Skip to content

Scumbag System 11

บทที่ 11

ร่างศพ

กระบี่เฉิงหลวนแผ่ไอสังหารรุนแรง

เสิ่นชิงชิวกวาดตามองทั้งสองฝ่ายด้วยท่าทีเตรียมระวังเต็มที่ ทว่าพอมองไปทางที่ปลายกระบี่ของหลิ่วชิงเกอชี้อยู่ ในสมองก็มีเสียงแตกกระจายของโลกทัศน์เศษเสี้ยวสุดท้ายดังขึ้น

มือขวาของลั่วปิงเหออยู่บนซินหมัวที่ไม่เคยยอมให้ห่างตัว คมกระบี่วาววับออกจากฝักแล้วครึ่งหนึ่ง มือซ้ายกลับยังกอดคนผู้หนึ่งอยู่

แทนที่จะบอกว่าคนผู้หนึ่ง มิสู้บอกว่า ‘ร่างร่างหนึ่ง’ จะถูกต้องกว่า ร่างนี้ไร้ลมหายใจ ศีรษะตกห้อย แขนขาไร้เรี่ยวแรงดูอ่อนนิ่มไม่แข็งทื่อ สวมเพียงเสื้อตัวกลางเท่านั้น คอเสื้อตกถึงหัวไหล่ เผยให้เห็นแผ่นหลังขาวซีดราวกับกระดาษเกือบครึ่ง

หลิ่วชิงเกอถาม “นี่นเจ้ากำลังทำอะไร”

เขาจะไม่มีวันลืมภาพที่เห็นเมื่อครู่ไปชั่วชีวิต หลังจากใช้กระบี่เฉิงหลวนบุกเข้ามาก็เจอห้องโล่ง มีเพียงเงาคนซ้อนทับกันอยู่หลังม่านที่ห้อยปิดตั่งตรงกลาง หลิ่วชิงเกอรู้ว่าลั่วปิงเหออยู่ในนี้ แต่นึกไม่ถึงเด็ดขาดว่าข้างในนี้ไม่ได้มีลั่วปิงเหอแค่คนเดียว

ลั่วปิงเหอเลิกคิ้ว ใช้มือซ้ายประคองร่างอ่อนนุ่มไว้ในอ้อมกอด “ท่านถามว่าข้าทำอะไรหรือ”

สองคน หรือที่จริงต้องพูดว่าหนึ่งคนเป็นกับอีกหนึ่งคนตาย กอดกันกลิ่งลงมาจากที่ๆดูเหมือนเตียงในสภาพเสื้อผ้าหลุดลุ่ย ดูอย่างไรก็ไม่เหมือนกำลังทำเรื่องที่ชวนให้คิดไปในทางบวกได้เลย

หลิ่วชิงเกอไม่พูดไม่จาก็ชักกระบี่เฉิงหลวนออกมา กระบี่ซินหมัวออกจากฝักยังไม่หมด ลั่วปิงเหอเพียงใช้ปลอกกระบี่ก็ต้านคมกระบี่ของเฉิงหลวนอยู่ ปราณกระบี่แผ่รังสีคุกคาม เขาเบี่ยงกายเล็กน้อย ต้านรับไอกระบี่หนาวยะเยือกเอาไว้ นำร่างในอ้อมแขนไปไว้ด้านหลัง สีหน้าเกรี้ยวกราด

หลิ่วชิงเกอเองก็พบว่าในห้องคับแคบนี้ เมื่อชักกระบี่เฉิงหลวนออกมา หากไม่ระวัง ปราณกระบี่แหลมคมอาจทำความเสียหายแก่ซากร่างนั้นได้ จึงเรียกกระบี่กลับคืนลงฝึก เปลี่ยนมาประลองพลังทิพย์กับลั่วปิงเหอแทน

ระหว่างที่ต่อสู้กัน เสื้อผ้าของซากร่างนั้นหลุดลุ่ยลงมาถึงเอว ฝ่ามือของลั่วปิงเหอแนบติดกับผิวขาวๆของศพโดยตรง

หลิ่วชิงเกอจ้องจนเส้นเลือดฝอยในดวงตาแทบปูดโปน “เดรัจฉาน อย่างไรเขาก็เป็นซือจุนเจ้านะ”

ลั่วปิงเหอตอบง่ายๆ “หากเป็นคนอื่น ท่านคิดว่าข้าจะทำเช่นนี้หรือ”

ศิษย์ของวังฮ่วนฮวาที่ล้อมอยู่ด้านนอกหลายชั้นล้วนยืนเซ่อซ่าทำอะไรไม่ถูก ทว่าลั่วปิงเหอหาได้สนใจไม่ จดจ่ออยู่กับการรับมือหลิ่วชิงเกอ พลังทิพย์ที่แผ่ออกมาจากร่างคนทั้งคู่ปั่นป่วนไปทั่วห้องราวกับน้ำเดือด สีหน้าแววตาแต่ละคนน่ากลัวยิ่ง จึงไม่มีศิษย์วังฮ่วนฮวาหน้าไหนกล้าเหยียบย่างเข้าไปข้างในเพราะกลัวโดยลูกหลงไปด้วย

เสิ่นชิงชิวไม่กลัวจะโดยลูกหลง แต่แค่ทำใจให้มองตรงๆไม่ได้เท่านั้น

…โหดร้ายเกินไปแล้ว มหาโหดจริงๆ

ต่อให้สมองเป็นหลุมเป็นบ่อเหมือนผิวพระจันทร์ยังไง เขาก็ไม่คิดไม่ฝันเด็ดขาดว่าจะมีสักวันที่ตนเองจะกลายเป็นหนึ่งในตัวละครที่ต้องมาเล่นบทซึ่งเขียนมาอย่างโหดร้ายเช่นนี้ ร่างที่ลั่วปิงเหอกอดอยู่ ความจริงตายแล้วไม่ใช่รึ ตายชัวร์ไม่พลาดแน่นอน

เพราะนั่นมันซากร่างของเขาเอง!

นี่ไม่ใช่เรื่องที่ต้องใช้สมองขบคิดให้ลึกซึ้งแล้วจะกระจ่างถึงความน่ากลัว ต่อให้ไม่คิดอะไรก็น่ากลัวเป็นที่สุดแล้ว!

ถึงทำใจให้มองตรงๆไม่ได้ ทว่าเขายังไม่ลืมว่าเมื่อกี้ตนหวนกลับมาทำไม

เสิ่นชิงชิวย่องไปอยู่ข้างหลังหลิ่วชิวเกอซึ่งสะดุ้งเพราะทีแรกเข้าใจว่าเขาลอบเข้ามาโจมตี จึงหัวเราะหยันทีหนึ่ง เตรียมใช้พลังทิพย์เหวี่ยงคนผู้นั้นกระเด็นออกไป แต่แล้วมือข้างหนึ่งกลับแนบเข้าที่แผ่นหลัง จากนั้นกระแสปราณทิพย์ที่อ่อนโยนทว่ามั่นคงสายหนึ่งก็ถ่ายเทเข้าสู่ชีพจรทิพย์ของตน

หลิ่วชิงเกอได้รับความช่วยเหลือ ลั่วปิงเหอจึงถูกกดดันพอสมควร

แต่หลิ่วชิงเกอไม่กล้าประมาท ผินหน้ามาเล็กน้อย มองจากหางตา เห็นเพียงใบหน้าเลือนรางของผู้ที่อยู่ด้านหลัง คล้ายกับใช้บางสิ่งบางอย่างอำพรางโฉมไว้

หลิ่วชิงเกอกดเสียงต่ำถาม “ผู้ใด”

เสิ่นชิงชิวไม่ตอบ เพียงเพิ่มพลังส่งเข้าไปอีก พลังทิพย์สองสายที่แข็งแกร่งอย่างยิ่งหลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียว ถึงลั่วปิงเหอยันไหว ทว่าพลังทิพย์ที่มุ่งโจมดีสายนี้จะไหลผ่านร่างเขาไปยังร่างในอ้อมกอดด้วย เขาสลายพลังโจมตีได้ แต่คนตายทำไม่ได้ หากไม่ปล่อยมือก็มีแนวโน้มว่าร่างนี้อาจถูกพลังทิพย์สร้างความสั่นสะเทือนจนเจ็ดทวารแตกซ่าน

ลั่วปิงเหอไม่มีวันยอมให้ร่างนี้ได้รับความเสียหายเด็ดขาดเลยจำต้องปล่อยมือ ซากร่างนั้นจึงถูกพลังทิพย์ที่พลุ่งพล่านดีดสะท้อนออกไปทันที

หลังจากลั่วปิงเหอเป็นอิสระ สายตาของเขาก็ยังจับนิ่งอยู่ที่ร่างนั้นตลอด สีหน้ามีแววจำใจแกมไม่ยินยอมพร้อมใจ

เสิ่นชิงชิวเห็นสีหน้าเช่นนี้ของเขาก็อดสงสารไม่ได้ เพียงต้องการใช้วิธีนี้บีบบังคับเขาให้ต้องปล่อยมือเท่านั้น แต่ทำไมถึงรู้สึกเหมือนรังแกอีกฝ่ายเข้าเลยล่ะ

ศิษย์สองสามคนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวหมายเข้าไปขยับซากศพ แต่ถูกลั่วปิงเหอตวาดลั่น “ห้ามแตะ!” ก่อนโบกแขนเสื้อจากระยะไกล พาให้ทางนั้นร้องกันโหยหวน

เสิ่นชิงชิวถอนพลังทิพย์ที่ถ่ายทอดเข้าสู่กลางหลังหลิ่วชิงเกอ สะกิดปลายเท้าทีหนึ่ง กระโจนออกมาข้างหน้า คว้าร่างนั้นเอาไว้มั่น

ตัวเองกอดซากศพตัวเอง ความรู้สึกนี้ช่างซับซ้อนเกินคำบรรยายจริงๆ

เสิ่นชิงชิวมองคร่าวๆ ร่างที่เคยเป็นของเขามาก่อนยังคงดูเปล่งปลั่งมีเลือดฝาดอย่างไม่น่าเชื่อ แขนขานุ่มนิ่มไม่แข็งทื่อ ดูไม่ต่างอะไรกับคนหลับลึกทั่วๆไปเลย แต่ว่าสองตาปิดสนิท ไร้ลมหายใจ

ผู้ที่ระเบิดตัวเองนั้นพลังทิพย์จะสลายหมดสิ้น ภายในร่างกายไม่เหลือพลังฝึกปรือมาช่วยคุ้มครองไม่ให้สภาพศพเน่าเปื่อย อีกทั้งตายเกินห้าปีแล้ว ใช้แต่น้ำแข็งอย่างเดียวมารักษาเอาไว้ อย่างไรสภาพก็ไม่อาจดีได้ขนาดนี้ ทว่าบนร่างก็ไม่มีกลิ่นยา คงไม่ได้เอาสารเคมีอะไรมาใช้เป็นแน่ ไม่รู้ว่าลั่วปิงเหอใช้วิธีอะไร

เสิ่นชิงชิวรีบหลบพลังโจมตีรุนแรงสายหนึ่ง พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นลั่วปิงเหอกำลังจ้องเขาเขม็ง ใบหน้าฉายแววอำมหิต

เสิ่นชิงชิวจึงค่อยพบว่าศพที่อยู่ในอ้อมแขนของเขานี้เสื้อผ้าท่อนบนหลุดลุ่นหมดจนเห็นแผ่นอกเปลือยโล่งอล่างฉ่าง ทั้งเห็นทั้งคลำ อย่างไรก็ไม่ใช่ภาพที่จรรโลงสายตาเลยสักนิด ออกจะล่อแหลมเสียด้วยซ้ำ

เขารีบสาละวนดึงเสื้อขึ้นปิดร่างศพ แล้วโยนเผือกร้อยในมือไปทางหลิ่วชิงเกอ “รับไว้”

ลั่วปิงเหอปรารถนาจะเข้าไปชิงกลับมา แต่ถูกเสิ่นชิงชิวพัวพันไว้

เดิมทีเสิ่นชิงชิวกลัวว่าลั่วปิงเหอจะสั่งการกู่โลหิตในร่างให้ทำงาน แต่ไม่รู้เพราะบ้าเลือดจนคลุ้มคลั่งไปแล้วหรือร้อนใจจนทำอะไรไม่ถูก เลยไม่ได้งัดเอาไพ่เด็ดใบนี้ออกมาใช้ มือข้างหนึ่งของหลิ่วชิงเกอประคองศพไว้ ขณะที่มืออีกข้างร่ายเวทสั่งการกระบี่เฉิงหลวนให้ตีโต้ศิษย์วังฮ่วนฮวาที่ดาหน้ามากลุ้มรุม ร่างนี้ถูกเหวี่ยงไปเหวี่ยงมา สุดท้ายเมื่อหลิ่วชิงเกอรับมาได้ เสื้อผ้าบนร่างก็ขาดวิ่นไปจนหมดแล้ว ฝ่ามือจึงแนบติดอยู่กับผิวลื่นละมุนเปล่าเปลือยที่ทั้งเนียนละเอียดทั้งเย็นยะเยียบแบบเต็มๆ จุดที่มือสัมผัสคล้ายมีกระแสไฟฟ้าแล่นปราด ทำเอาหลิ่วชิงเกอตัวแข็งทื่อ จะเอามือวางตรงไหนก็ดูไม่เหมาะไปเสียหมด เกือบจะจับโยนกลับไปอยู่แล้วเชียว ดีที่ยับยั้งใจไว้ได้ทัน รีบถอดเสื้อตัวนอกของตน ผ้าขาวสยายออกราวกับปีกนอกก่อนจะห่อหุ้มร่างในอ้อมแขนเขาไว้ เฉิงหลวนเหินกลับมาจอดนิ่งอยู่แทบเท้า

ดวงตาของลั่วปิงเหอเปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน หอฮ่วนฮวาทั้งหลังราวกับหีบที่ถูกผนึกไว้แน่น โดยในหีบวางระเบิดเอาไว้ลูกหนึ่ง เมื่อเกิดระเบิดขึ้น ผนังทั้งสี่ด้านก็พังครืนลงมา

ที่ตามมาหลังจากฝุ่นทรายสะเก็ดหินปลิวว่อน นอกจากคน คน และคนล้มลงแล้ว ยังมีเสียงโลหะสองชิ้นกระทบกับพื้นดังเคร้งคร้าง เสิ่นชิงชิวเพ่งมอง กลับพบว่าเป็นกระบี่สองเล่ม

เจิ้นหยางกับซิวหย่า

กระบี่สองเล่มนี้เดิมควรมีชะตากรรมเช่นเดียวกันคือหักสะบั้นเหลือแต่เศษซาก ไม่รู้อีกฝ่ายใช้วิธีอะไรถึงซ่อมแซมจนกลับมาใช้การได้ แล้วมัดเก็บไว้ด้วยกันอยู่ในหอฮ่วนฮวา ครั้งหอพังครืนพวกมันจึงได้พบเจอแสงสว่างอีกครั้ง

พอเห็นกระบี่สองเล่มนี้ ในใจของเลิ่นชิงชิวก็เกิดความรู้สึกที่บรรยายไม่ถูก เขามองลั่วปิงเหอ เริ่มแรกเสื้อผ้าฝ่ายนั้นก็ไม่เรียบร้อย หลังจากหอพังพินาศ กระดูกไหปลาร้าและแผ่นอกพลันเผยออกมาให้เห็นบริเวณใกล้ตำแหน่งหัวใจมีรอยแผลเป็นที่เกิดจากระบี่แทงสาหัสแผลหนึ่ง

ความสามารถในการซ่อมแซมตัวเองของลั่วปิงเหอนั้นสูงมาก ต่อให้ถูกฟันจนแขนขาขาดก็สามารถกลับสู่สภาพเดิมได้อย่างแนบเนียนไร้ร่องรอย ถึงขนาดว่างอกขึ้นมาได้ใหม่ไม่เป็นปัญหา นอกเสียจากว่าเขาจงใจปล่อยทิ้งไว้ ไม่ยอมรักษาเสียเอง ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีแผลเป็นเหลืออยู่บนร่างของลั่วปิงเหอได้หรอก

ลั่วปิงเหอกล่าวเสียงต่ำ “หลิ่วชิงเกอ ข้าเห็นแก่ซือจุนจึงได้ไว้ชีวิตเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ในเมื่อเจ้าดึงดันรนหาที่ตาย เช่นนั้นก็อย่าได้ตำหนิข้าแล้ว”

เสิ่นชิงชิวถูกพลังทิพย์และรังสีสังหารที่ปะทุขึ้นมาโดยไม่ทันตั้งตัวสร้างความสั่นสะเทือนจนอวัยวะภายในแทบเขยื้อนก็รู้ได้ทันทีว่าลั่วปิงเหอบันดาลโทสะแล้ว จึงรีบตะโกนบอกหลิ่วชิงเกอ “ยังไม่รีบไปอีก”

ตั้งแต่มาอยู่โลกนี้รู้สึกว่าบทของเขาก็คือผู้เสียสละคอยช่วยระวังหลังให้ผู้อื่นอย่างไม่เห็นแก่ตัวสินะ

หลิ่วชิงเกอมองเขาแวบหนึ่ง ไม่มัวพิรี้พิไร บอกให้ไปก็ไปเดี๋ยวนั้น หนีบศพไว้ กระโดยปราดขึ้นเหยียบกระบี่แล้วจากไปอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าแลบ

ในตอนแรกลั่วปิงเหอกะจะลงมือ ทว่าจู่ๆหัวใจพลันสั่นกระตุกอย่างรุนแรง ด้วยอาการถูกกระบี่ซินหมัวย้อนกลืนกินกำเริบกะทันหันจนช้าไปจังหวะหนึ่ง จังหวะที่พลาดไปนี้ทำให้เขาได้แต่ยืนนิ่งอย่างหมดปัญญา มองหลิ่วชิงเกอหนีบศพเสิ่นชิงชิวจากไป

ลั่วปิงเหอยืนเซ่ออยู่กับที่ สีหน้าเคว้งคว้างว่างเปล่า กระทั่งจะตอบโต้ก็ยังลืม ท่าทางดูคล้ายกับเด็กถูกแย่งชิงของรักที่เปรียบได้กับโลกทั้งใบไป เหมือนถูกผืนฟ้าถล่มลงมาใส่ยังไงยังงั้น

ทีแรกเสิ่นชิงชิวตั้งใจจะฉวยจังหวะที่เขามัวแต่ตกตะลึงนี้ลอบหนีไป แต่พอเห็นภาพนี้ก็ไม่รู้ว่าทำไมเท้าถึงตรึงอยู่กับที่ ความรู้สึกไม่อาจหักใจที่ผุดขึ้นเมื่อครู่ยิ่งรุนแรงขึ้นไปอีก

แต่ไม่อาจหักใจยังไงก็ช่วยอะไรไม่ได้แล้ว ขืนปล่อยให้ลั่วปิงเหอกอดศพต่อไป ไม่รู้ว่าเดี๋ยวจะบานปลายจนกลายเป็นบาปกรรมอะไรที่หนักหนายิ่งกว่าเดิมอีกหรือเปล่า

เพราะความที่ดันใจอ่อนไม่ถูกจังหวะนี่เอง ยังไม่ทันได้หนี ลั่วปิงเหอก็หันหน้ามากะทันหัน ดวงตาแดงเถือกจับจ้องมาที่ตน

กระบี่ซินหมัวสั่นระริกอยู่ในฝักอย่างลิงโลดและชั่วร้าย สายตาของลั่วปิงเหอบอกกับเสิ่นชิงชิวอย่างชัดเจนว่า ตนจะต้องโดนสับและเป็นหมื่นๆชิ้นแน่

เสิ่นชิงชิวเห็นแววตาดุดันระคนเจ็บปวดของเขาก็ผละถอยหลังไปสองก้าว พริบตานั้นเองราวกับผีดลใจให้ตนอยากบอกความจริงกับลั่วปิงเหอขึ้นมากะทันหัน

ที่อยากบอกก็คือ อย่าเศร้าเสียใจไปเลย ซือจุนยังไม่ตาย

แต่ขณะกำลังจะขยับริมฝีปากก็มีเงาร่างหนึ่งโลดลิ่วทะยานออกมาจากกลุ่มศิษย์วังฮ่วนฮวา

เงาร่างนี้ปราดเปรียวว่องไวผิดมนุษย์ หอบม้วนตัวเสิ่นชิงชิวไปราวกับพายุ ขนาดปฏิกิริยาและสายตาของลั่วปิงเหอรวดเร็วเป็นเยี่ยม โจมตีออกไปเดี๋ยวนั้นกลับยังไม่โดนเป้า

เขายืนนิ่งอยู่ที่เดิม กวาดตามองซากปรักหักพังที่เหลืออยู่ของหอฮ่วนฮวาและฝูงชนที่ล้มระเนระนาด พวกศิษย์วังฮ่วนฮวาไม่อาจเข้ามาช่วยแต่แรก แต่รู้ดีแก่ใจว่าลั่วปิงเหอในคืนนี้ใจคอไม่สงบ ทำพลาดครั้งแล้วครั้งเล่า เดี๋ยวจะต้องอาละวาดยกใหญ่แน่จึงรีบคุกเข่ากันเป็นทิวแถว

เวลานี้เองที่ซาหัวหลิงค่อยมาถึง นางรีบมาข้างหน้า ทว่าถูกลั่วปิงเหอดีดกระเด็นออกไปทันควันจนกระอักเลือดออกมากองโต

นางรู้แต่แรกแล้วว่าคนผู้นี้เจ้าอารมณ์ แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเขาถึงโมโหขึ้นมา จึงกล่าวอย่างหวาดผวา “จวินซั่งโปรดระงับโทสะ จวินซั่งโปรดระงับโทสะ”

ลั่วปิงเหอเอ่ย “คนที่เจ้าพากลับมา ไม่เลวเลยจริงๆ”

คำว่า ‘ไม่เลว’ ของเขาฟังน่ากลัวยิ่งกว่าสั่งให้นางฆ่าตัวตายเดี๋ยวนี้เสียอีก

ซาหัวหลิงขวัญกระเจิง รีบกล่าว “บ่าวมีเรื่องจะรายงาน พอผู้บุกรุกเข้ามา บ่าวก็รู้สึกได้ทันที ทั้งได้ประมือมาด้วย แต่ผู้บุกรุกไม่ได้มีแค่หลิ่วชิงเกอคนเดียว เจ้ายอดเขาไป่จั้นเฟิงผู้นี้เมื่อก่อนเคยบุกเข้ามายามวิกาล แต่หาทำลายค่ายกลได้ไม่ ครานี้เนื่องจากมีคนทำลายค่ายกลไว้ก่อน หลิ่วชิงเกอจึงบุกเข้ามาได้สำเร็จเจ้าค่ะ”

ลั่วปิงเหอมองไปยังทิศทางที่หลิ่วชิงเกอท่องกระบี่หายลับตาไป มือกำแน่นจนได้ยินเสียงกระดูกดังลั่น

ซาหัวหลิงคิดว่าลั่วปิงเหอคงจะไม่สนใจว่าผู้บุกรุกเข้ามาอีกคนเป็นใคร เขาคงจะสนใจแต่ร่างของเสิ่นชิงชิวที่ถูกชิงไปแล้วเป็นแน่ เลยรีบแก้คำพูด “หลิ่วชิงเกอคนเดียวพา…ไปด้วย น่าจะไปได้ไม่ไกล บ่าวจะพาคนตามไปเจ้าค่ะ”

ลั่วปิงเหอกล่าว “ไม่ต้องแล้ว”

ซาหัวหลิงตัวสั่น หนาวเยือกในอก นึกสังหรณ์ใจไม่ดีขึ้นมา

นางได้ยินลั่วปิงเหอกล่าวเสียงเย็น “ข้าจะไปเอง เจ้าไปตามตัวโม่เป่ยมา”

…………….

เสิ่นชิงชิวได้รู้ในที่สุดว่าเมื่อก่อนเวลาลั่วปิงเหอบงการกู่โลหิตในร่างกายตนนั้นใจดีมีเมตตาแค่ไหนแล้ว

หากลั่วปิงเหอต้องการใช้โลหิตมารฟ้าทำให้ใครสักคนตาย จะไม่มีทางเจ็บปวดแค่เหมือนปวดประจำเดือนเด็ดขาด ฝ่ายนั้นสามารถทำให้คนทรมานได้ชนิดอยู่มิสู้ตาย เจ็บจนยืนยังยืนไม่ไหว พูดก็พูดไม่ได้ ได้แต่ดิ้นพล่านไปมากับพื้น ดิ้นเสร็จก็นอนแน่นิ่งไม่ต่างอะไรกับศพ ทว่าความเจ็บปวดทั่วทั้งกายก็ยังไม่ลดลงไปเลยสักส่วน ทั้งไม่มีช่วงพักให้อาการบรรเทาหรือชินชาเลยสักนิด

หลังจากโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงในที่สุดลั่วปิงเหอก็นึกขึ้นมาได้ว่ายังมีของอย่างโลหิตมารฟ้าอยู่

ผู้ที่ฉวยจังหวะชุลมุนแบกตัวเขามาเมื่อครู่นั้นคงเห็นว่าตอนนี้น่าจะพาเขามาถึงสถานที่ปลอดภัยแล้ว จึงเริ่มชะลอความเร็วลง เปลี่ยนเป็นพยุงเขาเดิน

เสิ่นชิงชิวอยากนั่ง ไม่อยากเดินแล้ว แต่ไร้เรี่ยวแรงจะพูด เลยถูกลากถูลู่ถูกังไปชั่วระยะหนึ่งกว่าคนผู้นั้นจะสังเกตเห็นความไม่ปกติในที่สุด

คนผู้นั้นวางเสิ่นชิงชิวลงกับพื้น เสียงพูดอ่อนโยนสดใสทว่าค่อนข้างช้า ดูเหมือนจะเป็นคนหนุ่มอายุยังไม่มาก เขากล่าวด้วยน้ำเสียงแฝงความกังวล “ท่านเป็นอะไรไป เมื่อครู่ได้รับบาดเจ็บหรือ”

เสิ่นชิงชิวขยับริมฝีปาก แต่ไม่มีแรงจะพูดแม้แต่คำเดียว ยามนี้ในเส้นเสือดเขาเหมือนกับมีหนอนนับล้านๆตัวดิ้นพล่านอย่างลิงโลด เดี๋ยวฉีกทึ้งเดี๋ยวพองตัว ยึกยือยุกยิก ทั้งน่าขยะแขยงและแสนจะเจ็บปวด

เห็นทีว่าเมื่อก่อนเวลาลั่วปิงเหอสั่งการกู่โลหิตในร่างเขาไม่ได้แฝงเจตนาร้ายอะไรไว้เลย กลับเจือความอ่อนโยนไว้เต็มเปี่ยม เหมือนแค่แกล้งหยอกเล่นเท่านั้น

เสิ่นชิงชิวนึกทบทวนผลงานและความสำเร็จต่างๆที่ถูกระบบบังคับข่มขู่ให้ทำตลอดหลายปีมานี้อย่างรวดเร็วรอบหนึ่ง แล้วรู้สึกว่าช่างเป็นเรื่องตลกไร้สาระจริงๆ ตกลงปัญหามันเกิดขึ้นตรงไหนกันแน่ถึงส่งผลให้ลั่วปิงเหอเกิดความรู้สึกในแง่นั้นต่อเขาได้ เสิ่นชิงชิวถามตัวเอง

ตนเกิดมาเป็นชายแท้ชนิดที่กล้าสาบานต่อสวรรค์ได้เลยจริงๆ ส่วนรสนิยมทางเพศของลั่วปิงเหอก็ไม่น่าจะมีอะไรให้สงสัย แล้วตกลงปัญหามันอยู่ที่ใครกันล่ะ

ไม่ต้องคิดให้หนักสมอง บทบาทของตัวละครพังพินาศ งั้นปัญหาต้องอยู่ที่นักเขียนแล้ว ทั้งหมดนี้เป็นความผิดของไอ้เซี่ยงเทียนต่าเฟยจีแน่นอน

ทันทีที่เสิ่นชิงชิวหัวเราะฝืดๆสองทีก็รู้สึกเจ็บจี๊ดขึ้นมาอีกระลอก เขากลิ้งไปกลิ้งมากับพื้นเกือบสองตลบ เหมือนว่าทำแบบนี้แล้วจะช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดได้บ้าง

ยังไม่ทันจะกลิ้งครบสองตลบดีก็ถูกคนผู้นั้นจับตัวไว้ ฝ่ายนั้นลูบหน้าผากไล่ลงมาที่แก้มเสิ่นชิงชิว หนวดเครากะหร็อมกระแหร็มตอนนี้หลุดจนแทบไม่เหลือแล้ว ทั่วทั้งร่างเต็มไปด้วยเหงื่อเย็นๆผุดพราว

อีกฝ่ายยังคงลูบลงไปเรื่อยๆ จนถึงแผ่นอกและหน้าท้องเสิ่นชิงชิว

ไม่รู้อย่างไรบริเวณที่โดนอีกฝ่ายสัมผัสค่อยๆรู้สึกดีขึ้นมาทีละน้อย

เสิ่นชิงชิวผ่อนลมหายใจช้าๆ ถามอย่างอดรนทนไม่ไหว “เอ่อ พี่ชายผู้ประเสริฐ เจ้า…ลูบตรงไหนอยู่น่ะ”

หากเป็นเมื่อก่อนเขาไม่สนใจหรอกว่าคนอื่น(โดยเฉพาะเพศเดียวกัน) จะลูบตรงไหนในตัวเขา อยากลูบตรงไหนลูบไป เชิญตามสบาย

แต่นับจากลั่วปิงเหอทยอยเปิดประตูสู่โลกใบใหม่ให้เขาเห็นอยู่เรื่อยๆ โลกทัศน์ที่เสิ่นชิงชิวหล่อหลอมมายี่สิบกว่าปีก็ถูกโจมตีอย่างหนัก นับจากนี้ไปเขาจำเป็นต้องใช้มุมมองแบบใหม่และความรู้สึกอันเฉียบไวมาพิจารณาโลกใบนี้เสียแล้ว

โดยเฉพาะอย่างยิ่งการคบหาเพื่อนเพศเดียวกัน

คนผู้นั้นทำเสียง “อ๊ะ” แล้วรีบปล่อยมือทันที ก่อนกล่าวขอโทษ “ขออภัยด้วย ข้า…ไม่ได้ตั้งใจ”

ไม่ใช่อุปทานไปเอง พอคนผู้นี้ละมือ เสิ่นชิงชิวก็เจ็บปวดขึ้นมาอีกระลอก มันเหมือนกับว่า…เขาสามารถทำให้โลหิตมารฟ้าสงบได้

เสิ่นชิงชิวรีบเอ่ย “ไม่เป็นไรๆ เจ้าลูบเลย โปรดลูกต่อเถอะ ขอบใจเจ้ามาก”

เสิ่นชิงชิวเบือนหน้ามอง ภายใต้แสงจันทร์ไม่สามารถเห็นหน้าตาอีกฝ่ายได้ชัดนัก แต่เท่าที่ดูคร่าวๆ คือเค้าโครงหน้าหล่อเหลางามสง่า สองตาสุกใสราวกับน้ำค้าง สะท้อนเงาร่างเสิ่นชิงชิวภายใต้แสงจันทร์สุกสกาว

เสิ่นชิงชิวมองตาคู่นี้ก็นึกอะไรขึ้นมาได้รางๆ แต่ยังไม่ทันขบคิดให้ละเอียดศีรษะพลันปวดอย่างรุนแรงจนร้องครางออกมา เขาก้มหัวต่ำ เอากำปั้นทุบพื้นเป็นการใหญ่

ทันใดนั้นท้ายทอยของเสิ่นชิงชิวก็ถูกประคองขึ้น กรามล่างถูกง้างลง แล้วกรอกของเหลวบางอย่างเข้าไป ลิ้นของเขาชาหนึบ ในกระเพาะมีกรดไหลย้อนเลยไม่รู้ว่าของเหลวดังกล่าวมีรสชาติอย่างไร แต่ไม่น่าจะเป็นของที่อร่อยแน่นอน เขาสำลักและอยากอาเจียน ติดที่คนผู้นี้ปิดปากเขาไว้ การกระทำดังกล่าวค่อนข้างเหิมเกริมไร้มารยาท ทว่าน้ำเสียงกลับนุ่มนวลอย่างมาก ฝ่ายนั้นกล่าวราวกับปะเหลาะ “กลืนลงไป”

ภายในลำคอของเสิ่นชิงชิวปั่นป่วนพลุ่งพล่าน เพียงชั่วอึดใจก็กลืนของเหลวนั้นลงไปเรียบร้อย ของเหลวที่เข้าปากไม่หมดและไม่รู้ว่าเป็นอะไรไหลย้อยมาจากมุมปาก เขาก้มหัวไอออกมาอย่างแรง ชายหนุ่มเลยช่วยตบหลังให้

ที่ช็อคก็คือพอของเหลวนี้เข้าปากและถูกกลืนลงท้องไปแล้ว ความเจ็บปวดที่เกิดจากกู่โลหิตกัดทึ้งซึ่งทรมานเขามาตลอดทางก็หายเป็นปลิดทิ้ง

เสิ่นชิงชิวสบายตัวขึ้นแล้ว แต่ใจกลับขึ้นไปแขวนค้างแทน กระชากคอเสื้อคนผู้นั้น “เจ้าเอาอะไรให้ข้าดื่ม”

อีกฝ่ายแกะนิ้วของเสิ่นชิงชิวออก ดันออกไปจากอกตน เผยยิ้มบางๆ “ตอนนี้ยังเจ็บหรือไม่”

ไม่เจ็บแล้ว ไม่เจ็บแล้วจริงๆด้วย แต่เพราะไม่เจ็บแล้วนี่แหละเลยน่ากลัว เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่าของอย่างโลหิตมารฟ้าก็มียาถอนพิษด้วย

ประสาทรับรสที่ปลายลิ้นค่อยๆกลับคืนมา เขารู้สึกว่าในปากมีกลิ่นคาวเลือด ทั้งยังได้กลิ่นแรงขึ้นเรื่อยๆ แรงจนถึงขั้นอยากอาเจียน ในนิยายดั้งเดิมกล่าวไว้อย่างชัดเจน โอสถทุกชนิดไม่มีผลต่อโลหิตมารฟ้า

มีแต่โลหิตมารฟ้าด้วยกันจึงสามารถสะกดข่มกันเองได้

เชี่ย!

ไม่ใช่แค่เคยดื่มมาแล้วสองครั้ง คราวนี้ยังดื่มโลหิตมารฟ้าจากเจ้าของคนละคนกันอีกต่างหาก

เสิ่นชิงชิวรู้สึกว่าตัวเองแม่งเป็นอย่างที่คำโบราณว่าไว้จริงๆ ‘ในอดีตไม่มีผู้ใดทำได้มาก่อน ในอนาคตไม่มีปรากฎ’

พอคิดได้แบบนี้เสิ่นชิงชิวก็โอดครวญ ก่อนล้มหน้าคว่ำลงไป

เสียงเลือดเนื้อฉีกขาด

ตามมาด้วยเสียงครางแหบแห้ง

เสิ่นชิงชิวบีบขมับ ภาพเบื้องหน้าค่อยๆคมชัดขึ้น

เลือดไหลนองเป็นทะเล ศพกองทับกันเป็นภูเขา

ลั่วปิงเหอยืนอยู่ท่ามกลางฉากที่ดูเหมือนแดนชำระบาปในนรก ตัวตรงนิ่งไม่หวั่นไหว เขาสวมชุดดำจึงมองไม่เห็นสีเลือดที่อาบย้อมอยู่บนผ้า แต่ซีกหน้าด้านหนึ่งเปื้อนหยดแดงเป็นจุดๆเพราะถูกเลือดกระเซ็นใส่ เขายกกระบี่ขึ้นกวัดแกว่งอย่างไม่รู้สึกรู้สาเยี่ยงเครื่องจักร

เดิมนั้นเมื่อเสิ่นชิงชิวเห็นลั่วปิงเหอ ในสมองก็ผุดภาพฝ่ายนั้นกอดศพเขากลิ้งลงจากเตียงโดยอัตโนมัติ เลยทำใจให้มองเต็มตาไม่ได้จริงๆ แต่ตอนนี้ลั่วปิงเหอกลับกำลังเข่นฆ่าสังหารสิ่งที่ตนเองสร้างขึ้นในห้วงฝันแบบนี้ต่างกับการเอามีดดาบมาป่วนสมองตัวเองตรงไหนกัน

หากไม่ใช่คนปัญญาอ่อนไม่รู้จักคิด ก็มีแต่คนเสียสติเท่านั้นถึงจะทำเช่นนี้

ถึงเสิ่นชิงชิวจะชอบบอกว่าลั่วปิงเหอเป็นสาย M ชอบทารุณตัวเอง แต่ทารุณตัวเองถึงขึ้นนี้ ไม่ว่าอย่างไรเขาไม่อาจก็ฝืนหัวเราะออกมาแล้วหาเรื่องแขวะได้เลย

ลั่วปิงเหอเหลือบตาขึ้นมองเขา แววตาขุ่นมัวสับสน ท่าทางเหมือนคนสติไม่อยู่กับร่องกับรอย แต่พอภาพสะท้อนของเสิ่นชิงชิวปรากฎขึ้นในดวงตา แววตาก็แจ่มกระจ่างขึ้นมาทันใด ก่อนปากระบี่ในมือออกไปเสียไกล แล้วเอาสองมือที่เปรอะเลือดไปซ่อนไว้ข้างหลัง ร้องเรียกเบาๆ “ซือจุน”

แต่นึกออกว่าที่หน้าก็มีเลือดเปรอะด้วยเหมือนกัน จึงแก้สถานการณ์ด้วยการเอาแขนเสื้อเช็ดคราบเลือดบนหน้าซีกนั้น ผลปรากฎว่ายิ่งเช็ดยิ่งเลอะ เลยยิ่งร้อนตัวอยู่ไม่สุข เหมือนเด็กที่ขโมยของแล้วถูกจับได้

รอบเดียวแปลกใหม่ รอบที่สองคุ้นชิน เสิ่นชิงชิวเก๊กจนเคยตัวแล้วราวกับถูกตั้งโปรแกรมมา จึงยังนิ่งได้อยู่ และพออ้าปากกล่าววาจาเลยใช้น้ำเสียงอ่อนโยนโดยไม่รู้ตัว “เจ้ากำลังทำอะไร”

ลั่วปิงเหอตอบเสียงเบา “ซือจุน ข้า…ข้าสูญเสียท่านไปอีกแล้ว ศิษย์ช่างใช้การไม่ได้ กระทั่งร่างของท่านก็ปกป้องไว้ไม่ได้”

ได้ยินคำตอบนี้เข้าสีหน้าของเสิ่นชิงชิวก็ปรากฏแววซับซ้อนเฉกเช่นเดียวกับความรู้สึก

สรุปแล้วการที่เขาเที่ยวเข่นฆ่าสิ่งที่สร้างขึ้นในห้วงฝันของตนเองเมื่อครู่ ก็เพื่อเป็นการ…ลงโทษตัวเองหรือ

เห็นลั่วปิงเหอกระทำได้เจนจัดขนาดนี้ เกรงว่าคงไม่ได้ทำแบบนี้เป็นครั้งแรกแล้ว มิน่าเล่าคราวก่อนที่เขาเข้าไปในห้วงฝันของลั่วปิงเหอ เจ้าตัวถึงได้แยกแยะไม่ออกว่าเขาคือภาพภายาหรือผู้บุกรุกจากภายนอก

เสิ่นชิงชิวถอนใจ ใช้ความคิดหนึ่งตลบ จากนั้นจึงกล่าวปลอบประโลมเสียงเบา “สูญเสียไปแล้วก็สูญเสียไปเถอะ ข้าไม่ตำหนิเจ้าหรอก”

ลั่วปิงเหอมองเขาอย่างตกตะลึง “…แต่ตอนนี้ข้าเหลือแต่ร่างนั้นเท่านั้น”

เสิ่นชิงชิวพลันไม่กล้าสบตาเขาตรงๆ อย่าบอกนะว่าตลอดห้าปีมานี้ลั่วปิงเหอกอดร่างซึ่งเป็นเปลือกว่างเปล่าที่เขาไม่ต้องการแล้วมาตลอด

แต่แล้วเสียงของลั่วปิงเหอก็เย็นเยียบขึ้น “หลังจากเหตุการณ์ที่เมืองฮวาเยวี่ยข้าเคยสาบานไว้ว่าชั่วชีวิตนี้จะไม่ยอมเสียซือจุนไปอีก แต่ก็ยังปล่อยให้ผู้อื่นมาแย่งชิงไปเสียได้”

ความคับแค้นและเส้นสีแดงเข้มในดวงตาพลุ่งพล่านรุนแรง กระบี่ที่ถูกเขาเหวี่ยงทิ้งเมื่อครู่ถูกเรียกกลับมาอีกครั้ง แล้วแทงทะลุอก ‘คน’ สองสามคนที่ดิ้นกระเสือกกระสนอยู่กับพื้น เสียงร้องชวนสังเวชลอยมาเข้าหู

เสิ่นชิงชิวรีบเข้าไปฉุดเขาแล้วตำหนิ “เจ้าอย่าวู่วาม ต่อให้อยู่ในความฝัน นี่ก็เท่ากับเป็นการทำร้ายตัวเอง อย่าบอกว่าเจ้าลืมไปแล้วเล่า”

ลั่วปิงเหอย่อมไม่ลืม ซ้ำจับจ้องเสิ่นชิงชิวด้วยสายตาแน่วแน่ พลิกมือมากุมหลังมือเขา ผ่านไปครู่หนึ่งจึงค่อยกล่าว “ข้ารู้ว่าข้ากำลังฝัน มีแต่ในฝันเท่านั้นที่ซือจุนยังตำหนิข้าเช่นนี้”

ได้ฟังประโยคนี้เสิ่นชิงชิวพลันตระหนักขึ้นมาเดี๋ยวนั้น ไม่ได้การแล้ว นี่มันไม่ถูกต้อง

ไม่อาจทำกับลั่งปิงเหอเช่นนี้ หากไม่มีความรู้สึกเช่นนั้นต่อใคร ก็ไม่ควรให้ความหวังกับเขา ยิ่งหวังมากก็จะยิ่งผิดหวังรุนแรง ขืนปล่อยให้สติเลอะเลือน อาจถึงขึ้นคลุ้มคลั่งวิปลาสหนักขึ้นไปอีก

ต่อให้อยู่ในฝัน ก็ไม่ควรมัวทำโยกโย้พิรี้พิไร ตัดให้ขาดไปเสีย ขืนปล่อยให้คลุมเครือต่อไปก็จะกลายเป็นบ่วงกรรมแล้ว

เสิ่นชิงชิวชักมือกลับโดยไม่ลังเล ปรับสีหน้าใหม่ วางท่าให้สูงส่งเย็นชาชนิดกีดกันผู้คนให้ออกห่างพันลี้อย่างที่ตัวเองเชี่ยวชาญเป็นที่สุด แล้วหมุนกายหมายจากไป

ลั่วปิงเหอพอถูกทิ้งอย่างไม่ใยดีก็ยืนเซ่อไปครู่หนึ่ง ก่อนรีบวิ่งตามมา “ซือจุน ข้ารู้ความผิดแล้วขอรับ”

เสิ่นชิงชิวกล่าวอย่างเย็นชา “รู้ว่าผิดแล้วก็อย่าตามมา”

ลั่วปิงเหอกล่าวอย่างร้อนรน “ข้าสำนึกเสียใจนานแล้ว แต่หาวิธีบอกท่านไม่ได้ ท่านยังโกรธที่ข้าบีบบังคับให้ท่านระเบิดพลังทิพย์ตัวเองใช่หรือไม่ ข้าซ่อมแซมเส้นชีพจรทิพย์ทั้งหมดในร่างกายท่านเสร็จแล้ว ไม่หลอกลวงเด็ดขาด ขอเพียงข้าเข้าไปในสุสานศักดิ์สิทธิ์ได้ จะต้องมีหนทางทำให้ท่านฟื้นขึ้นมาแน่

เสิ่นชิงชิวไม่พูดอะไร ขณะที่ลังเลว่าควรพูดจารุนแรงขึ้นอีกหน่อยดีไหม ฝ่ายนั้นจะได้ล้มเลิกความคิดฝังใจนี้ไปเสีย ทว่าลั่วปิงเหอกลับพุ่งกายเข้ามาสวมกอดเขาไว้จากด้านหลังอย่างแน่นหนา จะดิ้นจะผลักอีท่าไหนก็ไม่ยอมปล่อย

เสิ่นชิงชิวถูกเขากอดจนแข็งทื่อไปทั้งตัว ให้ความรู้สึกเหมือนถูกตัวอะไรสักอย่างที่มีขนยุ่บยั่บถูไถ ทำเอาขนลุกเกรียว ต้องรวมพลังไว้ที่มือ ทั้งที่ไม่อาจโจมตีออกไปจริงๆ เขากัดฟันกล่าวออกไปคำหนึ่ง “ไปซะ”

ไหนว่าเนื้อเรื่องหลังลั่วปิงเหอเปลี่ยนเป็นสายดาร์ค จะไม่มีแนวรันทดขมขื่นแล้วไงล่ะ! อย่ามายื้อๆยุดๆกันแบบนี้ซิ!

ลั่วปิงเหอทำหูทวนลม “หรือซือจุนยังโกรธเรื่องที่เมืองจินหลัน?”

เสิ่นชิงชิวกล่าวว่า “ถูกต้อง”

ลั่วปิงเหอยิ่งไม่ยอมปล่อยมือ งึมงำว่า “ตั้งแต่ข้าออกมาจากห้วงอเวจี ข้ารู้ว่าซือจุนประกาศต่อคนภายนอกว่าข้าถูกเผ่ามารสังหาร ตอนแรกข้ายังเข้าใจว่าซือจุนใจอ่อน ถึงอย่างไรก็ยังหลงเหลือความผูกพันอยู่บ้าง ถึงไม่ยอมให้ข้าเสื่อมเสียชื่อเสียงจนไม่เหลือที่ยืน แต่นึกไม่ถึงว่าพอเจอหน้ากัน และเห็นท่าทางของซือจุน เกรงว่าที่คิดไว้ก่อนหน้าคงเป็นการมองโลกในแง่ดีเกินไปแล้ว เป็นได้ว่าที่ซือจุนปิดบังเรื่องของข้า ก็เพราะกลัวคนอื่นจะมองว่าสั่งสอนมารตัวหนึ่งออกมา จนทำให้ตนต้องเสื่อมเสียชื่อเสียงต่างหาก”

เขาพูดได้น่าสงสารยิ่งนัก พูดประโยคหนึ่งก็รีบละล่ำละลักอีกประโยคตามมา เหมือนกลัวว่าเสิ่นชิงชิวจะตัดบทไม่ให้เขาพูดต่อ “เรื่องคนเพาะเมล็ดพันธุ์ข้าไม่รู้เรื่องด้วยจริงๆ ตอนนั้นข้าโกรธจนหน้ามืดตาลายเลยปล่อยให้ซือจุนถูกส่งเข้าคุกน้ำ…ข้าสำนึกผิดนานแล้ว”

หากเป็นลั่วปิงเหอในโลกแห่งความจริง ไม่มีทางพล่ามไม่หยุดโดยไม่สนภาพลักษณ์แบบนี้แน่ น่าจะมีเพียงในความฝันที่เขาสร้างขึ้นเองเท่านั้น ถึงกล้าพล่ามยาวขนาดนี้ ในเวลาเช่นนี้หากผลักไสเขาออกไปก็เหมือนตบหน้าเด็กผู้หญิงที่อุตส่าห์รวบรวมความกล้าอย่างยากลำบาก ยกหูโทรศัพท์ด้วยมือที่สั่นระริกโทรหาพี่สาวซุปไก่ เพื่อคร่ำครวญปรับทุกข์ทั้งน้ำตา มันก็ออกจะโหดร้ายไปหน่อยจริงๆ

(พี่สาวซุปไก่ หมายถึงคนที่ตั้งตนเป็นผู้ให้คำปรึกษา และพูดคำคมเพื่อสร้างกำลังใจ คำว่าซุปไก่เป็นแนวคิดเดียวกับหนังสือ แนวทางพัฒนาตันเองภาษาอังกฤษ Chicken Soup for Soul)

ใจหนึ่งเสิ่นชิงชิวก็สงสาร แต่อีกใจก็รู้สึกว่ามันจะบ้าบอไปกันใหญ่แล้ว จะมีอะไรน่าขันไปกว่านี้อีกไหมนี่ คนที่คุณอุตส่าห์ทุ่มเทวางแผนหลบหนีมานานหลายปี สุดท้ายกลับพบว่าเขาไม่ได้อยากฆ่าคุณเลยสักนิด เขาเพียงแค่แอบชอบคุณ แต่ไม่ว่าจะอยากฆ่าหรืออยาก ‘ฟัค’ คุณ ผลมันก็อีหรอบเดียวกันนั่นแหละ ยังไงเสิ่นชิงชิวก็ขอหนีเอาชีวิตรอดก่อนละกัน

ฝ่ายหนึ่งอยากเจอแต่ไม่อาจเจอ เฝ้ากอดศพเอาไว้ห้าปี ส่วนอีกฝ่ายก็หลบหลีกแทบตาย กลับรู้สึกว่าดันเจอกันบ่อยยิ่งกว่าเดิมเสียอีก

เสิ่นชิงชิวมือแข็งทื่อ ยกขึ้นแล้ววางลง กำมือแล้วก็คลาย สุดท้ายถอนใจ ลูบศีรษะที่สูงกว่าตัวเอง

แม่งเอ๊ย! ยอมแพ้แล้วจริงๆ

พระเอกนิยายฮาเร็มสายดาร์กดีๆ คนหนึ่ง ตอนนี้อย่าว่าแต่ฮาเร็มเลย เมียสักคนก็ไม่มี ไม่แน่ว่าอาจจะเวอร์จิ้นอยู่เลยด้วยมั้ง ทำตัวเองจนกลายเป็นแบบนี้ หากเขาลงดาบซ้ำเข้าไปอีกก็ดูจะไร้น้ำใจเกินไป เขายังคงพ่ายแพ้ให้ลั่วปิงเหอที่เอาความน่าสงสารมาเป็นจุดขายอยู่ดี เพราะตัวเขาใจอ่อนขี้สงสาร

ลั่วปิงเหอคว้ามือข้างนั้นของเขาไว้ทันที เสิ่นชิงชิวรู้สึกว่าผิวตรงฝ่ามือลั่วปิงเหอที่วางอยู่บนหลังมือเขาตะปุ่มตะป่ำไม่เรียบอยู่บ้าง เมื่อมองให้ดูๆจึงรู้ว่าที่แท้เป็นรอยแผลที่เกิดจากกระบี่

ตอนแรกเสิ่นชิงชิวไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น บนร่างอีกฝ่ายถึงได้ปรากฎรอยแผลเป็นมากมายปานนี้ แต่แล้วก็นึกออก คืนนั้นในเมืองจินหลัน ลั่วปิงเหอไล่ตามตนเหมือนแมวเล่นไล่จับหนู สุดท้ายพอจับได้ ตนก็เอากระบี่แทงลั่วปิงเหอไปทีหนึ่ง ตอนนั้นเองที่อีกฝ่ายนั้นใช้มือคว้าคมกระบี่ซิวหย่าตรงๆ

ส่วนแผลที่ตำแหน่งใกล้หัวใจ เขายิ่งไม่สมควรลืม นั่นคือรอยกระบี่ที่เขาแทงลั่วปิงเหอโดยไม่ตั้งใจ เพื่อบังคับให้ลงไปในห้วงอเวจี

ดูเหมือนว่าทุกครั้งที่เขาแทงลั่วปิงเหอ ฝ่ายนั้นจะไม่เคยเบี่ยงกายหมีแม้แต่ครั้งเดียว ไม่หลบไม่หลีก ยอมรับกระบี่โดยตรง ปล่อยให้เขาแทงยอมให้เขาเชือด ด้วยเหตุนี้ทั้งสองครั้งที่เสิ่นชิงชิวไม่ได้ตั้งใจจะแทงจริงๆ จึงแทงเข้าไปเต็มๆ หลังจากถูกแทงก็ไม่ยอมรักษาแผล กลับจงใจปล่อยไว้อย่างนั้น

หากเป็นก่อนหน้านี้เสิ่นชิงชิวคงฟันธงไปแล้วว่านั่นเป็นการผูกพยายาทของลั่วปิงเหอ ที่ต้องหลงเหลือรอยแผลเอาไว้ย้ำเตือนความแค้น แต่การกระทำดังกล่าวมีความหมายว่ายังไง ยามนี้เสิ่นชิงชิวไม่สามารถหลอกตัวเองได้อีกต่อไปแล้ว

นิยายแสนยาวเรื่องหนึ่งอ่านจบแล้ว เด็กน้อยก็เติบใหญ่แล้ว เขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าลั่วปิงเหอความจริงแล้วเป็นชายหนุ่มที่ใสซื่อบริสุทธิ์คนหนึ่ง หนุ่มเจ้าชู้ผู้มากไปด้วยความรักอันลึกซึ้ง เมื่อกลายเป็นเกย์ คำว่าเจ้าชู้กลับหายไปเสียดื้อๆ

ลั่วปิงเหอที่ถูกเขาเลี้ยงมา ตอนนี้โน้มเอียงไปทางไหนแล้วก็ไม่รู้ จิตใจละเอียดอ่อนเสียยิ่งกว่าสาวน้อย ทั้งยังเป็นสาย M และอ่อนไหวง่ายอีกต่างหาก

บางทีอาจไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยรู้มาก่อน ทว่าไม่เคยคิดอยากค้นหามันต่างหาก สรุปแล้วก็คือเสิ่นชิงชิวยึดถือลั่วปิงเหอเป็นตัวละครในนิยาย ใช้หลักการมองอยู่ไกลๆแบบคนนอก บางครั้งก็หยอกเล่นบ้าง ส่วนใหญ่แล้วคือยอมรับนับถือแต่ไม่ขออยู่ใกล้ ไม่ว่ายังไงสำหรับเขาแล้ว ตัวตนของลั่วปิงเหอในนิยายดั้งเดิมก็ยังเป็นภาพที่จำฝังหัวเขามากที่สุด

แต่กับลั่วปิงเหอที่เป็นแบบนี้ ถึงเสิ่นชิงชิวจะรู้สึกว่ายุ่งยากอึดอัดใจเหลือเกินแล้ว กลับไม่รู้จะทำอย่างไรกับอีกฝ่ายดี

เขามัวหมกหมุ่นกับความคิดตัวเองเลยมองไม่เห็นจากมุมนี้ ว่ามุมปากข้างหนึ่งของลั่วปิงเหอกำลังโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้ม

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!