Skip to content

Outside Of Time 956

Outside of Time
BC

บทที่ 956 ข้าถามเซียนจากจุดสูงสุด

อดีตแท่นเทวะอวี้หลิวเฉิน ตอนนั้นติดตามเสี้ยวหน้ามาถึงแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ก็เคยมีท่าทางถือดีคิดว่าไม่มีใครเทียม

C

เป็นถึงแท่นเทวะ เทพเจ้ามากมายอยู่ต่อหน้าองค์ท่านล้วนต้องหมอบกราบ ล้วนต้องสั่นเทา

แม้เป็นระดับพิสุทธิ์ หากองค์ท่านต้องการย่อมทำให้เกิดมลทินและมีเคราะห์อีกครั้ง

เพราะองค์ท่านคือหายนะ

สรรพชีวิตยิ่งเป็นเช่นนั้น

ในช่วงเวลาแรกเริ่มนามขององค์ท่านจึงมากพอให้แผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์สั่นสะเทือน ยังทำให้เทพเจ้าทั้งหลายเงยหน้ามองด้วยเคารพยำเกรง

และเดิมที องค์ท่านยังมีคุณสมบัติเดินถึงแท่นเทวะขั้นสูงสุด ถึงกับทะลวงเทพแท้ได้

แต่ทั้งหมดนี้เปลี่ยนไปหลังจากเงาร่างวัยกลางคนแบกกระบี่สัมฤทธิ์ 7 ฉื่อจากขอบฟ้ามาแผ่นดินเทวะของตน

ศึกนั้นหากองค์ท่านไม่ระเบิดแผ่นดินเทวะในช่วงสำคัญ อาจร่วงลงมาแล้วก็เป็นได้

แม้หนีออกมาด้วยสิ่งนี้ แต่ตัวองค์ท่านบาดเจ็บสาหัส แท่นเทวะพังทลายแตกฉานซ่านเซ็น

ต่อมา องค์ท่านได้เพียงซ่อนตัวหลับลึกมาตลอด ไม่กล้าปรากฏกาย กับเงาร่างแบกกระบี่ผู้นั้น องค์ท่านที่ไม่มีคลื่นอารมณ์ยังคงเกิดความกลัว

นั่นคือสัญชาตญาณชีวิต

ผ่านไปหลายปีนับไม่ถ้วน ความกลัวนี้หยั่งรากลึก และสุดท้ายพลังบำเพ็ญขององค์ท่านไม่อาจฟื้นคืน เพราะว่า…จิตใจได้รับผลกระทบ

ดังนั้น เมื่อองค์ท่านรับรู้ว่าภัยในชีวิตอย่างจักรพรรดิครองกระบี่มาเยือน องค์ท่านจึงตัดสินใจมาที่นี่

องค์ท่านอยากมาส่งอีกฝ่าย

แต่ตอนเอ่ยคำออกจากปาก กลับกลายเป็นมาดูช่วงสุดท้าย…

สุดท้าย องค์ท่านยังคงหวาดกลัวมหาจักรพรรดิผู้มีกำลังเทพครั่นคร้ามที่เลือกอยู่ต่อเพียงคนเดียวหลังผู้แข็งแกร่งทั้งหมดบนแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์จากไป

สิ่งนี้ในแง่หนึ่งเรียกได้ว่าเป็นอิสระเสรี ไม่ต้องจมดิ่งอยู่ในโลกธุลีแดง

แต่อีกฝ่ายกลับเลือกอยู่ต่อเพื่อปกป้องเผ่ามนุษย์อย่างเหนือความคาดหมายของทุกคน

ในโลกที่เต็มไปด้วยเทพเจ้า เพียงอยู่ก็เป็นกี่หมื่นปีไม่ทราบได้

เผ่ามนุษย์จึงดิ้นรนมาจนถึงวันนี้

เรียกได้ว่าหากไม่มีมหาจักรพรรดิผู้นี้ เผ่ามนุษย์คงไม่อยู่แล้ว

ต่อให้ยังมีการสืบพันธุ์ก็ต้องกระจัดพลัดพราย กระจายเป็นเผ่าเล็กในอาณัติเผ่าอื่นนับไม่ถ้วน ไม่มีทางรักษาแผ่นดินใหญ่เผ่ามนุษย์ไว้ได้

ช่วงเวลานั้นมีเทพเจ้าถูกมหาจักรพรรดิผู้นี้สังหารมากมาย แต่ราคาที่ต้องจ่ายก็ใหญ่หลวงเช่นกัน ร่างเดิมของเขาสู้จนตัวตาย มีเพียงร่างแยกที่ยังดิ้นรนอยู่ต่อ

“จักรพรรดิครองกระบี่ เจ้าคือผู้บำเพ็ญที่ข้าเคารพที่สุดบนแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ผืนนี้ ไม่มีใครเทียม”

สายตาอวี้หลิวเฉินมองตามแนวปราณกระบี่ทรงอานุภาพเบื้องล่างไปยังวังครองกระบี่ สายตาเขาสามารถทะลุกำแพงเห็นเงาร่างนั่งขัดสมาธิอยู่ในห้องลับ

บัดนี้ทั้งพิภพต้องประสงค์ ในระบบผู้บำเพ็ญมีมหาจักรพรรดิแค่คนเดียว

“แต่ว่า ตอนนี้เจ้ายังมีแรงแม้เพียง 1 กระบี่จริงหรือ”

ชุดยาวสีโลหิตปกคลุมผืนดิน อวี้หลิวเฉินที่ทั้งกายมีแสงโลหิตกระจายทั่วฟ้ายืนตระหง่านอยู่ท่ามกลางฟ้าดินดุจนายแห่งโลกหล้า

หลังกล่าวคำพูดนี้ออกมา กลิ่นอายบนตัวองค์ท่านก็เริ่มสะท้านฟ้าเช่นกัน

ลมพัดเมฆแผ่คลุม ทั่วทั้งม่านฟ้ากลายเป็นสีโลหิต

ยามนี้ไม่ว่าทะเลเพลิง รัตติกาลหรือตะวันจันทราดาราล้วนพากันมืดหม่น เหลือกลิ่นอายขององค์ท่านเพียงหนึ่งเดียว

ฝีเท้าองค์ท่านยกขึ้นแช่มช้า ในดวงตาราวกับมีทะเลโลหิตปะทุ ชุดยาวยิ่งขยาย คล้ายหมายปกคลุมทั้งเมืองหลวงจักรพรรดิเผ่ามนุษย์ให้อยู่ภายใต้ชุดยาวสีโลหิตขององค์ท่านตามฝีเท้าที่ย่างเหยียบ

แต่ในตอนนั้นเอง ค่ายกลขนาดใหญ่ที่ป้องกันเผ่ามนุษย์พลันเกิดเสียงดังสนั่น คลื่นรุนแรงก่อตัวเป็นการโจมตีย้อนกลับชัดเจน

หลักการทำงานของค่ายกลเผ่ามนุษย์คือมันจะสร้างพลังต้านต่างกันไปตามความรุนแรงที่บุกรุก

บัดนี้เป็นวิกฤตระดับสูงสุด การระเบิดของค่ายกลเผ่ามนุษย์จึงบรรลุขีดสุดเหนือทั้งมวล

ขณะแสงเด่นชัดบาดตาส่องสว่างฉับพลัน รัศมีปกคลุมอันเกิดจากค่ายกลเผ่ามนุษย์ที่แฝงรอยตราอักขระนับไม่ถ้วนก่อร่างขวางตรงหน้าอวี้หลิวเฉินทันใด

ยิ่งกว่านั้นในค่ายกลนี้ยังมีดวงดาวส่องประกาย จำนวนทั้งหมด 49 ดวง

เหล่านั้นล้วนเป็นดวงตะวันแห่งแสงอรุณ!

นี่คือดวงตะวันแห่งแสงอรุณทั้งหมดของเผ่ามนุษย์ตอนนี้

หลังประสบเคราะห์ภัยนับไม่ถ้วน บัดนี้เผ่ามนุษย์มิอาจพูดได้ว่ามีพลังอะไรแฝงเร้นอีกแล้ว

พลังใหญ่สุดนอกจากจักรพรรดิครองกระบี่ก็มีแค่ดวงตะวันแห่งแสงอรุณเหล่านี้

คลื่นของพวกมันทำให้ฟ้าดินเปลี่ยนสี แต่ด้านอวี้หลิวเฉินกลับหัวเราะขึ้นมา

“ดูท่า เจ้าจะไม่มีแรงแม้เพียงกระบี่เดียวแล้วจริงๆ”

พูดจบ องค์ท่านคล้ายไม่ลังเลอีกต่อไป เท้าขวาที่ยกขึ้นจะเหยียบย่างลงบนสายปราณกระบี่เบื้องหน้า ทว่าพริบตาต่อมา มีเสียงคำรามทอดมาจากม่านฟ้าสีโลหิต

เสียงดังควาก นภาสีโลหิตถูกฉีกออก มังกรทอง 7 กรงเล็บวิถีสวรรค์แห่งเผ่ามนุษย์ว่ายวนส่งเสียงคำรนอยู่บนท้องฟ้า จากนั้นกายส่องรัศมีหมื่นจั้ง ราวกับมีดวงอาทิตย์สีทองปรากฏบนม่านฟ้าสีโลหิต

ชั่วขณะรัศมีตกต้องเมืองหลวงจักรพรรดิ วิถีสวรรค์เผ่ามนุษย์พลันเคลื่อนกายมุ่งตรงไป…วังจักรพรรดิ!

เป้าหมายของมันถึงกับเป็นจุดที่เงารูปปั้นมหาจักรพรรดิปกคลุมบนลานวังจักรพรรดิ

ยามนี้ในเงามหาจักรพรรดิปรากฏควันม่วง

ขณะหมุนวนให้ความรู้สึกหนาทึบ ยังมีระฆังใบใหญ่โผล่ออกมาแขวนอยู่เหนือลานจากในนั้น

นั่นคือระฆังถามเซียน

ว่ากันว่าระฆังนี้มาจากยุคจักรพรรดิโบราณเสวียนโยว สถานะของมันอยู่ระหว่างหยินหยาง จะปรากฏในชั่วเวลาอาทิตย์ขึ้นเท่านั้น

มันเคลื่อนย้ายไม่ได้ เป็นหนึ่งเดียวกับเมืองหลวงจักรพรรดิ หรือกล่าวให้ถูกคือมันเป็นส่วนหนึ่งของวังจักรพรรดิเผ่ามนุษย์ เป็นพยานการเติบโตของจักรพรรดิมนุษย์มาทุกสมัย

เอาไว้พิสูจน์เจตนา

นับแต่โบราณมีขุนนางใหญ่ถูกคนอื่นคลางแคลงคำพูดเป็นบางครั้ง ต้องเคาะระฆังถามเซียนเพื่อพิสูจน์เจตนา

ตอนนั้นหนิงเหยียนก็พิสูจน์เจตนาด้วยระฆังนี้

นอกจากใช้งานเช่นนี้ หลายหมื่นปีที่ผ่านมาระฆังนี้ยังไม่มีประโยชน์อื่นใด

นานวันเข้าก็ถูกผู้คนทั้งหลายมองข้ามไปทีละนิด เพียงเห็นมันเป็นสัญลักษณ์และของโบราณที่ออกจะลึกลับ

กระทั่งวันนี้ กระทั่งการฟื้นตื่นของวิถีสวรรค์เผ่ามนุษย์ กระทั่งเงาร่างของมันพุ่งเข้าไปในระฆังถามเซียน…

ระฆังสั่นฉับพลัน

ราวกับฟื้นตื่นจากการหลับใหลอันยาวนานในที่สุด!

ภาพสัญลักษณ์สรรพสิ่งหมู่มวลชีวิต ขุนเขาสายธารที่สลักบนนั้นล้วนมีชีวิตขึ้นมา เคลื่อนวนอยู่บนผิวระฆัง เปล่งแสงสว่างแวววามสาดส่องฟ้าดิน พร้อมกันนั้นกลิ่นอายบรรพกาลเข้มข้นก็ปรากฏขึ้นจากระฆังถามเซียน

นภาพลิกม้วน ปราณโลหิตปะทุ ฟ้าดินสับเปลี่ยน

ในกลิ่นอายนี้ยังมาพร้อมปราณจักรพรรดิน่าสะพรึงกลัว แปลงจากปณิธานใหญ่ยิ่งที่อยู่เหนือฟ้าดิน ก่อตัวจากความโหดเหี้ยมไร้สิ้นสุดที่พิชิตบรรพกาล ประพันธ์จากวิถีที่แผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ร่วมสั่นพ้อง

นั่นคือ…กลิ่นอายจักรพรรดิโบราณ!

แต่มิใช่เสวียนโยวที่ทุกคนคิดไว้!

กลิ่นอายนี้เก่าแก่ยิ่งกว่า

เสวียนโยวไม่ใช่จักรพรรดิโบราณคนแรกบนแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์

ก่อนหน้าเขามีจักรพรรดิโบราณแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์อยู่หลายคน ไม่ว่าจักรพรรดิวิญญาณโบราณ หรือจักรพรรดิเผ่าอื่นที่เกิดมาผนึกรวมแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์

แรกเริ่มเดิมที ในตำนานเล่าขาน ตอนนั้นหลังเซียนคิมหันต์จากไป เคยเลือกผู้บำเพ็ญคนหนึ่งเป็นจักรพรรดิโบราณคนแรกบนแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ด้วยตัวเอง!

จักรพรรดิโบราณผู้นี้เป็นเผ่ามนุษย์

ระฆังนี้มาจากเขา!

ดังนั้นเมื่อกลิ่นอายปรากฏ ฟ้าดินสั่นไหว แผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์สะเทือน

ด้านอวี้หลิวเฉินก็สีหน้าเปลี่ยนพลัน เท้าที่ยกขึ้นหยุดชะงัก

พริบตาต่อมา ระฆังถามเซียนนี้สั่นไหวกลางอากาศ เสียงระฆังแต่เก่าก่อนก้องสะท้อนโบราณกาล ไหลตามสายธารแห่งกาลเวลามาปัจจุบันและตกถึงฟ้าดิน

เสียงโบราณเรียบง่ายพร้อมแฝงความเศร้าโศก คล้ายกำลังร้องเรียก คล้ายกำลังถามเซียนที่จากไปเหล่านั้น…

พวกท่านจะกลับมาเมื่อไร

เสียงระฆังเหง่งหง่าง ฟ้าดินเปล่าดาย ข้าถามจากพิภพ เซียนหวนคืนเมื่อใด

อวี้หลิวเฉินสีหน้าเปลี่ยนหนัก ทั่วกายพลันสั่น ชุดยาวสีโลหิตทั้งกายที่ปกคลุมผืนดินมีเสียงแครกคราก เกิดเป็นรอยแยกนับพัน

ผู้ใดพบเห็นล้วนตื่นกลัว

เท้าที่องค์ท่านยกขึ้นก็ถอนกลับในยามนี้ กายยิ่งถอยหลัง 10 จั้ง

“นี่คือสิ่งใด!!”

ระฆังถามเซียน แม้เป็นความรอบรู้ของแท่นเทวะก็ไม่อาจรวมมันไว้ในนั้น

มันคล้ายถูกซ่อนอยู่ในวันเวลา ถูกเร้นไว้นอกเหนือความเข้าใจ ราวกับมันจะปรากฏแค่ในยามที่ตะวันจันทราเคลื่อนมารวมกัน

ไม่เพียงอวี้หลิวเฉินโพล่งออกมา ยามนี้เทพอัคคี เทพรัตติกาลรวมถึงเทพตะวันจันทราดาราก็ล้วนเกิดคลื่นในใจ

เผ่ามนุษย์ไม่มีพลังใดซ่อนไว้แล้วจริงๆ

เพราะพลังที่อยู่มาก่อนจักรพรรดิครองกระบี่ซ่อนไว้ตั้งแต่ก่อนยุคจักรพรรดิโบราณเสวียนโยว

จนกระทั่งวันนี้ มันฟื้นตื่นขึ้นมาในช่วงสำคัญเสียอย่างนั้น

จักรพรรดินีสีหน้าปกติ

มหาจักรพรรดิก็ไม่มีปฏิกิริยา

ส่วนอวี้หลิวเฉิน แทบในพริบตาที่องค์ท่านเกิดคลื่นในใจ ระฆังถามเซียนที่ลอยอยู่กลางวังจักรพรรดิสั่นไหวอีกครั้ง ส่งเสียงเหง่งหง่างครั้งที่ 2

เสียงทรงพลังกึกก้องฟ้าดิน

เวลาไหลผ่าน สรรพสิ่งเคลื่อนย้าย ข้าถามจากผืนดินนี้ เซียนเปลี่ยวดายเพียงใด!

อวี้หลิวเฉินสั่นสะเทือนรุนแรงทั้งกาย สีหน้ายิ่งเปลี่ยนชัดเจน บาดแผลตรงหน้าอกฉีกขาดในพริบตานั้น แผลเก่าถูกกระตุ้นด้วยเสียงระฆังนี้

ร่างขององค์ท่านถอยอีกก้าวด้วยไม่อาจควบคุม ก้าวนี้ถอยร้อยจั้ง

จากนั้นระฆังถามเซียนแผ่รัศมีหมื่นจั้ง เสียงระฆังเจือแววเศร้าโศกในความยิ่งใหญ่นั้นดังเป็นครั้งที่ 3

คล้ายถามเซียนครั้งสุดท้าย…

เส้นทางเซียนกว้างไกล ชีวิตไร้สิ้นสุด ข้าถามจากจุดสูงสุด วิถีเซียน…อยู่แห่งหนใด

อวี้หลิวเฉินจิตใจป่วนปั่น ร่างกายแตกสลายด้วยเสียงระฆังนี้ แม้ชั่วลมปราณก็ฟื้นคืนมาใหม่ แต่ฝีเท้ากลับถอยแล้วถอยอีก

กระทั่งถอยไปไกลพันจั้ง องค์ท่านถึงได้ประคองร่าง เงยหน้าขึงตาจ้องระฆังใบนั้น

เจตจำนงที่แฝงในระฆังนี้น่าหวั่นกลัวถึงขีดสุด นั่นคือความคิดตามหาวิถี นั่นคือปณิธานตามหาเซียน

ราวกับเคยมีคนหนึ่งเคาะระฆังถามเซียนใบนี้ด้วยฐานะสูงสุดบนแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ ด้วยพลังบำเพ็ญที่เป็นหนึ่งในใต้หล้า!

และอวี้หลิวเฉินรู้ดี แค่ 3 ครั้งยังทำให้ตนเป็นเช่นนี้ จินตนาการได้เลยว่าหากมีครั้งที่ 4  เกรงว่าบาดแผลที่อุตส่าห์ฟื้นฟูในหลายปีนับไม่ถ้วนนี้จะหวนกลับไปเป็นตอนเจ็บหนักที่สุด

แต่ว่า ของน่ากลัวปานนี้ เขาไม่เชื่อหรอกว่าจะเคาะได้โดยไม่จ่ายสิ่งใด

ราคานี้ต้องใหญ่หลวงหาใดเปรียบ

ดังนั้น ระฆังนี้จะเคาะได้อีกครั้งหรือไม่…ยังไม่ทราบได้

แต่องค์ท่านไม่กล้าเดิมพัน

เดิมพันชนะ เผชิญหน้ากับจักรพรรดิครองกระบี่ด้วยสภาพตอนนี้ องค์ท่านไม่มั่นใจ

เดิมพันแพ้ ยิ่งไม่มั่นใจกว่าเดิม

องค์ท่านจึงนิ่งเงียบ

แต่ระฆังใบนั้นสั่นอยู่กลางอากาศอีกครั้ง คล้ายจะเคาะครั้งที่ 4 จริง

เห็นเป็นเช่นนั้น อวี้หลิวเฉินพลันเอ่ยปาก “วันนี้ข้าแค่มาดูพิธี!”

เมื่อเสียงดังขึ้น ระฆังถามเซียนหยุดกลางอากาศ

พริบตาต่อมา เสียงเย็นชาทอดมาจากในวังครองกระบี่

“ไสหัวไป!”

1 คำออกปาก ฟ้าถล่มดินทลาย

ไม่เพียงกับอวี้หลิวเฉิน กลับก้องสะท้อนถึงขอบฟ้า สะท้านสะเทือนทั่วทิศ ระเบิดฟ้าดินประหนึ่งอัสนี เกิดเป็นคลื่นยักษ์พลิกม้วนกวาดล้างทั่วนภา

ชั่วขณะหนึ่ง จิตเทพมากหลายที่ลงมาชมจักรพรรดิมนุษย์สำเร็จเทพในที่นี้ด้วยวิธีการต่างๆ พลันหลบซ่อน

ตัดสินใจจากไป

ไม่ว่าจักรพรรดิครองกระบี่เผ่ามนุษย์มีพลังเพียง 1 กระบี่จริงหรือไม่ แต่ว่า…พวกเขาไม่กล้าไปเดิมพัน

ระฆังน่ากลัวใบนั้นยิ่งทำให้แต่ละฝ่ายครั่นคร้าม

ส่วนอวี้หลิวเฉิน สายตาองค์ท่านตกอยู่บนวังครองกระบี่ ผ่านไปหลายลมปราณ สุดท้ายร่างกายเลือนรางหายไปในฟ้าดิน

องค์ท่านเลือกจากไปเช่นกัน

เพลิงเทวะในดาวจักรพรรดิโบราณโชติช่วงกว่าเดิม

ขณะเดียวกัน ในแผ่นดินใหญ่คลื่นศักดิ์สิทธิ์ที่ห่างไกลจากดินแดนเมืองหลวงจักรพรรดิเผ่ามนุษย์ ทางเหนือของเขตปกครองผนึกสมุทร

ลมหิมะกำลังพัดไหวบนที่ราบผืนนั้น

ในหิมะตกหนักทั่วฟ้าเหมือนขนห่าน จะเห็นเสามหึมาสะท้านฟ้าสะเทือนดินต้นหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่บนพื้นน้ำแข็ง รอบด้านล้อมด้วยกระโจมนับไม่ถ้วน เกิดเป็นจุดชุมนุมที่ดูเหมือนคูเมือง

เสานั้นคือเสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะ

ครึ่งหนึ่งของมันจมอยู่ใต้พื้นดิน

ในนั้นเป็นถ้ำมืดลึกลับแห่งหนึ่ง

สุดถ้ำใต้ดินมีดวงตาใหญ่ยักษ์ดวงหนึ่ง

ยามนี้ดวงตาปิดสนิท นิ่งไม่ไหวติง

เหนือดวงตามีบ้านไม้ทรง 5 เหลี่ยมห้อยอยู่หลังหนึ่ง มันแขวนไว้ด้วยโซ่เหล็ก 5 สายเชื่อมกับผนังหินรอบด้าน

5 มุมของบ้านไม้มีศพ 5 ธาตุ

ในบ้านจุดตะเกียงไว้ดวงหนึ่ง

นั่นคือตะเกียงแห่งชีวิต

ทะลุผ่านกระดาษหน้าต่างกับรอยแยก จะเห็นสตรีสวมชุดวิวาห์สีแดงนั่งอยู่ในนั้นเงียบๆ

นางคล้ายคนธรรมดา กายไม่มีคลื่นพลังบำเพ็ญใด ทั้งไม่มีกลิ่นอายเทพเจ้าสักน้อยนิด

ส่วนหน้าตายังเห็นไม่ชัด แต่จากเงาบนหน้าต่างกระดาษ เห็นได้ว่านางพ่นเลือด 3 คำในเวลาอันสั้น

เลือดของนางกลายเป็นกระดาษเงินอย่างประหลาด ปลิวกระจายจากในบ้านและในถ้ำมืดขึ้นไปข้างบน ดึงดูดสิ่งประหลาดนับไม่ถ้วนมาแย่งกันกลืนกินด้วยกลัวไม่ได้ส่วนแบ่ง

และตอนเลือดสดกระอักออกมา ยังตรงกับเสียงเหง่งหง่าง 3 ครั้งของระฆังถามเซียนในวังจักรพรรดิเผ่ามนุษย์!

“ข้อแลกเปลี่ยนสำเร็จแล้ว”

“แต่ข้ายังไม่ถึงเวลาจากไป…”

ผ่านไปครู่ใหญ่ สตรีผู้นี้เช็ดเลือดที่มุมปาก พึมพำเสียงค่อย

จากนั้นเสียงเพลงที่คล้ายอยู่ที่นี่มาตลอดลอยล่องออกมาต่อเนื่อง

“ชาติก่อนไม่มา วนหาเกิดใหม่ ตัดห้วงคำนึงวาดฝุ่นธุลี…”

“ชาตินี้เวียนวน บั้นปลายดินกลบ ผู้ใดเฝ้ารอกลับชาติมาเกิด…”

ถัดจากเสียงเพลง ศพ 5 ธาตุนอกบ้านไม้ 5 เหลี่ยมเริ่มสั่นไหว

ขณะนั้นก็มีเสียงขับร้องคล้ายคลึงกันดังกึกก้องในแผ่นดินใหญ่กลืนนภา

ด้วยการบุกโจมตีของเทียนประทีปในเวลาอันสั้น ท้องนภาถูกปกคลุมด้วยแผ่นดินเทวะเทียนประทีป จิตวิญญาณกว่าครึ่งบนแผ่นดินใหญ่กลืนนภาถูกสังเวยเลือดไปแล้ว

ไม่ว่าผู้บำเพ็ญ ไม่ว่าคนธรรมดา ไม่ว่าเผ่าใด

นี่คือการระเบิดพลังทั้งหมดของเทียนประทีป นี่คือการมาเยือนเต็มรูปแบบครั้งแรกของกำลังทั้งหมดที่รัชทายาทม่วงครามซ่อนไว้

ความตายที่นำมาสู่แผ่นดินใหญ่ผืนนี้จึงรวดเร็วปานสายฟ้าทั้งไม่อาจหลีกเลี่ยง

ศพนับไม่ถ้วน เลือดเนื้อมากมายกระจายอยู่บนแผ่นดินผืนนี้โดยมีวังจักรพรรดิกลืนนภาเป็นศูนย์กลาง

เลือดสดย้อมดินโคลนเป็นสีแดง วิญญาณคนตายพลัดพรายทั่วทิศ

และการเข่นฆ่ายังไม่หยุดลง

แต่การเข่นฆ่าเหล่านี้ไม่ใช่จุดสำคัญแล้ว

ยามนี้เหนือวังจักรพรรดิกลืนนภาที่มีศพและเลือดเนื้ออยู่ทั่ว พิธีกรรมยิ่งใหญ่กำลังดำเนิน!

ก้อนเนื้อมหึมาที่มาจากแผ่นดินเทวะลอยอยู่กลางอากาศ

รอบตัวมันมี 5 เกลียวคลื่น ในเกลียวคลื่นแบ่งเป็นศพนั่งขัดสมาธิ 5 ร่าง นั่นคืออดีตจักรพรรดิกลืนนภา

มองทอดไป ฉากนี้…ถึงกับเหมือนพิธีกรรมที่เมืองหลวงจักรพรรดิเผ่ามนุษย์ดำเนินอยู่ตอนนี้ไม่มีผิด!!

อย่างหนึ่งเป็นเมืองหลวงจักรพรรดิ อย่างหนึ่งเป็นวังจักรพรรดิ ก้อนเนื้อดุจดาวจักรพรรดิโบราณ ศพในเกลียวคลื่นเหมือนอดีตจักรพรรดิมนุษย์

ยังมีเงาทอดลวงตาปกคลุมฟ้าดินปรากฏชัดอยู่ตรงนี้

ในเงาทอดนั้นถึงกับเป็นฉากจักรพรรดิเผ่ามนุษย์องค์ปัจจุบันสำเร็จเทพ

ทั้งหมดล้วนถูกวางให้ทับซ้อนกันที่นี่!

ผู้บำเพ็ญเทียนประทีปนับไม่ถ้วนทั่วทิศ ยังมีชุดดำลึกลับ ล้วนกำลังคุกเข่าคารวะ สายตาแผดเผาหาใดเปรียบ

เสียงขับร้องก้องสะท้อนเช่นกัน

“ปราณตะวัน 2 ลักษณ์ผสานดวงเนตรเทพโบราณ แสงอันกลายเป็นเอกภพส่องสว่างดินแดนต้องประสงค์…”

“วิญญาณยมโลก 4 ทิศดื่มน้ำแห่งกาลเวลา สร้างฝันโบราณกาลให้ตื่นในยุคนี้…”

(>>>พิสูจน์อักษร By Zank<<<)

AC

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!