บทที่ 917 วิญญาณแห่งโลกจริง
ขณะนี้ สถานการณ์การรบในท้องฟ้าถูกแบ่งออกเป็นซ้ายขวาด้วยกำแพงน้ำแข็งที่ก่อตัวจากแสงสีฟ้า!
ทางด้านซ้ายของแสงสีฟ้า ไพ่ตายของสวี่ชิงและนายกองกำลังปะทุ
หนอนสีฟ้านับไม่ถ้วนที่นายกองแปลงร่างออกมา พ่นลมหายใจเย็นยะเยือกที่แช่แข็งทุกสิ่ง มือกระดูกสีฟ้าหลังจากได้รับการเสริมพลังก็แข็งแกร่งจนน่าตะลึง ตกลงมาทำลายโลก ไอสังหารน่าสะพรึง
ร่างของสวี่ชิงเปรียบเสมือนทูตแห่งความตาย กริชกลืนวิญญาณในมือของเขาฟาดฟันพร้อมกับสายลมแห่งการทำลายล้าง และเจตจำนงแห่งมรณา
ส่วนทางด้านขวาของแสงสีฟ้า ร่างของหลานเหยาถูกขวาง และยังมีตะขาบผีนับหมื่นที่ถูกควบคุมโดยเจ้าเงา พุ่งเข้าใส่อย่างหาญกล้าไม่กลัวตาย เปลวไฟสีดำที่พ่นออกมา หมอกพิษที่กระจายออกมา รูปแบบการกลืนกินปกคลุมท้องฟ้า
สิ่งเหล่านั้นไม่ใช่อุปสรรคใหญ่ที่สุดของหลานเหยา
สิ่งที่ทำให้หญิงผู้นี้เกิดความหวาดกลัวสุดขั้วหัวใจคือกระดูกสันหลังประหลาดสีฟ้าน่าขนลุก
ขณะที่กระดูกสันหลังนี้เดินอยู่ตรงหน้านาง มันเหมือนกับตะขาบสีฟ้าตัวใหญ่ยักษ์ ขณะที่คล้ายกับตะขาบผีเหล่านั้น มันก็ปล่อยกลิ่นอายที่น่ากลัวออกมา
เมื่อมองจากระยะไกล มันกลายเป็นหัวหน้าของทะเลหนอน กลายเป็นราชาแห่งตะขาบผี สั่นสะเทือนฟ้าดิน
หลานเหยาไม่เคยสัมผัสกลิ่นอายนั้นมาก่อน ความรู้สึกวิกฤตอันรุนแรงผุดขึ้นในใจ ชั่วขณะหนึ่งไม่ทราบว่าถูกกักขังอยู่จริงหรือไม่ หรือไม่เต็มใจที่จะเสี่ยงภัยเพื่อชายหนุ่มแซ่เฟิง แรงผลักดันที่จะช่วยชะงักลง
ขณะที่หยุดชะงัก หนอนที่นายกองแปลงร่างมาก็แช่แข็งร่างของชายหนุ่มแซ่เฟิง มือกระดูกพุ่งเข้าไป ทำลายเลือดเนื้อ คว้าหัวใจของชายหนุ่มผู้นี้ไว้ แล้วบีบอย่างแรง
หัวใจนั้นกำลังจะระเบิดออก
ขณะเดียวกัน กริชกระหายวิญญาณของสวี่ชิงก็ทะลวงแสงแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ ถากผิวหนังที่ลำคอของชายหนุ่มแซ่เฟิง เสียงดังฉัวะ กรีดเฉือนคอของเขาออกเป็นแผลลึก หมายจะตัดคอให้ขาด
ส่วนหลานเหยาเพียงเหลือบมองผาดหนึ่ง ขณะที่ต่อต้านกระดูกสันหลังสีฟ้า นางก็เหลือบมองไปอย่างรวดเร็ว
“ไพ่ตายของเขา น่าจะถูกใช้แล้ว…”
ในช่วงเวลาวิกฤตนี้ ขณะที่ความตายโอบกอดตนเอง ชายหนุ่มแซ่เฟิงก็ส่งเสียงโหยหวนออกมา ดวงตาฉายแววแน่วแน่ โลกใหญ่ 5 ใบ โลกเสมือนจริง 3 ใบและโลกจริง 2 ใบ สาดแสงบนร่างของเขาอย่างกะทันหัน
พลังระดับมหาขั้นเตรียมสู่เทวะอันน่าสะพรึงกลัวปะทุขึ้นอีกครั้ง แผ่กระจายออกไป ทำให้มือกระดูกที่จับหัวใจของเขาหยุดชะงัก ไม่อาจบีบคั้นต่อไปได้ ราวกับว่าหัวใจที่กำลังจะพังทลายในมือ กลายเป็นเหล็กดำ
กริชของสวี่ชิงหยุดชะงักไปเช่นกัน ไม่อาจเฉือนต่อไปได้
สีหน้าของคนทั้ง 2 เปลี่ยนไป จากนั้นแสงหลากสีก็พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า บินออกมาจากโลกใหญ่ทั้ง 5 ของชายหนุ่มแซ่เฟิง ขนนก 1 เส้นร่วงลงมาจากโลกแต่ละใบ
แม้แต่โลกใหญ่ที่ถูกผนึกไว้ก็ยังมีขนนกปลิวออกมา ราวกับว่าขนนกนี้ไม่อยู่ในขอบเขตของการผนึก
และขนนกทั้ง 5 นี้ล้วนมีสีสันแตกต่างกัน ยาวประมาณ 3 ฉือ ในเวลาที่ปรากฏ กลิ่นอายบรรพกาลก็พวยพุ่งมาจากภายใน ความรู้สึกแกร่งกล้ารุนแรงขั้นสุด
แม้แต่สมบัติแดนสงครามก็ไม่ต่างกัน
ภายในนั้นคล้ายจะบรรจุพลังรากฐาน สั่นคลอนเลือดเนื้อ ปั่นป่วนจิตวิญญาณ
“วิญญาณแห่งโลกจริง!”
รูม่านตาของนายกองหดเล็กลง หยุดการโจมตีอย่างเด็ดขาด ถอยกลับอย่างรวดเร็ว และยังส่งสายตาให้สวี่ชิง
สวี่ชิงเองก็ตกตะลึง เก็บกริชกลืนวิญญาณลง ถอยกรูดไปหลายสิบจั้ง โดยไม่ลังเลใดๆ
แทบจะทันทีที่นายกองจำขนนกนี้ได้ และทั้ง 2 คนก็ถอยหลังทันที กลิ่นอายขนนกพวยพุ่งสู่ท้องฟ้า กลายเป็นพายุหลากสี เชื่อมต่อระหว่างฟ้าดิน
สีสันฟ้าดินเปลี่ยนไป ถูกเติมเต็มด้วยสีสันทั้ง 5 เมฆหมอกพัดกระจายออกไป พลังอันน่าสะพรึงกลัว ก่อตัวเป็นความรู้สึกที่น่ากลัว ปะทุขึ้นอย่างบ้าคลั่ง
หลังจากที่ชายหนุ่มแซ่เฟิงยกมือขึ้นและจับมันไว้ เขาก็มองด้วยสายตาเย็นชา แต่สีหน้าของเขากลับแดงก่ำผิดวิสัย เห็นได้ชัดว่าการใช้ของวิเศษเช่นนี้สำหรับเขาแล้ว ร้ายแรงกว่าการที่พลังปราณบาดเจ็บ
แต่ตอนนี้เห็นได้ชัดว่าเขาไม่อาจสนใจสิ่งเหล่านี้ได้ หลังจากจับพัดขนนก 5 สีได้ เขาก็พัดใส่ร่างสวี่ชิงและนายกองอย่างแรง
ทันทีที่สะบัดพัด ลมก็พลันกระโชก พลิกฟ้าคว่ำดิน
สายลมนี้พังทลายความว่างเปล่าในทุกที่ที่มันเคลื่อนผ่าน ราวกับกวาดใบไม้ สวี่ชิงและนายกองกระอักเลือดออกมา ร่างของนายกองพังทลายกลายเป็นเลือดเนื้อ แล้วม้วนกลับก่อตัวขึ้นอีกครั้ง แต่ทันทีที่ก่อตัวขึ้นอีกครั้ง เขาก็ทนไม่ไหว ระเบิดตัวอีกครั้ง
หลังจากผ่านไปหลายครั้ง ร่างกายที่เขาก่อตัวขึ้นอีกครั้งก็เผยความแตกสลาย
ส่วนสวี่ชิงนั้นยังดีกว่าอยู่บ้าง กายเนื้อของเขาแข็งแกร่งเกินไป ไม่ว่าจะเป็นร่างกายเทพเจ้าหรือเกราะมหาขุนพลนภาทมิฬ หรือการเสริมพลังจากหมัดจักรพรรดิอมตะ ล้วนทำให้กายเนื้อของเขาอยุ่ในระดับที่แข็งแกร่งเป็นพิเศษ
เวลานี้ แม้จะพ่นเลือดออกมาเป็นจำนวนมาก แม้จะถอยกรูดไปด้านหลัง แต่ท้ายที่สุดก็ไม่ได้แตกสลายเป็นชิ้นๆ
อย่างไรก็ดี แสงเกราะมหาขุนพลนภาทมิฬกลับหม่นลง ความเจ็บปวดอย่างรุนแรงทั่วร่างกายแล่นเข้าสู่ประสาทรับรู้ของสวี่ชิง
ขณะเดียวกัน กำแพงแสงสีฟ้าที่ขวางกั้นหลานเหยา รวมถึงกระดูกสันหลังสีฟ้า และตะขาบผีนับหมื่นก็ถอยหลังอย่างรวดเร็ว ในที่สุดก็กลับมากองรอบกายสวี่ชิงและนายกอง
ส่วนชายหนุ่มแซ่เฟิง หลังจากสะบัดพัด พัดขนนก 5 สีก็คล้ายจะรับไม่ไหวอีกต่อไป คืนร่างกลายเป็นขนนก 5 เส้น กลับสู่โลกใหญ่ของตน โลกใหญ่ทั้ง 5, 3 โลกเสมือน และ 2 โลกจริงของเขาพลันพร่ามัว
ดูเหมือนว่าพลังรากฐานจะเสียหาย
ชายหนุ่มแซ่เฟิงเองก็กระอักเลือดสีเงินออกมากองใหญ่ ใบหน้าซีดเผือด ความอ่อนแอเริ่มปรากฏให้เห็นบนเรือนร่าง ขณะนี้จ้องมองสวี่ชิงและนายกองด้วยสายตาเย็นชา พร้อมกล่าวด้วยเสียงแหบแห้ง
“บีบให้ข้าเปิดเผยพลังรากฐาน…ข้าประเมินพวกเจ้าต่ำไปจริงๆ จึงต้องชดใช้ด้วยเหตุนี้ น่าเสียดายที่ 3 โลกถูกผนึก มิฉะนั้น หากใช้พลังจาก 5 โลก คงสังหารพวกเจ้าทั้ง 2 ได้ในชั่วพริบตา”
สีหน้าของสวี่ชิงเย็นชา ไม่พูดอะไร จ้องมองลำคอของชายหนุ่มแซ่เฟิง บาดแผลที่นั่นกำลังสมานตัว
ภาพดังกล่าวทำให้เขารู้สึกหนักใจ
การต่อสู้ครั้งนี้ทำให้เขารู้สึกถึงความน่ากลัวและความแข็งแกร่งของมหาขั้นเตรียมสู่เทวะอย่างแท้จริง
แม้ว่าเขายังมีกลยุทธ์บางอย่างที่ยังไม่ได้ใช้…แต่อีกฝ่ายไม่ได้หัวเดียวกระเทียมลีบ ยังมีสหายที่มีพลังการต่อสู้น่ากลัวอยู่
อย่างไรก็ตาม นายกองกลับหัวเราะเยาะขึ้น
“เจ้าปีกไก่ เจ้าหยุดพูดไร้สาระสักทีจะได้หรือไม่ เป็นอย่างไร การใช้พลังของ 5 มหาขั้นเตรียมสู่เทวะเพื่อกำจัดพวกเรา 2 มหาขั้นหวนสู่อนัตตา เป็นเรื่องน่าโอ้อวดนักหรือ?”
“เผ่าปีกมารผู้มาจากแดนศักดิ์สิทธิ์ มีแสงแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ และฝึกบำเพ็ญวิญญาณแห่งโลกจริง!”
นายกองแลบเลียริมฝีปากและพูดถึงตัวตนของอีกฝ่าย
สวี่ชิงเงียบ ก่อนหน้านี้ตอนที่นายกองพูดถึงแสงแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ เขาพอจะคาดเดาไว้แล้ว เวลานี้จึงไม่แปลกใจมากนัก
เมื่อชายหนุ่มแซ่เฟิงได้ยิน เขาก็เงียบไปสองสามอึดใจ มองไปที่นายกองด้วยแววตาลุ่มลึก และเอ่ยถ้อยคำที่ทำให้สวี่ชิงทั้ง 2 รู้สึกหดหู่ใจ
“เจ้าพูดถูก สิ่งนี้ไม่ควรค่าแก่การอวดอ้าง เป็นเพราะจิตใจข้าไม่ได้ตั้งรับอย่างดี ต่อไปจะไม่เป็นเช่นนั้นอีก”
หลังจากเผชิญกับความเป็นความตาย 2 ครั้ง ชื่อเสียงเสียหายอย่างรุนแรง และพลังปราณและพลังรากฐานได้รับความเสียหาย ชายหนุ่มแซ่เฟิงก็พูดอย่างใจเย็น สีหน้ามืดครึ้มพลันหายไป
กลับกลายเป็นความเฉยเมย คลื่นความผันผวนของเขาก็เช่นกัน
ไม่ใช่ทุกคนที่จะทำเช่นนี้ได้ แสดงให้เห็นถึงความน่ากลัวของชายหนุ่มแซ่เฟิง
จากนั้นชายหนุ่มแซ่เฟิงก็มองไปยังหลานเหยา ประสานมือคำนับอย่างเคร่งขรึม
“สหายเต๋าหลาน ข้ารู้ว่าก่อนหน้านี้เจ้าสงวนท่าทีไว้ วัตถุประสงค์คือเพื่อดูไพ่ตายของข้า บัดนี้เจ้าได้เห็นแล้ว”
“ระหว่างเจ้ากับข้า ท้ายที่สุดแล้วก็ต้องร่วมมือกัน ข้ายอมรับว่าข้าต้องการสังหารคนทั้ง 2 เว้นแต่จะปลดผนึก หรือใช้พลังรากฐานมากขึ้น”
“แต่เมื่อปลดผนึก ข้าจะถูกวิถีสวรรค์ที่นี่ขับไล่และตายทันที ถึงอย่างไรบรรพชนศักดิ์สิทธิ์ยังไม่ลงมา วิถีสวรรค์ไม่ยอมรับพวกเรา…”
“ส่วนการใช้พลังรากฐานมากขึ้น ก็จะส่งผลกระทบต่อการร่วมมือของเราในภายหลัง”
“ดังนั้น โปรดช่วยข้าด้วย สหายเต๋าหลาน!”
ชายหนุ่มแซ่เฟิงมีท่าทีจริงใจ หลังจากพูดจบก็สะบัดมือ โยนธงโลหิตที่ได้จากการสังเวยโลหิตให้หลานเหยาโดยตรง
“สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับเรื่องของเจ้าและข้า ขอฝากไว้กับสหายเต๋าหลาน เพื่อแสดงความจริงใจของข้า”
คำพูดของชายหนุ่มแซ่เฟิงไม่ได้มาจากการส่งกระแสจิต แสดงให้เห็นชัดว่าเขามั่นใจมากกับสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนี้
สวี่ชิงและนายกองจึงได้ยินอย่างชัดเจน
สวี่ชิงตัดสินใจ เขายังมีวิชาเทพที่ยังไม่ได้ใช้ ยังมีกระบี่จักรพรรดิ ยังมีซากศพจักรพรรดิ แต่นายกองกลับขยิบตาอย่างมีเลศนัย พร้อมส่งกระแสจิตถึงเขา
“ศิษย์น้องเล็ก อย่าเพิ่งใจร้อน ปีกไก่ 2 คนนี้ไม่ธรรมดา พวกเราไม่ใช่คู่ต่อสู้ รีบหนีไป ขอเพียงกลับไปยังสำนัก ยังมีอาจารย์และผู้อาวุโสสูงสุดอยู่ พวกเราจะปลอดภัย”
หลังจากพูดจบ ร่างของนายกองก็สั่นไหว เก็บชิ้นส่วนที่กระจัดกระจาย พุ่งไปที่ระยะไกล ดูเหมือนว่าเพื่อให้เร็วขึ้น เขายังพ่นเลือดออกมาหลายกอง ใช้วิชาหลบหนีที่คล้ายกับวิชาหลบหนีด้วยโลหิต
สวี่ชิงเองก็ไม่ลังเลแม้แต่น้อย เก็บตะขาบผี ความเร็วทั่วร่างกายเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
ในพริบตาเดียว ทั้ง 2 ก็กลายเป็นสายรุ้ง 2 สาย หายลับไปจากขอบฟ้า
ชายหนุ่มแซ่เฟิงไม่ได้ขัดขวางการหลบหนีของพวกเขา เพียงแต่มองหลานเหยาอย่างใจเย็น
หลานเหยาหัวเราะเบาๆ ยกมือหยกขึ้นรับธงโลหิต เล่นกับมันอยู่พักหนึ่ง พลางครุ่นคิดในใจ
ก่อนหน้านี้นางสงวนท่าทีไว้ก็จริง วัตถุประสงค์เป็นไปตามที่อีกฝ่ายพูด คือต้องการดูว่าอีกฝ่ายยังมีไพ่ตายอะไร ตอนนี้แม้จะได้เห็นพัด 5 สีแล้ว แต่นางไม่คิดว่านี่คือไพ่ตายของอีกฝ่ายจริงๆ
จากความเข้าใจของนางที่มีต่อสหายเต๋าผู้นี้ อีกฝ่ายน่าจะมีกลยุทธ์ที่เฉียบคมอื่นๆ อีก
แต่เห็นได้ชัดว่าการสงวนท่าทีต่อไป เพื่อสังเกตไพ่ตายของอีกฝ่าย เห็นทีจะใช้ไม่ได้ผลแล้ว
“นอกจากนี้ เผ่ามนุษย์ 2 คนนั้นเป็นอัจฉริยะฟ้าประทานที่ไม่ธรรมดาจริงๆ…สิ่งที่พวกเขาพูดในกระแสจิตเกี่ยวกับอาจารย์และผู้อาวุโสสูงสุด ไม่ว่าจริงหรือเท็จ ก็จำเป็นต้องจับตาดูเอาไว้”
“หากเป็นจริง…แสดงว่ากองกำลังเบื้องหลังของพวกเขาน่ากลัว นี่มีสิทธิ์เป็นไปได้ ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่กองกำลังใดๆ ก็ได้ที่จะสามารถบ่มเพาะอัจฉริยะฟ้าประทานเช่นนี้ได้ อีกทั้งยังมีถึง 2 คน”
“หากยังคงปล่อยให้แซ่เฟิงลงมือตามลำพัง เกรงว่าจะกินเวลายาวนาน และจะเคลื่อนไหวมากเกินไป ด้านหนึ่งก็เกิดเหตุไม่คาดฝันได้ง่าย กระทบต่อการใหญ่”
“อีกด้านหนึ่ง จะทำให้จิตอาฆาตของแซ่เฟิงรุนแรงขึ้น และด้วยนิสัยขี้สงสัยของเขา จะต้องเกิดความคลางแคลง ท้ายที่สุดแล้วการทดสอบถึงระดับปัจจุบันสามารถอธิบายและเข้าใจได้ แต่หากดำเนินต่อไป…”
“มากเกินไปก็ไม่ดี”
เมื่อคิดถึงตรงนี้ หลานเหยาก็พยักหน้า
“จะช่วยเจ้าได้อย่างไร?”
ชายหนุ่มแซ่เฟิงเหลือบมอง พูดอย่างเฉยเมย
“หากสหายเต๋าหลานลงมือเอง ย่อมเป็นการดีที่สุด แต่เมื่อได้เห็นฝีมือของเผ่ามนุษย์ทั้ง 2 แล้ว ข้าคิดว่าเจ้าคงไม่อยากเสี่ยง”
หลานเหยาไม่พูดอะไร ทำท่าทางไม่เห็นด้วย
ชายหนุ่มแซ่เฟิงพูดต่อ
“เช่นนั้นโปรดให้ข้ายืมน้ำยารังสรรค์เอกภพ ข้าเตรียมที่จะใช้ผนึกเอกภพศักดิ์สิทธิ์ หลอมคนทั้ง 2 นี้เสีย”
“ผนึกเอกภพศักดิ์สิทธิ์?” สีหน้าของหลานเหยาเปลี่ยนไป จากนั้นก็ยิ้มออกมา
“ดูเหมือนว่าเจ้าให้ความสำคัญกับคนทั้ง 2 นี้จริงๆ การใช้ผนึกเอกภพศักดิ์สิทธิ์นั้นดูเกินความจำเป็นไปหน่อย ด้วยพลังของเจ้าในตอนนี้ แม้ว่าจะมีน้ำยารังสรรค์เอกภพ ผนึกนี้จะแสดงพลังออกมาเพียงเล็กน้อย แต่ก็น่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง
อย่างไรก็ตาม…คนทั้ง 2 นี้คุ้มค่าที่จะหลอมด้วยผนึกนี้แล้ว”
หลานเหยาพยักหน้า ยกมือขึ้น ขวดหยกก็บินออกมา
(>>>พิสูจน์อักษร By Zank<<<)



