บทที่ 10
ฮ่วนฮวา
หลังจากส่งคนทั้งคู่ออกไปจากพื้นที่ชายแดนเรียบร้อยแล้ว เสิ่นชิงชิวก็เลือกมุ่งหน้าไปยังทิศทางตรงกันข้ามกับพวกเขา
เดินทางมาจนกระทั่งพระจันทร์ลอยอยู่กลางฟ้า โสตประสาทของเขาเฉียบคมเสียจนได้ยินเสียงกระพรวนปีศาจดังแผ่วมาเป็นระลอก
เสิ่นชิงชิวกล่าวโดยไม่หันไปมองด้วยซ้ำ “เจ้าช่างตามรังควานเหมือนวิญญาณที่ไม่ไปผุดไปเกิดจริงๆ”
พอถูกเปิดโปงร่องรอย ซาหัวหลิงก็ไม่คิดจะหลบซ่อนตัวต่อ เดินออกมาอย่างผ่าเผย มือควงผ้าโปร่งสีแดงกล่าวยิ้มๆ “ก็ใครใช้ให้ท่านทำให้หลิงเอ๋อร์นึกสงสัยเช่นนี้เล่า ท่านเป็นห่วงเป็นใยสองคนนั้นปานนี้ ตกลงท่านเกี่ยวพันอย่างไรกับชางฉยงซานกันแน่”
เสิ่นชิงชิวหันกลับมา ส่ายนิ้วกล่าว “ข้าไม่สู้กับเจ้า เจ้าก็อย่าได้คิดมาลองดีกับข้าเป็นอันขาด”
ด้วยฝีมือของซาหัวหลิง ถึงคิดลองดีกับเขาก็ไม่ไหวอยู่แล้ว ขณะคิดจะขู่ขวัญนางเล่นสักหน่อย จู่ๆเสิ่นชิงชิวพลันสั่นสะท้านไปทั้งร่าง ราวกับมีตะขาบที่มีขายั้วเยี้ยกำลังชอนไชอยู่ในหัวใจและปอด ความรู้สึกที่ทั้งคุ้นเคยและน่ากลัวชนิดหนึ่งแผ่ขยายขึ้นมาจากท้องน้อย
ซาหัวหลิงยิ้มประหลาด “ข้าสู้ท่านไม่ได้ แต่ท่านเข้าใจว่าจะไม่มีผู้ใดมีวิธีควบคุมท่านหรือ”
เสิ่นชิงชิวแข้งขาอ่อนแรงไปชั่วขณะ แต่ยังฝืนทรงตัวไว้อยู่ เขากัดฟันกล่าว “เจ้าเอาให้ข้ากินตั้งแต่ตอนไหน”
ซาหัวหลิงกล่าวเสียงหวาน “วันนี้อาหารในเมืองอร่อยไหม สาวน้อยที่นำอาหารมาส่งสวยหรือไม่ ดีนะที่ท่านยอมกิน หากท่านถือตัวว่าขอบเขตพลังของตัวเองสูงถึงขึ้นปี้กู่แล้วไม่ยอมเอาอาหารเข้าปาก หลิงเอ๋อร์คงต้องปวดหัวอยู่บ้าง”
เชี่ย! ตอนนั้นดันถูกทอล์กโชว์ของกัปตันทีมขาเม้าท์ดึงความสนใจไปหมด อันว่านินทากาเลมันฆ่าคนตายได้จริงๆ
นางเดินวนรอบตัวเสิ่นชิงชิว ทำท่ากระหยิ่มยิ้มย่อง “ท่านรู้หรือไม่ว่าในร่างกายตนเองในยามนี้มีสิ่งใดอยู่ หาใช่ยาพิษธรรมดาสามัญหรอกนะ”
เพ้อเจ้อ! ฉันรู้ดีกว่าเธออีก โลหิตมารฟ้าน่ะ ฉันกินเป็นครั้งที่สองแล้ว สองครั้งเลยนะ!
ปกติแล้วกินครั้งนึงก็ตายครั้งนึง ไม่มีใครถูกหวยได้กินมากเท่าฉันแล้ว ขอบอก!
นอกจากผู้เป็นนายตัวจริงแล้ว คนอื่นไม่มีทางควบคุมโลหิตมารฟ้าได้ แต่เวลานี้กู่โลหิตกำลังดิ้นยุกยิกอยู่ในร่างเขา เช่นนั้นก็มีคำอธิบายได้อย่างเดียวเท่านั้น
จู่ๆซาหัวหลิงก็ค้อมกายคารวะไปทางด้านหลังของเสิ่นชิงชิว กล่าวว่า “บ่าวทำตามที่ได้รับมอบหมาย จับตัวคนผู้นี้ได้แล้วเจ้าค่ะ”
เสิ่นชิงชิวตัวแข็งทื่อ หันหน้ากลับไป
ห้วงอากาศที่ถูกผ่าเป็นรอยแยกเหมือนเส้นสายฟ้าสีดำ ค่อยๆหุบเข้าหากันช้าๆ
ร่างสูงเหยียดตรงยืนอยู่ด้านหลัง พอเสิ่นชิงชิวหันไปก็ประจันหน้ากับอีกฝ่ายพอดี
ลั่วปิงเหอยืนตระหง่านง้ำก้มหน้ามองเขา สีหน้าไม่แสดงความรู้สึกใด แต่เสิ่นชิงชิวถูกสายตาเย็นเยือกราวกับห้วงน้ำแข็งจ้องมอง อย่าว่าแต่จะมีหนวดเคราปกปิดไว้ชั้นหนึ่งเลย ต่อให้ปลอมตัวมากกว่านี้ก็รู้สึกเหมือนไม่เหลืออะไรปิดบังทั้งสิ้น
เสิ่นชิงชิวจ้องตากับเขานิ่งๆ
ลั่วปิงเหอในสมัยก่อน จะว่าเย็นชาก็เย็นชาอยู่ แต่ก็เปรียบเสมือนแสงแดดอันอบอุ่นที่ส่องสะท้อนหิมะแรกตก ต่อให้เป็นตอนที่อยู่ในเมืองจินหลันและที่คุกน้ำก็ยังพอมีกลิ่นอายมนุษย์อยู่บ้าง มีอารมณ์ความรู้สึกอยู่บ้าง และหากโกรธขึ้นมาจะควบคุมตัวเองไม่อยู่ ทว่ายามนี้สีหน้าของเขาดูราวกับทุ่งหิมะธารน้ำแข็งที่จับตัวแข็งมานับพันปี ทำให้เห็นแล้วหวาดผวา
แม้จะคิดเช่นนี้ ทว่าความรู้สึกของเสิ่นชิงชิวกลับต่างไปจากที่เคยคาดการณ์ไว้ในตอนแรก มันเป็นความรู้สึกที่หลากหลายปนเปจนยากจะอธิบาย แต่ทั้งหมดทั้งมวลนั้นไม่ได้มีแต่ความหวาดกลัวอย่างที่ควรจะเป็น
หรือเป็นเพราะดิ้นรนหมดทุกวิถีทางแล้วก็ยังหลบไม่พ้น จับพลัดจับผลูหนีกลับมาที่จุดตั้งต้นอยู่ดี มันชวนให้เขาสงบใจลงได้เสียด้วยซ้ำ คิดว่าอะไรจะเกิดก็ให้มันเกิดไปแล้วกัน
สีหน้าของลั่วปิงเหองุนงงไปครู่หนึ่ง จึงทำให้ใบหน้าเขาดูนุ่มนวลขึ้นมาบ้าง แต่ในไม่ช้าความนุ่มนวลนั้นก็หายวับไปไม่เหลือร่องรอย รูม่านตาหดตัวโดยฉับพลัน ใจกลางหน้าผากเหมือนกับมีเส้นสีแดงสายหนึ่งวาบผ่านไปอย่างรวดเร็ว
แขนเสื้อของเขาไม่ได้ขยับแม้แต่น้อย ทว่าซาหัวหลิงกลับลอยขึ้นไปแขวนค้างอยู่กลางอากาศราวกับถูกมือที่มองไม่เห็นข้างหนึ่งบีบคอแล้วชูขึ้น จนนางกระอักกระไอเป็นการใหญ่อย่างเจ็บปวดทรมาน
ขณะเดียวกันโลหิตมารฟ้าหนึ่งหยดในตัวเสิ่นชิงชิวก็แตกตัวอย่างรุนแรงออกเป็นนับพันเส้น มุดเข้ามุดออกไปตามอวัยวะภายใน จนแผ่นหลังเขาเปียกชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ
ลั่วปิงเหอกล่าวเสียงแผ่วเบา “เจ้าช่างขวัญกล้าไม่น้อย”
น้ำเสียงของเขาแม้จะค่อย แต่ไม่ว่าใครก็รู้สึกได้ทันทีว่าที่แฝงอยู่ในน้ำเสียงนั้นคือความโกรธอย่างรุนแรง
ขวัญกล้าไม่น้อย? มันหมายถึงเขา หรือซาหัวหลิงล่ะ
สมองเสิ่นชิงชิวแล่นเร็วจี๋ ลั่วปิงเหอไม่น่าจะจดจำเขาได้ แม้ใบหน้าของเขาในยามนี้ยังมีเค้าของเสิ่นชิงชิวอยู่บ้าง ด้วยการสังเกตอย่างละเอียดถี่ถ้วนของลั่วปิงเหอ ต่อให้มีหนวดเคราปกปิดอยู่ชั้นหนึ่งก็ยังสามารถแยกแยะความแตกต่างได้อย่างไม่ยากเย็น ดูท่าว่าคงเห็นเขาเป็นแค่คนหน้าเหมือนเท่านั้น ถึงอย่างนั้นมันก็ยังไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี จำได้ขึ้นมาก็อนาถแน่ แต่จำไม่ได้ก็ใช่ว่าจะดีอีกนั่นแหละ
ซาหัวหลิงไม่รู้ว่าทำไมอยู่ๆ ลั่วปิงเหอถึงได้โกรธเกรี้ยวใหญ่โตเพียงนี้ นางดิ้นกระแด่วๆ พลางสอดส่ายสายตามองไปรอบด้านที่ดูพร่าเลือนด้วยน้ำตาเพื่อหาสาเหตุที่ทำให้ตนถูกลงโทษว่าอยู่ตรงไหน ทันทีที่กวาดมองผ่านใบหน้าของเสิ่นชิงชิว นางก็ทำหน้าราวกับเห็นผี
นางร้องอย่างหวาดผวา “จวินซั่งโปรดไว้ชีวิตด้วย บ่าวทราบความผิดแล้ว แต่บ่าวสาบานว่าทั้งหมดนี้เป็นความบังเอิญจริงๆเจ้าค่ะ จวินซั่งโปรดไว้ชีวิตด้วย ครั้งนี้บ่าวไม่ได้ตั้งใจจริงๆนะเจ้าคะ”
ซาหัวหลิงคร่ำครวญไม่หยุด เพราะมีความผิดติดตัวอยู่ก่อนแล้ว นับจากลั่วปิงเหอรับตัวนางไว้ใต้อาณัติ นางเห็นเขาวันๆอยู่แต่กับศพของเสิ่นชิงชิวตลอดเวลา พอจะเดาได้รางๆว่าอะไรเป็นอะไร จึงไปกาคนที่หน้าตาคล้ายเสิ่นชิงชิวมาโดยมองว่าวิธีการนี้ช่างชาญฉลาดนัก จากนั้นเชิญผู้มีความสามารถของเผ่ามารใช้คาดาปรับแต่งเล็กน้อย จนตัวปลอมดูเหมือนตัวจริงราวกับพิมพ์เดียวกัน เรียกได้ว่าฝีมือประณีตละเอียดลออมากก็ว่าได้ จากนั้นนางก็นำตัวปลอมไปส่งให้ลั่วปิงเหอถึงที่ ผลปรากฏว่าไม่เพียงไม่มีความดีความชอบ กลับทำให้ลั่วปิงเหอโกรธหนัก จนแทบเข่นฆ่าลูกน้องในถ้ำฮื้ออวิ๋นเกลี้ยงไม่มีเหลือ
ซาหัวหลิงไม่เคยลืมและไม่อยากเห็นสีหน้าของลั่วปิงเหออย่างในคราวนั้นอีกแล้ว
นับจากนั้นมานางจะระมัดระวังรอบคอบ ไม่กล้าไปแตะต้องอะไรทำนองนี้อีกเลย ใครจะรู้ว่าภาชนะที่นางต้องตาในหนนี้กลับมีหน้าตาคิ้วคางละม้ายคล้ายเสิ่นชิงชิวเจ้าคนน่าชังผู้นั้นอยู่บ้าง มิน่าเล่าจึงไปละเมิดข้อห้ามใหญ่หลวงของลั่วปิงเหอเข้า
ลั่วปิงเหอกล่าว “ข้าน่าจะเคยเตือนเจ้าแล้ว ไม่อนุญาตให้มายุ่งกับใบหน้านี้
ซาหัวหลิงห้อยต่องแต่งอยู่กลางอากาศ หายใจไม่ออก สำลักไม่หยุดจนหน้าแดงก่ำ กล่าวอย่างยากลำบาก “…คราวนี้ บ่าวมิได้…ตั้งใจจริงๆ…”
แม้เสิ่นชิงชิวไม่เข้าใจต้นสายปลายเหตุแต่พอจะเดาได้รางๆว่าน่าจะเกี่ยวกับใบหน้าตน เขาปิดปากเงียบ นึกกังวลอยู่ในใจ คนก็ตายไปห้าปีแล้ว ทว่าจนถึงตอนนี้ลั่วปิงเหอขนาดแค่เห็นคนหน้าเหมือนตนก็เกิดโทสะขึ้นมา เห็นทีว่าเขาคงทิ้งบาดแผลสาหัสไว้ในใจลั่วปิงเหอจริงๆ
ทันใดนั้นเสิ่นชิวชิวก็เจ็บแปลบในช่องท้อง อวัยวะภายในราวกับถูกเข็มนับหมื่นนับพันเล่มมิ่มแทงชอนไช
ต่อให้มีพลังทิพย์มากมายก็ไม่มีประโยชน์ เบื้อหน้าเขาพลันดำมืด โลหิตอุ่นๆสีแดงฉานเจือสีดำกระอักออกมาจากปาก
บรรยากาศรอบตัวลั่วปิงเหอถูกบีบอัดถึงขีดสุด สายตาที่มองมายังเขาราวกับกำลังมองวัตถุไร้ชีวิตไม่มีผิด กระบี่ซินหมัวที่ห้อยเอวอยู่สั่นระริกอย่างตื่นเต้น กรีดร้องไม่หยุดเหมือนอยากออกจากฝักให้จงได้
ลั่วปิงเหอกดด้ามกระบี่ด้วยมือข้างหนึ่ง เส้นเลือดฝอยในดวงตาแผ่ซ่าน
เสิ่นชิงชิวกำลังปาดเลือดที่มุมปาก พอเห็นภาพนี้เข้าก็ชะงัก
ว่ากันตามเหตุผล หลังจากเนื้อเรื่องดำเนินมาจนเข้าสู่ภพมาร ลั่วปิงเหอน่าจะปรับสภาพร่างกายจนเข้าที่เข้าทางได้แล้วสิ แต่ละเดือนที่สูดปราณทิพย์มนุษย์ไปคนสองคนก็เพียงเพื่อรักษาความเสถียรถึงจะถูก แต่ทำไมเขาถึงได้รู้สึกว่าตอนนี้สมดุลในร่างกายของลั่วปิงเหอกลับดูแย่ลงสับสนปั่นป่วนยิ่งกว่าตอนที่เขาระเบิดพลังทิพย์ของตัวเองเพื่อช่วยสะกดข่มปราณมารให้เสียอีก
ซาหัวหลิงถูกชูสูงขึ้นไปอีก พอเห็นเสิ่นชิงชิวกระอักเลือดก็รู้ว่าลั่วปิงเหอเกิดจิตสังหารแล้ว และกำลังสั่งการโลหิตมารฟ้าในกายของเขาอยู่ นางกล่าวอย่างกระเสือกกระสน “จวินซั่ง…ท่านไม่อาจฆ่าเขา…คืนนี้พระจันทร์เต็มดวง เขาจะต้องมีประโยชน์แน่ๆ ไม่มีใครเหมาะไปกว่าเขาแล้ว…”
นางไม่ได้เป็นห่วงเรื่องความเป็นตายของเสิ่นชิงชิว แต่หากปล่อยให้โทสะของลั่วปิงเหอระเบิดจนเอาชีวิตคนประหลาดผู้นี้ไปแล้ว ต่อให้ปราณมารในกายเขาจะไม่ทะลักออกมาจนสูญสิ้นสติสัมปชัญญะ ผลที่ตามมาอย่างไรก็คงไม่เป็นการดีสำหรับนางแน่ คิดมาถึงตรงนี้ซาหัวหลิงก็รู้สึกว่าชีวิตตนเองตกอยู่ในคราวเคราะห์เสียแล้ว จึงยิ่งกล่าวอย่างจริงใจตะโกนเสียงแหบเสียงแห้ง “ต่อให้ท่านไม่สนใจคนผู้นี้ ไม่สนใจข้า แต่โปรดคิด…คิด…ถึง…ท่านผู้นั้น” นางเสี่ยนชีวิตตะโกนสุดเสียง “คิดถึงสุสานศักดิ์สิทธิ์ซิเจ้าคะ”
พอได้ยินคำพูดช่วงท้ายนั่น การลงมือของลั่วปิงเหอก็ผ่อนจังหวะลงไปเล็กน้อย
สุสานศักดิ์สิทธิ์คือสถานที่ๆผู้ปกครองเผ่ามารรุ่นแล้วรุ่นเล่าสถิตร่างหลับพักผ่อนชั่วนิรันดร์ นอกจากผู้นำสูงสุดคนปัจจุบันแล้ว คนอื่นๆที่ไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้องจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปโดยไม่มีข้อยกเว้น ผู้ใดฝ่าฝืนคือตายสถานเดียว
ภายใจสุสานเต็มไปด้วยของวิเศษและศาสตราทิพย์สารพัดชนิดซึ่งเป็นสมบัติฝังร่วม ของผู้ตายที่สั่งสมมาหลายชั่วอายุคน ปริมาณมากมายมหาศาล ล้วนเป็นของมีค่าหายาก ไม่ว่าผู้ใดที่ได้เห็นแล้ว ไม่มีทางที่น้ำลายจะไม่หก
(สมบัติฝังร่วม คือของมีค่าที่นิยมฝังใส่ไว้ในสุสานพร้อมกับผู้ตาย)
ว่ากันว่าในสุสานยังมีเทพศาสตราระดับสยบฟ้าที่สามารถชุบชีวิตจากความตายได้
ลั่วปิงเหอในนิยายดั้งเดิมได้รับการช่วยเหลือจากคนในอย่างซาหัวหลิงจนได้ครองตำแหน่งสำคัญ จากนั้นก็ลอบเข้าไปในสุสานศักดิ์สิทธิ์ แล้วข้าวของเหล่านั้นจะตกไปอยู่ในกระเป๋าผู้ใดก็คงเดากันได้
ซาหัวหลิงพูดถึงสุสานศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาเพื่อเตือนลั่วปิงเหอว่ายังฆ่าเธอไม่ได้อย่างนั้นรึเปล่า
แต่ไม่ว่าจะกรณีไหนก็เห็นชัดว่าเธอมาถูกทางแล้ว
พอลั่วปิงเหอได้ฟังประโยคท้าย สีแดงฉานยังคงลุกเรืองในดวงตาอยู่ ทว่าร่างของซาหัวหลิงกลับร่วงดิ่งลงมาแล้วระดับหนึ่ง ปลายเท้าพอจะเหยียดแตะพื้นดินได้
“นับว่าเจ้าช่วยเตือนข้า” นิ้วของลั่วปิงเหอลูบกระบี่ซินหมัวช้าๆ ปลอบประโลมตัวกระบี่ที่ยังคงสั่นระริกไม่หยุด เขากล่าวเสียงต่ำ “ถูกต้องยังมีสุสานศักดิ์สิทธิ์อยู่”
ซาหัวหลิงกำลังจะพักหายใจ พลันได้ยินลั่วปิงเหอถามขึ้นอีกว่า “นี่คือการข่มขู่ของเจ้าใช่หรือไม่”
ซาหัวหลิงใจหายวาบ “บ่าวไม่บังอาจเจ้าค่ะ”
อนาถเกินไปแล้ว อย่างน้อยๆน้องเขาก็เป็นหนึ่งในสองนางเอกคนสำคัญของเทพมารอหังการนะ ติดอันดับท็อปทรีของตัวละคร(ฝ่ายหญิง) ที่ได้รับความนิยมสูงสุดตลอดการ ทำไมถึงได้ตกต่ำขนาดนี้ล่ะ
เสิ่นชิงชิวยังทอดถอนใจด้วยความเสียดายไม่ทันเสร็จ ก็เหมือนถูกกระชากคอเสื้อด้านหน้าอย่างแรง จากนั้นก็ถูกดึงลอยขึ้นมาทั้งตัว
เขาตาลาย จากนั้นแผ่นอกก็เย็นวาบ พอก้มหน้ามองก็เห็นมือข้างหนึ่งของลั่วปิงเหอกำลังทาบอยู่ที่แผ่นอกด้านซ้ายของเขา
ความรู้สึกคล้ายดั่งถูกคนเอาระเบิดทะลวงเปิดหน้าอก ดินระเบิดก็คือปราณมารสีดำสนิท เมื่อเข้ามาในร่างก็ปะทุทะลวงไปตามปราณชีพจรทิพย์ แล้วแผ่ขยายไปยังแขนขาและกระดูกกระเดี้ยวทั่วทั้งร่าง
ระบบพลันส่งเสียงเตือนแหลมปรี๊ด แจ้งข้อความเข้ามาจนเสิ่นชิงชิวปวดหัว
[แตะเพื่อยืนยันเป็นผลสำเร็จ!]
[เชื่อมต่อกับแหล่งพลังงานเรียบร้อย อยู่ระหว่างการชาร์จ!]
[การทดสอบตัวเองของระบบ : พลังงานไหลเวียนถูกต้อง ขอบพระคุณที่กลับมาใช้บริการอีกครั้ง!]
การแตะเพื่อยืนยันแบบนี้มันจะล้ำเกินไปไหม
พลังทิพย์ในร่างเสิ่นชิงชิวเดิมทีเป็นเสมือนสระน้ำที่เต็มเปี่ยม ด้วยการเชื่อมต่อหนนี้ถูกสูบทีเดียวก็ยุบวาบไปเกือบหมด
แต่การยุบวาบนี้เป็นสภาพที่เกิดขึ้นเพียงชั่วอึดใจ กายเนื้อที่สร้างขึ้นจากหญ้าน้ำค้างแก่นสุริยันจันทราเริ่มหลั่งพลังทิพย์กลับคืนมาใหม่อย่างรวดเร็ว ทว่าพลังทิพย์ที่หลั่งกลับคืนมาใหม่นี้ถูกลั่วปิงเหอสูบวาบไปอีกครั้งอย่างรวดเร็วเช่นกัน
เสิ่นชิงชิวรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นพาวเวอร์แบงก์เลยทีเดียว เขาแหกปากร้องลั่นอยู่ในใจ ชาติที่แล้วตูเขียนด่านิยายเยอะไปหน่อย แต่ที่ด่าๆ ความจริงแล้วคือด่ามาตรฐานการเขียนนิยายของไอ้เซี่ยงเทียนต่าเฟยจีมันนะ ไม่เคยด่าพระเอกเลย ทำไมลั่วปิงเหอถึงได้ตามจองเวรกันนักเล่า?!
ลั่วปิงเหอทำเสียง “ฮึ้ย” และชักมือกลับ
กายเนื้อนี้ไม่เหมือนภาชนะในการโอนถ่ายพลังที่เคยเจอมาก่อนหน้า ถูกสูบพลังทิพย์ไปเกือบหมด ซ้ำยังถูกถ่ายปราณมารเข้าไปในปริมาณมหาศาล กลับยังสามารถเติมพลังให้ตัวเองได้อย่างรวดเร็ว เห็นทีว่าที่ซาหัวหลิงทุ่มเทกำลังจับคนผู้นี้มาก็มีเหตุผลของนางอยู่
ซาหัวหลิงร่วงตุบลงมานั่งแปะกับพื้น เลยรู้ว่าจับตัวคนผู้นี้มาเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องแล้ว นับว่าตัวเองรอดพ้นจากหายนะมาได้อย่างฉิวเฉียด นางตกใจจนเสียขวัญ ไม่สนว่าเข่ายังสั่นไม่หาย รีบจัดเสื้อผ้าท่าทางให้เรียบร้อย คุกเข่าข้างหนึ่งกับพื้น โดยชันเข่าอีกข้างหนึ่งขึ้น
ลั่วปิงเหอกล่าว “ข้าไม่สนว่าเป็นการลงมือของเจ้าหรือไม่ จำไว้ว่าอย่าให้ข้าเห็นเขาใช้ใบหน้านี้อีก”
ซาหัวหลิงรีบก้มหน้า “น้อมรับบัญชาเจ้าค่ะ”
ลิ่วปิงเหอใช้มือกรีดฝ่าห้วงอากาศออกเป็นช่องว่างสายหนึ่งแล้วก้าวเข้าไปสบายๆ บทจะไปก็ไปซะงั้น จากไปแบบง่ายๆเสียจนน่าโมโห ทิ้งสองคนทางนี้ไว้กลางที่เปลี่ยวร้างราวกับไม่เดือดร้อนสักนิดว่าเสิ่นชิงชิวจะอยู่หรือจะไป
มันก็ใช่อะนะ เขาไม่เดือดร้อนอะไรเลยจริงๆนั่นแหละ ตอนนี้เสิ่นชิงชิวดื่มโลหิตมารฟ้าของเขาไปแล้ว หนีไปไหนก็ไม่ได้ ลั่วปิงเหอลำบากแค่งอนิ้วคำนวณก็สามารถไปปรากฏกายต่อหน้าเสิ่นชิงชิวที่กำลังชักดิ้นชักงอด้วยความเจ็บปวดได้แล้ว
เสิ่นชิงชิวพลันเข้าใจ แบบนี้ก็ถือว่าเขากลายเป็นเด็กในคอนโทรลของปิงเกอไปแล้วใช่ไหมนี่
ในเมื่อลั่วปิงเหอจำเขาไม่ได้ ไม่แน่ว่าติดตามเขาอาจมีอนาคตก็ได้นะ
เอาวะ! ก็แค่มาเดือนละครั้งเองไม่ใช่เหรอ อยู่ๆไปเดี๋ยวก็ชินเองแหละ
ขณะกำลังนึกคิดให้วุ่นวาย ทันใดนั้นซาหัวหลิวก็เข้ามาหมายจะตะกุยหน้าเขา เสิ่นชิงชิวใช้สองนิ้วสกัดนางไว้ได้ทัน “เจ้าจะทำอะไร”
ซาหัวหลิงขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “เจ้าไม่ได้ยินหรือ เขาเพิ่งจะพูดอย่างไรเล่า ไม่อยากเห็นหน้านี้ของเจ้าอีก”
เสิ่นชิงชิวจ้องหน้านาง แต่แล้วจู่ๆก็ยื่นมือไปกระชากผ้าโปร่งจากตัวนางลงมา
ซาหัวหลิงร้องกรี๊ด “เจ้าฉีกเสื้อผ้าข้าทำไม”
เสิ่นชิงชิวเอาผ้าผืนนั้นมาเจาะให้ขาดเป็นสองรู แล้วเอามาคลุมหน้าโผล่มาแต่นัยน์ตา “เสื้อผ้าข้าขาดกะรุ่งกระริ่งพอแล้ว ขอยืมของเจ้ามาใช้ก่อน เจ้าเอะอะก็ทำเป็นแต่ตะกุยหน้าอยู่ท่าเดียวหรือ แค่เอาผ้ามาปิดปน้าก็ใช้ได้แล้วนี่นา จะต้องเอาให้เสียโฉมกันเลยหรือไร”
หากไม่ใช่เพราะต่อไปลั่วปิงเหอจะต้องใช้คนผู้นี้เดือนละครั้ง เลยต้องคอยดูแลเป็นอย่างดีอย่าให้เขามีแม้แต่รอยขีดข่วน ไม่งั้นซาหัวหลิงคงได้สับเขาละเอียดเป็นหมูบะช่อซะตรงนี้เลย คิดๆอีกที แม้ลั่วปิงเหอจะรังเกียจตัวปลอม แต่เกรงว่าคงไม่อยากเห็นใบหน้านี้ในสภาพเลือดตกยางออกเช่นกัน ซาหัวหลิงเลยได้แต่กล้ำกลืนความอัปยศ ตวาดว่า “ไปได้แล้ว”
ไปก็ไปซิ อย่างไรซะในเวลานี้จะไปที่ไหนก็ไม่แตกต่าง ถ้าอย่างนั้นก็คอยดูเหตุการณ์แล้วค่อยหาทางหนีทีไล่ไปทีละขั้นดีกว่า เสิ่นชิงชิววางแผนไว้ว่าหลังจากลั่วปิงเหอสะกดกระบี่ซินหมัวได้อย่างราบคาบแล้ว ก็คงไม่ต้องใช้งานเขาอีก เวลาที่จะได้โบกมือล่ำลาน่าจะอีกไม่นานแล้ว ขอแค่เขาระวังให้มากๆ อย่าให้ฝ่ายนั้นพบว่าตนใช้หญ้าน้ำค้างแก่นสุริยันจันทรามาดำเนินกลยุทธ์จักจั่นทองลอกคราบก็พอ
เสิ่นชิงชิวปรับบทบาทได้รวดเร็วจนเหลือเชื่อ ก้าวตามเข้าไปในรอยแยก โดยมีซาหัวหลิงปิดท้ายหลังสุด จากนั้นรอยแยกก็ค่อยๆหุบเข้าหากัน ความสารมาถในการปรับทัศนคติของพนักงานดีเด่นแห่งเผ่ามารเองก็ไม่เลว หลัวจากสุดลมหายใจเข้าลึกๆไม่กี่ที ซาหัวหลิงก็ใจเย็นขึ้น ถามเขาว่า “เจ้าชื่ออะไร”
พอเข้ารอยแยกมาก็เป็นระเบียงทางเดินทอดยาว ผนังสองด้านแกะสลักอย่างซับซ้อนเป็นลายมวลหมู่บุปผาแย่งกันบานสะพรั่ง แต่แสงค่อนข้างสลัว เสิ่นชิงชิวรู้สึกว่าสถานที่แห่งนี้ดูคุ้นๆตาอยู่ เขาตอบโดยไม่คิดว่า “เจวี๋ยซื่อหวงกวา”
ซาหัวหลิงกล่าวงึมงำ “เจวี๋ยซื่อหวงกวา?” จากนั้นก็โมโหเดือด “เจ้าล้อข้าเล่นหรือ”
เสิ่นชิงชิวยิ่งดูก็ยิ่งรู้สึกว่าสถานที่นี้ต่อให้เขาไม่เคยมา อย่างน้อยก็ต้องเคยได้ยินคนพูดถึง จึงไม่สนใจซาหัวหลิวแม้แต่น้อย นางเห็นเขาไม่หือไม่อือ ก็ขู่อย่างโมโห “ไม่ว่าเมื่อก่อนเจ้าจะมีความเป็นมาอย่างไร ในเมื่อดื่มโลหิตมารฟ้าไปแล้ว จากนี้ไปก็เป็นคนของจวินซั่งแล้ว หากคิดทรยศ เจ้าได้ตายศพไม่สมบูรณ์แน่ นี่ถือว่าสถานเบานะ”
จนกระทั่งเลี้ยงโค้งที่มุมหนึ่ง และเดินผ่านศิษย์ในชุดเครื่องแบบสีเหลืองคุ้นตา ในที่สุดเสิ่นชิงชิวก็มั่นใจ นี่คือวังฮ่วนฮวา กองบัญชาการในภพมนุษย์ของลั่วปิงเหอ
แต่นี้เป็นวังฮ่วนฮวาที่แตกต่างไปจากที่เขาเคยคิดไว้ วังฮ่วนฮวาควรจะต้องเลิศหรูอลังการสิ จะไม้สักแผ่นหรือหินสักก้อนต้องเป็นงานฝีมืออันวิจิตรตระการตา แต่สถานที่ๆเขาเห็นยามนี้ได้แต่ใช้คำนี้มาบรรยายเท่านั้น
‘หม่นหมองอึมครึม’
กงจู่แต่ละรุ่นล้วนชมชอบความฟุ้งเฟ้อหรูหรา ลั่วปิงเหอก็ไม่ยกเว้น แต่ความฟุ้งเฟ้อหรูหราของเขากลับดูมืดทึม กระทั่งคบไฟที่ปักอยู่ตามสองข้างของระเบียงทางเดินยังทำท่าจะดับไม่ดับแหล่
เพียงชั่วพริบดาซาหัวหลิวก็เปลี่ยนมาสวมชุดศิษย์วังฮ่วนฮวา ไม่จงใจแผ่ปราณมารออกมา ดูแล้วไม่ต่างอะไรกับสาวน้อยคนงามชาวมนุษย์ทั่วๆไปเลย ลั่วปิงเหอเดินใจลอยทะลุผ่านห้องโถงชั้นแล้วชั้นเล่าแล้วข้าไปนั่งในโถงหลักห้องหนึ่งของหอใหญ่
เสิ่นชิงชิวเดิมทีอยากเปลี่ยนที่เดินเล่นกับถูกซาหัวหลิงฉุดเอาไว้ “เจ้าจะไปไหน ไม่อนุญาตให้เดินเพ่นพ่าน ตามข้ามาอย่างเดียวพอ”
เสิ่นชิงชิวไม่อยากทะเลาะด้วย เลยได้แต่ไปยืนเข้าแถวตัวตรงแน่วกับนาง ไม่นานนักก็มีศิษย์คนอื่นๆเข้ามารายงาน
ศิษย์สองสามคนคารวะเรียบร้อยแล้วก็รายงานด้วยความนอบน้อม
เสิ่นชิงชิวตอนแรกฟังบ้างไม่ฟังบ้างอย่างไม่สนใจนัก แต่แล้วก็มีชื่อหนึ่งทำเขาสะดุ้งราวกับถูกเข็มแทง
ศิษย์ผู้หนึ่งกล่าวว่า “กงจู่ ตอนที่ท่านไม่อยู่ หลิ่วชิงเกอผู้นั้นมาสองครั้งแล้วขอรับ พอไม่เห็นท่านก็ทุบทลายหน่วยหลิงฮวาเสียหายหมดเลยขอรับ”
พอเสิ่นชิงชิวได้ยินเข้าก็ใจเขม็งเกร็ง เสียวฟันขึ้นมาทันที
หลิ่วชิงเกอ นี่…คงไม่ได้มาแก้แค้นให้เขาหรอกนะ
ลั่วปิงเหอทำหน้า ‘ไม่เห็นเป็นไร ฉันรวยซะอย่าง’ กล่าวอย่างไม่ทุกข์ร้อน “ก็ให้เขาทุบไป ยังมีอะไรอีกไหม”
ศิษย์คนนั้นมองเขาแวบหนึ่งแล้วปาดเหงื่อ ตอบอย่างระมัดระวังว่า “ยังมี…คือว่า กงจู่น้อย…ต้องการพบท่านขอรับ”
เริ่มแรกเสิ่นชิงชิวยังเข้าใจว่าลั่วปิงเหอจะทำสีหน้าเอ็นดูแล้วเรียกสนมรักเข้าพบทันที นึกไม่ถึงว่าเขายังคำทำหน้าเย็นชาไม่สนใจใยดีต่อเหมือนกับว่าขนาดพูดยังไม่อยากจะพูดถึงด้วยซ้ำ เพียงโบกมืออย่างเนือยๆเป็นเชิงปฏิเสธ
ศิษย์ผู้นั้นกล่าวอย่างลำบากใจ “แต่ว่า…”
“แต่ข้ามาแล้ว”
เสิ่นชิงชิวได้ยินเสียงนี้ก็เข็ดฟันปวดแสบปวดร้อนตามเนื้อตามตัวขึ้นมาทันที
กงจู่น้อยปรากฏตัวก่อนที่ศิษย์คนนั้นจะกล่าวจบซะด้วยซ้ำ นางปรี่เข้ามาในหอใหญ่ด้วยท่าทางเป็นฟืนเป็นไฟ ด้านหลังมีสามงามหุ่นอ้อนแอ้นในชุดสีเหลืองอ่อนอีกหนึ่งคน ดูท่าทางอายุจะมากกว่าเล็กน้อย ดวงตาหม่นหมองเหมือนจะร้องไห้ ฉินหว่านเยวียนั่นเอง เสิ่นชิงชิวชำเลืองมองพวกนาง ค่อนข้างประหลาดใจไม่น้อย
ยามนี้น้องสาวทั้งสองสมควรสวยสะพรั่งราวกับดอกไม้แย้มบานตามวัย แต่ดูแล้วกลับซีดเซียวอยู่บ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกงจู่น้อย สองแก้มยังปัดไม่เรียบร้อยดีเลย ดูเหมือนจะรีบร้อยเอาเครื่องสำอางโปะๆมามากกว่า
ดูยังไงก็ไม่มีเค้าของคนสมหวังในรักที่ได้รับการปรนเปรอเอาอกเอาใจสักนิด
กงจู่น้อยเงยหน้ามองลั่วปิงเหอ “เจ้ากลับมาแล้ว”
ลั่วปิงเหอมองนางแวบหนึ่ง ไม่พูดไม่จา
ฉินหว่านเยวียกล่าวเสียงเบา “กงจู่น้อย พวกเรากลับกันเถอะ…”
กงจู่น้อยกรีดร้อง “นึกว่าข้าไม่รู้หรือว่าเจ้าคิดถึงใครทั้งวันทั้งคืน เจ้าฝืนทนอยู่ข้างกายข้า คิดกาทุกวิถีทางมิใช่เพื่อให้ได้เห็นหน้าเขาสักแวบหรอกหรือ ไฉนพอได้เห็นกลับจะทำเป็นสาวน้อยผู้ขี้ขลาดน่าสงสารขึ้นมาล่ะ ทำไมก่อนข้าจะออกมาถึงไม่ห้ามข้า ต้องรอถึงตอนนี้ค่อยมาห้ามปราม”
ฉินหว่านเยวียก้มหน้าไม่กล้าเอ่ยปากอีก หูตาแดงก่ำ
กงจู่น้อยหันไปที่แท่นบัลลังก์อีกครั้ง ถามฉอดๆ “เจ้าหาท่านพ่อข้าเจอหรือไม่”
ลั่วปิงเหอตอบว่า “กงจู่ผู้เฒ่าเร้นกายออกพเนจรไปทั่ว ไม่พบร่องรอย”
นี่เป็นคำตอบมาตรฐานไปหน่อยไหม ไม่จริงใจเอาเสียเลย ด้วยความรู้ที่เสิ่นชิงชิวได้จากละครทีวีและนิยาย โดยมากแล้วไอ้คนที่พูดแบบนี้ออกมาขณะที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ มักเป็นตัวการร้ายที่ทำให้ท่านผู้นำคนก่อน ‘ไม่พบร่องรอย’ นั่นแหละ
กงจู่น้อยหัวเราะหยัน “ประโยคนี้อีกแล้ว เจ้าไม่แม้แต่จะเปลืองแรงคิดหาประโยคใหม่มาอ้างกับข้าบ้างหรือ ได้ข้าไม่พูดถึงท่านพ่อก็ได้ เช่นนั้นข้าพูดถึงตัวเองก็แล้วกัน”
นางกล่าวเสียงแหว “ข้าไม่มาหาเจ้า เจ้าก็จะไม่มาพบข้าใช่หรือไม่”
ลั่วปิงเหอไหนเลยจะเป็นผู้ชายประเภทมีของดีแต่ไม่รู้ค่า ปล่อยให้ผู้หญิงเป็นฝ่ายเรียกร้อง อย่าสบประมาทศักดิ์ศรีของพระเอกนิยายฮาเร็มอันดับหนึ่งซิ
แต่เสียดายที่ลั่วปิงเหอไม่คิดจะสนใจศักดิ์ศรีพรรค์นี้สักนิด
ศิษย์วังฮ่วนฮวาสองสามคนทำท่าเหมือนจะเข้าไปปลอบ แต่ความจริงคือเข้าไปลากตัวกงจู่น้อยออกไปข้างนอก นางกรีดร้องโวยวายไปตลอดทาง
ฉินหว่านเยวียก็ตามไปข้างๆ พลางลอบใช้ดวงตารื้นน้ำตาแอบมองลั่วปิงเหอเป็นระยะราวกับคาดหวังอะไรบางอย่าง
เมื่อครู่สายตาซาหัวหลิงไม่วอกแวกแม้แต่น้อย ยืนตัวตรงแน่ว แต่ตอนนี้กลับนิ่วหน้าเดินตามออกไป พอไปถึงระเบียงทางเดินจึงค่อยกล่าวตำหนิ “พวกเจ้ามัวทำอะไรกันอยู่ บอกให้พวกเจ้าคอยดูนางไว้คือดูเช่นนี้น่ะหรือ”
สำหรับการชิงดีชิงเด่นกันระหว่างตัวละครฝ่ายหญิง ความจริงแล้วเสิ่นชิงชิวมีจุดยืนคือการมองดูอยู่ห่างๆ ด้วยความเคารพ ไม่ขอเฉียดใกล้เด็ดขาด แต่เท่าที่ดูมาจนถึงตอนนี้ รู้สึกว่ามันเปลี่ยนจากที่คาดการณ์ไปมาก เลยต้องรีบตามออกไปเป็นขามุงต่อ
ฉินหว่านเยวียกลั้นน้ำตา “ขอโทษด้วย ข้าไม่ทำหน้าที่ให้ดี ข้าห้ามกงจู่น้อยไม่อยู่…”
ซาหัวหลิงตัดบนทันที “แน่ล่ะ มันเป็นความผิดของเจ้าแต่แรกแล้ว เข้าได้ยินว่าผู้หญิงเผ่ามนุษย์ล้วนรักศักดิ์ศรี แต่เจ้ายั่วยวนจวินซั่งไม่สำเร็จมากี่ครั้งแล้วก็ยังดื้อด้านไม่ยอมไป ที่แท้ก็เป็นคนแบบนี้ ไม่ไปก็ช่างเถอะ ให้เฝ้าคนๆเดียวยังทำไม่ได้ พลังฝึกปรีอของนางไม่สูงเท่าเจ้าที่เป็นศิษย์พี่ เจ้าไม่ห้ามปรามแต่ต้นกลับปล่อยให้นางมาอาละวาดต่อหน้าจวินซั่ง เจ้าทำตัวน่าสงสารให้ใครดูกัน”
ฉินหว่านเยวียได้ยินนางเปิดโปงซึ่งๆหน้าก็อับอายเหลือทน ในนิยายดั้งเดิมซาหัวหลิงเกลียดขี้หน้าฉินหว่านเยวียอยู่แล้ว มักคอยจับผิดอีกฝ่ายอยู่ตลอด ดูท่าว่าถึงแม้สองคนนี้จะไม่มีอันดับในฮาเร็มทั้งคู่ แต่ความสัมพันธ์ระหว่างกันก็ไม่ได้ดีขึ้นสักนิด
ซาหัวหลิงหันไปอีกด้าน เปลี่ยนสีหน้าใหม่ กล่าวยิ้มๆกับกงจู่น้อย “กงจู่น้อยหลายปีมานี้ใช้ชีวิตอย่างหรูหราเหมือนดังเดิมทุกประการ นอกจากถูกกักบริเวณเป็นครั้งคราวแล้วดูเหมือนจะไม่เคยได้รับการปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมอะไรกระมัง ไฉนต้องคับอกคับใจปานนี้ด้วยเล่า”
กงจู่น้อยกล่าวอย่างดุดัน “เจ้าเป็นตัวอะไร นางจิ้งจอกแพศยามาจากป่าไหนก็ไม่รู้ ยังกล้ามาพูดจาเช่นนี้กับข้าในวังฮ่วนฮวาหรือ เขาทำกับข้าเช่นนี้ แตกต่างอะไรกับเลี้ยงหมูสักตัว”
ซาหัวหลิงห่อริมฝีปาก “เช่นนั้นไหนกงจู่น้อยลองว่ามาสิ ท่านนอกจากกินๆนอนๆเหมือนตัวอะไรที่ท่านว่า ยังทำอะไรอื่นได้อีกบ้าง”
ฉินหว่านเยวียร้องไห้ “กงจู่น้อย รีบไปเถอะ ทุกอย่างล้วน…ไม่เหมือนเดิมแล้ว…”
กงจู่น้อยกรีดร้อง “ทำไมต้องให้ข้าไป ที่นี่คือวังฮ่วนฮวาของข้า เป็นของข้า พวกเจ้านั่นแหละไสหัวไป มีแต่พวกทรยศทั้งนั้น”
เหตุการณ์ตรงหน้าวุ่นวายโกลาหลสุดๆ
เสิ่นชิงชิวพลันค้นพบความจริงแสนจะช็อคเรื่องหนึ่ง เขาลองงอนิ้วนับอย่างตั้งใจ
ซาหัวหลิว : ไม่ได้รับเป็นเมีย แต่รับเป็นลูกน้องใต้บังคับบัญชา ทุ่มเททำงานด้วยความเหนื่อยยากสายตัวแทบขาด แถมยังทำโอทีอีกต่างหาก แต่เงินเดือนสวัสดิการอะไรพวกนั้นไม่มีสักอย่าง มิหนำซ้ำท่าทีของเถ้าแก่ยังดูไม่เหมือนอยากมีสัมพันธ์ลับในที่ทำงานด้วยเลยสักนิด
หลิ่งหมิงเยียน : กระทั่งแลกพู่ห้อยกระบี่กันเป็นของแทนใจยังไม่มีด้วยซ้ำ
หนิงอิงอิง : หลังจากแตกเนื้อสาวก็ไม่ได้ทำท่าคลั่งรักใส่พระเอกอย่างตอนเป็นวันใสไร้เดียงสาอีกเลย ดูเหมือนว่าสมองส่วนความรักจะได้รับการรักษาแล้ว
กงจู่น้อย : สาวน้อยผู้ตรอมตรมในห้องหอ บอกเองว่าลั่วปิงเหอแค่เลี้ยงนางเหมือนหมู
ฉินหว่านเยวีย : สาวน้อยผู้ตรอมตรมในห้องหอเบอร์ 2 เสนอตัวล้มเหลวหลายครั้ง รั้งตำแหน่งแม่นมของกงจู่น้อยอีกตำแหน่ง
ชิวไห่ถัง : หลังฉุดเสิ่นชิงชิวให้ตกอับแล้วก็น่าจะ NTR กับลั่วปิงเหอไปอย่างลั้นลาแล้วสิ ทำไมถึงยังระหกระเหินกินผุ่นอยู่ล่ะ
นักพรตหญิงสามคน : ออกมาแบบแวบเดียวหาย สวัสดีบ๊ายบาย
………………..
ดูเหมือนว่า ชีวิตของลั่วปิงเหอช่าง…อนาถสุดๆ
พระเอกนิยายฮาเร็มผู้ยิ่งใหญ่ ตกลงนายยังใช้การได้อยู่ไหมนี่
ฮาเร็มดี๊ดีถูกเขาทำเสียหม่นหมองอึมครึม หากนี่เป็นนิยายสักเรื่อง เรื่องราวมาถึงขั้นนี้กลับยังไม่ได้เมียสักคน ยังจะพูดเรื่องค่าความฟินได้อยู่อีกเหรอ
เสิ่นชิงชิวรีบเคาะเรียกระบบมาตรวจสอบค่าตัวเลขทั้งหมด แต่แล้วเขากลับพบว่า ระดับค่าความฟินภายใต้ค่า B ไม่เพียงไม่ลดน้อยลงไปสักนิด แต่พุ่งกระฉุดขึ้นมาตั้ง 900 กว่าคะแนน!
เป็นเพราะค่าคะแนนหลายตัวถูกบวกเข้ามาตอนที่เขาหลับยาวห้าปีและอยู่ในช่วงออฟไลน์เลยไม่มีเสียงแจ้งเตือน
เสิ่นชิงชิวกดเปิดหน้าต่างดูรายละเอียดคะแนนที่ได้เพิ่มมาตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ ข้างในมีประวัติของค่าคะแนนบรรทุกไว้เป็นแถวยาว
[หนิงอิงอิง : ปรับแก้บทตัวละครหญิงที่ทำได้ทุกอย่างเพื่อพระเอกอย่างไร้สมอง ค่า B เพิ่มขึ้น 100 คะแนน]
[หมิงฟาน : ปรับแก้บทตัวประกอบชายที่ไร้ลอจิกปัญญาอ่อน ค่า B เพิ่มขึ้น 50 คะแนน]
[หลิ่วหมิงเยียน : ปรับแก้บทตัวละครหญิงที่ทำทุกอย่างเพื่อพระเอกโดยไม่มีสาเหตุ ค่า B เพิ่มขึ้น 150 คะแนน]
…………………..
ตัวละครหญิงที่ทำทุกอย่างเพื่อพระเอกรวมทั้งลิ่วล้อพลีชีพปัญญาอ่อน สองอย่างนี้เป็นองค์ประกอบคลาสสิกที่ทำให้เกิดความน้ำเน่าของนิยายแนวฮาเร็ม ตอนนี้ตัวละครหญิงไม่ทำทุกอย่างเพื่อพระเอกแล้ว ไอคิวอีคิวของตัวประกอบก็เหมือนจะสูงขึ้น ค่า B ก็ย่อมเพิ่มขึ้นเป็นธรรมดา ประเด็นนี้เสิ่นชิงชิวเข้าใจ
แต่การที่ลั่วปิงเหอไม่ได้แอ้มผู้หญิงสักคน ระบบดันไม่หักค่าความฟินของเขาเลย จุดนี้มันไม่เป็นวิทยาศาสตร์เลยสักนิด
หรือว่าค่าความฟินของพระเอกในตอนนี้ไม่ได้ผูกติดกับตัวเขาแล้ว หรือไม่ ‘ความฟิน’ ของพระเอกก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับประเด็นนี้แล้ว
นี่มัน…เสิ่นชิงชิวอดในไม่อยู่เหลือบตาขึ้นมองลั่วปิงเหอที่นั่งทำหน้านิ่งขึงอยู่ แล้วพลันเกิดความรู้สึกไม่กล้ามองเขาตรงๆ
บาปกรรมหนอบาปกรรม หรือตนอบรมเลี้ยงดูพระเอกนิยายฮาเร็มดีๆคนหนึ่งซะจน X ตายด้านไปแล้ว
เขาปิดหน้าต่างข้อมูลด้วยอารมณ์ซับซ้อน แต่แล้วเสิ่นชิงชิวพลันค้นพบว่าที่อยู่ของตัวเองกลับดูแปลกๆไป
เมื่อกี้เขายังเป็นแค่ขามุงยืนดูเหตุการณ์อยู่ในวังฮ่วนฮวาอยู่เลย ทำไมเดินมาถึงป่าไผ่ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้แล้วล่ะ แล้วยังเป็นป่ไผ่ที่ดูคุ้นตาอย่างบอกไม่ถูกอีกด้วย
ต้นไผ่เสียดสีกันดังแกรกกราก สายลมพัดโชยอ่อนๆ
เสิ่นชิงชิวหายสงสัย สถานที่แห่งนี้ต่อให้เห็นแค่มุมเดียว เขาก็รู้แล้วว่ามันคือที่ไหน
ชางฉยงซาน ยอดเขาชิงจิ้งเฟิง
สถานที่ที่เขาอยู่นานที่สุดในชาตินี้ ยังจะไม่คุ้นตาได้หรือ
ระบบ [สถานที่เบื้องหน้าท่าน : ห้วงแห่งความฝันของลั่วปิงเหอ]
ในยามที่จิตสำนักของลั่วปิงเหอไม่มั่นคง ปั่นป่วนมากเข้า มักมีคนได้รับผลกระทบไปด้วย ถูกม้วนเข้าไปในห้วงฝันที่กว้างใหญ่ไพศาลราวกับวังน้ำวนในมหาสมุทร พูดอีกอย่างก็คือถูกห้วงจินตนาการอันลึกล้ำลุดจะเปรียบของลั่วปิงเหอเล่นงานเข้าให้ ซึ่งหาอ่านรายละเอียดได้ในตอนด่านมารฝัน
เสิ่นชิงชิวเคยเดินอยู่ในด่านมารฝันกับเขามาก่อน ที่บอกว่าครั้งแรกแปลกที่ เดี๋ยวครั้งที่สองก็ชินไปเอง มันก็หลักการเดียวกับตอนเชื่อต่อ WiFi แล้วครั้งหนึ่งนั่นแหละ พอครั้งที่สองไม่ต้องใส่พาสเวิร์ดก็เชื่อมต่อโดยอัตโนมัติแล้ว
เสิ่นชิงชิวรีบเอามือลูบหน้า ในห้วงฝัน เขากลับมามีหน้าตาแบบเดิมอีกครั้ง หน้านี้ไม่มีหนวดเคราเลยทำให้มีความรู้สึกไม่ปลอดภัยเท่าไหร่ จึงกำลังคิดจะหาที่ซ่อนตัวสักแห่งจนกว่าลั่วปิงเหอจะตื่นขึ้นมาเอง ระหว่างทางมีศิษย์เดินผ่านหน้าไปสองสามคน เสิ่นชิงชิวตัวแข็งทื่อจนลืมไปเลยว่าต้องหาที่ซ่อนตัว
ศิษย์ที่เดินไปเดินมาเหล่านี้ถึงแม้สีหน้าราบเรียบ แต่ก็มีจมูกมีตา มีเครื่องหน้าครบถ้วนถูกต้อง ขนาดที่ว่าเสิ่นชิงชิวสามารถจำชื่อได้หลายคนด้วยซ้ำ
แม่แต่มารฝันเองยังไม่อาจสร้างเขตอาคมขนาดใหญ่ที่สามารถมั่นใจได้ว่าสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในนั้นจะมีเครื่องหน้าครบครัน แต่ลั่วปิงเหอกลับทำได้ ทั้งยังละเอียดลออถึงขั้นนี้ แม้จะรู้มานานแล้วว่าความสามารถของลั่ปิงเหอนั้นขนาดปิดคลุมผืนฟ้าบดบังดวงตะวัน ทว่าเสิ่นชิงชิวกลับยังอดทอดถอนใจไม่ได้ “สุดยอดจริงๆ”
เมื่อโผล่พ้นดงไผ่ก็เป็นเรือนไผ่ชิงจิ้ง หลังคาไม่ไผ่ไล่ระดับกันอย่างเหมาะเจาะกลมกลืน น้ำพุพุ่งละออกฝอยต้องแสงแดดเห็นประกายรุ้งเจ็ดสี คลอเคล้าไปกัยเสียงติงๆตังๆดังเป็นจังหวะ
เสิ่นชิงชิวกังวลว่าลั่วปิงเหอจะอยู่ข้างในจึงไม่กล้าเดินเข้าไป ดงไผ่นี้เขามักเข้ามาเดินเล่นยามว่างนับครั้งไม่ถ้วน เลยหาที่ซ่อนตัวได้อย่างไม่ยากเย็น ก่อนเข้าไปซุ่มหลบอยู่ในเงามืด
ทันใดนั้นก็มีเสียงเหยียบเศษใบไม้เบาๆ จากนั้นเด็กหนุ่มในชุดขาวอายุประมาณสิบห้าสิบหกปีก็เดินออกมาจากดงไผ่เขียวขจี
เด็กหนุ่มผู้นี้ผิวพรรณขาวหมดจด เหมือนเขาจะวิ่งมาตลอดทางหน้าผากจึงผุดเหงื่อบางๆ ชั้นหนึ่ง สองแก้มแดงปลั่ง น่าเอ็นดูยิ่งนัก ลูกตาคมชัดแต่ไม่ดุดัน ยังดูเด็กๆอยู่เลย
เสิ่นชิงชิวอดถอนใจด้วยความเสียดายไม่ได้ นานเหลือเกินแล้วที่ไม่ได้เห็นลั่วปิงเหอที่สดใสเหมือนแสงตะวันแบบนี้
ช่วงที่ลั่วปิงเหอฝึกวิชาอยู่ที่ชิงจิ้งเฟิงจะชอบสวมชุดสีขาว ทว่าหลังจากพลิกฟ้ากลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่แห่งภพมารก็สวมแต่ชุดดำตลอด ตรงกันข้ามกับเมื่อก่อนอย่างสิ้นเชิง ท่าทางสดใสแบบเด็กๆ ไม่หลงเหลือให้เห็นอีกเลย
เขาเดินตรงเข้ามา จากนั้นก็ร้องเรียกอย่างร่าเริงว่า “ซือจุนขอรับ”
เสิ่นชิงชิวซ่อนตัวอยู่ เสียงนี้ย่อมไม่ใช่เพื่อเรียกเขา เขาเปลี่ยนมุมเล็กน้อยก็เห็นร่างในชุดเขียวยืนอยู่เกือบสุดปลายทางศิลา
‘เสิ่นชิงชิว’ ที่ถือกำเนิดจากความทรงจำผู้นี้ ยืนอยู่ในดงไผ่เขียวขจี รูปร่างสูงเพรียว ดูผึ่งผายสง่างามราวกับลำไผ่ สีหน้าสงบนิ่ง ทั่วร่างราวกับเอิบอาบไปด้วยปราณเซียน เพียงมองด้วยสายตาก็เห็นถึงความผ่องแผ้วพิสุทธิ์ปลอดซึ่งละออกธุลีของโลกียะ เสิ่นชิงชิวคนปัจจุบันในฐานะที่เป็นคนดู ขนาดใช้สายตาของนักวิจารณ์มาประเมินแล้วยังอดคารวะไม่ได้
เต๊ะท่าได้ถึงขั้นนี้ ระดับฝีมือนับว่าเทพจริงๆ
ลั่วปิงเหอสามารถสร้างทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นมาใหม่ได้อย่างสมบูรณ์ครบถ้วยทุกรายละเอียดโดยไม่เหลือบ่ากว่าแรงเลยสักนิด สมกับเป็นผู้สืบทอดวิชาของมารฝันโดยแท้
เสิ่นชิงชิวที่เหมือนกำลังยืนเหม่อลอยอยู่ในดงไผ่ค่อยๆเบนหน้ามา “วิ่งเสร็จแล้วหรือ”
ลั่วปิงเหอพยักหน้า “สิบรอบ…ครบแล้วขอรับ”
ในที่สุดเสิ่นชิงชิวก็นึกเหตุการณ์ช่วงนี้ออก
ที่ลั่วปิงเหออบกว่า ‘สิบรอบ’ ก็คือวิ่งรอบๆชิงจิ้งเฟิงสิบรอบ เสิ่นชิงชิวเป็นผู้มอบหมายภารกิจนี้ให้เขาเองนั่นแหละ
นี่ไม่ใช่การลงโทษพระเอกผู้ยิ่งใหญ่ด้วยเจตนาร้ายแต่อย่างใด ทว่าเป็นเพราะเหลือทนแล้วจริงๆ นับจากเขารับหน้าที่อบรมสั่งสอนลั่วปิงเหอ ในเมื่อตั้งใจจะทำหน้าที่อาจารย์แล้ว อย่างไรก็ต้องสอนสิ่งที่ใช้ได้จริงๆ เผื่อว่าวันหลังเกิดแตกหักกัน อย่างน้อยๆ พอถึงตอนที่ต้องพูดว่า ‘ความรักผูกพันระหว่างศิษย์อาจารย์ พระคุณที่สั่งสอนอบรมมา…’ จะได้ไม่ถึงขนาดถ้อยคำยังไม่ทันหลุดจากปาก หนังหน้าแก่ๆก็มีอันม้านไปเสียก่อน
ตามโปรแกรมการสอน ขั้นแรกต้องแก้ไขตำแหน่งการเคลื่อนไหวและท่าร่างที่สับสนมั่วซั่วของลั่วปิงเหอ
สำหรับผลการเรียนนั้น เป็นอย่างที่เคยว่าไว้คือลั่วปิงเหอเอาแต่พุ่งเข้าใส่อ้อมกอดเขาอยู่เกือบครึ่งเดือน
เสิ่นชิงชิวสั่ง “เอาใหม่ ขืนคราวนี้ยังไม่ถูกต้องอีก จะไม่ใช่แค่สิบรอบแล้วนะ”
ลั่วปิงเหอเข้าไปใหม่อย่างเชื่อฟัง คราวนี้ฝ่ายนั้นไม่ได้พุ่งชนตนอีก แต่เท้ากลับลื่นพรืด ถลาเข้ามากอดเอวตนเต็มๆ
เสิ่นชิงชิวจนคำพูด “…”
ลั่วปิงเหอกล่าวอย่างละอาย “ซือจุนขอรับ ศิษย์ช่างใช้ไม่ได้จริงๆ วิ่งสิบรอบ ขาเลยไม่มีแรงเสียแล้ว”
เสิ่นชิงชิวถอนใจ
ลั่วปิงเหอกล่าวเองเสร็จสรรพ “ศิษย์ทราบแล้ว ประเดี๋ยววิ่งยี่สิบรอบเลยขอรับ”
เสิ่นชิงชิวกล่าวว่า “รอบเริบอะไรกันเล่า กลับเข้าห้องไปพักเถิด” เขาไม่ได้ชื่นชอบการทารุณเด็กเป็นงานอดิเรกเสียหน่อย เวลานั้นเขาหมดอาลัยตายอยากแล้วจริงๆ จะเป็นไงก็ช่างมันแล้ว
ไม่ซงไม่สอนแล้ว ความสำเร็จสักนิดก็ไม่มี เขาถึงกับขว้างตำราทิ้งเลยทีเดียว
ลั่วปิงเหอไม่รู้ตัวแม้แต่น้อยว่าถูกเมินแล้ว ยังคงกล่าวอย่างร่าเริง “ขอบพระคุณซือจุน ยี่สิบรอบศิษย์ขอยกยอดไปชดเชยวันพรุ่งนี้นะขอรับ เย็นนี้ซือจุนอยากกินอะไรขอรับ”
เสิ่นชิงชิวปาดหน้าผากอยู่อีกข้างหนึ่ง
ลั่วปิงเหอในตอนนั้นใสซื่อน่ารักจริงๆ
ยอมทนถูกตีถูกด่าโดยไม่ปริปาก ยอมให้ขี่ให้เตะ ยอมเป็นคนทำอาหาร แค่กๆ แน่นอนว่ารายการเหล่านี้ส่วนใหญ่ไม่ใช่เสิ่นชิงชิวเป็นผู้กระทำหรอกนะ
เสิ่นชิงชิวมองตามศิษย์อาจารย์เสมือนจริงคู่นี้เดินจากไป แล้วออกมาจากที่ซ่อนอย่างสงสัย
ในห้วงแห่งความฝันที่ลั่วปิงเหอสร้างขึ้นมาเพื่อตัวเองนั้นย่อมต้องเลือกแต่ความทรงจำที่ทำให้รู้สึกดี แต่หากความทรงจำช่วงที่อยู่ชิงจิ้งเฟิงสามารถครอบครองพื้นที่ในห้วงฝันได้ อย่างนั้นก็น่าจะเป็นเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับหนิงอิงอิงถึงจะถูก แล้วทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้ล่ะ
ห้วงฝันสามารถสะท้อนด้านที่เป็นความรู้สึกที่แท้จริงของคน ไม่อาจปั้นเสริมเติมแต่งได้เลย ความคิดที่ไม่เคยมีมาก่อนพลันผุดวาบขึ้นมาในหัวเสิ่นชิงชิว
ถึงแม้ความคิดนี้ออกจะเข้าข้างตัวเองไปสักหน่อย แต่…บางที…อาจจะนะ…ไม่แน่ว่าความรู้สึกผูกพันระหว่างศิษย์อาจารย์นั้นอาจมีตำแหน่งสำคัญในใจลั่วปิงเหอมากกว่าที่เขาคิดก็ได้
อย่างน้อยก็ยังมีช่วงเวลาแห่งความทรงจำดีๆ เกี่ยวกับเขาให้ลั่วปิงเหอได้ย้อนรำลึกถึงอยู่บ้าง ไม่ถึงขนาดเกลียดชังจนไม่อยากมองหน้า
แต่ลั่วปิงเหอดันเป็นสาย M หน่อยๆ ไม่ใช่ว่าเสิ่นชิงชิวมองเขาในแง่ร้ายนะ แต่ว่ากันตามจริงแล้ว ความทรงจำอย่างถูกลงโทษให้วิ่งสิบรอบ มองอีท่าไหนก็ไม่น่าใช่ความทรงจำที่ ‘สวยงาม’ ไหม
ทันใดนั้นเสิ่นชิงชิวก็เย็นวาบที่คอ เหมือนกับมีสายตาที่ทั้งเย็นเยือกทั้งร้อนแรงมองไล่ปราดขึ้นมาตามแนวสันหลัง
เขาหันขวับไปโดยไม่รู้ตัว ลั่วปิงเหอในชุดดำเอามือกอดอกยืนพิงไผ่เขียวต้นหนึ่ง จับจ้องมาที่เขา
คนทั้งสองสบตากันเงียบๆ
…ตัวจริงหรือ
ตัวจริง!
ปฏิกิริยาแรกของเสิ่นชิงชิวไม่ใช่ออกวิ่ง หากแต่ยืนนิ่งอยู่กับที่ไม่ขยับ และปรับสีหน้าให้เป็นธรรมชาติที่สุด
ไม่ใช่ว่าเขาตกใจจนเป็นบื้อเลยแข้งขาอ่อนวิ่งไม่ออก แต่เป็นเพราะเตรียมใจไว้แต่แรกแล้วว่าจะต้องเจอสถานการณ์เช่นนี้ ‘วิ่ง’ ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ ในเขตอาคมนี้ ลั่วปิงเหอเป็นเจ้าถิ่นจะวิ่งเร็วแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์
สายตาที่ทั้งเย็นเยือกและร้อนแรงเมื่อครู่ ใช่ว่าเขาจะรู้สึกไปเอง ทั้งไม่ใช่ว่าเขาเลือกคำมาบรรยายผิด แววตาของลั่วปิงเหอเหมือนน้ำแข็งและไฟจริงๆ ทั้งเย็นเยือกทั้งร้อนแผดเผา อุณหภูมิสองชนิดนี้ผสมปนเปกันอย่างประหลาดอยู่ในดวงตาซึ่งกำลังจับจ้องมาที่ร่างของเขา
เสิ่นชิงชิวแข็งใจกัดฟันมองสู้ตาอีกฝ่าย
ผ่านไปครู่ใหญ่ยังคงเป็นลั่วปิงเหอที่ถอนใจก่อน
เขากล่าวพึมพำ “สร้างฝันเป็นนี่ก็ดีเหมือนกันนะ”
พอได้ยินประโยคนี้เสิ่นชิงชิวก็รู้ทันทีว่าที่เลือกเดินหมากเสี่ยงคราวนี้ พอมีหนทางรอดแล้ว
เสิ่นชิงชิวทำขวัญกล้ากลับชนะเดิมพันโดยไม่คาดคิด ด้วยสภาพใจลอยของลั่วปิงเหอในเวลานี้ เลยเหมาเอาว่าตนเป็นสิ่งที่ตัวเขาสร้างขึ้นในแดนฝัน
เสิ่นชิงชิวมองลั่วปิงเหอยืนพิงตันไผ่จ้องตนอย่างเหม่อๆ ก็นึกถึงท่านั่งใจลอยของเขาเมื่อกลางวันที่ดูเดียวดายเป็นอย่างมาก เทียบกับลั่วปิงเหอในนิยายดั้งเดิมที่เฉิดฉายท่ามกลางดงบุปผา เรียกทีเดียวระดมสาวได้เป็นร้อยก็ชวนให้เศร้าใจนัก
เมียที่จะคอยเยียวยาประคบประหงม ถามไถ่อย่างเป็นห่วงอยู่ข้างกายก็ไม่มีแม้แต่คนเดียว จะไม่ให้เสิ่นชิงชิวเศร้าใจได้อย่างไร พระเอกนิยายฮาเร็มผู้ยิ่งใหญ่ต้องตกต่ำถึงขั้นนี้ ผู้ชายที่ไหนก็ทนมองไม่ไหวหรอก
ลั่วปิงเหออ้อนวอน “ซือจุน ท่านพูดกับข้าสักหน่อยเถอะ”
ขณะนี้ในใจของเสิ่นชิงชิวมีแต่ความสงสารลั่วปิงเหอ จึงตอบด้วยสีหน้าอ่อนโยน “ได้ซิ เจ้าอยากพูดอะไรเล่า”
นึกไม่ถึงว่า พอเขากล่าววาจา ลั่วปิงเหอกลับเป็นฝ่ายตกตะลึงและยืดตัวตรง ผละออกจากต้นไผ่ที่ยืนพิงอยู่ ทำหน้าเหมือนไม่อยากเชื่อ
เวรละซิ เสิ่นชิงชิวคิด หรือว่าตอบแบบนี้ไม่ถูกต้องกัน
แต่ในเมื่อเปิดฉากไปแล้วก็ต้องเล่นไปให้จบ ห้ามล้มเลิกเอากลางคันเด็ดขาด ขายหน้าเรื่องเล็ก ความแตกซิเรื่องใหญ่
เสิ่นชิงชิวยิ้มจางๆ “เจ้ามิใช่บอกว่าอยากพูดกับเหวยซือหรอกหรือ”
เขาใช้น้ำเสียงเหมือนที่เคยพูดกับลั่วปิงเหอเป็นประจำในสมัยก่อน
มุมปากของลั่วปิงเหอขยับ ค่อยๆเดินเข้ามา
เสิ่นชิงชิวนิ่งเงียบโดยที่หน้าไม่เปลี่ยนสี ค่อยๆกางพัดด้ามจิ้วในมือ เพื่อใช้การกระทำเล็กๆน้อยตามความเคยชินมาผ่อนคลายความกดดัน
ลั่วปิงเหอเงียบไปพักใหญ่ แล้วกล่าวว่า “เมื่อก่อนซือจุนกระทั่งจะมองยังไม่มองข้า เดินจากไปเลยไม่เหลียวแล อย่าว่าแต่จะพูดกับข้าเลย วันนี้ข้าสร้างฝันได้ดีเหลือเกิน”
เสิ่นชิงชิวไหววูบในใจ
แม้จะรู้สึกว่ามีตรงไหนทะแม่งๆอยู่ แต่เมื่อได้ฟังที่เขาพูดก็รู้สึกสงสารขึ้นมาจริงๆ หรือว่า ‘เสิ่นชิงชิว’ ในความคิดของลั่วปิงเหอเมื่อก่อนทำตัวสูงส่งเย็นชาต่อลั่วปิงเหอมาตลอดอย่างนั้นหรือ
ลั่วปิงเหอต้องมีแนวโน้มที่จะเป็นสาย M แน่เลย
เสิ่นชิงชิวมัวแต่คิดจนใจลอย มือก็ขยับไปเองโดยไม่รู้ตัว ยกมือขึ้นลูบศีรษะของลั่วปิงเหอโดยอัตโนมัติ นี่เป็นสิ่งที่เขาเคยทำมานับครั้งไม่ถ้วน
ว่ากันว่าอย่าลูบหัวผู้ชาย อย่าจับเอวผู้หญิง แต่ยิ่งบอกว่า ‘อย่า’ ก็ยิ่งยั่วให้คนเราอยากทำมากขึ้น
เสิ่นชิงชิวนั้นจะชอบลูบศีรษะคนอื่นมาก แต่เสียดายที่พอโตเป็นผู้ใหญ่ก็ไม่สามารถทำกิริยาที่จะเป็นการเสียมารยาทอย่างนี้ได้บ่อยๆ ทั้งไม่มีใครเต็มใจยอมให้เขาลูบหัวเล่นตามใจชอบด้วย ดีที่เมื่อก่อนลั่วปิงเหอไม่เคยถือสาที่เขาเอามือไปวางบนศีรษะ เวลาเสิ่นชิงชิวไม่มีอะไรทำก็มักลูบศีรษะลั่วปิงเหอจนติดเป็นนิสัยไปแล้ว ตอนนี้เลยทำลงไปโดยไม่รู้ตัว
ลูบไปได้ไม่ทันไร จู่ๆลั่วปิงเหอก็คว้าข้อมือข้างซ้ายของเขาหมับ
เสิ่นชิงชิวสีหน้าแข็งค้าง คิดว่า นี่มันจะใกล้ชิดไปหน่อยไหม
ต่อมาข้อมือข้างขวาของเขาก็ถูกยืดแน่นเช่นกัน เสิ่นชิงชิวเงิยหน้าขึ้นด้วยความตกตะลึง รู้สึกเบื้องหน้าพร่าเลือนฉับพลัน
ที่แก้มรู้สึกเหมือนถูกขนนกปัดผ่านเบาๆ จากนั้นที่ริมฝีปากก็มีสัมผัสแปลกประหลาดเจือด้วยไออุ่นแต่แฝงความเย็นนิดๆส่งผ่านเข้ามา
เขาเบิกตาโตทันที แล้วสบเข้ากับดวงตาดำขลับของลั่วปิงเหอเข้าเต็มๆ ลูกกระเดือกพลันขยับขึ้นลงด้วยความยากลำบาก
แม้อยากกล่าววาจา แต่อ้าปากพูดไม่ได้ เพราะริมฝีปากถูกผนึกไว้
ลั่วปิงเหอหลับตาพริ้ม ขนตายาวสีดำสนิททาบเป็นเงาที่แก้ม ดูน่ารักน่าเอ็นดูเป็นที่สุด แต่ปากกับมือกลับเป็นคนละเรื่อง ริมฝีปากของเสิ่นชิงชิวถูกเขากัดและดูดเม้มอย่างดุเดือด แฝงอารมณ์แค้นเคืองแบบเด็กๆ มือขวาละจากแขนที่แข็งทื่อของเสิ่นชิงชิว เปลี่ยนเป็นโอบเอวแทนแล้วรวบตัวเข้ามาในอ้อมอกตน เห็นอยู่ว่ารูปร่างของคนทั้งคู่ไม่แตกต่างกันมากนัก แต่เสิ่นชิงชิวกลับถูกลั่วปิงเหอกักไว้ในอ้อมกอดด้วยมือข้างเดียวอย่างสบายๆ
โลกทัศน์ของเสิ่นชิงชิวพังทลายแล้วพังทลายอีก วนลูปไม่จบไม่สิ้น
ทันใดนั้นเสียงประกาศข้อความของระบบก็ตีฝ่าสภาพพังทลายของเขามาพร้อมกับดนตรีประกอบซึ่งใช้ในวาระโอกาสเฉลิมฉลอง
[ค่าความฟินเพิ่มขึ้น 500 คะแนน! ยินดีด้วย! ยินดีด้วย! ยินดีด้วย! เรื่องสำคัญจะกล่าวสามรอบ!]
เสิ่นชิงชิว “เหวอ…นี่มันเรื่องบ้าอะไรกานนนนน!?”
ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไม ลั่วปิงเหอทั้งๆที่สาวสักคนก็ไม่ได้แอ้ม และฮาเร็มที่ควรมีหญิงงามสามพัน กระทั่งเส้นผมสักเส้นยังไม่มีให้เห็น แต่ค่าความฟินกลับไม่ถูกหักสักนิด
เพราะลั่วปิงเหอใช้ตัวเขามาเติมค่าความฟินนี้เอง อ๊าาาาาา!!!
ความเข้าใจที่มาแบบไม่ทันตั้งตัวทำเอาเสิ่นชิงชิวกึ่งสยองกึ่งปวดใจ ยกขาขึ้นถีบ
ลั่วปิงเหอก็ไม่หลบไม่หลีกเลยถูกถีบอย่างจัง แต่แม้ก้าวเดียวก็ไม่ถอย ยังคงกอดเขาไม่ยอมปล่อย ดูจะทั้งโมโหทั้งน้อยอกน้อยใจ ถามว่า “ในฝันก็ไม่ได้หรือ”
รีบตื่นได้แล้ว! ถึงมันจะเป็นความฝัน แต่ฉันก็ไม่ใช่สิ่งที่ความฝันของนายสร้างขึ้นมานะ!
จะฟาดเขาให้ตื่นก็ไม่ได้ แต่จะปล่อยให้เลอะเลือนต่อก็ไม่ได้อีก!
แบบนี้แหละที่เรียกว่าจะเลือกทางไหนก็ตายสถานเดียวของแท้เลย!
เสิ่นชิงชิวยังคิดไม่ออกว่าจะตวาดอะไรดีเพื่อสงบสติอารมณ์ของคน ขณะที่มัวเผลอคิดอยู่ หลังก็ชนเข้ากับต้นไผ่ แล้วถูกจับตรึงไว้เช่นนั้น จากนั้นลั่วปิงเหอก็ก้มหน้าลงมาอีกครั้งหนึ่ง
เสิ่นชิงชิวไม่ใช่ไม่เคยถูกใครจูบมาก่อน แต่นี่เป็นครั้งแรกที่รู้สึกหวาดผวาว่าอีกฝ่ายจะคลุ้มคลั่งกัดริมฝีปากเขาแหว่งได้ทุกเมื่อ ขณะที่หอบหายใจไม่เป็นส่ำ ลั่วปิงเหอก็กล่าวเสียงเบา “ซือจุน ข้าผิดไปแล้ว…”
ในที่สุดเสิ่นชิงชิวก็ชักมือข้างหนึ่งมายันอกลั่วปิงเหอไว้ได้สำเร็จ ไม่เคยคิดสักนิดว่าจะต้องมาทำท่าแบบกุลสตรีขัดขืนอันธพาลแบบนี้ แต่แม่งเหอะ! ท่าทางแบบนี้ของนายมันเหมือนคนสำนึกผิดแล้วจริงๆงั้นเรอะ!
เขาต่างหากที่ทำพลาดไปแล้ว พลาดไปแล้วจริงๆ พลาดอย่างสิ้นเชิง นี่แหละที่เรียกไม่มีไฟก็ไม่มีควัน ข่าวลือในยุทธจักรล้วนตั้งอยู่บนพื้นฐานของวิทยาศาสตร์ ชาติก่อนของขาเผือกทุกคนก็คือเทวดาปีกหัก เลยสามารถมองทะลุสิ่งที่เห็นภายนอกผ่านเข้าไปถึงแก่นแท้ได้!
สรุปแล้ว ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่เขาเลี้ยงพระเอกมาให้ X ตายด้านหรือดันกลายเป็นสาย M แต่ความจริงมันน่ากลัวกว่านั้น เขาทำซะพระเอกกลายเป็นเกย์ไปแล้ววววว
ถึงว่าเมียสักคนก็ไม่รับเข้าฮาเร็ม ผู้หญิงไม่สามารถทำให้พระเอกสนใจได้ และไม่เกี่ยวอะไรกับค่าความฟินของเขาเลย
อยากจะบ้า!
แน่นอนว่าตีให้ตายเสิ่นชิงชิวก็ไม่มีทางสมยอมเด็ดขาด เขาออกแรกดิ้นขัดขืนสุดชีวิต ขณะกำลังคิดว่าระหว่างระเบิดพลังทิพย์ตัวเองอีกสักรอบกับถีบเข้าที่จุดยุทธศาสตร์ของลั่วปิงเหอ จุดจบอันไหนจะโหดกว่ากันนั้น ลั่วปิงเหอก็ปล่อยเขากะทันหันและมองดูท้องฟ้าเหนือศีรษะที่เต็มไปด้วยเมฆปั่นป่วน สีหน้ามืดทะมึนโดยพลัน
พริบตานั้นนั่นเอง ตัวคนและภาพเหตุการณ์เบื้องหน้าเสิ่นชิงชิวก็พังครืนแตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย พร้อมกับที่เสิ่นชิงชิวกระโดดปราดขึ้นไปอยู่บนหลังคาหอใหญ่ของวังฮ่วนฮวา
นี่ถึงจะเป็นโลกแห่งความจริง
เสิ่นชิงชิวสูดลมหายใจเป็นการใหญ่ ตั้งสติให้มั่นอย่างยากเย็น แต่แล้วก็ต้องตื่นตระหนกเมื่อพบว่าหอหลักเบื้องล่างมีแสงไฟสว่างไสวไปทั่ว เสียงระฆังเตือนภัยดังลั่น เขาโผล่หน้าไปมอง เสื้อผ้าถูกลมกลางคืนตีสะบัด มองจากข้างบนลงไป แสงไฟนับไม่ถ้วนมุ่งหน้ามาทางนี้ บรรดาศิษย์วังฮ่วนฮวากรูเข้ามาทุกทิศทุกทาง
“เวรยามทุกคน! เวรยามทุกคนฟังคำสั่ง เวรยามเตรียมพร้อม”
มีคนร้องด่า “ทำไมมาอีกแล้ว นี่บุกเข้ามาครั้งที่เท่าไหร่แล้วนี่ เคยสกัดไว้ได้สักครั้งไหม”
เสิ่นชิงชิวดีใจใหญ่ บุกเข้ามาเลย จะได้ฉวยโอกาสหนี ห่วงอะไรกับโลหิตมารฟ้า อะไรจะมาสำคัญไปกว่าความบริสุทธิ์ของเราอีกล่ะ ไปก่อนล่ะ แล้วค่อยว่ากัน ลาก่อนละน้า
ผลปรากฏว่าเขายังไม่ทันจะไปไหนไกล ก็มีคนตะโกนขึ้นอีก “ไปทางหอฮ่วนฮวาแล้ว ก่อตั้งค่ายกลสกัดหลิ่วชิงเกอไว้”
เสิ่นชิงชิวขาลื่นพรืด หันกายกลับมาเดี๋ยวนั้น
ให้มันได้งี้ซิ! หลิ่วชิงเกอดันต้องมาในเวลานี้ด้วย จะทิ้งฝ่ายนั้นไว้กับลั่วปิงเหอที่กำลังโมโหดุเดือดได้ยังไง
หอฮ่วนฮวาคือสถานที่ๆกงจู่ทุกรุ่นใช้เป็นห้องบำเพ็ญฌานและหลับนอน ห่างจากตรงนี้ไม่ไกล
เสิ่นชิงชิวกระโดดลงจากหลังคา ปะปนไปกับคนกลุ่มใหญ่ที่วิ่งพรูตามกันไป แต่ยังไม่ทันก้าวเข้าประตูหอฮ่วนฮวา ลมเย็นเฉียบก็พุ่งเข้าปะทะหน้า เสียงตวาดเปี่ยมจิดสังหารดังมาจากข้างใน
“ไปให้พ้น!”
บรรดาศิษย์ได้ยินเสียงระฆังเตือนภัยก็เฮโลกันเข้าไปข้างในหอโดยไม่ดูตาม้าตาเรือง พวกที่อยู่แถวหน้าสุดนับสิบคนต่างถูกคลื่นพลังรุนแรงกระแทกซัดจนตัวลอย
เสิ่นชิงชิวอยู่ในกลุ่มคนชุดหลังเลยหลบได้ทันพอดี จากนั้นเลือกตำแหน่งเหมาะๆ อาศัยความวุ่นวายเพื่อลอบเข้าไป แต่เพิ่งจะเข้าห้องได้ไม่นานก็หนาวเยือกจนรู้สึกขนลุก
หอฮ่วนฮวาทั้งหลังราวกับกลายเป็นถ้ำน้ำแข็งขนาดยักษ์ เข้าไปก้าวเดียวก็เหมือนกับก้าวเข้าไปในพิภพน้ำแข็ง ลมหนาวพัดฉิวเข้ามาในแขนเสื้อและตัวเสื้อของเสิ่นชิงชิว เหงื่อเย็นๆที่กลางหลังและหน้าผากจับตัวเป็นฝ้าน้ำแข็งบางๆอย่างรวดเร็ว แค่นี้ก็รู้เลยว่าในห้องจะหนาวขนาดไหน
ไม่เพียงอุณหภูมิต่ำผิดปกติ ผนังรอบด้านยังถูกผนึกไว้แน่นหนา หน้าต่างทุกบานปิดสนิทชนิดลมไม่อาจลอดผ่าน ทั้งหนาวทั้งมืด หากไม่ใช่ถูกผู้บุกรุก(ซึ่งก็คือหลิ่วชิงเกอหัวหน้าแผนกรื้อถอนแห่งชางฉยงซาน) ฝืนทำลายเปิดทางไว้ช่องหนึ่ง ก็ไม่ต่างจากโลกเย็นแช่ศพเลยทีเดียว
บนตั่งกลางหอ ผ้าม่านห้อยลงมาปิดบังครึ่งๆกลางๆ เสื้อผ้าขาวๆดำๆหลายชิ้นกองเรี่ยราดกระจัดกระจายอยู่ข้างตั่ง
ลั่วปิงเหอสวมเพียงเสื้อตัวกลาง ท่าทางเหมือนเพิ่งจะลุกจากที่นอน ผมดำขบับแผ่สยาย เสื้อผ้าไม่อยู่ในที่ในทาง คอเสื้อเอียงกระเท่เร่ ใบหน้าขาวซีดผิดปกติแต่ริมฝีปากกลับแดงฉานปานโลหิต ในดวงตามีไฟสองกองลุกเรือง ดูน่าหวาดสะพรึงยิ่งนัก ทั้งหมดนี้บอกให้รู้ว่าอยู่ในสภาพพร้อมเปิดศึก
เบื้องหน้าห่างไปเจ็ดก้าว หลิ่วชิงเกอกำกระบี่แน่นจนเห็นข้อนิ้วปูดโปน สีหน้าเคร่งเครียด
หลิ่วชิงเกอจ้องมองลั่วปิงเหอที่นั่งเฉยอยู่ข้างตั่งอย่างไม่สะทกสะท้าน กล่าวทีละคำ “ไอ้หมาพันทาง”