Skip to content

Outside Of Time 969

Outside of Time
BC

บทที่ 969 ฟ้าเปลี่ยนสี!

ทะเลต้องห้ามไร้ก้นบึ้ง ใต้มหาสมุทรก็เช่นกัน

C

เสี้ยวหน้าซ่างฮวงก่อนที่จะลงมาเยือนแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ ไม่มีผู้แข็งแกร่งแห่งยุคคนใดกล้าพูดว่าเข้าใจในก้นบึ้งมหาสมุทรเป็นอย่างดี

พวกเขาอย่างมากก็แค่เข้าใจในขอบเขตที่ต่างกันไปเท่านั้น

เหตุที่เป็นเช่นนี้ด้านหนึ่งเพราะขอบเขตใต้ก้นบึ้งมหาสมุทรกว้างใหญ่ไพศาล อีกด้านหนึ่งคือที่นี่ชั้นใต้ดินมากมาย ยิ่งลึกลงไปยิ่งเป็นเช่นนั้น หลายครั้งดูเหมือนเป็นชั้นสุดท้าย แต่ความจริงแล้วกลับเป็นชั้นที่ลึกลงไปอีก บางทีอาจจะมีหลุมสวรรค์ กระทั่งมหาสมุทร

แห่งนี้ลึกเป็นอย่างยิ่ง ก้นบึ้งมีความลับมากมาย บางพื้นที่ระดับความเก่าแก่มากยิ่งกว่าเผ่าเทพนภาเจิดจรัสในตอนนั้นเสียอีก

มหาจักรพรรดิก็หยุดฝีเท้าอยู่ที่นี่เช่นกัน

ด้วยเหตุนี้ ไม่ว่าจะเป็นเซียนคิมหันต์ในตอนนั้น หรือจะเป็นจักรพรรดิโบราณทุกรุ่นในภายหลัง แม้จะมีความปรารถนาที่จะควบคุมใต้มหาสมุทร แต่สุดท้ายก็ไม่เคยเป็นจริง

ดีที่แม้ก้นบึ้งมหาสมุทรจะลึกลับ แม้จะมีซากโบราณสถานเก่าแก่ แต่เนิ่นนานหลายปีมาก็ล้วนเหมือนถูกสกัดกั้น ไม่แผ่ภัยคุกคามใดๆ มายังแผ่นดินใหญ่ทั้งสิ้น ดังนั้นจึงค่อยๆ มีคนยอมรับความลึกลับใต้ก้นบึ้งมหาสมุทร

จวบจนกระทั่งการมาเยือนของเสี้ยวหน้าซ่างฮวง ทะเลโอฬารกลายเป็นทะเลต้องห้าม ไอพลังประหลาดเข้มข้นตลบอวลในนั้น ก้นบึ้งมหาสมุทรที่ลึกลับก็เปลี่ยนมายิ่งน่ากลัวขึ้นไปอีก

โดยเฉพาะมหาสมุทรนอก สามารถยืนยันได้ว่า…ที่นั่นจะต้องมีเทพเจ้าที่ไม่รู้จักอยู่แน่นอน!

นี่ทำให้สวี่ชิงสงสัยอยู่หลายครั้งว่า รถศึกสัมฤทธิ์และยักษ์ตนนั้นที่ตนอยากตามหา อาจจะเข้าไปในมหาสมุทรนอกแล้ว

และในร่องลึกมหาสมุทรที่ตนอยู่ในตอนนี้ ห่างจากมหาสมุทรนอกไกลโขนัก เทียบกับก้นบึ้งมหาสมุทรทั้งหมดแล้วไม่สะดุดตาเอามากๆ เหมือนเม็ดทรายเม็ดหนึ่งท่ามกลางทรายมากมายบนหาดทราย

หากไม่ใช่สัมผัสจากเถาวัลย์เทพศักดิ์สิทธิ์ สวี่ชิงแม้จะเคยผ่านมาที่นี่ แต่ไม่มีทางค้นพบได้เลยว่าในส่วนลึกของร่องลึกมหาสมุทร ใต้ดินโคลน จะซ่อนเจดีย์ผุพังองค์หนึ่งเช่นนี้เอาไว้

พูดได้ว่าซ่อนลึกลับเป็นอย่างยิ่ง

เวลาไหลไป

รอบๆ มืดสนิท แต่กลับไม่เงียบสงัด เสียงคำรามที่ดังออกมาจากสิ่งมีชีวิตที่ไม่รู้จักใต้ก้นบึ้ง ลึกล้ำและยาวไกล

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง มั่นใจว่าไม่มีปัญหาอะไร สวี่ชิงร่างเพียงไหววูบก็ดำลงไปในร่องลึกมหาสมุทร ทะยานไปอย่างรวดเร็ว

ไม่นานนักเขาก็ดำดิ่งลึกลงไปในร่องลึกมหาสมุทร

ที่นี่เทียบกับข้างนอกแล้วมืดยิ่งกว่า เหมือนปากลึกปากหนึ่ง กลืนกินสิ่งมีชีวิตทุกอย่างที่มาเยือนอย่างไร้ปราณี

ดีที่ความเชื่อมโยงระหว่างเถาวัลย์เทพสร้างเป็นการชี้นำ ดังนั้น ความเร็วของสวี่ชิงไม่ลดลง หลังจากที่ดำลงมาครึ่งเค่อ ในที่สุด ที่ใต้ร่องลึกมหาสมุทรแห่งนี้ ก็ได้เห็นถ้ำโคลนที่ถูกเถาวัลย์เทพแทงทะลุออกมา

ถ้ำนี้ตอนนี้กำลังค่อยๆ สมานตัว

สวี่ชิงไม่ลังเล ร่างพุ่งไปข้างหน้า พุ่งเข้าไปในถ้ำทันที ไปตามร่องรอยของเถาวัลย์เทพ ตรงไปยังสุดทาง มาปรากฏยังบริเวณที่เถาวัลย์เทพอยู่

หากมีดวงตาที่สามารถมองทะลุใต้มหาสมุทรได้ เช่นนั้นตอนนี้ก็จะมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ใต้ร่องลึกมหาสมุทรนี้ ในส่วนลึกของโคลนตมนั่นมีฟองอากาศขนาดมหึมาอยู่ฟองหนึ่ง

ขนาดของฟองอากาศนี้ใหญ่ถึงหมื่นจั้ง

ในนั้นไม่มีน้ำทะเลใดๆ ทั้งสิ้น และย่อมไม่มีโคลนตมใดๆ เช่นกัน สิ่งที่มีอยู่มีเพียงเจดีย์สูงทรุดโทรมองค์หนึ่ง ตลอดจนเถาวัลย์แห้งเหี่ยวที่พันรัดเจดีย์องค์นี้เอาไว้เท่านั้น

ส่วนบริเวณที่สวี่ชิงและเถาวัลย์เทพของเขาอยู่ตอนนี้ เป็นเพียงแค่ริมขอบด้านบนของฟองอากาศนี้โพรงใต้ดินที่ถูกบุกเบิกขึ้นมาชั่วคราวในโคลนแห่งนี้ก็เท่านั้น

มองฟองอากาศฟองนี้ มองเจดีย์องค์นี้ สวี่ชิงสัมผัสไม่ได้ถึงพลังกดดันแม้แต่น้อย เหมือนว่าทุกอย่างล้วนเป็นวัตถุธรรมดาๆ

แต่ที่น่าแปลกประหลาดคือ ทั้งๆ ที่เขามองเห็นฟองอากาศและเจดีย์ที่อยู่ข้างในได้ด้วยตาเปล่า แต่ในประสาทสัมผัสเทพ ที่นี่กลับไม่มีอะไรทั้งนั้น

“มองเห็นได้อย่างเดียว แต่สัมผัสไม่ได้อย่างนั้นหรือ”

สวี่ชิงครุ่นคิด หลังจากสังเกตได้ถึงความอัศจรรย์ก็มองไปยังเถาวัลย์เทพที่อยู่ข้างๆ

อารมณ์ของเถาวัลย์เทพแผ่ระลอกออกมารุนแรงมาก คล้ายว่าอยากพุ่งไปดู แต่ก็ไม่กล้า ขณะเดียวกันก็แผ่ความรักความใกล้ชิดออกมา เหมือนว่าเจอญาติพี่น้อง

สุดท้าย มันก็เหมือนตัดสินใจได้ เข้าไปใกล้สวี่ชิงก่อน ถูๆ ไถๆ ตัวสวี่ชิงเบาๆ อยู่สองสามที จากนั้นก็พลันพุ่งออกไป มาพร้อมด้วยความมุ่งมั่น พุ่งตรงไปยังฟองอากาศข้างหน้า

สวี่ชิงไม่ได้ขัดขวาง

เสี้ยวขณะต่อมา ฟองอากาศฟองนี้แผ่ระลอกคลื่นออกมาเล็กน้อย ส่วนเงาของเถาวัลย์เทพก็พุ่งเข้าไปข้างในแล้ว ตรงดิ่งไปยังเจดีย์ทรุดโทรม

เทียบกับขนาดของฟองอากาศฟองนี้ เถาวัลย์เทพเส้นนี้ของสวี่ชิงแม้จะมีขนาดหนาถึง 1 จั้ง แต่จะอย่างไรก็ไม่มีค่าพอจะให้กล่าวถึง แต่ว่าความยาวของมันนับว่าพอใช้ได้

ตอนนี้ที่นอกเจดีย์ หลังจากที่พันล้อมอยู่หลายทบราวกับงูตัวบางๆ ก็พุ่งตรงไปที่เถาวัลย์แห้งๆ ทาบไปบนนั้น สุดท้ายภายใต้สายตาสวี่ชิง ก็ค่อยๆ ผสานซึ่งกันและกัน

ความรู้สึกเหมือนมรดกกลุ่มหนึ่งแผ่มาตามอารมณ์ความรู้สึกของเถาวัลย์เทพ สวี่ชิงสัมผัสถึงมันได้

และสัมผัสรับรู้นี้เป็นเพียงแค่เสี้ยวขณะเท่านั้น ก็หายไปไร้ร่องรอย

สวี่ชิงเพ่งสมาธิ รออยู่ครู่หนึ่ง ไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างอื่นที่นี่ ดังนั้นเขาจึงก้าวเท้าเดินไปยังฟองอากาศ แต่ในเสี้ยวพริบตาที่เขาเข้าไปใกล้กำลังจะย่างก้าวเข้าไป

พลังต้านทานน่าพรั่นพรึงกลุ่มหนึ่งก็พวยพุ่งขึ้นอย่างมหาศาลทรงพลังจากฟองอากาศนี้ ทำให้ร่างสวี่ชิงยากจะเข้าไปได้แม้เพียงน้อยนิด

ในดวงตาสวี่ชิงฉายประกายเย็นเยือก เลือดลมพวยพุ่ง พลังกายเนื้อปะทุขึ้นทุกด้าน อาศัยร่างอันน่าครั่นคร้ามของตน ฝืนก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง

ก้าวหนึ่งเหยียบลงมา ฟองอากาศนี้แผ่ระลอกรุนแรงทันที พลังต่อต้านก็ปะทุขึ้นตามมาด้วย การโจมตีไร้รูปร่างทรงพลังเกินต้านทานโจมตีมาทางสวี่ชิง

สวี่ชิงขมวดคิ้ว เดินไปอีกก้าว จากนั้นก็เป็นก้าวที่ 3 ก้าวที่ 4 ก้าวที่ 5

ฟองอากาศนี้ไม่แตก แต่จากการเดินไปข้างหน้าของสวี่ชิงมันก็ยุบตัวลงไป จนกระทั่งยุบลงไปได้ครึ่งหนึ่ง พลังต้านทานบนนั้นก็มาถึงระดับที่ชวนให้อกสั่นขวัญแขวน

โดยเฉพาะหลังจากก้าวที่ 6 ของสวี่ชิงเหยียบลงมา พลังต้านทานนี้ก็ปะทุขึ้นอีกครั้ง ก่อเป็นแรงสะท้อนอังแข็งแกร่งเกินต้านทาน ทำให้สวี่ชิงสั่นสะท้านไปทั้งร่าง จำต้องถอยร่นไป

ถอยมาจนมาอยู่ที่เดิม เขาพลันเงยหน้าขึ้น จ้องมองไปทางฟองอากาศข้างหน้า

มุมปากมีเลือดสดๆ ไหลออกมา

นี่เป็นครั้งแรกที่สวี่ชิงได้รับบาดเจ็บใน 5 เดือนมานี้!

“มีพลังระดับเจ้าเหนือหัว!”

ในดวงตาสวี่ชิงฉายแววประหลาดใจ

เป้าหมายที่เขามาทะเลต้องห้ามก็คือฝึกฝนร่างกาย เพียงแต่การป้องกันของกายเนื้อแข็งแกร่งเกินไป แม้การเดินทางครั้งนี้ดูเหมือนจะราบรื่น แต่เขากลับไม่พอใจ

จวบจนกระทั่งในขณะนี้ ฟองอากาศลึกลับนี่ ทำให้อารมณ์ของสวี่ชิงในรอบ 5 เดือนมานี้ เกิดระลอกคลื่นเป็นครั้งแรก

ดังนั้น เขาสังเกตเถาวัลย์เทพเล็กน้อย มั่นใจว่าการกระทำของตนไม่สร้างผลกระทบใดๆ ให้กับมัน อีกทั้งมรดกเถาวัลย์เทพตอนนี้ก็เหมือนว่าจะไม่อาจสำเร็จได้ในเวลาสั้นๆ

ดังนั้นในใจสวี่ชิงจึงตัดสินใจเด็ดเดี่ยว เอาขนของเหยียนหวงออกมาอันหนึ่ง ส่งจิตเทพไป บอกหวงเหยียนว่าตัวเองจะไม่กลับไปในช่วงนี้ จะฝึกบำเพ็ญที่ใต้ทะเล

แม้การคุ้มกันให้สวี่ชิงจะเป็นคำร้องขอของนายท่านเจ็ด แต่ที่นี่คือมหาสมุทรใน ระดับความอันตรายไม่สูงมาก อีกทั้งกำลังรบของสวี่ชิงตอนนี้ความจริงก็ไม่ต้องการคนคุ้มกันสักเท่าไร

รวมกับเมื่อได้พบกับศิษย์พี่หญิงแล้ว…ดังนั้นหวงเหยียนหลังจากที่ขบคิดก็ตกลง เวลาหลังจากนั้นก็คอยอยู่ข้างกายศิษย์พี่หญิง

เช่นนี้เอง เวลาหมุนไป ไม่นานนัก 3 เดือนก็ผ่านพ้น

ใน 3 เดือนนี้ สวี่ชิงพักอาศัยอยู่ที่ร่องลึกมหาสมุทรเสียเลย

ทุกวันนอกจากฝึกบำเพ็ญแล้วก็ออกไปข้างนอกล่าอสูรสมุทร จนกระทั่งยืดกล้ามเนื้อเตรียมความพร้อมร่างกายแล้ว ก็โคจรเลือดลม อาศัยพลังต้านทานจากฟองอากาศลึกลับนั่นฝึกฝนร่างกาย

แม้จะได้รับบาดเจ็บหลายครั้ง แต่อาการบาดเจ็บเหล่านี้ไม่นานนักก็ฟื้นฟู และการฝึกฝนเช่นนี้ผลลัพธ์ก็น่าตื่นตะลึงเช่นกัน

สวี่ชิงสามารถสัมผัสได้ว่าการควบคุมร่างกายร่างนี้ของตนยอดเยี่ยมกว่าก่อนหน้านี้ขึ้นอีกเล็กน้อย

โดยเฉพาะพลังต่อต้านจากฟองอากาศนี้นับว่าควบคุมได้ เดินเยอะขึ้น 1 ก้าว เดินน้อยลง 1 ก้าว พลังสะท้อนล้วนแตกต่างกัน

เช่นนี้แล้ว สำหรับสวี่ชิงในตอนนี้พูดได้ว่าเป็นหินลับมีดที่ดีที่สุด

สำหรับโลกภายนอก การทดสอบของสำนัก 7 เนตรโลหิตจบลงไปตั้งนานแล้ว หวงเหยียนก็เดินทางเคียงคู่กับศิษย์พี่หญิงกลับไปยังทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณแล้ว ใช้ขนนกถ่ายทอดเสียงติดต่อกับสวี่ชิงบ้าง รู้ว่าสวี่ชิงปกติดีทุกอย่างก็ยิ่งวางใจ

ส่วนมรดกเถาวัลย์เทพ ระหว่างระยะเวลา 3 เดือนนี้ก็ค่อยๆ มาถึงบทสรุป

วันนี้ สวี่ชิงอยู่ข้างหน้าฟองอากาศลึกลับนั่น กำลังฝึกฝนกายเนื้อ เดินไปได้หลายก้าวแล้ว กำลังจะเดินต่อไป แต่เสี้ยวขณะต่อมา ในใจของเขาก็เกิดลางสังหรณ์ขึ้น สายตามองไปทางเจดีย์ทรุดโทรมในฟองอากาศ

เถาวัลย์แห้งเหี่ยวในนั้นตอนนี้กลายเป็นเถ้าธุลีสลายไป

เผยให้เห็นต้นอ่อนเถาวัลย์เทพของสวี่ชิงที่ผสานไปในนั้น

มันพันรัดอยู่บนเจดีย์ทรุดโทรม คล้ายว่ากำลังตื่นขึ้นจากนิทรา ตั้งสติอยู่ครู่หนึ่ง ร่างจึงขยับ พุ่งมาจากเจดีย์ทรุดโทรม ทะลุฟองอากาศตรงมาหาสวี่ชิง

วนล้อมอยู่รอบตัวสวี่ชิง ถูๆ ไถๆ เบาๆ ในระลอกคลื่นอารมณ์ที่แผ่ออกมาเต็มไปด้วยความโศกเศร้า เหมือนว่าญาติพี่น้องจากไปแล้ว

สวี่ชิงยกมือลูบๆ บนตัวมัน อารมณ์ความรู้สึกเช่นนี้ เขาก็เคยมีเหมือนกัน

“เจ้าพาข้าเข้าไปได้หรือ”

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง หลังจากที่อารมณ์ของเถาวัลย์เทพมั่นคงแล้ว สวี่ชิงก็ส่งจิตเทพออกมา

เถาวัลย์เทพได้ยินก็ส่งสัญญาณยืนยันกลับมา

สวี่ชิงพยักหน้า แผ่เจ้าเงาออกไป

“เจ้าคุ้มกันอยู่ข้างนอก คอยสังเกตความเปลี่ยนแปลงภายนอกเอาไว้”

เจ้าเงาน้อยใจ มันรู้สึกว่า นับจากที่เถาวัลย์สมควรตายเส้นนั้นปรากฏตัวขึ้น ฐานะของมันก็สู้เมื่อก่อนไม่ได้อย่างชัดเจน

มีความรู้สึกว่าอุตส่าห์อยู่เหนือกว่าบรรพจารย์สำนักวัชระขึ้นมาได้ กลับพบว่ามีตัวโปรดตัวใหม่พุ่งลงมาจากท้องฟ้า

กระทั่งว่ามีความรู้สึกรางๆ ว่า มันที่ในด้านสติปัญญาค่อยๆ สมบูรณ์แล้ว ยังนึกได้ว่าบรรพจารย์สำนักวัชระในตอนนั้นก็มีความรู้สึกเหมือนตนใช่หรือไม่

สำหรับอารมณ์ของเจ้าเงา สวี่ชิงไม่ได้ไปสนใจ ตอนนี้ส่งสัญญาณให้เถาวัลย์เทพ

เถาวัลย์เทพร่างเพียงบิดม้วน ก็พันรัดสวี่ชิงเอาไว้ทั้งร่าง เพียงพุ่งไปก็พาสวี่ชิงพุ่งตรงไปยังฟองอากาศ

ไม่เหมือนกับในตอนที่สวี่ชิงบุกเข้าไปเอง ครั้งนี้ฟองอากาศลึกลับไม่ได้ต่อต้านใดๆ ปล่อยให้เถาวัลย์เทพพาสวี่ชิงเข้าไปในนั้น

เหยียบย่างเข้ามาในฟองอากาศลึกลับเป็นครั้งแรก สวี่ชิงหวั่นไหวเล็กน้อย

“ไม่มีไอพลังประหลาด กลิ่นอายที่นี่…”

ในฟองอากาศลึกลับนี้ สวี่ชิงสัมผัสได้ถึงความแตกต่างของที่นี่กับโลกภายนอก

“ไม่ใช่พลังวิญญาณ แต่เป็นความรู้สึกแห่งห้วงดาราประเภทหนึ่ง”

สวี่ชิงหลังจากสัมผัสรับรู้ สายตาก็จับไปที่เจดีย์ทรุดโทรม เพียงก้าวเดียวย่างออกไปก็มาปรากฏอยู่ข้างหน้าประตูเจดีย์

ผลักไปเบาๆ

ประตูของเจดีย์ทรุดโทรมเปิดออกอย่างเงียบเชียบ ความเก่าแก่โบราณกลุ่มหนึ่ง จากการที่ประตูเปิดออก เศษแสงที่เหมือนมาจากห้วงกาลเวลาแปรเปลี่ยนแสงพร่างพราย สาดส่องมา

ในเจดีย์มีโลงผลึกแก้ว 3 โลง

โครงกระดูกในโลงไม่ใช่เผ่ามนุษย์ พวกเขามีหาง อีกทั้งที่กะโหลกมีเขาหมองหม่นด้วย

ส่วนรูปร่างโดยละเอียดมองไม่ชัดแล้ว เหลือเพียงแต่โครงกระดูกเท่านั้น

เห็นได้ชัดว่าต่อให้เป็นพลังที่แข็งแกร่งเพียงใด เมื่ออยู่ต่อหน้าเวลา ก็เหมือนจะโรยราไปช้าๆ ทั้งนั้น

นอกจากนี้แล้ว ที่ตรงกลางยังมีแท่นสูงอีกแท่นหนึ่ง บนนั้นมีหยกสีดำขนาดเท่ากะโหลกชิ้นหนึ่งฝังอยู่

เต็มไปด้วยรอยร้าว

ส่วนบนผนังรอบๆ สลักภาพท้องฟ้าดาราเอาไว้

เหมือนแผนที่ดวงดาวผืนหนึ่ง

นอกจากนี้ก็ไม่มีอะไรแล้ว

มองภาพเหล่านี้ นึกย้อนไปถึงเถาวัลย์แห้งเหี่ยวเมื่อก่อนหน้านี้ สวี่ชิงเดาว่าเจดีย์องค์นี้น่าจะเป็น อาวุธเวทประเภทบินที่บินข้ามผ่านท้องฟ้าดารา

เพราะเหตุไม่คาดฝันบางอย่าง ตกมาอยู่ในทะเลต้องห้ามแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์

ส่วนความเก่าแก่โบราณของมัน ผ่านจากเศษเสี้ยวของเวลาที่นี่สวี่ชิงวิเคราะห์ว่าอาจจะเป็นช่วงก่อนจักรพรรดิโบราณเสวียนโยว

ซึ่งก็หมายความว่า ในตอนที่เสี้ยวหน้าเทพเจ้ายังไม่ลงมาเยือนมันก็มาถึงแล้ว

“อีกทั้งมีความเป็นไปได้สูงมากว่ายังมีผู้รอดชีวิต!”

สวี่ชิงหรี่ตา

ไม่เช่นนั้นแล้ว ที่นี่ไม่มีทางสะอาดเรียบร้อยเช่นนี้ อีกทั้งการจัดการโลงทั้ง 3 ใบ แม้อาจจะจัดการเสร็จสิ้นก่อนตาย แต่ดูเหมือนถูกคนจัดวางให้เรียบร้อยเหมาะสมมากกว่า

“หากการวิเคราะห์ของข้าถูกต้อง เช่นนั้นในซากเจดีย์ที่ถูกทิ้งเอาไว้ในเวลาเนิ่นนานนับไม่ถ้วน ท่านนั้นที่ยังมีชีวิตอยู่ หลังจากที่ทำศพสหายร่วมเผ่า เห็นได้ชัดว่าไปจากทะเลต้องห้ามแล้ว”

ขาดรายละเอียด ก็ไม่สามารถระบุยุคสมัยได้อย่างแน่นอน ดังนั้นก็ยากจะจับเป้าหมายร่องรอยของผู้บำเพ็ญที่จากไปหลังจากนั้นในแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ได้

ส่วนรูปลักษณ์หน้าตา สำหรับผู้บำเพ็ญแล้ว คิดอยากจะเปลี่ยนแปลงก็ง่ายดายเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นยากจะระบุประวัติศาสตร์ผ่านจากสิ่งเหล่านี้

สวี่ชิงเองก็ไม่สนใจเหมือนกัน

สายตาของเขากวาดไปภายในเจดีย์ ในใจไม่มากก็น้อยมีความเสียดาย ดังนั้นจึงสำรวจอย่างละเอียด สุดท้ายสายตาจับจ้องไปบนแผนที่ดาวผืนนั้น

แม้จะไม่คุ้นเคย แต่เขาก็ยังคงจดจำมันเอาไว้

จากนั้นก็หันหลังจะจากไป

แต่ในเสี้ยวขณะที่ฝีเท้าของเขาจะย่างก้าวจากไป สีหน้าสวี่ชิงพลันเปลี่ยนไป ฝีเท้าหยุดชะงัก หันหลังมองไปทางแท่นสูงที่อยู่ใจกลางที่ก่อนหน้านี้ตรวจสอบแต่ก็ไร้ผลเก็บเกี่ยวใดๆ

สายตาจับไปยังหยกสีดำที่เต็มไปด้วยรอยแตกร้าวบนแท่นนั้น

ไหมวิญญาณของเขาแผ่ออกไป ผสานไปในหยกนี้อย่างรวดเร็ว สีหน้าสวี่ชิงพลันเปลี่ยนไป ดวงตาทั้ง 2 ฉายประกายแปลกประหลาดแฝงไว้ด้วยความคาดไม่ถึง

“นี่มัน…”

จิตใจของเขาเกิดระลอกคลื่นอารมณ์ กำลังจะตรวจสอบอย่างละเอียดเพื่อยืนยัน

แต่ในตอนนี้เอง ทันใดนั้น…

เจ้าเงาที่สวี่ชิงทิ้งเอาไว้ข้างนอก ผ่านจากความเชื่อมโยงกับสวี่ชิงก็แผ่ระลอกคลื่นอารมณ์อย่างรุนแรงมา

ในอารมณ์ฉายความตื่นกลัวและสับสนทำอะไรไม่ถูก!

ขณะเดียวกันก็ยังส่งภาพหนึ่งมาด้วย

ในภาพ น้ำทะเลนอกฟองอากาศกำลังยุบตัว

บริเวณที่ยุบตัวไม่ใช่แค่ที่นี่เท่านั้น แต่เป็นทั่วทุกที่

ดังนั้นพลังกดดันใต้มหาสมุทรก็ปะทุตามทันที อีกทั้งยังมีเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ส่งเสียงดังกึกก้องเลื่อนลั่นไปในบริเวณกว้างไกล

อสูรสมุทรมหาศาลล้วนตัวสั่นงันงก

ภาพนี้ทำให้สวี่ชิงสีหน้าเคร่งขรึม ร่างของเขาเพียงไหววูบก็พุ่งออกไปนอกฟองอากาศ หลังจากสัมผัสรอบๆ ร่างก็ราวลูกธนูพุ่งไปข้างบน ทะยานไปตลอดทาง สุดท้ายก็พุ่งออกมาจากผืนน้ำ มาปรากฏตัวในฟ้าดิน

สายตาที่มองไป โลกเหมือนมีพลังไร้รูปร่างกลุ่มหนึ่งลงมาเยือน พลังนี้มาจากท้องนภา ทำให้ผิวน้ำของทะเลต้องห้ามลดต่ำลงไป

และบนท้องฟ้า ผืนฟ้าเปลี่ยนสี สายฟ้านับไม่ถ้วนฟาดผ่าทั่วทั้งม่านฟ้า ม้วนกวาดทะเลต้องห้าม ม้วนกวาดแผ่นดิน ม้วนกวาดไปทั่วทั้งแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์

ฟ้าดินส่งเสียงกัมปนาทที่สั่นคลอนซึ่งทุกสิ่ง

ลมเมฆหอบทะลัก ในเสี้ยวขณะนี้ ไม่ว่าพื้นที่ใดในแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ ขอเพียงเงยหน้าก็จะได้เห็นปรากฏการณ์ประหลาดที่ไม่เคยมีมาก่อน

จวบจนกระทั่งในเหตุการณ์ประหลาด ที่ปลายขอบฟ้ามีดาวตกพร่างพราย 5 ทางปรากฏขึ้น

พวกมันในแรกเริ่มเป็นเพียงแค่จุดแสงเท่านั้น แต่ไม่นานก็ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ กะพริบสาดแสงมหาศาล

จนสุดท้ายสิ่งที่ปรากฏในสายตาของคนทั้งหลายในแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์เป็นภูเขายักษ์ 2 ลูก รูปสลัก 2 รูป และดวงดาว 1 ดวง

พลังมหาศาลหอบม้วนมาด้วยลมพายุท้องฟ้าดารา พัดพาลงมา

ความเก่าแก่ผ่านห้วงกาลเวลา มาพร้อมด้วยร่องรอยแห่งกาลเวลา จากอดีตจนถึงปัจจุบัน

ทุกที่ที่ผ่าน ทิศทางต่างกันไป แยกไปทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศตะวันออก ทิศตะวันตก และใจกลาง ทั้งหมด 5 แห่ง!

ฟ้าดินคำรามลั่น แผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์สั่นคลอน

พลังกดดันน่าครั่นคร้าม กลิ่นอายน่าตื่นตะลึง พัดกวาดเผ่าพันธุ์ในแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ ในเสี้ยวขณะนี้ เผ่าพันธุ์นับไม่ถ้วน สิ่งมีชีวิตมากมายในใจล้วนสั่นสะท้านอย่างไม่อาจควบคุมได้

ฟ้าเปลี่ยนสีแล้ว!

ทิศเหนือของแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ บนที่ราบน้ำแข็งกว้างใหญ่ไพศาล ในฟ้าดินที่เป็นของเผ่าราชันประกาศิตอุดร มีดวงตาแห่งเทพเจ้า มองอย่างเย็นชามายังผืนฟ้า

ทางทิศตะวันตกของแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ เสียงแค่นขึ้นจมูกจากเผ่าเอกภพแดนสีชาดดังสะท้อนก้องไปในโลก

ทั้งยังมีเผ่ากระดูกต้นกำเนิดแห่งยมโลกที่อยู่ทางทิศใต้ ก็มีหมอกแห่งความตายลอยขึ้นมาเช่นกัน

ส่วนทางทิศตะวันออก…

ในเผ่านภาคิมหันต์ เทพทั้ง 3 เงยหน้า

ในเมืองหลวงเผ่ามนุษย์ จักรพรรดินีสวมชุดจักรพรรดิ สวมมงกุฎจักรพรรดิ ยืนอยู่นอกวังหลวง สายตาเย็นชา

นอกจากนี้ยังมีเทพเจ้ามากมายที่บ้างเคลื่อนไหว บ้างแอบซ่อน ในเสี้ยวขณะนี้มองไปยังท้องฟ้าด้วยท่าทีที่ต่างกัน

ทางทิศตะวันออกของแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ ในภูเขารกร้างแห่งหนึ่ง ในป่าไผ่ อวี้หลิวเฉินต้มชา หาวออกทีหนึ่ง

“เอะอะโหวกเหวก ไม่กลัวเทพบิดาหนวกหูจนตื่นหรือไร”

มีเทพไม่รู้สึก

มีเทพปิติยินดี

มีเทพละโมบ

มีเทพเฉยชา

มีเทพหิว

ทั้งยังมีในแผ่นดินใหญ่กลืนนภาในอดีต รัฐม่วงครามในปัจจุบันที่ถูกไอพลังประหลาดปกคลุม ในเมืองหลวง ณ ตำหนักใหญ่ จักรพรรดิม่วงครามที่นั่งอยู่ในนั้น มุมปากเผยรอยยิ้ม

“ข้ามองเห็นจากในห้วงกาลเวลาแล้ว…”

(>>>พิสูจน์อักษร By Zank<<<)

AC

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!