บทที่ 974 เสียงสวรรค์รับจันทร์
คำพูดของจอมคนบูรพาสงัดกึกก้องบนแท่นค่ายกล
ดังเข้าในหูสวี่ชิง เสียงแหบแห้งเป็นเอกลักษณ์ของอีกฝ่ายคล้ายให้ความรู้สึกของวันเวลาอยู่บ้างเหมือนกัน ทำให้บรรยายตำนานเกี่ยวกับขบวนร้อยอสูรแห่งรัตติกาลได้ละเอียดยิ่งขึ้น
รวมกับสิ่งที่ปัญญาแห่งเทพของตนสังเกตเห็นตอนนี้ โดยรวมสวี่ชิงยืนยันได้ว่า…มือเรียวบางนั้นแปดเก้าใน 10 ส่วนก็คือมือของนักดนตรีที่ดีดบรรเลงเสียงสวรรค์รับจันทร์ในตำหนักเทพของวิหคทองในตำนาน
ทั้งเป็นจุดสำคัญที่จะหาราชรถจนเจอ
‘แต่อีกฝ่ายจ้องเหยียนเหยียนด้วยเหตุใด ยังมีสัญลักษณ์เกี่ยวพันกันด้วย…’
สวี่ชิงคล้ายครุ่นคิดบางอย่าง เลื่อนสายตาไปที่ตัวเหยียนเหยียน
ความพิเศษของนางต้องอยู่ที่คุณสมบัติร่างกายที่ไม่ถูกไอพลังประหลาดแทรกซึมแน่นอน ตอนนี้สวี่ชิงก็ยังไม่เห็นต้นกำเนิดของคุณสมบัติร่างกายเช่นนั้น
‘อาจารย์อาจทำได้ รอเขาออกจากด่านแล้วไปถามสักหน่อย อาจารย์อาจรู้ความพิเศษในคุณสมบัติร่างกายของเหยียนเหยียนนานแล้วก็ได้’ สวี่ชิงใคร่ครวญแล้วนัยน์ตาฉายแววแน่วแน่
ไม่ว่าอย่างไร จัดการมือเรียวบางข้างนั้นเพื่อแก้ผลกรรมที่เกิดจากมันจ้องมองเหยียนเหยียนก่อนสำคัญที่สุด
เขาจึงไม่ลังเล เมื่อรู้ผลกรรมของมือข้างนั้นแล้ว บนซากปรักหักพังก้นทะเลที่มืดมิดและมีแต่ผีร้ายในขอบเขตปัญญาแห่งเทพของเขา ฉับพลันเสียงหวีดแหลมโอดครวญชวนสังเวชทั้งหมดนั้น…
หยุดลงพร้อมกัน
ไม่ใช่ผีร้ายเหล่านั้นหยุดโหยหวน แต่เสียงของพวกมันถูกสวี่ชิงแย่งชิงไปในยามนี้!
เป็นพลังของเขา เป็นจิตสังหารของเขา เป็นอาวุธแหลมคมของเขา
กลายเป็นพลังทำลายล้างประหลาดรุนแรงอัดไปยังมือเรียวบางนั้นทันใด
ชั่วขณะหนึ่งก้นทะเลพลิกม้วนไร้สุ้มเสียง พายุเกิดขึ้นในชั่วลมปราณ พลังกดดันน่าหวาดกลัว กลิ่นอายชวนพรั่นพรึงก็คืบขยายจากก้นทะเลมาผิวทะเล ทำให้ทะเลกว้างใหญ่ภายนอกเกิดคลื่นลูกใหญ่
ทว่าเงียบเป็นเป่าสาก
บัดนี้สรรพเสียงในพื้นที่นี้มีเจ้านาย
อำนาจเทพเจ้าแห่งเสียงระเบิดถึงขีดสุด
แต่ดวงตาบนมือเรียวบางข้างนั้นกลับลืมขึ้นฉับพลันในชั่วเวลาที่วิกฤตมาเยือน
เผยให้เห็นรูม่านตาแดงฉาน แผ่ความโหดเหี้ยมไร้สิ้นสุด นิ้วมือยังเคลื่อนดีดรวดเร็ว ราวกับกำลังดีดสายฉินล่องหน
อำนาจเทพเจ้าแห่งเสียงที่คล้ายกันถึงกับแผ่ออกมาจากฝ่ามือนี้ด้วย
นี่ต่างกับสิ่งมีชีวิตประเภทเทพที่สวี่ชิงเคยเจออย่างสิ้นเชิง
โดยทั่วไปความแข็งแกร่งหรืออ่อนแอของสิ่งมีชีวิตประเภทเทพขึ้นอยู่กับความเป็นเทพและพลังต้นกำเนิดเทพ พวกมันแทบไม่มีอำนาจเทพเจ้า อย่างน้อยที่สวี่ชิงสังหารบนทะเลต้องห้ามในช่วงนี้ก็ไม่มี
แต่ตอนนี้ บนมือขาดนั้นถึงกับปรากฏอำนาจเทพเจ้า!
ครู่ต่อมา ผีร้ายที่ถูกสวี่ชิงแย่งเสียงเหล่านั้นต่างร่างกายสั่นเทา ฟื้นฟูจากสภาวะถูกชิงเสียง ก้นทะเลเงียบสงบ เสียงโหยหวนหดหู่แสบแก้วหูหวนกลับมาอีกครั้ง
พลังที่เกิดขึ้นปะทะเข้ากับพลังสังหารที่ถูกสวี่ชิงควบคุมโดยไม่มีรูปร่าง
เสียงสะเทือนเลื่อนลั่นทั่วทิศที่ก้นทะเลทอดออกไปอย่างรุนแรงในชั่วเวลานั้น และเงียบเสียงลงในพริบตา
สรรพเสียงในก้นทะเลล้วนเป็นเช่นนั้น เดี๋ยวสะท้านฟ้าเดี๋ยวเงียบเสียง เดี๋ยวถูกนิ้วมือนั้นควบคุม เดี๋ยวถูกสวี่ชิงแย่งมาใช้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งผีร้ายเหล่านั้น
เสียงหวีดแหลมของพวกมันขาดเป็นระยะ
นี่คือศึกของอำนาจเทพเจ้าวิถีเดียวกัน!
ศึกเทพเจ้าเช่นนี้เกิดขึ้นระหว่างเทพเจ้าน้อยนัก โดยทั่วไปเมื่อเกิดขึ้นต้องตายกันไปข้าง
ต่างฝ่ายล้วนมีคุณสมบัติใช้อำนาจเทพเจ้าวิถีเดียวกัน เช่นนั้นตอนนี้ก็เป็นศึกช่วงชิงอำนาจเทพเจ้า
ส่วนเสียงผีร้ายเหล่านั้นก็คือหัวใจของการช่วงชิงอำนาจเทพเจ้านี้
แต่คลื่นพลังเช่นนี้ผีร้ายจำนวนมากไม่อาจรับไหว กำลังแหลกสลายต่อเนื่อง พลังเงียบที่เกิดจากเสียงรอบด้านถูกสวี่ชิงแย่งไปก็ค่อยๆ รุนแรงขึ้น
อำนาจเทพเจ้าของเขาค่อนข้างได้มาอย่างถูกต้อง ด้านหนึ่งเกิดจากการตื่นรู้ อีกด้านคือบนผืนอนัตตาในกายเนื้อเขามีรอยจางอยู่แล้ว ด้านสถานะยิ่งเหมือนจุดสูงสุด
ดังนั้นแน่นอนว่าศึกชิงอำนาจเทพเจ้านี้เขามีข้อได้เปรียบ
แต่ขณะสวี่ชิงได้เปรียบมากขึ้น ดวงตากลางฝ่ามือเรียวบางนั้นคล้ายรับรู้อันตรายถึงชีวิต ถึงกับลืมตาอีกครั้งด้วยโกรธขึ้ง รูม่านตาสีโลหิตแผ่เส้นเลือดจำนวนมากกระจายทั่วพื้นที่รอบรูม่านตา สุดท้ายถึงกับหลั่งน้ำตาสีโลหิตหยดหนึ่ง
เมื่อน้ำตาหยดออกมา ฉับพลันผีร้ายที่พากันแหลกสลายรอบด้านต่างร่างกายสั่นสะเทือน หันมองไปยังตำแหน่งของสวี่ชิงอย่างพร้อมเพรียงทันใด
แม้ตัวมันจะระเบิด พวกมันก็ยังคำรามบ้าคลั่งโดยไม่สนสิ่งใด เสียงหวีดแหลมจากปากก็ทลายการช่วงชิงเสียงอีกครั้งในสภาวะเช่นนี้
จากเงียบเสียงพลันมีเสียงในพริบตา เกิดเป็นคลื่นเสียงที่ถูกม้วนด้วยน้ำตาสีโลหิต ดุจดาวตกสีโลหิตเร่งความเร็วจากก้นทะเลบุกทะลวงน้ำทะเลขึ้นไปบนผิว จากนั้นพุ่งมาหาสวี่ชิงบนเกาะบูรพาสงัดดุจอาวุธแหลมคม
ผ่านบริเวณใดฟ้าดินเปลี่ยนสี ลมพัดเมฆแผ่คลุม ทั้งเกาะบูรพาสงัดสะเทือนเลื่อนลั่นขึ้นมา
เมื่อทำเหล่านี้เสร็จสิ้น ดวงตาในมือขาดเรียวบางนั้นดูอ่อนกำลังชัดเจน พลันเคลื่อนกายม้วนผีร้ายหลายพันตัวที่เหลือรอบด้านตะบึงไปยังส่วนลึกของทะเลต้องห้าม หมายจะหลบหนี
บนเกาะบูรพาสงัด ผู้บำเพ็ญทุกคนต่างจิตใจสั่นสะเทือน เห็นดาวตกสีโลหิตนั้นเข้ามาใกล้ ความสั่นกลัวสะท้านจิตวิญญาณปรากฏทั่วกายอย่างห้ามไม่อยู่
มีเพียงเสี่ยเลี่ยนจื่อกับจอมคนบูรพาสงัดที่ดีกว่าหน่อย แต่ยามนี้ในใจก็ป่วนปั่นเช่นกัน
สวี่ชิงเงยหน้าจ้องดาวตกสีโลหิต
การตอบโต้ของอีกฝ่ายไม่ได้ทำให้เขาแปลกใจเท่าไร หลังจากรู้ฐานะของมือขาดนั้น ความจริงเขาก็เตรียมใจไว้แล้วว่าอีกฝ่ายจะมีอำนาจแห่งเสียงเหมือนกัน
อย่างไรนั่นก็เป็นมือของนักดนตรีแห่งดวงตะวัน
แม้ไม่รู้เหตุใดเสี้ยวหน้าจ้องมองแล้วนักดนตรีผู้นั้นยังเหลือมือข้างหนึ่งได้ ทั้งไม่รู้ว่าเจตจำนงที่ควบคุมมือนั้นอยู่ตอนนี้คือตัวนักดนตรีผู้นั้นหรือเสี้ยวความคิดที่เกิดขึ้นใหม่บนนั้น
แต่การตอบโต้ก่อนหน้านี้อยู่ในความคาดหมายของเขา
เขาจึงเดินออกไปก้าวหนึ่ง พริบตาที่เหยียบกลางอากาศเผชิญหน้ากับดาวตกสีโลหิตที่เข้ามา มือขวายกขึ้นคว้าไปยังท้องฟ้ามืดมิด
ฟ้ายามราตรีไม่เห็นดวงอาทิตย์
แต่ไม่ได้แปลว่าดวงอาทิตย์ไม่มีอยู่ เพียงแต่ดวงอาทิตย์เคลื่อนออกไปจากพื้นที่นี้เท่านั้น บนท้องฟ้าของดินแดนต้องประสงค์มีดวงอาทิตย์สาดส่องในพื้นที่ต่างกันตลอดเวลา
แสงเซียนตะวันดับมิเพียงช่วงชิงดวงอาทิตย์บนฟ้าของผู้ฝึกบำเพ็ญ
ดังนั้นพริบตาต่อมา แสงอรุณที่แยกไปจากรัตติกาลเอิบอาบเข้ามาจากความว่างเปล่าไร้สิ้นสุด ถูกดึงให้ปรากฏจากที่ไกลมารวมตัวทั่วกายสวี่ชิง
ราตรีมืดมิดพลันสว่าง
สวี่ชิงยืนตระหง่านท่ามกลางฟ้าดินดุจอาทิตย์แรกแย้ม ขณะสาดส่องทั่วนภาทั่วปฐพี ฝ่ามือที่ยกขึ้นของเขาพลันกดไปยังดาวตกสีโลหิตที่มาเยือน
แสงบาดตาระเบิดจากตัวสวี่ชิง ผ่านบริเวณใดรัตติกาลล้วนถูกฉีกขาด ดาวตกสีโลหิตก็ไม่เว้น
ถูกขจัดทิ้ง
ส่วนเงาร่างของสวี่ชิง ตัวเขายิ่งเปล่งประกายดุจกลืนรัตติกาลดั่งกลืนแสงโลหิต กลายเป็นดวงดาวแวววามสะเทือนเลื่อนลั่นไปยังทะเลต้องห้าม
ผู้บำเพ็ญทุกคนบนเกาะบูรพาสงัดทอดมองฉากนี้ ในใจต่างเกิดคลื่นหมื่นจั้ง
ทั้งหมดนี้คือดวงตะวันตกทะเลในสายตาพวกเขาโดยแท้
ราวกับตำนานเกิดขึ้นจริง!
“วิหคทองสิ้นชีพ ร้อยเสียงผสานเป็นสถานมืดมิด เจ้ากับข้าต่างรู้ว่ามันมีความเป็นไปได้มากว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นจริง ตอนนี้ดูแล้ว…ยิ่งยืนยันได้ และสวี่ชิงผู้นี้…ข้าไม่รู้แล้วว่าในอนาคตเขาจะสูงได้ถึงระดับใด” จอมคนบูรพาสงัดพึมพำ
เสี่ยเลี่ยนจื่อกระแอมไอ “ใครสนว่าเขาอยู่ระดับใด อย่างไรสิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนคือ…ศิษย์หลานข้า!”
บูรพาสงัดนิ่งเงียบ สายตาตกไปยังเหยียนเหยียนที่จ้องมองจุดที่สวี่ชิงหายไปด้วยความหลงใหล พลันเอ่ยคำ “เจ้ากับศิษย์หลานเจ้าพบหน้ากันน้อยไปหน่อย เดี๋ยวตอนเจ้ามาหาข้าจะเรียกให้เขามาบ่อยๆ ก็ได้…”
ขณะผู้บำเพ็ญเกาะบูรพาสงัดสั่นสะท้าน ขณะจอมคนบูรพาสงัดสนทนากับเสี่ยเลี่ยนจื่อ ท้องฟ้าเหนือทะเลต้องห้ามกลับมามืดมิดอีกครั้ง มีเพียงดวงจันทร์ส่องแสงอ่อนบาง แสงที่ทะลุถึงผิวทะเลจากเบื้องล่างก็มืดลงอย่างรวดเร็ว
กระทั่งฟ้าดินกลับมามืดมิดในที่สุด
แต่ในส่วนลึกที่ก้นทะเล ดวงอาทิตย์ที่แปลงกายจากสวี่ชิงส่องแสงถ้วนทั่ว กำลังหวีดคำรามมุ่งหน้าไป
ไล่โจมตีมือขาด!
สรรพเสียงระหว่างทางล้วนกลายเป็นความเร็วของเขา
จันทร์อ่อนแสงบนม่านฟ้าได้รับผลกระทบจนเป็นสีม่วงโดยไม่รู้ตัว แสงจันทร์สีม่วงตกต้องบนทะเลและซึบซาบเข้าไป
อสูรทะเลดุร้ายจำนวนมากหลบไม่ทัน ร่างกายแตกสลาย เลือดของพวกมันเสริมความเร็วให้สวี่ชิงเช่นกัน
ส่วนอสูรทะเลที่ตายเหล่านั้น วันนี้ถือเป็นโชคร้ายของพวกมัน
สำหรับมือขาดกับร้อยอสูรที่ถูกสวี่ชิงไล่โจมตี วันนี้ถือเป็นโชคร้ายเช่นกัน
โชคร้ายของพวกมัน ย้อนมาหาสวี่ชิงก็เป็นโชคดี ความเร็วเขาถูกเสริมกำลังอีกครั้ง
1 ก้านธูปผ่านไปเช่นนี้ เหนือพื้นที่ก้นทะเลที่มีแต่ความมืดมิดและพืชทะเล ดวงอาทิตย์มาเยือนตรงหน้ามือขาดที่รีบรุดหลบหนีนั้น
รัศมีส่องสว่าง สะท้อนทุกสิ่งรอบด้าน
ในเสียงสะเทือนเลื่อนลั่น ในแสงเซียนสาดส่องทั่วทิศ ในโชดดีที่คืบขยายถ้วนทั่ว ด้วยการฉุดดึงของโลหิตนั้น เงาร่างของสวี่ชิงเดินออกมาก้าวหนึ่ง
ขวางทางมือขาดและผีร้ายหลายพันตัวนั้น
หวดเข้าไป 1 หมัด!
หมัดจักรพรรดิอมตะยกพายุก้นทะเลกวาดซัดทุกสิ่ง เสียงถูกช่วงชิงเกิดเป็นพลังสังหารประหลาดเสริมกำลังให้มันอีกครั้ง ขณะเดียวกันแสงจันทร์สีม่วงก็ทะลุจากผิวทะเลลงไปคลุมผนึก
แต่มือขาดนี้ไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง ในวิกฤตอันตรายหาใดเปรียบนั้น มันพลันหยุดลง ดวงตาบนนั้นเปี่ยมความเย็นชาและโหดเหี้ยม ครู่ต่อมานิ้วมือดีดสายฉินล่องหน
ผีร้ายหลายพันตัวรอบด้านพลันบ้าคลั่ง เริ่มกลืนกินกันเอง
ชั่วพริบตา ผีร้ายหลายพันตัวพลันจำนวนลดลงด้วยความบ้าคลั่งที่ระเบิดใส่กันเอง เหลือเพียง…100 ตัว!
ไม่ขาดไม่เกิน
และผีร้าย 100 ตัวนี้ยังหน้าตาเปลี่ยนไป ดุร้ายกว่าเดิม พวกมันผสานกันดั่งตัวบรรเลง เกิดเป็นเพลงผีที่สวี่ชิงไม่เคยได้ยินพร้อมเสียงโหยหวนชวนสังเวชเป็นระยะ
เป็นเพลงเดียวกับเสียงขบวนร้อยอสูรแห่งรัตติกาลก่อนหน้านี้ แต่ที่ปรากฏตอนนี้ครบถ้วนมากกว่า!
ชั่วขณะที่ปรากฏ ทะเลรอบด้านพลันเย็นเยียบ อำนาจเทพเจ้าแห่งจันทร์สีม่วงของสวี่ชิงถึงกับสั่นสะเทือน ราวกับถูกฉุดดึง คล้ายบทเพลงนี้มีอำนาจบางอย่างต่อพลังของดวงจันทร์
ในความเลือนราง ถึงกับมีฉากลวงตาปรากฏในเสียงผีก้องสะท้อนนั้น
ดวงจันทร์คร่ำคร่าดวงหนึ่งแปลงขึ้นมาจากใต้ก้นทะเล
บนดวงจันทร์คร่ำคร่านั้นจะเห็นใบหน้าใหญ่ยักษ์ดวงหนึ่ง
นั่นคือใบหน้าของเด็กสาว คล้ายกับเด็กหนุ่มที่สวี่ชิงสืบทอดวิหคทองอยู่บ้าง ราวกับเป็นพี่น้อง
แต่ยามนี้ใบหน้านั้นกำลังเน่าเปื่อย จะเห็นกลิ่นอายความตายเข้มข้นกลายเป็นโซ่จากยมโลกเกี่ยวทะลุนางไว้ ขณะตื่นกลัวเมื่อพบเห็น พลังเทพเจ้าน่าหวาดกลัวก็ปรากฏขึ้นในนั้น
ราวกับจะเดินจากภาพลวงตามาสู่ความเป็นจริง
ส่งผลต่อโลกความจริง กระทบถึงตัวสวี่ชิง
และพลังเทพเจ้านี้ยังต่างกับกลิ่นอายเทพเจ้าทั้งหมดที่สวี่ชิงเคยเจอ!
ต่างกับไอพลังประหลาดรอบด้านด้วยเช่นกัน!
เหมือนว่า…ไม่เกี่ยวข้องกับเสี้ยวหน้า
ต้องทราบว่าเทพเจ้าทั้งหมดบนดินแดนต้องประสงค์ตอนนี้ล้วนเกี่ยวข้องกับเสี้ยวหน้า ไม่เกิดขึ้นเพราะองค์ท่านก็ติดตามมาด้วย ในร่างกายล้วนมีกลิ่นอายเสี้ยวหน้าไม่มากก็น้อย
บ่งบอกว่าเป็นพวกเดียวกัน
แต่…จันทร์ดวงนี้ไม่ใช่
และการปรากฏตัวขององค์ท่าน สวี่ชิงสัมผัสได้ชัดเจนไม่ว่าน้ำทะเลในที่นี้หรือโคลนเลนก้นทะเลหรือแม้กระทั่งโลกใบนี้ คล้ายกำลังเกิดคลื่นสั่นสะเทือนในพริบตานั้น
เพราะกลิ่นอายจากดวงจันทร์คร่ำคร่านี้เป็นแหล่งเดียวกับ…ดินแดนต้องประสงค์!
หรือกล่าวให้ถูกคือเป็นแหล่งเดียวกับดินแดนต้องประสงค์…ในอดีต
ผูกทั้งหมดนี้เข้าด้วยกัน การคาดเดาอย่างหนึ่งผุดขึ้นในใจสวี่ชิง ‘เผ่าเทพนภาเจิดจรัส!’
มีเพียงเผ่าเทพนภาเจิดจรัสจึงจะสามารถดึงคลื่นพลังเดียวกับดินแดนต้องประสงค์
มีเพียงเผ่าเทพนภาเจิดจรัสจึงจะปรากฏสายเลือดเทพเจ้าที่ต่างกับเสี้ยวหน้า
ใจสวี่ชิงสั่นสะเทือน แต่ตอนนี้ไม่มีเวลาคิดเยอะ ขณะเสียงผีดังกึกก้อง ขณะดวงจันทร์มายาแห่งความตายนั้นปรากฏ ความกดดันน่าหวาดกลัวระเบิดถึงขีดสุด
กายสวี่ชิงพลันถอยหลัง อำนาจเทพเจ้าของเขาเปล่งแสงเรืองรอง พลังต้นกำเนิดเทพในตัวยิ่งพลิกม้วนพร้อมกัน ในหัวเขาคิดวิธีแก้ปัญหาอย่างรวดเร็ว
จันทร์สีม่วงกับจันทร์ดวงนี้นับเป็นพวกเดียวกัน แต่สวี่ชิงไม่คิดว่าอำนาจเทพเจ้าแห่งดวงจันทร์ของตนในตอนนี้จะต้านมันได้ซึ่งหน้า
แม้นี่เป็นเพียงเงาทอด เป็นเพียงเทพเจ้าที่ตายแล้วองค์หนึ่ง
เคราะห์หายนะไม่มีผลกับที่นี่มากนัก ส่วนคำสาปเทพเจ้าก็ชัดว่าไม่เหมาะ
เช่นนั้น…ก็มีเพียงอำนาจเทพเจ้าแห่งเสียงที่จะรับมือได้
เขาจึงรวมพลังต้นกำเนิดเทพทั้งหมดในกายไปยังอำนาจเทพเจ้าแห่งเสียงโดยไม่ลังเลสักน้อยนิด ยังกระจายไหมวิญญาณออกมาเสริมกำลังให้มัน
สำแดงพลังทั้งหมด!
เป้าหมายมิใช่ดวงจันทร์คร่ำคร่า หากเป็นเสียงผีที่เรียกองค์ท่านออกมา
โจมตีเสียงนี้!
ขณะจันทร์คร่ำคร่ามาเยือน ขั้นตอนนี้อันตรายอย่างยิ่ง แต่ดีที่สวี่ชิงจัดเจนอำนาจเทพเจ้าแห่งเสียงจากการใช้ช่วงก่อนหน้านี้
บวกกับคุณสมบัติที่มากพอเข้าไปด้วย
สุดท้าย พริบตาที่ดวงจันทร์คร่ำคร่าจะถูกดึงมาสู่โลกความจริง เพลงผีที่เพี้ยนด้วยเสียงโหยหวนแสบแก้วหูชวนหดหู่ไม่ได้มีความไพเราะที่ชื่อเสียงสวรรค์รับจันทร์ถูกอำนาจเทพเจ้าสวี่ชิง…
หยุดยั้ง
ยังใช้ความคิดของเขาช่วงชิงเสียงโหยหวนของร้อยอสูรในบทเพลงนี้ ใช้อำนาจเทพเจ้าของตนชำระล้างเสียงรบกวน
ดังนั้น ยามนี้เพลงไพเราะท่อนหนึ่งที่ทำให้จิตใจสวี่ชิงเคลิบเคลิ้มแยกตัวก้าวออกมาจากกาลเวลาหลายหมื่นปี ลอยล่องออกจากห้วงเวลามาปรากฏที่ก้นทะเลอีกครั้ง
ตำนานว่าไว้ เสียงสวรรค์รับจันทร์คือเพลงแรกของดินแดนต้องประสงค์
ไม่อาจบรรยายความไพเราะงดงามของมัน
องค์ท่านเหนือจินตนาการ องค์ท่านมหัศจรรย์ องค์ท่านดีงาม มีเพียงคำว่าเสียงสวรรค์ที่จะบรรยายได้
และองค์ท่านถึงขั้นเรียกได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของอำนาจเทพเจ้าแห่งเสียงอยู่แล้ว
แต่งทำนองให้ดวงจันทร์ เขียนบทเพลงให้ดวงจันทร์ และบรรเลงให้ดวงจันทร์เพียงหนึ่ง
ใบหน้าเด็กสาวบนเงาจันทร์คร่ำคร่าอ่อนโยนขึ้น
เมื่อบทเพลงลอยล่องไปจนจบลง ดวงจันทร์นี้เลือนรางและหายไปจากก้นทะเลในที่สุด
มีเพียงสวี่ชิงยืนอยู่ตรงนี้ เนิ่นนานจิตใจถึงกลับสู่สภาวะปกติ คลื่นในใจยังคงไร้สิ้นสุด
‘ที่แท้ นี่ก็คือเสียงสวรรค์รับจันทร์…’
‘หลังวิหคทองกลับวัง ที่เสียงสวรรค์รับจันทร์บรรเลงต้อนรับถึงกับเป็นดวงจันทร์เผ่าเทพนภาเจิดจรัส!’
‘เช่นนั้นที่มาของวิหคทอง เงาร่างที่เหมือนจักรพรรดิโบราณหนุ่มน้อยผู้นั้นเป็นมาอย่างไร…’
สวี่ชิงเกิดการคาดเดาในใจ
แต่เขาไม่แน่ใจ จึงข่มการคาดเดานี้ไว้แล้วเงยหน้ามองทอดไกล
มือขาดหนีไปได้
แต่ประมือเชื่อมผลกรรมกับสวี่ชิงเช่นนี้ ตราบใดที่ไปไม่ไกลก็อยู่ภายในปัญญาแห่งเทพของสวี่ชิง
เขาหลับตาสัมผัส เล็งทิศทาง แปลงร่างเป็นเสียงแล้วหายไปอย่างเงียบเชียบ
ส่วนพื้นที่ที่เคยก้องสะท้อนด้วยเสียงสวรรค์รับจันทร์ก็ค่อยๆ เงียบสงบลง
…
ที่เงียบสงบไม่ต่างกันยังมีหอบนเขาเซียนแดนศักดิ์สิทธิ์บ่อเกิดกาลกิณี
ในหอนั้นมีเงาร่างนั่งอยู่ 11 สาย
แต่ละคนรูปร่างไม่เหมือนกัน ตรงกลางคือผู้เฒ่าหยกขาวที่ออกมือเอาประตูศิลากลับมาจากแดนต้องห้ามมรณะ
บัดนี้ต่างคนนิ่งเงียบ
ที่เป็นเช่นนั้นเพราะมีคนกล่าวประโยคหนึ่งในการประชุมเมื่อครู่
“ทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณน่าสงสัยว่ามีเซียนคิมหันต์!”
ผ่านไปพักใหญ่ ผู้เฒ่าหยกขาวที่เป็นผู้นำแดนศักดิ์สิทธิ์บ่อเกิดกาลกิณีกล่าวคำแช่มช้า
“สถานภาพของดินแดนต้องประสงค์ค่อนข้างต่างกับที่เรารู้ก่อนมา”
“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เผ่าเรายืดการตัดสินใจก่อนหน้านี้ไปก่อนดีกว่า อย่าเพิ่งทำการบุ่มบ่าม จากนี้รอแดนศักดิ์สิทธิ์ระดับดินหรือระดับฟ้ามาถึงค่อยว่าตาม”
ผู้เฒ่ากล่าวจบ ผู้อาวุโสแดนศักดิ์สิทธิ์บ่อเกิดกาลกิณีอีกคนที่ด้านข้างลังเลครู่หนึ่ง กล่าวอย่างนอบน้อม
“ท่านบรรพจารย์ พวกเรามาเยือนหลายเดือนแล้ว คลื่นความรู้สึกของพวกชาวเผ่ายิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนใกล้จะข่มไม่ไหว พวกเขากระหายเลือดเนื้อจากโลกภายนอก บัดนี้ได้แต่มองไม่อาจลงมือ…”
“อีกอย่าง จำนวนชาวเผ่าเรามีจำกัด ต้องการการเกิดใหม่มาทดแทนด้วยเช่นกัน เผ่าเล็กๆ บนหมู่เกาะแถวนี้ถูกสำรวจแล้ว ในนั้นมี 10 กว่าแห่งเหมาะสมยิ่ง”
“เผ่าที่เหมาะสมเหล่านั้นร่างกายก็บำรุงประมาณหนึ่งแล้ว ฝังตัวอ่อนได้ทุกเมื่อ ถึงตอนนั้นมากสุด 1 เดือนก็เร่งให้ตัวอ่อนกลืนกินเกิดเป็นชาวเผ่าเราได้”
“เรื่องนี้เป็นความลับ ไม่น่าถูกพบเห็น และการมีอยู่ที่สงสัยว่าเป็นเซียนคิมหันต์ก็ปิดด่านอยู่ตอนนี้…”
ผู้อาวุโสผู้นั้นกล่าวจบ มองไปยังบรรพจารย์ของเผ่า
ผู้อาวุโสคนอื่นก็ทยอยมองไป รอการตัดสินใจของบรรพจารย์
บรรพจารย์หยกขาวครุ่นคิด ผ่านไปครู่ใหญ่ยังคงส่ายหน้า
“ให้ชาวเผ่ารออีกหน่อย โอกาสยังมาไม่ถึง”
“อย่างน้อยก็ต้องรอฝูเสียออกจากด่าน เขาปิดด่านร้อยปีทุ่มเทกับการทะลวงขั้นเจ้าเหนือหัว บัดนี้เป็นช่วงสำคัญ การทะลวงรออยู่ข้างหน้า จะมีอุปสรรคมากมายตอนนี้ไม่ได้”
“และเมื่อเขาทำสำเร็จ เผ่าเราก็จะมีเจ้าเหนือหัว 2 คน ตอนนั้นข้าผู้เฒ่าก็ไม่ต้องกังวลกับเรื่องใดมากมายแล้ว”
บรรพจารย์หยกขาวกล่าวคำเรียบนิ่ง
ทุกคนได้ยินแล้วพากันเห็นด้วย จากนั้นประกาศคำสั่งแดนศักดิ์สิทธิ์ไปยังกลุ่มสังกัดของแต่ละคน
…
ระหว่างผิวทะเลต้องห้ามใต้แดนศักดิ์สิทธิ์บ่อเกิดกาลกิณี ด้วยไอเย็นจากน้ำแข็งสีฟ้าก่อนหน้านี้ ทำให้ที่นี่เกิดแท่งน้ำแข็งมากมาย
ผิวทะเลก็เต็มไปด้วยเกล็ดน้ำแข็งเปี่ยมไอเย็นไร้สิ้นสุด
ยามนี้บนผืนเกล็ดน้ำแข็ง ชายหนุ่มเผ่าบ่อเกิดกาลกิณีในชุดหรูหราผู้หนึ่งเดินพลางเอ่ยคำ น้ำเสียงเจือแววขุ่นมัว “บรรพจารย์มีคำสั่งให้ทำตามแผนก่อนหน้านี้ต่อไป ต้องรอพ่อข้าออกด่านถึงจะเปลี่ยนแปลง วิธีนี้หัวโบราณเกินไปโดยแท้”
คนผู้นี้หน้าตาเหมือนเผ่ามนุษย์ เพียงหว่างคิ้วมีดวงตาที่ 3 ปิดอยู่ สีหน้าเขาเย็นเยียบ นัยน์ตาลึกล้ำดุจรัตติกาลมืดมิด ส่องประกายเจ้าเล่ห์ เย็นชาและโหดเหี้ยม
ข้างหลังเขามีผู้คุ้มครอง 9 คนติดตาม ต่างคนแผ่กลิ่นอายน่าหวาดกลัว ยามนี้ได้ยินแล้วเงียบไม่เอ่ยคำ
และชายหนุ่มก็ชัดว่าไม่ต้องการการตอบสนอง ฐานะของเขา สายเลือดของเขา ทำให้เขามองข้ามกฎเกณฑ์มากมายในแดนศักดิ์สิทธิ์บ่อเกิดกาลกิณีได้
ยามนี้ขณะก้าวเดิน เขามาถึงพื้นที่แห่งหนึ่งแล้วพลันหยุดลง ผู้คุ้มครองด้านหลังคนหนึ่งเดินขึ้นมากล่าวเสียงทุ้ม “ผู้มาเยือนก่อนจากเผ่าเรา 2 คนก็ตายอยู่ตรงนี้ขอรับ”
สายตาชายหนุ่มตกบนเกล็ดน้ำแข็ง นัยน์ตาฉายประกายประหลาด “น่าสนใจ ด้วยสัมผัสจากวิชาลับพรสวรรค์ของเผ่า ผู้สังหารเป็นฟ้า เป็นดิน เป็นลม เป็นทะเล เป็นนกบนนภา เป็นปลาและอสูรในทะเล…”
“ร่องรอยนับไม่ถ้วน แต่กลับให้ความรู้สึกสะอาดหมดจด”
หลังชายหนุ่มครุ่นคิด ดวงตาที่ 3 ตรงหว่างคิ้วพลันลืมขึ้น เผยรัศมีชั่วร้ายจ้องมองเบื้องล่างเกล็ดน้ำแข็ง
ผ่านไปครู่ใหญ่ ดวงตาที่ 3 ปิดลง
“กระทั่งผลกรรมก็ถูกทำลาย” ขณะพึมพำ ชายหนุ่มชัดว่าเริ่มสนใจ มือขวาพลันยกขึ้น ทันใดนั้นมีเข็มสอดด้ายโลหิตเล่มหนึ่งลอยออกจากเลือดเนื้อกลางฝ่ามือ
ลอยวนอยู่เบื้องหน้าเขา คล้ายกำลังเย็บความว่างเปล่า
“เช่นนั้น ใช้เข็มตกทอดจากมหาจักรพรรดิเย็บผลกรรมเข้าด้วยกันก็ใช้ได้แล้ว”
ชายหนุ่มหัวเราะ เข็มโลหิตเบื้องหน้าเขายามนี้กำลังตัดสลับกัน เย็บเสร็จแล้วกลับสู่ฝ่ามือ ทำให้ฝ่ามือเขามีลายมือเพิ่มขึ้นเส้นหนึ่ง
ชายหนุ่มจ้องมองลายมือที่เพิ่มขึ้นมาพลางกล่าวราบเรียบ
“ต่อไปนี้ ขอเพียงมือสังหารปรากฏตัวในขอบเขตการรับรู้ของข้าก็จะถูกเล็งเป้า”
“ไปเถอะ แม้ทะเลผืนนี้สกปรก แต่ข้อมูลอัจฉริยะฟ้าประทานที่พวกเจ้าทำสัญลักษณ์ไว้ก่อนหน้านี้ไม่เลวเลยเทียว ไปเอากลับมาก่อนแล้วกัน หากระหว่างทางได้เจอมือสังหารผู้นั้นก็เรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ”
ชายหนุ่มกล่าวพลางเดินมุ่งหน้าอย่างสุขุม ผู้คุ้มครองด้านหลังกล่าวรับคำเสียงต่ำ
ไม่นาน กลุ่มคน 10 คนเดินออกจากพื้นที่เกล็ดน้ำแข็ง มุ่งหน้าไปยังทะเลต้องห้ามนอกเขตแดนศักดิ์สิทธิ์
(>>>พิสูจน์อักษร By Zank<<<)



