บทที่ 947 ผู้ปกครอง
เกือบจะในทันทีที่องค์ชายสิบเอ็ดนำดวงตะวันแสงอรุณออกมา สวี่ชิงก็ถอยหลังอย่างรวดเร็ว และยกมือคว้าศพจักรพรรดิออกมา
แม้เอ้อร์หนิวจะไม่อยู่ที่นี่ ศพจักรพรรดิจำเป็นต้องควบคุมด้วยคน 2 คน สวี่ชิงเพียงคนเดียวไม่อาจจะขยับเขยื้อนได้ แต่การหลอมรวมเข้าไปเพื่อใช้เป็นเกราะป้องกัน ยังพอทำได้เช่นกัน
ส่วนเรื่องในครั้งนี้ สวี่ชิงไม่ได้บอกเอ้อร์หนิว
เขารู้ดีว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับจักรพรรดิมนุษย์ และเกี่ยวข้องกับองค์รัชทายาทม่วงคราม เรื่องราวนี้ล้ำลึกเกินไป
เรื่องบางเรื่อง เขาเลือกที่จะเผชิญหน้าด้วยตนเองตามประสาของเขา
และการเผชิญหน้ากับการระเบิดของดวงตะวันแสงอรุณ สวี่ชิงมีประสบการณ์เป็นอย่างดี
เขายังสังเกตเห็นเบาะแสบางอย่าง
ดวงตะวันแสงอรุณดวงนี้ แม้ว่าหลักการจะคล้ายกับดวงตะวันบรรพกาลของเขา แต่มีรายละเอียดแตกต่างกัน
พูดให้ถูกคือ ดวงที่เขาเคยมีนั้น เกิดจากการผสมผสานระหว่างดวงตะวันบรรพกาลกับเนื้อของชื่อหมู่ โดยอาศัยความปั่นป่วนภายใน ก่อพลังอันน่าสะพรึงกลัวที่สามารถทำลายโลกได้
ทว่าดวงตะวันแสงอรุณของเผ่ามนุษย์ไม่ได้เป็นเช่นนั้น
มันเป็นพลังที่เสถียร แม้จะไม่สามารถผลิตได้ในปริมาณมาก แต่สามารถก่อตัวขึ้นได้อย่างเป็นระเบียบภายใต้ระบบของเผ่ามนุษย์ได้
และมีเพียงวิธีนี้เท่านั้น จึงจะถือได้ว่าเป็นสมบัติของเผ่าพันธุ์
แน่นอนว่าวัตถุดิบต้องเพียงพอด้วย
ดังนั้นการระเบิดของดวงตะวันแสงอรุณดวงนี้ จึงก่อให้เกิดแสงเจิดจ้า ที่ไม่ทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกถึงความหวาดกลัว ทว่าเป็นความรู้สึกของแสงยามอรุณรุ่ง!
ราวกับแสงแรกของวันฉีกผ่านความมืดมิดของราตรีกาลออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ขณะเดียวกันก็เผาผลาญความมืดมิดของโลก ลอยสูงสู่ท้องฟ้า
นำแสงสว่างมาสู่ฟ้าดิน สะกดความมืดมิดทั้งปวง
ทว่า…เมื่อมันอยู่ในมือขององค์ชายสิบเอ็ด มันก็ถูกกำหนดให้เป็นฝ่ายอนธกาล กลายเป็นเผ่ามนุษย์ กลายเป็นดาราจักรพรรดิโบราณ
ดังนั้นในชั่วขณะถัดมา เมื่อแสงและความร้อนอันไร้ขอบเขต แผ่กระจายออกไปรอบด้านราวกับพายุและคลื่นกระหน่ำ ทั้งดาราจักรพรรดิโบราณจึงสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
ราวกับมีดวงอาทิตย์ดวงหนึ่ง เกิดขึ้นภายในดาราจักรพรรดิโบราณ!
ยิ่งกว่านั้น มันยังเข้ามาแทนที่ดาราจักรพรรดิโบราณ กลายเป็นดวงอาทิตย์ที่แท้จริงภายในดินแดนต้องประสงค์ ด้วยพลังอันมหาศาลในระยะเผาขน ไฟเทวะที่เกิดจากพิธีกรรมสำเร็จเทพของดาราจักรพรรดิโบราณยังวูบไหวอย่างรุนแรง
คลื่นความผันผวนอันน่าสะพรึงกลัว กลิ่นอายแห่งความพินาศ ในทันใดก็กลายเป็นวันโลกาวินาศ
มาสู่ผืนโลก
ภายในดาราจักรพรรดิโบราณ ผู้บำเพ็ญเผ่ามนุษย์ส่วนใหญ่ต่างเปลี่ยนสีหน้า วิกฤตเป็นตายปะทุขึ้นในจิตใจอย่างรุนแรง ความรู้สึกหวาดกลัวอย่างรุนแรงแผ่ซ่านไปทั่วร่างกายและจิตใจ
มีเพียง…อ๋องสวรรค์เผ่ากลืนนภาทั้ง 4 ที่กำลังต่อสู้กับอ๋องสวรรค์เผ่ามนุษย์กลางอากาศเท่านั้น ที่สีหน้าไร้ซึ่งการเปลี่ยนแปลงใดๆ
นับตั้งแต่ก้าวเข้าสู่กระแสวนสีเลือด ลงมายังเผ่ามนุษย์ พวกเขาก็รู้ภารกิจของตนอยู่ในใจแล้ว
เพื่อเผ่าพันธุ์ เพื่อคำสัญญา พวกเขารู้ดีว่าตนเองเป็นดาบที่ทิ่มแทงเผ่ามนุษย์
และภารกิจของดาบ…นอกจากจะสังหารแล้วยังต้องทำลายตัวเองด้วย
ดังนั้น หลังจากจัดเตรียมกระบวนการคืนชีพภายในเผ่าแล้ว พวกเขาก็พร้อมที่จะทำลายร่างกายและพลังบำเพ็ญ
ตอนนี้ การระเบิดของดวงตะวันแสงอรุณ เป็นสัญญาณแก่พวกเขา
จากนั้นอ๋องสวรรค์เผ่ากลืนนภาทั้ง 4 ก็ก็มองหน้ากัน ดวงตาของฉายแววมุ่งมั่น ทันใดนั้นก็ปล่อยกลิ่นอายทำลายล้างออกมาจากร่างกายของตนเองโดยไม่ลังเล
ดวงตะวันแสงอรุณ 1 ดวงบวกกับการระเบิดตัวเองของอ๋องสวรรค์ทั้ง 4 เพื่อแปรเปลี่ยนเป็นดาบที่แท้จริง!
วินาทีนั้น ทั่วทั้งดาราจักรพรรดิโบราณจึงตกอยู่ในภาวะวิกฤตอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน!
ความเป็นความตายปรากฎขึ้นในชั่วขณะนั้น
ที่นอกดาราจักรพรรดิโบราณ ในเมืองหลวงจักรพรรดิแห่งเผ่ามนุษย์ ก็เกิดความโกลาหลขึ้นทุกหนแห่ง ผู้บำเพ็ญทุกคนจิตใจสั่นคลอนในขณะนั้น
ค่ายกลเผ่ามนุษย์ส่องแสงเจิดจ้า พยายามที่จะกำราบมันไว้
ทว่า…ไร้ผล
เว้นแต่จะมีพลังที่ยิ่งใหญ่กว่าจนเพิกเฉยต่อดวงตะวันแสงอรุณได้ มิฉะนั้น พิธีกรรมบูชาบรรพชนที่ดำเนินมาจนถึงตอนนี้จำต้องสิ้นสุดลง
และจุดจบนั้นจะกลายเป็นวันสิ้นโลกที่แท้จริงของเผ่ามนุษย์
ดังนั้นจึงมีคนจำนวนหนึ่งมองไปยังรูปปั้นจักรพรรดิครองกระบี่โดยสัญชาตญาณ…
เวลานี้ดูเหมือนว่าจะมีเพียงดาบครั้งสุดท้ายของจักรพรรดิครองกระบี่เท่านั้น ที่จะสามารถแก้ไขและคลี่คลายทุกสิ่งได้
ทว่า…องค์จักรพรรดิกลับนิ่งเงียบ
สวี่ชิงถอนหายใจเบาๆ แต่ถึงตอนนี้ เขาก็ยังรู้สึกว่าเรื่องราวในวันนี้ยังคงก่อปัญหาได้
เพราะองค์รัชทายาทม่วงครามยังไม่ปรากฏตัว
เพราะจักรพรรดิมนุษย์เอาแต่นิ่งเงียบตั้งแต่ต้นจนบัดนี้
และแล้วพลังทำลายล้างภายในดาราจักรพรรดิโบราณก็ปะทุขึ้น
แต่ตอนนั้นเอง…จักรพรรดิมนุษย์ก็ขยับตัว
พระองค์มีสีหน้าเรียบเฉย ยกพระหัตถ์ขวาขึ้นอย่างสงบ
โซ่แห่งดวงชะตาที่พันธนาการพระวรกายก็ขาดออกอีกหลายท่อนทันทีที่พระองค์ยกพระหัตถ์ขึ้น จากนั้นก็กดพระหัตถ์ขวาลงเบาๆ
ฝ่ามือยักษ์ เข้ามาแทนที่ท้องฟ้าเหนือดาราจักรพรรดิโบราณในเสี้ยวขณะ ปกคลุมแผ่นดินดาราจักรพรรดิโบราณ
ปรากฏขึ้นเหนือดาราจักรพรรดิโบราณ!
ในพริบตา พายุพลันโหมกระหน่ำ ฟ้าดินมืดมัว พลังอันยิ่งใหญ่แผ่ปกคลุม
บดบังท้องฟ้าพร้อมกับแผ่กระจายพลังอันน่าสะพรึงกลัวที่เหนือกว่ามหาขั้นเตรียมสู่เทวะ
สั่นสะเทือนทุกทิศทาง
จากนั้น กดลงเบาๆ ที่ด้านล่าง
ความว่างเปล่าแตกสลาย ฟ้าดินร้องคำราม อ๋องสวรรค์เผ่ากลืนนภาทั้ง 4 องค์ที่กำลังระเบิดตัวเอง ร่างกายกระตุกวูบ พลังที่ทำให้พวกเขาสั่นสะท้านลงมาและห่อหุ้มพวกเขาทั้ง 4 โดยตรง บีบเค้นด้วยพลังอันน่าเหลือเชื่อ
ท่ามกลางเสียงร้องครวญคราง พวกเขาถูกบีบคั้นกลิ่นอายทำลายล้างที่แผ่กระจายออกไป กลับเข้าสู่ร่างกาย!
ภายใต้พลังมหาศาลนี้ อ๋องสวรรค์ทั้ง 4 กระอักเลือดออกมา ร่างกายสั่นเทา ถูกพลังที่มองไม่เห็นนี้กดขี่และล้มลงกับพื้น
ท่ามกลางเสียงครืนครั่นของแผ่นดิน ร่างทั้ง 4 ถูกตรึงอยู่กับที่ ไม่อาจดิ้นรนได้
แม้แต่โลกของพวกเขาก็เช่นกัน
ภายใต้พลังอันเบ็ดเสร็จ การต่อต้านใดๆ ล้วนแต่ไร้ความหมาย
ไม่เพียงแต่พวกเขาเท่านั้น ชั่วขณะถัดมา ดวงตะวันแสงอรุณที่กำลังจะระเบิดออกพลันสั่นสะเทือน แสงและความร้อนทั้งหมดม้วนกลับไปดังเดิม
มันถูกบีบอัดกลับเข้าไปจนกลายเป็นดวงตะวันแสงอรุณอีกครั้ง
มีเพียงรอยร้าวแผ่กระจายไปทั่ว เปลี่ยนสถานะจากที่เคยเสถียรก็กลายเป็นสั่นคลอน
จากนั้นก็อันตรธานไปจากตำแหน่งเดิม
ปรากฏขึ้นอีกครั้งบนอากาศ โดยมีโซ่เหล็กครึ่งหนึ่งพันธนาการอยู่ ตกในพระหัตถ์ของจักรพรรดิมนุษย์ที่ยกขึ้น
ท้องฟ้าเงียบสงบ
ฟ้าดินไม่ไหวติง
ขณะนี้ดวงตาจำนวนนับไม่ถ้วนจ้องไปที่จักรพรรดิมนุษย์โดยสัญชาตญาณ
ในสายตานั้นมีทั้งความตกตะลึง ความงงงวย ความเหลือเชื่อ และความหวาดกลัว
จักรพรรดิมนุษย์เป็นเจ้าเหนือหัวเพียงหนึ่งเดียวของเผ่ามนุษย์ยุคปัจจุบัน ทุกคนในที่นี้ล้วนรู้ดี เพียงแต่…ตลอดเวลาที่จักรพรรดิมนุษย์ขึ้นครองราชย์กว่า 3,000 ปี พระองค์ไม่เคยลงมือมาก่อน
ดังนั้นความเข้าใจของผู้คนเกี่ยวกับพลังของเจ้าเหนือหัว จึงจำกัดอยู่เพียงคำบรรยายสั้นๆ ในตำราโบราณเท่านั้น
เพราะผู้บำเพ็ญแทบทุกคนในที่แห่งนี้ไม่เคยเห็นเจ้าเหนือหัวองค์ที่ 2 มาก่อนในชีวิต
ประกอบกับการมีอยู่ของเทพชั้นสูง ทำให้ผู้คนดูแคลนระดับขั้นของเจ้าเหนือหัวโดยสัญชาตญาณ
จนกระทั่งถึงตอนนี้
“เจ้าเหนือหัว…”
“นี่คือพลังของเจ้าเหนือหัว!!”
“มหาขั้นเตรียมสู่เทวะเมื่อเทียบกับพระองค์ก็เปรียบเหมือนมดปลวก! หากเจ้าเหนือหัวทรงพลังเช่นนี้ แล้วเทพเจ้าจะ…”
เสียงสูดหายใจดังมาจากทั่วทุกสารทิศ
สวี่ชิงมองจักรพรรดิมนุษย์ด้วยแววตาเยือกเย็น นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นจักรพรรดิมนุษย์ลงมือ
“ถึงแม้จะเทียบไม่ได้กับหลี่จื้อหวา แต่ก็เป็นพลังของเจ้าเหนือหัวอย่างแท้จริง…” สวี่ชิงพึมพำในใจ
เวลานี้ สีพระพักตร์จักรพรรดิมนุษย์ยังคงสงบนิ่งเช่นเคย พระองค์ทรงถือดวงตะวันแสงอรุณไว้ในพระหัตถ์ มององค์ชายสิบเอ็ดที่สีหน้ามืดครึ้ม
“สิบเอ็ดน้อย ยังมีอีกหรือไม่?” จักรพรรดิมนุษย์เอ่ยเสียงราบเรียบ
“ข้าไม่รู้ว่าเขามีหรือไม่ แต่ข้ามี!” เสียงเย็นชาดังขึ้นฉับพลันจากขอบแท่นบูชาด้านหลังจักรพรรดิมนุษย์
ในพริบตา สายตาทั้งหมดก็หันไปมองผู้พูด สายตาส่วนใหญ่ล้วนเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
เพราะผู้ที่พูดนั้นไม่ใช่องค์ชายสิบเอ็ด หากแต่เป็น…องค์ชายสิบที่ยืนอยู่เคียงข้างองค์ชายใหญ่ องค์ชายสี่และองค์ชายห้า!
องค์ชายสิบซึ่งเข้าร่วมพิธีบูชาบรรพชนอย่างกะทันหัน ก่อนหน้านี้ทำสีหน้าหวาดกลัวตลอดเวลา ราวกับว่าไม่เชื่อสิ่งที่เกิดขึ้นที่นี่
ทว่าตอนนี้ สีหน้าของเขากลับสงบนิ่งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ดวงตาของเขาสบประสานกับจักรพรรดิมนุษย์ที่หันพระพักตร์มา ขณะที่เขาพูด
จักรพรรดิมนุษย์ดูไม่ได้แปลกใจ
“ในที่สุดเจ้าก็ตัดสินใจจะต่อสู้กับเราแล้วหรือ เจ้ามีทางเลือกอื่นแท้ๆ”
องค์ชายสิบเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“จู่ๆ ท่านก็ขอให้องค์ชายที่ข้าสิงร่างอยู่เข้าร่วมพิธีบูชาบรรพชน ไม่ใช่ว่าจะล่อให้ข้าออกมาต่อสู้กับท่านด้วยหรือ?”
“ข้านั้นมีทางเลือกอื่น ทว่าคำสัญญาที่พวกเขาหยิบยื่นให้ ทำให้ข้าไม่มีทางเลือกอื่นอีก ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็ขอทำตามความปรารถนาของพวกเขา และทดสอบพลังต่อสู้ของท่านก่อน”
เมื่อองค์ชายสิบพูดจบ ร่างกายของเขาก็พร่าเลือนไป ทันใดนั้นใบหน้าของเขาก็บิดเบี้ยว กลิ่นอายอันน่าสะพรึงกลัวระเบิดออกมาจากร่างกายของเขาราวกับกำลังฟื้นคืนชีพขึ้นมา
ฟ้าดินเปลี่ยนสี ลมพายุโหมกระหน่ำ
กลิ่นอายนี้ปั่นป่วนเมฆหมอก ทำให้ดาราจักรพรรดิโบราณสั่นสะเทือน เช่นเดียวกับภายนอก
ภายใต้กลิ่นอายนี้ มหาขั้นหวนสู่อนัตตาสั่นสะเทือน มหาขั้นเตรียมสู่เทวะยังถูกสะกด เพราะนั่นคือ…กลิ่นอายของเจ้าเหนือหัว
พลานุภาพเทียบเท่าพลังที่จักรพรรดิแสดงออกมาเมื่อครู่
ท่าทีขององค์ชายสิบสงบลงในไม่กี่อึดใจ ใบหน้าเปลี่ยนไปกลายเป็นใบหน้าที่ต่างไปจากเดิม
ดวงตาข้างเดียวอยู่กึ่งกลางหว่างคิ้ว ผิวหนังเปลี่ยนเป็นสีม่วงดำ เฉกช่นเผ่ากลืนนภาทั้ง 4 ที่ปรากฏตัวมาก่อนหน้านี้
“จักรพรรดิมนุษย์!” องค์ชายสิบเอ่ยช้าๆ
“จักรพรรดิทุนเทียน”
จักรพรรดิมนุษย์นิ่งเฉย
กลิ่นอายของเจ้าเหนือหัวจากทั้ง 2 พระองค์ปะทะกันบนท้องฟ้า ฉีกทึ้งสูญตา สั่นสะเทือนฟ้าดิน
คล้ายว่ากำลังจะถึงจุดแตกหัก
แต่ในตอนนั้นเอง ดวงตาองค์ชายสิบเอ็ดพลันเปล่งประกายวาบ เขายกขวดเงินขึ้นมา
“เสด็จพ่อ การต่อสู้ระหว่างพระองค์กับจักรพรรดิทุนเทียนครั้งนี้ ลูกจะเพิ่มอะไรบางอย่างเข้าไป คิดว่าจะสมบูรณ์แบบมากขึ้น”
“หลังจากที่พระองค์ขึ้นครองราชย์ แม้ว่าจะไม่เคยลงมือ แต่ก่อนขึ้นครองราชย์ พระองค์เคยต่อสู้กับชาวต่างเผ่าหลายครั้งหลายครา และตลอดหลายปีที่ผ่านมา ลูกสู้ฟันผ่าความลำบากยากเย็นมานานหลายปีกว่าจะรวบรวมเลือดของเสด็จพ่อได้ 1 หยด!”
“ด้วยเลือดหยดนี้ ข้าขอสาปแช่ง!”
องค์ชายสิบเอ็ดพูดจบ ก็บีบขวดเงินในมือแตก
ขวดเงินแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ปรากฏเลือด 1 หยดไหลออกมา
เมื่อเลือดไหลลงมา สายโลหิตราชวงศ์เผ่ามนุษย์อันเข้มข้นก็แผ่กระจายไปทั่ว
ผู้คนที่รับรู้ได้ถึงนี้ต่างเปลี่ยนสีหน้าไปโดยสิ้นเชิง
นั่นคือพระโลหิตของจักรพรรดิมนุษย์จริงๆ!
เศษขวดเงินที่แตกออกนั้นไม่ได้กระจายตัวออกไป แต่กลับล้อมรอบหยดเลือด หมุนวนอย่างรวดเร็ว กลายร่างเป็นหนอนแมลงวันสีเงินตัวเล็กๆ ส่งเสียงกรีดร้องแหบแห้ง แล้วพุ่งตัวเข้าใส่หยดเลือด
หลังจากกลืนกินเลือดอย่างบ้าคลั่งแล้ว ก็กลายร่างเป็นตะขาบรูปร่างน่าเกลียดตัวหนึ่ง กลืนกินหนอนแมลงวันทั้งหมดเข้าไปในคำเดียว
ต่อมาหางตะขาบพลันสั่นไหว กลายเป็นโครงกระดูกน่ากลัว อ้าปากกว้างกลืนตะขาบเข้าไป
จากนั้นโครงกระดูกก็แตกสลาย และมีคนผิวดำตัวเล็กคลานออกมาจากโครงกระดูกนั้น เปล่งกลิ่นอายเทพเจ้าออกมาทั่วร่าง พ่นหมอกดำใส่โครงกระดูกที่พังครืนลง
ปราณหมอกปกคลุมโครงกระดูก และแล้วร่างของคนตัวเล็กก็ลุกเป็นไฟ ก่อนจะดำดิ่งเข้าไปข้างใน
ทันใดนั้น หมอกดำก็หดตัวลงอย่างรวดเร็ว ในที่สุดก็กลายเป็นเลือดสีดำหยดหนึ่ง
เลือดสีดำนั้นมีกลิ่นเหม็นเน่ารุนแรงเป็นพิเศษ
แต่ยังมองเห็นเงาของจักรพรรดิมนุษย์อยู่ภายในรางๆ
คำสาปอันรุนแรงก่อตัวขึ้นจากภายใน
นี่ไม่ใช่คำสาปธรรมดา!
สวี่ชิงเบิกตากว้าง เขามองออกว่านี่คือคำสาปเทพเจ้าที่น่าสะพรึงกลัวอย่างหนึ่ง!
ดวงหน้าองค์ชายสิบเอ็ดประดับรอยยิ้ม มองไปยังจักรพรรดิมนุษย์ และเอ่ยเสียงแผ่ว
“เสด็จพ่อ ลูกยังมีของขวัญอีก 2 ชิ้นที่จะมอบให้ท่าน นี่เป็นชิ้นแรก หากท่านอดทนได้ ท่านก็จะได้เห็นของขวัญชิ้นสุดท้ายจากข้า”
“แต่ข้าคิดว่า เมื่อตกอยู่ใต้คำสาปนี้ และเผชิญหน้ากับจักรพรรดิทุนเทียนที่อยู่ระดับเดียวกัน เสด็จพ่อคงมีโอกาสรอดน้อยนัก”
สิบเอ็ดพูดจบก็ยกมือขึ้นทำปางมือ ชี้ไปยังเลือดสีดำหยดนั้น
ทันใดนั้น เลือดสีดำหยดนั้นก็ลุกไหม้
ต่อมา เงาร่างของจักรพรรดิมนุษย์ภายในหยดเลือดก็บิดเบี้ยว ตามมาด้วยเสียงร้องครวญครางอันน่าเจ็บปวดมามจากภายใน
ในที่สุดก็กลายเป็นเส้นใยดวงชะตา บินไปหาจักรพรรดิมนุษย์ที่ถูกพันธนาการด้วยโซ่เหล็กทันที
รวมเข้ากับร่างของพระองค์
ทว่าในทันใดนั้น…เส้นใยดวงชะตานั้นก็บินทะลุผ่านหว่างคิ้วของจักรพรรดิมนุษย์
ราวกับหาเป้าหมายไม่พบ!
จากนั้นก็ควานหารอบๆ กลางอากาศ ในที่สุดก็มุ่งตรงไปยังส่วนลึกของดาราจักรพรรดิโบราณ…
การสาปแช่งสำเร็จ!
แต่ผู้บำเพ็ญทุกคนที่เห็นเหตุการณ์นี้ ต่างก็รู้สึกได้ถึงพายุลูกใหญ่ในใจฉับพลัน!
สวี่ชิงเองก็ตกตะลึงเช่นกัน จิตใจสั่นสะเทือน
เพราะการคาดเดาอันน่าเหลือเชื่อ แปลกประหลาด เกินกว่าจะเข้าใจได้ และแทบจะเป็นไปไม่ได้ปรากฏขึ้นในใจของทุกคนโดยสัญชาตญาณ
องค์ชายสิบเอ็ดเปลี่ยนสีหน้าไปอย่างสิ้นเชิง แม้ว่าก่อนหน้านี้สีหน้าของเขาจะดูเหมือนการแสดง แต่เวลานั้นกลับดูสมจริง
เขาตัวสั่นเทาราวกับถูกฟ้าผ่า ล่าถอยไปสองสามก้าว ดวงตาเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ ความรู้สึกเหลวไหลปะทุอยู่ในใจราวพายุคลั่ง
“ท่าน…ท่าน…ท่านยืนอยู่ตรงนั้น…”
“คำสาปนี้ มันกำหนดเป้าหมายโดยโชคชะตา แต่เหตุใดมันถึงหันเหไปยังทางอื่น…”
“หรือท่านมีวิธีที่จะเปลี่ยนแปลงเส้นใยดวงชะตา?”
“หรือว่าท่าน…”
“เป็นไปไม่ได้!”
ถึงอย่างไรเขาก็ไม่อาจเชื่อความรู้สึกเหลวไหลที่อยู่ในใจของเขาได้
ทว่าจักรพรรดิมนุษย์ไม่เคยหันไปมององค์ชายสิบเอ็ดเลย ตั้งแต่ต้นจนถึงบัดนี้ เวลานี้พระองค์ทอดพระเนตรมองจักรพรรดิทุนเทียนที่สีหน้าเคร่งเครียด และตรัสด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“เด็กน้อยอารมณ์ร้าย ขออภัยที่ท่านต้องมาเห็นภาพน่าอับอายเช่นนี้”
“แต่เรื่องวุ่นวายในวันนี้ ถึงเวลาต้องยุติลงแล้ว”
“ในเมื่อพวกเขาให้เจ้ามาทดสอบพลังที่แท้จริงของข้า เช่นนั้นเจ้าและพวกเขาก็จงดูให้ดี”
เมื่อสุรเสียงอันนุ่มนวลของจักรพรรดิมนุษย์ดังขึ้นและเงียบลง โซ่เหล็กแห่งดวงชะตาที่พันธนาการร่างของพระองค์ก็ขาดออกทีละเส้น
ทุกครั้งที่โซ่ขาดออกจากกัน กลิ่นอายของพระองค์ก็เพิ่มขึ้นหลายเท่าในชั่วพริบตา ฟ้าดินกู่ร้องคำราม ลมพายุคลั่งพัดกระหน่ำ พลังสะกดอันน่าพรั่นพรึงไร้สิ่งใดเทียมพวยพุ่งออกมาจากร่างของพระองค์
“ตั้งแต่ข้าบรรลุมรรคา ข้ายังไม่เคยแสดงพลังต่อหน้าชาวโลก วันนี้ ขอให้ท่านจักรพรรดิทุนเทียนจงดูให้ประจักษ์แก่สายตา เพราะข้าจะลงมือเพียงครั้งเดียว”
เมื่อพูดประโยคสุดท้ายจบ โซ่เหล็กเส้นสุดท้ายที่พันธนาการร่างของจักรพรรดิมนุษย์ก็ขาดออกทันที
กลิ่นอายที่ยิ่งใหญ่กว่าก่อนหน้านี้ก็พวยพุ่งออกมาจากร่างของพระองค์
ในตอนนั้นเอง ดาราจักรพรรดิโบราณก็พลันสั่นสะเทือน เมืองหลวงจักรพรรดิสั่นไหว ดินแดนกว้างใหญ่ตกอยู่ในความโกลาหล
จักรพรรดิมนุษย์ยกพระหัตถ์ขวาขึ้น เหมือนกับที่เคยสะกดดวงตะวันแสงอรุณ แต่ครั้งนี้…ฝ่ามือที่ปรากฏขึ้นนั้นไม่ได้อยู่บนท้องฟ้าเหนือดาราจักรพรรดิโบราณ
ทว่าอยู่ที่ด้านนอกดาราจักรพรรดิโบราณ!
ห้วงนภาเหนือเมืองหลวงจักรพรรดิเผ่ามนุษย์มืดสนิทลงทันใด
ฝ่ามือยักษ์ไร้ขอบเขต ปกคลุมท้องฟ้าด้วยพลังอันยิ่งใหญ่ที่ไม่อาจบรรยายได้ ก่อนจะร่วงลงมา
สูญตาพังทลายลง ผืนฟ้าแตกสลายเป็นเสี่ยงๆ แผ่นดินสั่นสะเทือน ภูเขาถูกบดขยี้
ฉากนี้ หัตถ์เดียวครองนภา!
แม้แต่เทพเจ้า ก็ไม่อาจทำเช่นนี้ได้!
เมื่อกดลงมา ฝ่ามือยักษ์ก็ตกลงบนดาราจักรพรรดิโบราณด้วยความเร็วที่เหลือเชื่อ และแรงกดดันไม่มีที่สิ้นสุด
เพียงเคลื่อนไหวครั้งเดียว ก็คว้าดาราจักรพรรดิโบราณไว้ในฝ่ามือได้
เมื่อบีบลงไป ดาราจักรพรรดิโบราณก็สั่นสะเทือน ทุกคนที่อยู่ภายในรู้สึกราวกับว่าฟ้าดินกำลังสั่นคลอน
สีหน้าของจักรพรรดิทุนเทียนตกตะลึงยิ่งกว่าเดิม
พระองค์หายใจหอบ หน้าซีดเผือด ดวงตาเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ ร่างถอยร่นไปอย่างรวดเร็ว เงาพร่าเลือนปรากฎขึ้นบนใบหน้าราวกับจะหลุดลอยออกไปจากร่าง
ยิ่งกว่านั้น ยังมีร่องรอยของการส่งข้ามปรากฎขึ้นภายใน
พระองค์พยายามจะหลบหนีตั้งแต่แรก!
แต่สายไปเสียแล้ว
ฝ่ามือยักษ์ที่กำดาราจักรพรรดิโบราณไว้ทะลุผ่านดวงดาวไปโดยไม่ทำร้ายผู้ใด แต่กลับกวาดล้างทุกสรรพสิ่งเบื้องหนาจักรพรรดิทุนเทียน
“ข้าจะส่งท่านไปเอง!”
ตู้ม!
ร่างมายาถูกระเบิดออกจากองค์ชายสิบ กลายร่างเป็นจักรพรรดิทุนเทียน แตกสลายและก่อตัวขึ้นใหม่วนเวียนไปมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งหลังจากแตกสลายไปอย่างน้อยพันครั้ง จิตวิญญาณของจักรพรรดิทุนเทียนก็สลายไปในที่สุด!
“วันนี้ข้าทำลายวิญญาณส่วนหนึ่งของท่านไปแล้ว ภายในครึ่งเดือน หากท่านไม่ส่งสมบัติแดนสงครามของท่านมาให้ ข้าจะฉีกทึ้งสูญตา แล้วไปยังเผ่าพันธุ์ของเจ้าด้วยตัวข้าเอง”
จักรพรรดิมนุษย์เอ่ยเสียงราบเรียบ
ในขณะนั้น พลานุภาพอันเฉียบพลันครอบงำท้องฟ้า
ผู้คนในเผ่ามนุษย์ต่างเงียบสนิท จิตใจของทุกคนว่างเปล่าอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
พวกเขารู้ว่าจักรพรรดิมนุษย์แข็งแกร่ง แต่…แข็งแกร่งถึงขั้นกำราบเจ้าเหนือหัวอีกองค์หนึ่งได้นั้น เป็นเรื่องที่น่าตกตะลึงไม่น้อย
อีกทั้งการกำราบครานี้ ยังเป็นการกำราบโดยสิ้นเชิง!
สวี่ชิงรู้สึกปั่นป่วนในใจไม่ต่างกัน เขาเคยเห็นเจ้าเหนือหัวองค์อื่นมาแล้ว!
หลี่จื้อหวาก็เป็นเจ้าเหนือหัว
เจ้าเหนือหัวยังมีการแบ่งลำดับขั้น
ขั้นต้น กลาง ปลาย และขั้นสูงสุด พลังต่อสู้ย่อมแตกต่างกันมาก
“ความรู้สึกที่สัมผัสได้จากฝ่ามือนั้น เทียบกับหลี่จื้อหวา… แทบจะไม่ต่างกันมากนัก…”
“หรือว่า…จักรพรรดิมนุษย์จะเป็น…เจ้าเหนือหัวขั้นสูงสุด!”
สวี่ชิงพึมพำในใจ ความรู้สึกไม่สมจริงพลุ่งพล่านในใจอย่างแรงกล้า
ตามความเข้าใจของเขา ระดับเจ้าเหนือหัว ปัจจุบันในดินแดนต้องประสงค์นั้น ต้องอาศัยสายโลหิตและดวงชะตาจึงจะมีโอกาสเลื่อนขั้นสู่ระดับนั้นได้
แต่นั่นเป็นเพียงแค่ขั้นต้นเท่านั้น
ส่วนขั้นสูงสุด…ภายใต้ความสนใจจากเผ่าพันธุ์ทรงอำนาจต่างๆ ทั่วทั้งแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ แทบจะไม่มีอยู่เลย
ดังนั้น เมื่อมีผู้คุ้มครองระดับเจ้าเหนือหัวขั้นสูงสุดปรากฎตัวขึ้น ในระหว่างที่เทพเจ้า 3 พระองค์ ดวงตะวัน จันทรา และดวงดารา แห่งเผ่านภาคิมหันต์กำลังเลื่อนขั้นนั้น จึงเกิดความสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งดินแดนต้องประสงค์
การสืบสวนในภายหลังดำเนินไปอย่างไม่หยุดยั้ง ทั้งเผ่าพันธุ์ทรงอำนาจและเทพเจ้าต่างอยากรู้ว่าเจ้าเหนือหัวขั้นสูงสุดที่สามารถปิดกั้นสรรพความรู้นั้นเป็นใคร!
เพราะในระบบของผู้บำเพ็ญ ปัจจุบันเจ้าเหนือหัวนั้นหาได้ยากยิ่ง หากไปถึงขั้นสูงสุดแล้ว…เทพเจ้าต่างๆ ไม่มีทางยอมรับได้อย่างแน่นอน
“หรือว่า…”
สวี่ชิงมองไปทางจักรพรรดิมนุษย์
ในตอนนั้นเอง จักรพรรดิมนุษย์ที่ยืนอยู่กลางอากาศก็ก้าวลงมาทีละก้าว จนไปยืนอยู่บนแท่นบูชาในที่สุด
ซึ่งเป็นที่ที่พระองค์ประกอบพิธีบูชาบรรพชนก่อนหน้านี้
ที่นั่น พระองค์หันหลังกลับ มองไปยังองค์ชายสิบเอ็ดที่กำลังสับสน และตรัสออกมาเช่นเดิม
“สิบเอ็ดน้อย ยังมีอีกหรือไม่?”
(>>>พิสูจน์อักษร By Zank<<<)


