงอี๋เซียวกล่าวด้วยความสงสัย “ผู้อาวุโสเสิ่นขอรับ งู…ตัวเมื่อครู่ ใช่ปีศาจที่พวกท่านเจอในป่าน้ำค้างขาวหรือไม่”
เสิ่นชิงชิวกล่าวว่า “มันนั่นแหละ ขนาดโจมตีสองทางก็แล้ว ไม่รู้ว่ามันยังหนีไปได้อย่างไร”
ซั่งชิงหัวลุกขึ้นจากพื้นโดยที่หน้าไม่เปลี่ยนสี แล้วตบฝุ่นตามเสื้อผ้า “ก็เลื้อยผ่านตัวข้าไปน่ะซิ”
กงอี๋เซียว “…”
เสิ่นชิงชิว “…ไปกันเถอะ คราวนี้อยู่ชิดๆกันไว้”
ไม่ต้องให้บอก คราวนี้ให้ตายซั่งชิงหัวก็ไม่อยมอยู่ห่างจากเขาเกินสองฉื่อ*เด็ดขาด
(ฉื่อคือ หน่วยวัดความยาวของจีน 1 ฉื่อ เท่ากับประมาณ 10 นิ้ว)
เลี้ยวไปเลี้ยวมาจนเวียนหัว ในที่สุดคนทั้งสามก็หลุดออกจากทางเดินอันคับแคบ เข้าสู่คูหาส่วนลึกใจกลางถ้ำ เบื้องหน้าพลันแผ่กว้างไฟศาล
ก่อนหน้านี้เสิ่นชิงชิวขบคิดไม่เข้าใจมาตลอดทาง ส่วนที่ลึกที่สุดของคูหานี้ น่าจะมืดมิดไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน แล้วทำไมต้นหญ้านั่นถึงเติบโตได้ ‘หญ้าน้ำค้างแก่นสุริยันจันทรา’ ชื่อลักษณะนี้ฟังแล้วเหมือนเป็นสิ่งที่รวมปราณทิพย์ของฟ้าดินและธาตุสำคัญแห่งสุริยันจันทราเอาไว้ ในที่สุดก็เข้าใจแล้ว
ที่แท้ยอดเพดานของถ้ำนี้ เป็นปากโพรงเปิดโล่งขนาดใหญ่ แสงอาทิตย์แสงจันทร์ส่องผ่านปากโพรงนี้ลงมายังใจกลางทะเลสาบด้านในถ้ำได้โดยตรงราวกับแสงสปอร์ตไลท์
ทะเลสาบขนาดย่อมนี้โอบล้อมเนินดินเล็กๆไว้ตรงกลาง น้ำในทะเลสาบใสเป็นประกาย จึงเป็นชัยภูมิอันเยี่ยมยอดที่บ่มเพาะหญ้าน้ำค้างแก่นสุริยันจันทราขึ้นมา
ซั่งชิงหัวกล่าวอย่างมั่นใจ “ทะเลสาบน้ำค้าง ไม่ผิดแน่”
ถึงที่หมายแล้ว พอเสิ่นชิงชิวได้รับคำยืนยันก็ผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก
นี่ไม่ใช่น้ำทะเลสาบธรรมดา แต่เป็นน้ำค้างยามเช้าไร้ราก วารีไร้ราก+น้ำค้างยามเช้า สะสมปราณทิพย์ไว้เต็มเปี่ยม ช่วยหล่อเลี้ยงบำรุงหญ้าน้ำค้างแก่นสุริยันจันทรา และเมื่อหญ้าเติบโตได้ที่ รากก็จะแช่อยู่ในน้ำ และกลับไปบำรุงหล่อเลี้ยงน้ำค้างเป็นวงจรเช่นนี้ไม่มีหยุด ปราณทิพย์ก่อเกิดไม่ขาดช่วง ไม่มีวันแห้งเหือดไปตลอดกาล
ขณะที่กงอี๋เซียวอุทานอย่างชื่นชมในความอัศจรรย์ ในที่สุดจึงได้ล่วงรู้ถึงวัตถุประสงค์ที่ทำให้เจ้ายอดเขาทั้งสองเดินทางมาถึงนี่แล้ว
เขาอดฉงนไม่ได้ ชางฉยงซานเองก็เป็นสำนักใหญ่ที่ผลิตหญ้าวิเศษโอสถทิพย์เช่นกัน ดอกไม่หายากมหัศจรรย์ที่เก็บได้แต่ละวันย่อมมีไม่น้อย หญ้าทิพย์นี้ถึงแม้งดงามหายากปานใด แต่ท่าทางไม่น่าถึงขนาดทำให้กินแล้วไม่แก่ไม่ตาย หรือสำเร็จเป็นเซียนได้ในทันที เหตุใดเจ้ายอดเขาทั้งสองท่านถึงกับต้องรอนแรมเดินทางเป็นพันลี้มาเอาด้วยตัวเองกัน
แต่สำหรับเสิ่นชิงชิว ยามนี้ในสายตาของเขามีแต่พวก ‘หญ้าเนื้อ’ ต้นน้อยๆอวบๆขาวๆ ที่อยู่ใจกลางทะเลสาบเท่านั้น เขาสะบัดชายเสื้อทีหนึ่งเดินลุยน้ำเข้าไปในทะเลสาบ เดินไปได้สิบกว่าก้าว น้ำค้างลึกระดับเอว ไม่ร้อนไม่เย็นซึมเข้าสู่ผิวหนังราวกับสามารถชโลมเข้าไปถึงก้นบึ้งหัวใจคน
ถึงยามนี้พวกหญ้าวิเศษจะยังเล็กขนาดพอกับถั่วงอก แต่รอจนเขาหาสถานที่ๆมีชัยภูมิเหมาะสม พลังทิพย์เต็มเปี่ยม แล้วเอามันไปปลูก เลี้ยงมันให้โตตามแผนที่วางเอาไว้…
มองดูหญ้าน้ำค้างต้นเล็กขาวอวบสิบกว่าต้นบนเนินดิน เสิ่นชิงชิวก็ลังเลเล็กน้อย การที่หญ้าน้ำค้างงอกขึ้นที่นี่ ถือว่าเป็นปาฏิหาริย์อย่างหนึ่ง ถอนขึ้นมาหมดก็ใจร้ายไปนิด แต่คิดอีกที หากไม่ถอนตอนนี้ วันหน้าก็ต้องถูกผู้ร้ายคนอื่นมาถอนไปอยู่ดี ยิ่งไม่ดีเข้าไปใหญ่ อีกทั้งหากการย้ายที่ปลูกไม่ประสบผลสำเร็จ มีต้นอ่อนไว้หลายๆต้นก็ยังพอมีทางรอด อย่างไรยึดหลักรอบคอบไว้ก่อนเป็นดี ขอเพียงไม่มีข้อผิดพลาด รับประกันสำเร็จแน่นอน
เมื่อตกลงใจได้ เขาจึงถอนหญ้าแต่ละต้นด้วยความระมัดระวังโดยให้มีดินติดมาด้วยเล็กน้อย แล้วเก็บใส่แขนเสื้อ
ขณะที่คีบต้นสุดท้ายไว้ในมือ ยังไม่ทันเก็บใส่แขนเสื้อ เสิ่นชิงชิวได้ยินเสียงชักกระบี่ดังขึ้นจากทางด้านหลัง
เขาหันกลับไป กงอี๋เซียวกุมกระบี่ในมือ จ้องเขาเขม็ง
เดิมทีเสิ่นชิงชิวเข้าใจว่าเขาทำเช่นนี้เพื่อประท้วงที่ตนถอนหญ้ามากเกินไป แต่พอหันไปเห็นซั่งชิงหัวจ้องตนเขม็งเช่นกัน ก็พลันทราบว่าเกิดความเปลี่ยนแปลงแล้ว เขาสะกดกลั้นลมหายใจทันที
ทันใดนั้นตัวอะไรอย่างหนึ่งกระโจนออกมาจากผิดน้ำของทะเลสาบ ตัวของมันทั้งยาวและใหญ่ดูคล้ายปลายักษ์ โผเข้าใส่เสิ่นชิงชิว
ใบหน้าขาวซีดตายด้านพุ่งเข้ามา มันคือสิ่งที่ตามพวกเขามาตลอดทางนั่นเอง
ขณะเดียวกัน กงอี๋เซียววาดท่าร่ายกระบี่เสร็จแล้ว กระบี่ยาวเหินเข้าใส่เจ้าสิ่งนั้นอย่างรวดเร็ว เมื่อมันโผเข้าใส่เสิ่นชิงชิวไม่โดนก็ดำลงน้ำไป ไม่โผล่ขึ้นมาอีก กวนดินทรายที่นอนก้นนิ่งอยู่ในทะเลสาบมาหลายปีให้ฟุ้งขึ้นมาจนขุ่นคลั่ก
กงอี๋เซียวเรียกกระบี่กลับ “ผู้อาวุโสเสิ่นรีบขึ้นมาเถอะขอรับ”
เสิ่นชิงชิวกล่าวยิ้มๆ “ไม่ต้องกลัว ข้าจะจับปลาเล่นสักหน่อย” เขายืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับ ล้วงเอายันต์แผ่นหนึ่งออกมาอย่างไม่รีบร้อน
กงอี๋เซียวกล่าว “ใช้ยันต์แผ่นเดียวรับมือกับเจ้าสิ่งนั้น เกรงว่าจะไม่…”
คำว่า ‘พอ’ ยังไม่ทันหลุดจากปากก็เห็นเสิ่นชิงชิวคลี่ยันต์แผ่นนั้นราวกับจะคลี่ธนบัติเงินหยวน* จากนั้นยันต์หนึ่งแผ่นก็คลี่ออกมาเป็นหนึ่งโหล เสิ่นชิงชิวกำยันต์หนึ่งโหลเอาไว้แล้วฟาดใส่น้ำทีหนึ่ง
(ธนบัตรเงินหยวน ตรงนี้ต้นฉบับใช้คำว่า 人民币 เหรินเหมินปี้ คือ หน่วยเงินชื่อเรียกสกุลเงินของจีนอย่างเป็นทางการในปัจจุบัน ขณะที่หยวนเป็นหน่วยเงินพื้นฐานของเหรินเหมินปี้)
พลันเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว
ผิวน้ำระเบิดออกมาสิบสองสายสูงเกินหนึ่งจั้ง
งูครึ่งคนที่เดิมทีหลบอยู่ใต้ก้นทะเลสาบถูกพลังระเบิดกระแทกใส่จนกระเด็นขึ้นสูงมาก แล้วตกลงมาอย่างแรงที่พื้นข้างเท้าของซั่งชิงหัว
เสิ่นชิงชิวตัวเปียกชุ่มโชกขึ้นมาบนฝั่ง กงอี๋เซียวเข้าใจที่เขาส่งสายตาบอกเป็นนัย จึงใช้ด้ามกระบี่พลิกเขี่ยเจ้าสิ่งนั้นขึ้น
พอพลิกขึ้นมาดู คนทั้งสามก็ตะลึงพรึงเพริด
สักพักเสิ่นชิงชิวจึงหันไปถามซั่งชิงหัว “นี่คืออะไร”
ซั่งชิงหัวเค้นออกมาสองคำ “…ไม่รู้”
เขาไม่รู้จริงๆนี่
สิ่งมีชีวิตนี้หน้าตาคล้ายคน ผมยาวปรกไหล่ กระดูกอ่อนไปทั้งตัว ผิวหนังทั้งหยาบทั้งแข็งมีเกล็ดอยู่ตรงนั้นนิดตรงนี้หน่อย มองดูคล้ายปลาที่ขอดเกล็ดไม่สะอาด
คราแรกเสิ่นชิงชิวเข้าใจว่ามันเป็นผีผู้หญิง ครั้นมองที่หน้าให้ละเอียดถึงจะพองอืดก็ยังพอมองออกว่าหน้าตาเป็นผู้ชาย
ซั่งชิงหัวมองเสิ่นชิงชิวด้วยสายตาเป็นคำถามพลางเอ่ย “เคยเหรอ” ความหมายคือ ผมเคยเขียนไอ้ตัวนี้เอาไว้ด้วยเหรอ
เสิ่นชิงชิวตอบว่า “…น่าจะไม่เคย” หากที่บรรยายไว้ในนิยายดั้งเดิมเกินกว่า 10 ตัวอักษร ไม่มีเหตุผลที่เขาจะจำไม่ได้
คนทั้งสองมองกงอี๋เซียวอย่างคาดหวัง แต่กงอี๋เซียวไม่รู้จักเช่นกัน เขากล่าวอึกอัก “กระทั่งปรมาจารย์ทั้งสองท่านยังไม่รู้จักเจ้าสิ่งนี้ ผู้เยาว์ยิ่งไม่เคยได้ยินมาก่อนด้วยซ้ำขอรับ”
ซั่งชิงหัวกล่าวทันที “ข้าว่านะ อันที่จริงเจ้าปีศาจตนนี้อาจไม่ได้เป็นแบบนี้ตั้งแต่เกิดก็ได้”
มีเหตุผล มองดูรูปร่างแปลกประหลาดของมันแล้ว อย่างไรก็ไม่เหมือนสิ่งมีชีวิตปกติทั่วไป แต่เหมือนพวกกลายพันธุ์ หรือลูกผสมมากว่า
เสิ่นชิงชิวกล่าวพึมพำ “สวรรค์ลงโทษ เจอคำสาป หรือไม่ก็อาจเป็นผู้ฝึกวิชาเซียนที่ฝึกวิชาต้องห้ามแล้วเกิดความผิดพลาดก็เป็นได้”
กงอี๋เซียวกล่าวว่า “จากสามกรณีนี้ เป็นไปได้มากที่จะเกิดเจ้าตัวประหลาดนี้ขึ้น”
พอได้ฟังคำว่า ‘ตัวประหลาด’ ชายร่างงูที่นอนอยู่บนพื้นก็ดูเหมือนจะอยู่ไม่สุขขึ้นมา ส่วนที่ดูเหมือนหางฟาดไปมาอย่างคลุ้มคลั่ง
ซั่งชิงหัวรีบหลบฉาก “จอมยุทธ์น้อยกงกี๋ คุณชายกงอี๋ เจ้าอย่าพูดจามั่วซั่ว ดูเหมือนมันจะฟังภาษาคนรู้เรื่อง รีบเปลี่ยนคำพูดเร็ว เปลี่ยนคำพูด”
มันจ้องชายแขนเสื้อเสิ่นชิงชิวเขม็ง
เสิ่นชิงชิวสังเกตเห็นแล้ว แม้หน้าตาของเจ้าสิ่งนี้จะดูดุดันน่าสยดสยอง แต่ดวงตาที่ถูกบดบังด้วยผมยุ่งนั้นกลับใสแจ๋วดุจเดียวกับน้ำค้างในทะเลสาบ
เสิ่นชิงชิวพลันเข้าใจในที่สุด “มิน่าเล่ามันถึงพยายามโจมตีพวกเรา พวกเจ้าดู” เขาชี้ “ดวงตาของมัน เป็นไปได้อย่างมาก ว่ามันดื่มน้ำค้างไร้รากทุกวันจึงหล่อเลี้ยงกลายเป็นเช่นนี้ แล้วดูที่เกล็ดมัน ในซอกมีตะไคร่เขียบเหลือบแดงปนอยู่ เหมือนกับที่ผนังถ้ำไม่ผิดเพี้ยน ถ้ำคือสถานที่ที่มันเข้าออกเป็นประจำ มันน่าจะใช้ปราณทิพย์ของน้ำค้างในทะเลสาบนี่แหละเพื่อดำรงชีวิต”
แต่หากหญ้าน้ำค้างแก่นสุริยันจันทราถูกถอนไปเท่ากับทำลายวงจรของปราณทิพย์ จะส่งผลให้ทะเลสาบน้ำค้างค่อยๆ งวดลงกลายเป็นแค่น้ำเสียกองหนึ่งถึงขั้นแห้งเหือด เจ้าสิ่งนี้จึงได้ติดตามเรามาตลอดทาง เพื่อรอโอกาสโจมตี”
กงอี๋เซียวถามว่า “แต่ผู้อาวุโสเสิ่นขอรับ หากเจ้าสัตว์ประหลาดนี้ดื่มน้ำค้างในการดำรงชีวิต มันกินหญ้าน้ำค้างเข้าไปตรงๆเลยไม่ดีกว่าหรือ เพราะอะไรมันถึงไม่เด็ดหญ้าน้ำค้างไปก่อนหน้านี้เล่าขอรับ”
เสิ่นชิงชิวกล่าวว่า “ในป่าน้ำค้างขาวก่อนหน้านี้ พวกเราถูกมันตามรังควาน มีอยู่ครั้งหนึ่งมันถูกแสงแดดที่สะท้อนจากกระบี่ลวกบาดเจ็บ จึงได้ยอมล่าถอย น่ากลัวว่าเจ้าสิ่งนี้จะทนแสงไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแสงแดดและแสงจันทร์ ดังนั้นมันจึงอยู่ได้แต่ในป่า ในถ้ำและใต้น้ำ” เขาชี้ไปที่ลำแสงที่ส่องลงมาจากปากปล่องเพดานถ้ำ “หญ้าน้ำค้างถูกแสงแดดแสงจันทร์แผ่ปกคลุมทั้งวันทั้งคืน มันจึงเข้าใกล้ไม่ได้เลย”
เพื่อเป็นการยืนยัน เขาคีบต้นหญ้าอ่อนนุ่มออกมาส่ายเบาๆ
จริงดังคาด ชายร่างงูผู้นั้นตาลุกวาว ชูหัวขึ้นอย่างร้อนรน อ้าปากแยกเขี้ยวขาว
กงอี๋เซียวเห็นดังนั้น จึงเอาด้ามกระบี่จิ้มลงไปทีหนึ่งแล้วพลิกมันหงายขึ้น ชายร่างงูผู้นั้นดิ้นกระเสือกกระสนกับพื้น แต่ไม่อาจพลิกไปไหนได้ กระบี่ของกงอี๋เซียงทำราวกับจะแทงลงไป
เสิ่นชิงชิวเห็นดังนั้นก็รีบห้าม “ช้าก่อน”
กงอี๋เซียวยั้งมือทันที เรียกอย่างไม่เข้าใจ “ผู้อาวุโส?”
เสิ่นชิงชิวกล่าวอ้อมๆ “เจ้าเคยบอกว่าชาวบ้านที่อยู่รอบๆป่าน้ำค้างขาวไม่เคยเจอปีศาจรังควานใช่หรือไม่”
“ขอรับ”
“เช่นนั้นก็เห็นได้ว่ามันไม่เคยทำเรื่องชั่วช้า จะถึงกับต้องตัดรากถอนโคนมันไปทำไมกัน อันที่จริงมันก็แค่มาเพื่อรับน้ำค้างในถ้ำทุกวัน กลับเป็นพวกเราเสียอีกที่บุกเข้ามารบกวนมัน”
ในเมื่อผู้อาวุโสเอ่ยปาก กงอี๋เซียวย่อมต้องรับฟัง อีกทั้งคำพูดนี้ก็ไม่ใช่ความเท็จ หากว่าเจ้าสัตว์ประหลาดนี้เคยทำร้ายผู้คน วังฮ่วนฮวาก็ต้องเจอตัวมันนานแล้ว และกำจัดมันไปจนสิ้นซากแต่แรก เนื่องจากไม่เคยพบเห็นจึงยังไม่ตาย เขาเก็บกระบี่เข้าฝัก เห็นเสิ่นชิงชิวมองเจ้าสิ่งมีชีวิตด้วยสายตาเอ็นดู จึงเหมาเอาว่าเขาคงถือคติเมตตาปราณีเหมือนพวกหลวงจีนวัดเจาหัว หารู้ไม่ เสน่ห์ของสัตว์ประหลาดที่ไม่รู้ว่าเป็นตัวอะไรกันแน่พวกนี้ สำหรับเสิ่นชิงชิวแล้วเป็นเช่นเดียวกับเสน่ห์ของน้องๆหนูๆคนงามนับร้อยในเรื่องที่มีต่อนักอ่านทั่วไปนั่นเอง
แต่ตอนที่ทุกคนออกไปจากถ้ำลึก ไม่มีใครสังเกตเลยว่าชายร่างงูที่ดิ้นกระเสือกกระสนอยู่บนพื้นนั้นหยุดดิ้นแล้ว เหลือเพียงอาการตัวสั่นเบาๆ
รูปร่างอันพิกลพิการของมันลอบกอดยอดอ่อนของต้นหญ้าน้ำค้างที่บอบบางเอาไว้ สองตาสุกใสดูไม่เข้ากับสภาพอเนจอนาถของมันวาวโรจน์ราวกับกองไฟลุกโชติช่วง
เมื่อออกจากป่าน้ำค้างขาว กงอี๋เซียวเชิญทั้งสองคนไปนั่งพักในวังฮ่วนฮวา เพื่อจะได้แจ้งแก่กงจู่เฒ่า
เสิ่นชิงชิวกล่าวปฏิเสธ “จบเรื่องได้เพราะมีเจ้าช่วยเหลือ ไม่ดีแน่ถ้าต้องรบกวนไปมากกว่านี้”
ล้อเล่นรึไง จะเข้าวังฮ่วนฮวาไปทำแป๊ะอะไร จัดงานชมความงามของต้นหญ้ารึ หากระดับสูงของพวกเจ้าไม่ยอมปล่อยมี แต่อยากอภิปรายเรื่องสิทธิความเป็นเจ้าของต้นหญ้าแทนล่ะ
เห็นกงอี๋เซียวยังคงยืนกราน ซั่งชิงหัวจึงกล่าว “คราวนี้ต้องขอตัวแล้วจอมยุทธ์น้อยกงอี๋ เอาไว้คราวหน้าเถอะ วันหน้าหากเจ้าไปชางฉยงซานก็ขึ้นชิงจิ้งเฟิงไปนั่งสนทนากัน ผู้อาวุโสเสิ่นของเจ้าจะต้องต้อนรับเจ้าอย่างดีแน่”
เสิ่นชิงชิวชำเลืองมองเขาแวบหนึ่ง ซั่งชิวหัวหุบปากทันที
เสิ่นชิงชิวจึงปรับสีหน้าใหม่ ยิ้มเล็กน้อย “ศิษย์น้องซั่งกล่าวถูกต้อง ถึงเวลานั้นชิงจิ้งเฟิงจะคอยต้อนรับเจ้าเป็นอย่างดี”
กงอี๋เซียวรู้ดีว่าชิงจิ้งเฟิงนั้น ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าชอบความสงบ ไม่ชอบให้คนนอกรบกวน เลยไม่แน่ใจว่าเขาแค่พูดตามมารยาทหรือไม่ ใบหน้ายังคงแต้มยิ้ม “คำพูดนี้ของผู้อาวุโสเสิ่นข้าจดจำไว้แล้ว วันหน้าอาจไปขอรบกวน ถึงเวลานั้นข้าควรส่งเทียบไปที่ผู้ใดขอรับ”
เสิ่นชิงชิวตอบโดยไม่คิด “ให้ศิษย์ข้า…ลั่วปิง…”
พอกล่าวคำนี้ออกมา รอบด้านพลันตกอยู่ในความสงัด เกิดเป็นบรรยากาศแปลกประหลาดขึ้นมาเดี๋ยวนั้น
ชะงักกันไปครู่ใหญ่ เสิ่นชิงชิวโบกพัดด้ามจิ้วสองที กล่าวกลบเกลื่อนอย่างฝืนๆ “…ให้ศิษย์พี่ของลั่วปิงเหอที่ชื่อหมิงฟาน”
กงอี๋เซียวสับสนในใจ
ที่เล่าลือกันว่านับจากเจ้ายอดเขาชิงจิ้งเฟิงสูญเสียศิษย์รักไปช่วงงานชุมนุมเซียน ก็จมอยู่ในความโศกเศร้าไม่สร่าง เสียขวัญสูญวิญญาณ ที่เห็นวันนี้เขายังคงไม่ยอมรับความจริงว่าลั่วปิงเหอจากไปแล้วอยู่ดี เป็นไปได้ว่าที่มาคราวนี้มิใช่เพื่อเก็บหญ้า แต่เพียงเพื่อออกมาผ่อนคลายจิตใจให้ลืมลั่วปิงเหอไปชั่วคราว ไม่เช่นนั้นแล้วไยเจ้ายอดเขาทั้งสองจึงต้องมาเอง ส่วนผู้อาวุโสซั่งก็คงมาเพื่อคอยป้องกันไม่ให้ผู้อาวุโสเสิ่นทำเรื่องโง่ๆ นึกไม่ถึงท่านอุตส่าห์ปั้นหน้ายิ้มแย้มมาตลอดทาง ตนดันพูดเรื่องที่ไม่สมควร ทำให้ท่านต้องเจ็บปวดขึ้นมาอีก ศิษย์อาจารย์ช่างรักผูกพันแน่นแฟ้นอย่างที่ว่ากันโดยแท้
จนกระทั่งถึงเวลาต้องแยกย้าย กงอี๋เซียวยังคงคอยหันกลับไปมองเสิ่นชิงชิวทุกสิบก้าว สายตามีทั้งความกระอักกระอ่วน เห็นใจ เศร้าใจ เลื่อมใส ปะปนกันสารพัด
เสิ่นชิงชิวถูกมองจนขนลุกเกรียว เขาแค่หลุดปากไปโดยไม่ตั้งใจหน่อยเดียว กงอี๋เซียวคิดเป็นตุเป็นตะไปถึงไหนกันนี่
ซั่งชิงหัวถอนใจ “จริงด้วย ที่แท้ก็เป็นความจริง”
เสิ่นชิงชิวถีบเขาเบาะๆ “อะไรจริงอะไรเท็จของนาย”
ซั่งชิงหัวกล่าวว่า “ผมสังเกตคุณมานานละ มีประโยคนึงที่อัดอั้นเอาไว้ในใจ ขืนไม่พูดออกมาจะไม่สบายเอา กวาซยง คุณเห็นลั่วปิงเหอเป็นศิษย์หัวแก้วหัวแหวนจริงๆแล้วใช่ไหม”
เขาวิเคราะห์อย่างมีเหตุมีผล “ได้ยินที่ศิษย์ชิงจิ้งเฟิงพูดกันว่าหลังกลับจากงานชุมนุมเซียน ศิษย์พี่เสิ่นก็เสียขวัญสูญวิญญาณ ใจลอยไปไหนต่อไหน เรียกชื่อลั่วปิงเหอออกมาหลายครั้งแล้ว ทั้งยังสร้างสุสานกระบี่ไว้ไปคอยยืนทอดถอนใจ ก่อนหน้านี้ผมไม่เคยเชื่อเลยนะ เมื่อกี้นับว่าได้เห็นด้วยตาตัวเองแล้ว กวาซยง ผมไม่นึกจริงๆว่าคุณจะเป็นคนแบบนี้”
เชี่ย! ‘เสียขวัญสูญวิญญาณ’ มาอีกละ ประโยคนี้จะต้องเป็นรอยด่างไปชั่วชีวิตตูแน่
ศิษย์ชิงจิ้งเฟงของเราแต่ละคนที่อารมณ์ศิลปิน เจ้าบทเจ้ากลอนกลายเป็นขาเม้าท์ไปตั้งแต่เมื่อไหร่ เรื่องบ้าบอคอแตกก็เอาไปเล่าจนทั่ว เอาภาพลักษณ์ของซือจุนไปวางไว้ที่ไหนกัน
ซั่งชิงหัวยังคงพูดต่อแบบไม่รู้จักที่ตาย “กวาซยง ถามหน่อยเหอะ ตกลงคุณคิดยังไงกับลั่วปิงเหอ ผมจำได้ว่าคุณเป็นสาวกเขา ถึงจะด่าตัวละครอื่นๆ ที่ผมเขียนเป็นกระบุงโกย แต่ไม่เคยด่าเขาเลย เวลานี้สำหรับคุณแล้ว เขาเป็นตัวละครตัวหนึ่ง หรือว่าเป็น…”
แผ่นหลังของเสิ่นชิงชิวสั่นยะเยือก
การจิกถามที่ไม่เหมือนใครของเซี่ยงเทียนต่าเฟยจี ให้อารมณ์เหมือนสาวม.ปลายเม้าท์กันในหอพักหลับดับไฟเป๊ะ…
“นี่! ตะเองแอบชอบ XXX อยู่เหรอ”
“เปล่านะ ไม่มี้ไม่มี ไปเอาเรื่องเหลวไหลที่ไหนมาพูด”
“โกหก ไม่ต้องอายหรอกน่า ฮ่าๆๆๆ”
“รำคาญ นอนๆๆๆ”
ฟ้าผ่าจากสวรรค์เก้าชั้นฟ้าลงมาโครมเบ้อเริ่ม!
ซั่งชิงหัวถามด้วยความบริสุทธิ์ใจ เขาแค่อยากพูดคุยสอบถามอย่างตรงไปตรงมาเท่านั้น เห็นได้ชัดว่าเสิ่นชิงชิวต่างหากที่มีพิรุธในใจเลยคิดมากเกินไป
เสิ่นชิงชิวตัดบท “ทำไมนายยังไม่ขยับเสียที”
ซั่งชิงหัวเหวอไป “อะไรเหรอ”
เสิ่นชิงชิวมองเขา ยัดเยียดแส้ม้าส่งให้ “กงอี๋เซียวไปแล้ว แต่รถม้าต้องมีคนขับ”
“…ทำไมคุณไม่ขับมั่งล่ะ”
“นายต้องเข้าใจนะ ฉันเป็นคนป่วย ฉันถูกพิษ”
คนป่วยกะผี!
แล้วเมื่อกี้ใครวะเล่นสู้กับสัตว์ประหลาด ใช้ยันต์ระเบิดทะเลสาบทิพย์เสียกระดี๊กระด๊าแบบนั้น
รู้จักอายบ้างเหอะ!
เสิ่นชิงชิวนอนอยู่ในรถม้า สะบัดแขนเสื้อ
คำนวฯเวลาดูแล้ว กว่าลั่วปิงเหอจะกลับจากห้วงอเวจีคืนสู่ภพมนุษย์ก็อีก 5 ปี หากไม่เกิดเรื่องผิดพลาด เขาก็พอจะรักษาชีวิตรอดได้
แต่เขาลืมไปว่า ‘เทพมารอหังการ’ เป็นนิยายพิสดารพันลึกระดับไหน หากเนื้อเรื่องในช่วงสำคัญไม่เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น นิยายเรื่องนี้มันก็จะไม่ยอดเยี่ยมถึงขนาดนี้น่ะซิ