Skip to content

Scumbag System 9

บทที่ 9

ชายแดน

พื้นที่ชายแดน

ลมราตรีพัดเร็วแรงผ่านเมืองน้อยที่มีบ้านคนดูบางตา

ถนนทั้งสายมีเพียงแสงไฟสีเหลืองนวลจากร้านน้ำชาแห่งหนึ่ง จึงค่อยพบวี่แววผู้คนขึ้นมาบ้าง

ที่เรียกว่าพื้นที่ชายแดนนั้นไม่ใช่พื้นที่ชายแดนระหว่างแคว้นหรือระหว่างเมือง หากแต่เป็นบริเวณรอยต่อระหว่างภพมารและภพมนุษย์

สองเผ่าพันธุ์แยกกันอยู่คนละภพ ความจริงระหว่างกลางยังมีห้วงอเวจีอันเป็นมิติที่ฉีกขาดคั่นอยู่ แต่ก็มีบางพื้นที่ๆเขตอาคมกั้นแบ่งอ่อนกำลัง มีการเหลื่อมล้ำของมิติจึงมักพบเห็นผู้อยู่อาศับของสองเขตแดนเดินทางข้ามภพไปมา การลักลอบข้ามพรมแดนไปยังภพหนึ่งด้วยเจตนาร้ายเกิดขึ้นบ้างเป็นครั้งคราว

ไม่มีคนปกติธรรมดาที่ไหนอยากอยู่ในที่ๆเผ่ามารประเดี๋ยวผลุบประเดี๋ยวโผล่ วันนี้เข้ามาลักเล็กขโมยน้อย พรุ่งนี้ฆ่าคนวางเพลิง ดังนั้นวี่แววผู้คนบริเวณพื้นที่ชายแดนจึงยิ่งน้อยลงเรื่อยๆ ต่อให้เคยเป็นเมืองที่คึกคัก แต่เมื่อเส้นแบ่งระหว่างภพไม่ชัดเจน ในที่สุดชาวเมืองส่วนใหญ่ก็อพยพออกไป เหลือเพียงศิษย์ที่สำนักผู้ฝึกวิชาเซียนวิถ๊พรตส่งมาคอยเฝ้ารักษาเขาแดนเท่านั้น

หลูลิ่วรินสุราอุ่นๆ ใส่ชามให้ซิวซื่อที่เพิ่งย้ายมาประจำการคนใหม่ จากนั้นไปล้อมวงสนทนากันที่หน้าเตาไฟตามคนอื่นๆ “พี่น้องมาจากไหนหรือ”

“ทางใต้”

“ทางนั้นหรือ” คนสองสามคนมองหน้ากัน ทำหน้าเชิงเห็นใจ “ตอนนี้ไม่ค่อยดีเท่าไรกระมัง”

ซิวซื่อที่เพิ่งย้ายมาใหม่ประคองชามสุรา ตอบอย่างกลัดกลุ้ม “มิผิดทุกสองสามวันเป็นต้องตีกัน ก่อกวนกันเสียงขนาดนี้ ไม่ว่าผู้ใดก็ทนไม่ไหวทั้งนั้น”

ตรงมุมห้องมีคนผู้หนึ่งเอ่ยแทรกขึ้น “ชางฉยงซานและวังฮ่วนฮวาต่างเป็นหนึ่งในสี่สำนักใหญ่ เหตุใดหลายปีนี้ถึงได้ทะเลาะกันรุนแรงนัก ศิษย์สองฝ่ายเห็นหน้ากันเป็นต้องต่อยตีกันใหญ่โต เจ้าสำนักทั้งสองก็ไม่ดูแลเลยหรือ”

หลูลิ่วเอ่ยว่า “เจ้าอยู่ในสถานที่ผีสางที่แม้แต้นกยังไม่ขี้มากี่ปีแล้ว ไม่สนใจเรื่องราวภายนอกมานานเกินไปแล้วกระมัง ก็เจ้าสำนักทั้งสองต่างนิ่งเฉยเป็นเชิงยอมรับอยู่ในทีนี่แหละ พวกศิษย์ถึงยิ่งวิวาทกันไม่หยุด”

“ไฉนถึงเป็นเช่นนี้เล่า ลิ่วเกอ ท่านเล่าให้ข้าฟังที”

หลูลิ่วกระแอมให้คอโล่ง ก่อนเกริ่นถาม “เรื่องนี้จะว่าไปแล้วซับซ้อนยิ่งนัก พวกเจ้ารู้หรือไม่ ตอนนี้ใครเป็นผู้นำของวังฮ่วนฮวา”

“ได้ยินว่าเป็นเจ้าเด็กน้อยผู้หนึ่ง”

หลูลิ่วหัวเราะหยัน “หากเรียกลั่วปิงเหอว่าเจ้าเด็กน้อย เจ้ากับข้าก็นับว่าใช้ชีวิตอย่างสูญเปล่าแล้ว พูดถึงลั่วปิงเหอผู้นี้นับว่าไม่ธรรมดา เขามาจากชางฉยงซาน เป็นศิษย์เอกของเสิ่นชิงชิวในสังกัดชิงจิ้งเฟิง งานชุมนุมเซียนครั้งนั้นผลงานอยู่อันดับหนึ่ง โดดเด่นมีหน้ามีตาปานใด”

คนผู้หนึ่งถามอย่างสนเท่ห์ “มาจากชางฉยงซาน? เช่นนั้นเขากลายมาเป็นผู้นำของวังฮ่วนฮวาได้อย่างไร”

“หลังงานชุมนุมเซียน ลั่วปิงเหอหายตัวไปสามปี ในสามปีนี้ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเขาไปอยู่ที่ใด หรือทำอะไร ตอนนั้นเสิ่นชิงชิวบอกว่าเขาเสียชีวิต ทุกคนเลยเชื่อว่าเขาตายไปแล้ว ใครเลยจะรู้ว่าสามปีต่อมาเขาหวนคืนมาใหม่ ซ้ำยังกลายเป็นบุคคลสำคัญของวังฮ่วนฮวา บีบให้เสิ่นชิงชิวระเบิดตัวเองตายคาที่ในเมืองฮวาเยวี่ย”

ซิวซื่อที่เพิ่งย้ายมาใหม่กล่าว “เรื่องนี้ข้าก็สงสัยมาตลอด เสิ่นชิงชิวผู้นี้ ตกลงว่าถูกใส่ร้ายหรือสมควรตายกันแน่”

หลูลิ่วกล่าวว่า “เรื่องนี้ใครจะกล่าวได้ชัดเจนเล่า ชางฉยงซานนั้นแน่นอนว่าพร้อมใจกันต่อต้านคนนอก ผู้ใดพูดเป็นโดน พวกเขาล้วนมีสันดานเช่นนี้ เห็นแก่คนของตัวเองมากกว่าหลักการ แม้แต่ซังชิงหัวเจ้ายอดเขาอันติ้งเฟิงทรยศหลบหนีไปอยู่กับเผ่ามารซึ่งเป็นเรื่องที่ประจักษ์ชัด พวกเขายังไม่ยอมให้คนอื่นซุบซิบนินทาเลย หลังเกิดเรื่องที่เมืองฮวาเยวี่ยไม่นาน วังฮ่วนฮวาเปลี่ยนผู้นำ กงจู่เฒ่าถอนตัวเร้นกาย ไม่เห็นแม้แต่เงา อำนาจเปลี่ยนมาอยู่ในมือลั่วปิงเหอผู้ใดกล้าเอ่ยถึงเสิ่นชิงชิวผู้นั้นตาย”

มีคนเปรยเสียงค่อย “เป็นเพราะการตายของคนๆเดียวโดยแท้”

หลูลิ่วกล่าวว่า “การตายของคนผู้นี้สร้างความปั่นป่วนไม่น้อยเลยทีเดียว เสิ่นชิงชิวเป็นคนของชางฉยงซาน นับตามลำดับเป็นเจ้ายอดเขาอันดับสอง แน่นอนว่าร่างของเยาควรต้องนำกลับชิงจิ้งเฟิงไปฝังร่วมกับเจ้ายอดเขาแต่ละรุ่นในอดีต แต่ปัญหาคือลั่วปิงเหอไม่ยอมคืนศพให้เสียอย่างนั้น”

ทุกคนล้วนนึกถึงภาพการเอาศพไปเฆี่ยน ไม่ก็ตากแดด ขนพลันลุกเรียว “ไม่ยอมคืน ชางฉยงซานก็ไม่ช่วงชิงกลับมาหรือ เจ้ายอดเขาไป่จั้นเฟิงก็ยังอยู่นะ”

หลูลิ่วโบกมือ “สู้ไม่ได้น่ะซิ”

“หา!” โลกทัศน์ของทุกคนพังครืน ตำแหน่งของเจ้ายอดเขาไปจั้นเฟิงที่อยู่ในใจของทุกผู้คนคือนักรบไร้พ่ายมาโดยตลอด คำว่า ‘สู้ไม่ได้’ ช่างยากยอมรับจริงๆ

หลูลิ่วกล่าวว่า “พวกเจ้าไม่รู้หรือ นับจากครั้งนั้นที่เมืองฮวาเยวี่ย เจ้ายอดเขาไป่จั้นเฟิงประมือกับลั่วปิงเหอนับครั้งไม่ถ้วน แต่ไม่เคยเอาชนะได้เลยสักครั้ง ไม่เพียงแค่นั้น หลังลั่วปิงเหอนำศพของเสิ่นชิงชิวกลับวังฮ่วนฮวา ผ่านไปไม่กี่วันก็ไปดักชิงตัวมู่ชิงฟางเจ้ายาดเขาเซียนเฉ่าเฟิงด้วยตัวเองเลยทีเดียว”

มีคนถามขึ้น” เจ้ายอดเขาเซียนเฉ่าเฟิงไม่ถามไถ่เรื่องราวทางโลกเพียงรักษาโรคและช่วยชีวิตผู้คน ไฉนไปกระตุ้นโทสะมารร้ายในคราบมนุษย์ผู้นี้ได้เล่า”

หลูลิ่วตอบว่า “ลั่วปิงเหอจับคนมาขังไว้ในวังฮ่วนฮวาเพื่อชุบชีวิตเสิ่นชิงชิวให้ฟื้นน่ะซิ” เขาทอดถอนใจ “คนก็ตายจนศพแข็งทื่อไปแล้ว ยังจะทำอะไรได้”

ซิวซื่อที่เพิ่งย้ายมาใหม่ซัก “ข้าเห็นตอนที่สองฝ่ายสู้รบกัน ชางฉยงซานมักเรียกวังฮ่วนฮวาว่าสุนัขรับใช้ของเผ่ามาร เรื่องมันเป็นมาอย่างไรหรือ”

หลูลิ่วเล่าว่า “นี่เป็นเพราะชางฉยงซานทั้งสำนักเป็นอะไรกันไปหมดแล้วก็ไม่รู้ กล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่าลั่วปิงเหอคือปีศาจจากเผ่ามาร ถึงแม้หลวงจีนวัดเจาหัวหลายรูปจะได้ตรวจสอบด้วยตัวเองแล้ว พลังทิพย์ที่อยู่ในกายลั่วปิงเหอโคจรเป็นปกติ ชางฉยงซานกลับยงยืนกรานเรียกเขาเช่นนี้มาตลอด จองเวรจองกรรมกันไม่จบสิ้น ความเกลียดชังระหว่างสองสำนักยิ่งมายิ่งบานปลาย ข้าว่าต้องมีสักวันที่เรือใหญ่ล่มหมด ไม่มีใครรอดดังนั้น…”

เขาเล่ามาถึงช่วงท้าย ยังไม่วายจะกล่าวปลอบใจตัวเอง “อย่างเราๆที่ถูกส่งมาเฝ้าชายแดนอันแสนจะว่างงานนี้ กลับถือเป็นเรื่องดีไป”

ผู้ที่นั่งอยู่ตรงมุมห้องกล่าวอย่างฉงน “ข้าไม่เข้าใจ ศิษย์อาจารย์คู่นี้กับสองสำนักนี้ ตกลงมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”

“แค้นฝังลึกดั่งมหาสมุทรคือคำตอบหนึ่ง แต่ก็ยังมีคำอธิบายอีกอย่างเช่นกัน ข้าเหล่าหลูเห็นว่าเรื่องนี้เชื่อถือได้มากกว่า ข้าจะเล่าให้พวกเจ้าฟังเอง…”

ขณะที่หลูลิ่วกำลังจะเล่าเรื่องซุบซิบอย่างกระตือรือร้น จู่ๆก็มีเสียง ก๊อก ดังขึ้นที่หน้าประตู

ทุกคนที่อยู่ในร้านพากันตื่นตัวขึ้นมาทันควัน ความง่วงเหงาหาวนอนเมื่อครู่สลายเป็นปลิดทิ้ง แต่ละคนต่างเตรียมอาวุธพร้อม

พื้นที่ชายแดนมีคนอยู่จำนวนน้อย เหลือแต่ความเปล่าเปลี่ยว เมืองทั้งเมืองมีกองกำลังพิทักษ์ชายแดนของพวกเขาแค่กลุ่มเดียว คนที่ออกไปลาดตระเวนอยู่ไม่มีทางกลับมาเร็วขนาดนี้ ส่วนชาวบ้านที่เหลืออยู่ไม่มากนักคงไม่มีทางออกมาเพ่นพ่านรนหาที่ตายข้างนอกกลางดึกดื่นเด็ดขาด

ไม่มีเสียงตอบจากในห้อง ผ่านไปครู่ใหญ่ประตูจึงถูกเคาระอีกสองครั้ง

หลูลิ่วถามเสียงขึงขัง “ผู้ใด”

ลมเย็นเฉียบพัดมาระลอกหนึ่ง แสงจากตะเกียงและเทียนไขดับวูบ ทำให้ห้องมืดสนิทในชั่วพริบตา เหลือเพียงแสงสีแดงริบหนี่จากเตาไฟเพียงอย่างเดียว

บนกระดาษกรุหน้าต่างปรากฏเงาของชายหนุ่มที่สะพายกระบี่อยู่ด้านหลัง คนผู้นั้นกล่าวเสียงดังฟังชัด “พี่ลิ่ว ข้าเอง วันนี้หนาวเหลือเกิน ข้าเลยกลับมาก่อน รีบเปิดประตูให้ข้าเข้าไปดื่มสุราอุ่นๆทีเถอะ”

คนที่เหลือผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก ก่อนร้องด่า “อยากตายหรือเหล่าฉิน เอาแต่เคาะประตูไม่พูดไม่จา ถ้าไม่รูคงนึกว่าเจ้าถูกผีกินไปแล้ว”

ผู้ที่อยู่ด้านนอกหัวเราะหึๆ หลูลิ่วรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างไม่ถูกต้อง แต่นึกไม่ออกว่าอะไรที่ผิดปกติ เขากล่าวอนุญาตเสียงเบา “เข้ามาเถอะ” ว่าแล้วก็ผลักประตูเปิดออก

นอกเหนือจากลมหนาวที่พัดเข้ามาปะทะใบหน้า ก็มีแต่ความว่างเปล่า

หลูลิ่วปิดประตูปัง “จุดไฟ จุดไฟๆ”

มือของซิวซื่อที่เพิ่งย้ายมาใหม่สั่นระริก รีบหมุนกายไปวาดคาถาเรียกไฟ แสงไฟส่ายไหวจับเงาร่างคนสองสามคม เขายังไม่ทันได้จุดตะเกียงก็หันกลับมาอีก กล่าวเสียงตะกุกตะกัก “ลิ่วเกอ ขะ…ข้าอยากถามท่านหน่อย”

หลูลิ่วถามอย่างหงุดหงิด “ลีลาอันใดอีกเล่า”

ซิวซื่อที่เพิ่งย้ายมาใหม่กล่าว “พวกเรา…ในร้านนี้เดิมทีมีหกคนใช่หรือไม่ แต่ไฉนตอนนี้ที่ข้าเห็น…คล้ายจะมีเจ็ดคนล่ะ

เงียบกริบ

ทันใดนั้นมีเสียงตะโกนดังลั่น ไม่รู้ว่าเป็นใครที่ชิงลงมือก่อน เสียงร้องโหยหวนและเสียงอาวุธปะทะกันดังสนั่นหวั่นไหว หลูลิ่วตะโกน “จุดไฟ! จุดไฟ!”

ทุกคนรีบร่ายคาถาเรียกไป แต่การเคลื่อนไหวนั้นสับสนเกินไป เปลวไฟสะบัดวูบวาบจนไร้ทิศทาง เงาร่างส่ายไปมาอย่างรวดเร็วทำเอาตาพร่า มองไม่ชัดว่าใครเป็นใคร ทุกคนกลัวจะทำร้ายพวกเดียวกันเลยไม่กล้าลงมือรุนแรง ทำให้ผู้ที่แผงตัวเข้ามาฉวยโอกาสจับปลาในน้ำขุ่น ลงมือทางนี้กรงเล็บหนึ่ง ทางนั้นดาบหนึ่ง ขณะที่หลูลิ่วกำลังโมโหเดือดดาลก็ถูกบีบคอหมับเข้าให้

หลูลิ่วตาเหลือกขาว สองขาค่อยๆลอยขึ้นจากพื้น มองเห็นไม่ชัดว่าเป็นคนหรือตัวอะไรที่บีบคอเขาอยู่ ขณะที่เข้าใจว่าตนคงต้องตายเป็นแน่แท้ ประตูกลับดีผึงเปิดออกทั้งสองบาน ลมแรงกระหน่ำม้วนพัดเข้ามาพร้อมกับเงาร่างของคนผู้หนึ่ง

หลูลิ่วมองไม่เห็นว่าคนผู้นั้นเตะต่อยอย่างไร ได้ยินเสียงประหลาดออกมาคำหนึ่ง ดูเหมือนว่าดังมาจากอะไรบางอย่างที่บีบคอตนอยู่ ไม่ช้าคอของหลูลิ่วก็เป็นอิสระ

คนหกคนในห้องอยู่ในภาวะตกใจเสียขวัญต่างทำอะไรไม่ถูก บ้างลงไปนอนกองกับพื้นแล้วก็มี คนผู้นั้นดีดนิ้วทีหนึ่ง ตะเกียงน้ำมันทั้งหมดในห้องก็พลันสว่างพึ่บพร้อมกัน

ผู้ที่มาใหม่ก้มมองดูสักพักก็ยืดกายขึ้นกล่าวว่า “ไม่เป็นไร สลบไปแล้ว”

คนผู้นี้เปราะดินโคลนทั้งตัวราวกับเพิ่งถูกขุดออกมาจากหลุม ทั้งยังมีหนวดเครารกรุงรังปกปิดเครื่องหน้าทั้งห้า เห็นๆอยู่ว่ารูปร่างผอมบางแบบเด็กหนุ่ม แต่ดูจากใบหน้ากลับเหมือนจะเป็นหนุ่มใหญ่วัยฉกรรจ์ที่มีหนวดเครารกครึ้ม

กว่าหลูลิ่วจะหายจากอาการตัวสั่นสะท้านไม่ใช่เรื่องง่าย จ้องมองผู้มาเยือนจากหัวจรดเท้าอย่างประเมินครู่หนึ่งจึงค่อยยกมือขึ้นกุมหมัดคารวะ “ขะ…ขอบพระคุณท่านที่ช่วยเหลือขับไล่ปีศาจเมื่อครู่ขอรับ”

คนผู้นั้นเอามือวางบนไหล่หลูลิ่ว “ผู้น้อยมีเรื่องจะขอรบกวนถาม”

หลูลิ่วเอ่ย “เชิญถามได้เลย”

อีกฝ่ายถามว่า “ปีนี้ปีอะไรแล้ว”

…………………………….

ตอนที่เสิ่นชิงชิวกลิ้งบ้างคลานบ้างลงมาจากบนเขา ก็นึกอยากจับเซี่ยงเทียนต่าเฟยจีมาซัดพลังใส่สักหมื่นรอบ จะซัดกายทิพย์หรือบั้นท้ายก็ได้ทั้งนั้น

แรกสุดเลย วิธีการหนีเอาตัวรอดที่เขาคิดไว้ ความจริงแล้วก็คือการแกล้งตาย

แต่แค้แกล้งตายจะมีความหมายอะไร เพียงหาหุ่นเชิดหรือคนหน้าตาคล้ายกันมาแกล้งตาย ส่วนตัวจริงก็ใช้อุบายจักจั่นทองลอกคราบซึ่งละครทีวีมีให้เห็นกันจนเกร่อแล้ว

ดังนั้นวิธีการที่เขาใช้จึงต้องเป็นการตายของจริง!

วันนั้นเขาต้องระเบิดพลังทิพย์ตัวเอง ไหนๆก็ต้องลงมืออยู่แล้วเลยทำความดีไปด้วยเสียเลย ชักนำปราณมารที่พลุ่งพล่านอยู่ในกายลั่วปิงเหอเกือบทั้งหมดออกมา หากจะพูดว่าล่อซะชีพจรทิพย์ของตัวเองละเอียดเป็นจุณก็ไม่เกินความจริงแม้แต่น้อย

เป็นการยอมตายเพื่อจะได้เกิดใหม่

หญ้าน้ำค้างแก่นสุริยันจันทรา มีชื่อย่อๆว่า ‘หญ้าเนื้อ’ ความหมายก็ตรงตามตัวอักษร หญ้านี้สำหรับผู้ฝึกวิชาเซียนแล้วคงไม่มีประโยชน์อะไรนัก แต่อย่างน้อยก็เป็นสิ่งที่เติบโตขึ้นมาจากปราณทิพย์ของฟ้าดินซึ่งสั่งสมมาจากแสงอาทิตย์และแสงจันทร์ เอาต้นอ่อนของมันไปเลี้ยงในดินที่อุดมไปด้วยปราณทิพย์ ร่วมกับการหล่อเลี้ยงด้วยเลือดกับปราณ จากนั้นดูแลอย่างทะนุถนอม พอโตได้ที่จะสามารถเอามาเพาะเป็นกายเนื้อที่มีชีวิตเคลื่อนไหวได้ กายเนื้ออาจเติบใหญ่ได้ก็จริง แต่จิตวิญญาณกลับไม่อาจใช้วิธีนี้สร้างขึ้นมาได้ สรุปแล้วที่เพาะออกมาได้ก็คือคราบว่างเปล่า จึงเหมาะสมจะเอามาใช้เป็นภาชนะรองรับจิตวิญญาณ

‘ฤดูใบไม้ผลิเพาะเสิ่นน้อยไว้ พอฤดูใบไม้ร่วงก็จะเก็บเกี่ยวเสิ่นใหญ่ได้’ ไม่ใช่ความฝันอีกต่อไป

แต่หญ้าน้ำค้างแก่นสุริยันจันทราไม่ใช่ผักกาดขาวที่แค่รดน้ำใส่ปุ๋ยก็เลี้ยงให้รอดได้ เสิ่นชิงชิวเพาะเลี้ยงหญ้าเนื้อตายไปหลายต้นทีเดียวกว่าจะได้หญ้าเนื้อที่สมบูรณ์ออกมา

ซั่งชิงหัวกับเขาคำนวณพิกัดพื้นที่เอาไว้ก่อนแล้ว เพื่อให้สามารถควบคุมได้จากระยะไกล เขาสร้างข่ายมนตร์สำหรับส่งถ่ายไว้ใต้ดินของหอที่สูดที่สุดในเมืองฮวาเยวี่ย ยามพระอาทิตย์เปล่งแสงเจิดจ้าที่สุด ซั่งชิงหัวก็จะร่ายคาดามาจากข่ายมันตร์ที่ชางฉยงซานด้วยอีกแรง ทันทีที่วิญญาณของเสิ้นชิงชิงออกจากร่าง ก็จะถูกส่งไปอยู่ในหญ้าน้ำค้างซึ่งโตได้ที่และได้นำไปฝังไว้ก่อนแล้วในป่าลึกบนภูเขาของพื้นที่ชายแดน

สามสถานที่ สามข่ายมนตร์ เมื่อลากเส้นเชื่อมโยกจะได้เป็นรูปสามเหลี่ยมด้านเท่าที่เสถียรที่สุด ซึ่งตามหลักแล้วมันจะต้องเสถียรที่สุดไว้ใจได้ที่สุด

ข้อบกพร่องเพียงอย่างเดียวดันอยู่ที่ใครบางคน

ไอ้คุณเซี่ยงเทียนต่าเฟยจีไว้ได้ได้เกินไปหน่อยจริงๆ

แม้จะไม่มีข้อผิดพลาดที่เสิ่นชิงชิวกังวลไว้ก่อนหน้า เช่น ‘แขนขาโตไม่เท่ากัน’ หรือ ‘ส่วนสำคัญลืมงอก’ แต่หญ้าแก่นน้ำค้างสุริยันจันทราที่ใช้ปุ๋ยวิทยาศาสตร์เร่งให้โต แน่นอนว่าต้องมีผลข้างเคียง

ตอนที่เพิ่งฟื้นขึ้นมาใหม่ๆ เสิ่นชิงชิวนิ่งรอสักพัก แต่ก็ไม่ได้ยินเสียงคอมพิวเตอร์สังเคราะห์อันแสนจะน่าชังที่มีน้ำเสียงตายด้านแบบเว็บแปลภาษากูเกิลเลย

เขานึกดีใจแทบเป็นบ้าเป็นหลัง

ระบบไม่ออกมาแล้ว ฮ่าๆๆ ระบบไม่ออกมาแล้ว ตูเปลี่ยนฮาร์ดแวร์แล้ว ไม่ลงโปรแกรมที่มีไวรัสอย่างเอ็งแล้ว ฮ่าๆๆ

เมื่อวางใจได้ชั่วครู่ชั่วยาม เขาก็แดนซ์กระจายอย่างอดไม่อยู่…แดนซ์กระจายพ่องซิ

ตัวเขาทั้งตัวยังฝังอยู่ในดิน จะขยับตัวยังทำไม่ได้ด้วยซ้ำ

เขาปล่อยให้ตัวเองนอนฝังอยู่อย่างนั้นหนึ่งวัน โดยเริ่มสั่งสมพลังไว้ที่หว่างนิ้ว จนกระทั่งควบคุมอวัยวะแขนขาได้ทั้งตัวนั่นแหละ เสิ่นชิงชิวถึงค่อยคลานงกๆเงิ่นๆออกมาได้

ชั่วขณะที่พังดินออกมา ยังไม่ทันจะได้สูดอากาศให้สดชื่นเต็มปอดเขาก็หกคะเมนตีลังกาทันที

เฮ้อ ร่างกายไม่ฟังคำสั่งซะแล้ว เขาลงไปนอนพังพาบกับพื้น

ตลอดทั้งวันเขาเดินไปด้วยก็บริหารร่างกายไปด้วยจนกระทั่งค่ำ กิริยาท่าทางของเสิ่นชิงชิวจึงค่อยดูเหมือนคนปกติขึ้นมาหน่อย อย่างน้อยก็ไม่มีอาการมือเท้าไปทางเดียวกันแล้ว

ส่วนต้นแบบของร่างนั้น ทีแรกเขาคิดจะใช้หน้าตาของเสิ่นหยวนซึ่งก็คือตัวเขาในชาติก่อน ถึงแม้กลิ่นอายและหน่วยก้านของผู้บำเพ็ญพรตบำเพ็ญเซียนจะเทียบเสิ่นชิงชิวไม่ได้ แต่ก็ถือว่าเป็นคราบร่างที่ไม่เลวนัก แต่ให้อารมณ์เด็กหน้าขาวที่ซึมเศร้ารอวันตายอยู่นิดหน่อยเท่านั้น เนื่องจากตอนที่เพาะเลี้ยงหญ้าเนื้อต้องใช้เลือดเนื้อของเสิ่นชิงชิว ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเกิดผลกระทบ

 

เสิ่นชิงชิวล้มลุกคลุกคลานมาจนถึงข้างธารน้ำ ใช้หินคมๆ ถากหนวดเคราออกเพื่อดูหน้า อย่างน้อยใบหน้านี้ก็ยังคงคล้ายคลึงเสิ่นชิงชิวถึง 30-40% เขาเลยเก็บหนวดที่ถากออกมาแปะกลับเข้าไปที่หน้าตามเดิม

หลังจากล้มลุกคลุกคลานลงจากเขาด้วยความลำบาก เขาก็คว้าตัวคนผ่านทางคนหนึ่งมาถาม

ตายห่า นี่มันผ่านมาห้าปีแล้ว

ก็เข้าใจได้อยู่หรอกว่าตอนที่เพิ่งตื่นขึ้นมาร่างกายไม่ให้ความร่วมมือ หรือที่ขยับตัวไม่ได้ชั่วคราวนั้นเป็นเพราะต้องใช้เวลาปรับตัวสักระยะ แต่นี่ฝังมาห้าปีถึงค่อยตื่น ตกลงแล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่

แขวะก็ส่วนแขวะ แต่ถึงอย่างไรพลังทิพย์ของร่างนี้ก็เต็มพิกัดเลยทีเดียว!

เดิมทีร่างกายของเสิ่นชิงชิวตอนที่ไม่โดยพิษไร้ยาถอนมาสร้างความปั่นป่วนก็นับว่าพลังทิพย์เหลือเฟืออยู่ แต่เทียบกับความรู้สึกในตอนนี้นั้น เหมือนระดับแบตสองขีด(ยังพอใช้) กับระดับแบตเต็มทุกขีด(เพิ่งดึงปลั๊กออกใหม่) เลยทีเดียว หรือจะพูดอีกนัยว่า ตัวเขาคือตัวจ่ายไฟก็ยังได้

นี่นับว่าเป็นการถอดร่างเกิดใหม่ เปลี่ยนเส้นเอ็นล้างไขกระดูกได้หรือเปล่า

เป็นโอกาสที่ตนจะได้มีดัชนีทองคำกับเขาด้วยใช่ไหม

หลายปีมานี้ ถือว่าเป็นครั้งแรกที่เสิ่นชิงชิวรู้สึกว่าค่อยมีศักดิ์ศรีของผู้ที่ทะลุมิติมาเกิดใหม่อยู่บ้าง เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าความสามารถด้านการงานอันต่ำต้อยของตนเองไม่ได้ทำให้หน้าตาของพวกรุ่นพี่ที่ทะลุมิติมาเกิดใหม่ก่อนหน้าเขาในนิยายเรื่องอื่นๆต้องมัวหมอง

ตอนที่ตั้งสติได้ หลูลิ่วกำลังพล่ามเสียยาวเหยียดว่า “หมู่นี้เผ่ามารรุกรานหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ ภูตผีปีศาจสารพัดทยอยกันทะลักเข้ามาในภพมนุษย์ ศึกสงครามเกรงว่าอีกไม่ช้า…เออใช่ ยังไม่ได้ถามฉายาเซียนของท่านเลย”

คำพูดที่ว่า ‘แหะๆ ผู้น้อยซึ่งไร้ความสามารถคือเสิ่นชิงชิว กระบี่ซิวหย่าแห่งชิงจิ้งเฟิงของชางฉยงซานแห่งจงหยวน’ ยังไม่ทันหลุดจากคอหอยก็ยูเทิร์นขวับ เกือบไปแล้วไหมล่ะ เกือบจะประกาศฉายาเดิมออกไปแล้ว ยามกะทันหันเขานึกชื่ออื่นไม่ออก หลังจากเงียบอยู่ครู่หนึ่งก็ตัดสินใจประกาศออกไปว่า “เจวี๋ยซื่อหวงกวา”(แตงกวาสะท้านภพ)

เรื่องในอดีตเปรียบได้ดังควันไฟ จากนี้ไปเร่ร่อนในยุทธภพก็ใช้ไอดีนี้ที่ผาดโผนในโลกหนังสือมานานหลายปีแล้วกัน

พูดจบเสิ่นชิงชิวก็พลิ้วกายจากไป ทิ้งคนที่อยู่ในห้องให้ตัวแข็งทื่อราวกับกลายเป็นหิน

ผ่านไปครู่ใหญ่ ซิวซื่อที่เพิ่งย้ายมาใหม่เอ่ยงึมงำ “เมื่อครู่เขาบอกว่าเขาคือ…เจวี๋ยซื่อ…อะไร…นะ”

หลูลิ่วเดา “เจวี๋ยซื่อ…หวงฮวาหรือ”(บุปผาเหลืองสะท้านภพ)

“หรือจะเป็นเจวี๋ยซื่อหวงกวน?”(มงกุฎสะท้านภพ)

“ไม่ใช่ๆ เหมือนจะเป็นเจวี๋ยซื่อขวงฮวานะ”(บุปผาคลั่งสะท้านภพ)

เสิ่นชิงชิวที่เดินห่างออกไปหลายจั้ง ฝ่าเท้าไถลลื่นพรืด

เอ หรือคิดอีกที เปลี่ยนฉายาใหม่ดีกว่าไหมเรา

………………

ก้าวแรกของการเริ่มต้นชีวิตใหม่ย่อมต้องเริ่มต้นจากสิ่งที่เสิ่นชิงชิวคุ้นเคยที่สุด ไอเทมอย่างแรกที่เขาต้องการคือพัดด้ามจิ้วหนึ่งเล่ม

พัดด้ามจิ๋วที่พื้นหลังเป็นผ้าไหมสีขาววาดภาพทิวทัศน์ด้วยหมึกสีดำ

เสิ่นชิงชิวกางพัดออกโบกระดับหน้าอก ผมและหนวดเคราซึ่งยาวเฟื้อยกระพือพะเยิบพะยาบ ภาพลักษณ์อาจไม่ค่อยดีนัก ดูขัดกับไอเทมแต่ไม่เป็นไร มีพัดด้ามจิ้วหนึ่งเล่มอยู่ในมือ อุปกรณ์สำคัญในการเก็กท่าก็เท่ากับพร้อม

เสิ่นชิงชิวยกขาข้างหนึ่งเหยียบโขดหิน “ว่ามา พวกเจ้าแห่กันเข้ามาในภพมนุษย์ ตั้งใจจะทำอะไร”

คนกลุ่มหนึ่งตัวสั่นเบียดกันอยู่ตรงหน้าเขา อ๊ะ ไม่ใช่คนซิ ปีศาจต่างหาก ถึงแม้รูปลักษณ์ภายนอกจะไม่มีอะไรแตกต่างกับมนุษย์เลยก็ตาม

ปีศาจที่ยืนหน้าสุดตัวสั่นงันงกด้วยความกลัว “พวกเอ๋อ ปกติก็ขโมยของเล็กๆน้อยๆจากภพมนุษย์เอากลับไปแลกสิ่งของขอรับ”

เผ่ามารไม่มีเงินตราเป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยน โดยมากก็ใช้วิธีต่อรองแลกเปลี่ยนข้าวของกันหากมองดูแล้วเข้าตาก็รับแลก ไม่เข้าตาก็ผ่านไป อันด้านรสนิยมว่าด้วยฝีมือศิลปะหัตถกรรมเผ่ามารนั้น แค่งานปักฝีมือธรรมดาสามัญก็ถือว่าเป็นงานระดับมาสเตอร์พีทแล้ว ข้างของกระจุกกระจิกชิ้นเล็กชิ้นน้อยของภพมนุษย์จึงเป็นที่นิยมสำหรับเผ่ามารเป็นอย่างมาก สำหรับพวกเขาของที่ไร้ค่าที่สุดกลับเป็นแก้วผลึกที่มีคุณสมบัติพิเศษต่างๆซึ่งมีอยู่ดาษดื่นตามท้องถนนในภพมาร

ทว่าของที่มีอยู่ดาษดื่นในภพมาร ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีในตลาดภพมนุษย์

เสิ่นชิงชิวหุบพัดด้ามจิ้วพึ่บ กล่าวเสียงเฉียบขาด “ชนบทอันแห้งแล้วกันดารขนาดนกยังไม่ขี้ แม่ไก่ไข่ไม่ออกแห่งนี้ มาตรฐานการผลิตล้าหลัง เศรษฐกิจซบเซา ตัวเลขดัชนีชี้วัดความสุขต่ำกว่าระดับมาตรฐาน พวกเจ้ายังมาซ้ำเติม ช่างไม่สมควรยิ่งนัก”

ปีศาจน้อยมึน

แล้วเหตุใด มันจำได้ว่าตอนที่มันถูกจับมา ยอดคน…ท่านนี้ก็กำลังขโมย…เอ๊ย ไม่ใช่ ขอยืมเสื้อผ้าคนอื่นมาใช้อยู่ไม่ใช่หรือ

ไหนจะพัดด้ามจิ้วที่กำลังพัดอย่างแสนจะถูกอกถูกใจเล่มนั้นก็ด้วย

เสิ่นชิงชิวนึก ฉันทำเพราะจำใจหรอก…ถึงยังไงก็คงปล่อยให้ตัวเองเดินเพ่นพ่านไปทั่วด้วยชุดดินเขรอะเหมือนคนป่าไม่ได้หรอกมั้ง

แต่นี่กลับทำให้เขาได้ไอเดีย ในโลกที่ผู้ฝึกวิถีพรตวิถีเซียนยังชีพด้วยการปราบปีศาจเป็นหลัก หากมีช่องทางการค้าเป็นที่เป็นทางให้เจ้าปีศาจที่กล้าเพียงลักเล็กขโมยน้อยเหล่านี้ ไม่น่าว่าอาจสร้างหนทางรวยแบบใหม่ขึ้นมาก็เป็นได้

เสิ่นชิงชิวคิดเรื่อยเปื่อยสักพักก็รู้สึกว่าหากจะรับลูกน้อง เช่นนั้นจำเป็นต้องเข้าใจวิถีชีวิตของอีกฝ่าย เขาจึงถามอย่างเป็นกันเอง “พวกเจ้ากินเนื้อเน่าหรือไม่”

พวกปีศาจน้อยพากันส่ายหน้า ขณะที่เสิ่นชิงชิวกำลังถอนใจโล่งอกก็ได้ยินเจ้าปีศาจน้อยที่เป็นหัวหน้ากล่าวชัดถ้อยชัดคำ “พ่อของเอ๋อบอกว่าเนื้อเน่าเป็นของที่คนใหญ่คนโตถึงจะมีปัญญากิน…”

เสิ่นชิงชิวตัดบท “พอแล้ว”

มันไม่ใช่ปัญหาเรื่องระดับความเป็นอยู่เสียหน่อย ลั่วปิงเหอไม่ใช่คนใหญ่คนโตที่สุดในภพมารรึไง ไม่เห็นฝ่ายนั้นจะชอบกินของแบบนี้เลย

เงียบไปครู่หนึ่งเขาก็เปลี่ยนคำถามเสียใหม่ “เจ้าชื่ออะไร”

ปีศาจน้อยตัวแรกตอบ “ลิ่วเก้อฉิว”(ลูกกลมๆ 6 ลูก)

เสิ่นชิงชิวถาม “แปลว่าอะไร”

ลิ่วเก้อฉิวตอบว่า “ตอนที่เอ๋อเกิด พ่อเอ๋ออุ้มเอ๋อไว้แล้วพูดว่าหนักเท่ากับหกลูกขอรับ”

เสิ่งชิงชิงจนคำพูด “…”

แล้วมันลูกอะไรล่ะ ลูกทุ่มน้ำหนักหรือลูกปิงปอง ช่างเป็นชื่อที่ไร้ความหมายเสียจริง

ปีศาจตัวอื่นๆ ที่เหลือแย่งกันบอกชื่อตัวเอง แต่ละชื่อยิ่งฟังแล้วเหลือทนเข้าไปใหญ่ ทว่าพวกเยาก็ดูภูมิอกภูมิใจกันมาก

เป็นไปได้ว่าวิธีการตั้งชื่อของประชากรเผ่ามารคงออกแนวคำนึงถึงประโยชน์ใช้สอยเป็นหลัก

เผ่ามารไม่มีวัฒนธรรมการใช้นามสกุล จินตนาการในการตั้งชื่อช่างกว้างไกลไร้ขอบเขต ขวัญกล้าไร้ขีดจำกัด ขุนพลที่ชื่อฟังแล้วทำเอาอ้ำอึ้งพูดไม่ออกอย่าง ผู้อาวุโสค้อนสวรรค์ หรือไม่ก็ผู้อาวุโสแขนเดียวพวกนี้ รู้เลยว่าเป็นพวกบ้านๆที่ไต่ระดับขึ้นมา แต่หากเป็นพวกชาติกำเนิดสูงส่งอย่าง โม่เป่ยจวิน ซาหลัวหลิง หรือเทียนหลางจวินที่เป็นพ่อของลั่วปิงเหอก็จะตั้งชื่อดีขึ้นมาหน่อย

เสิ่นชิงชิวพลันนึกขึ้นได้ว่า ดีนะที่ลั่วปิงเหอไม่ได้ถูกเอาไปปล่อยในภพมารแล้วถูกพวกมารเก็บไปเลี้ยง หากให้เผ่ามารที่เป็นชาวบ้านธรรมดาเลี้ยงดู จากสไตล์การตั้งชื่อแบบนี้ สงสัยต้องตั้งชื่อที่ได้ยินแล้วนึกว่าพ่อแม่ไม่รักแน่เลย

เขาน่าจะชื่ออะไรนะ

อวี้เมี่ยนเสี่ยงหลางจวิน(คุณชายน้อยหน้าหยก)

เสียเม่ยเยี่ยหมัวจิง(มารรัตติกาลศักดิ์สิทธิ์)

ไม่ๆๆ มันคงต้องเป็นอะไรที่ช็อคชนิดสะท้านฟ้าสะเทือนดินกว่านั้น

อย่าลืมว่าพวกน้องๆหนูๆในนิยายดั้งเดิมเคยกล่าวอย่างสะเทิ้นอายว่าด้านนั้นของลั่วปิงเหอสุดยอดมาก สาวงามสามพันในฮาเร็ม คืนหนึ่งแปดร้อยคนเกิดอารมณ์ได้ทุกที่ ร้อยปีพันปีผ่านไปหอกทองคำก็ยังคงตั้งตระหง่านเหมือนเดิม อันที่จริงชื่อเจวี๋ยซื่อหวงกวาของเขาก็เหมาะกับลั่วปิงเหอเหมือนกันนะนี้ แต่ในเมื่อเขาเอามาใช้แล้ว เช่นนั้นลั่วปิงเหอก็ชื่อ…เทียนจู้จวิน(องค์ชายเสาค้ำสวรรค์)ดีมะ

ฮ่าๆๆ ฮาโว้ย ลั่วเทียนจู้ ฮ่าๆๆๆ ขำกลิ้ง

เสิ่ยชิงชิวเพิ่งจะหัวเราะไปหยกๆ แต่แล้วจู่ๆก็ตบบ้องหูตัวเอง

เอ็งนี่มันไอ้โรคจิตแท้ๆ

สนุกจนลืมตัวเอาลูกพี่พระเอกมาเล่นตลกลามกกากๆได้ไง

มีอะไรน่าขำ ก็น่าจะรู้ว่าใครเล่นได้เล่นไม่ได้ซิ

เหล่าปีศาจน้อยเห็นยอดคนผู้นี้เดี๋ยวหัวเราะกลิ้ง เดี๋ยวตบหน้าตัวเองก็พากันงง ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง แต่แล้วเสิ่นชิงชิวก็หยุดยิ้มกะทันหันเอาพัดดันไหล่ลิ่วเก้อฉิวให้เข้ามาใกล้

เสิ่นชิงชิวหยิบพู่ห้อยกระบี่ข้างเอวเขาขึ้นมา “ของนี้เจ้าได้มาจากไหน”

นี่คือพู่ห้อยกระบี่ แต่ไม่ใช่พู่ห้อยกระบี่ที่หาได้ทั่วไป

มันคือพู่ห้อยกระบี่สุ่ยเส้อของหลิ่วหมิงเยียนนางเอกอันดับหนึ่ง

นี่มันของแทนใจนางเอกพระเอกเขานะ ตอนอยู่ชางฉยงซานเสิ่นชิงชิวยังเคยแอบสังเกตเป็นพิเศษ เลยแยกแยะได้ไม่ยากนัก แล้วของนี้ตกมาถึงมือปีศาจน้อยแห่งพื้นที่ชายแดนได้อย่างไร

ลิ่วเก้อฉิวกล่าวอย่างหวาดหวั่น “นะ นี่ๆ ไม่ใช่ของขโมยมา นี่เป็นของที่เก็บตกได้ขอรับ…”

หน็อย เก่งจริงเจ้าก็เดินๆตามถนนแล้วเก็บให้ข้าดูอีกอันซิ เสิ่นชิงชิวถาม “เก็บได้ที่ไหน”

ลิ่วเก้อฉิวกล่าว “นะ…นี่ หลายวันมานี่ ตอนกลางคืนจะมีคนใหญ่คนโตมาเปิดถนน ส่งคนมาเบิกทางล่วงหน้า พวกเราอยากรู้เลยแอบอยู่ข้างทาง จากนั้นก็เก็บของนี้ได้บนถนนขอรับ”

คำว่าคนใหญ่คนโตของปีศาจน้อย จะต้องหมายถึงบุคคลระดับสูงของภพมารเป็นแน่

ตัวละครลักษณะนี้จะไม่เข้าออกพื้นที่ชายแดนบ่อย มาทีก็จะเป็นที่สะดุดตาผู้คน อันที่จริงสภาพแวดล้อมของเส้นทางนี้ก็ไม่เหมาะกับพวกเขา ตกลงแล้วเป็นใครกันแน่ที่ใหญ่โตขนาดอวดเบ่งปิดถนนได้ ซ้ำยังทิ้งของส่วนตัวของหลิ่วหมิงเยียนเอาไว้ด้วย

ความเป็นไปได้อย่างแรกที่เสิ่นชิงชิวนึกถึงก็คือใครคนหนึ่ง

เขาถาม “คนใหญ่คนโตที่พวกเจ้าว่า เป็นคนหนุ่มที่…หน้าตาไม่เลวใช่หรือไม่”

แต่เมื่อลองคิดดูแล้ว เขาว่าไม่ต้องไปสน มโนธรรมมันหรอก จึงเปลี่ยนคำพูดเสียใหม่ว่า “ไม่ใช่แค่หน้าตาไม่เลว แต่หน้าตาดีมาก ดีเป็นพิเศษ ผิวพรรณขาวสะอาด รูปหล่อๆตัวสูงๆค่อนข้างยิ้มยาก เวลายิ้มจะน่ากลัวมาก”

ลิ่วเก้อฉิวส่ายหน้า จู่ๆก็หน้าแดง

“ไยต้องหน้าแดง” เสิ่นชิงชิวสอบถามเขายกหนึ่ง แต่ไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ในใจครุ่นคิด ไม่น่าใช่ลั่วปิงเหอหรอก

ลั่วปิงเหอมีกระบี่ซินหมัว นี่ก็เป็นดัชนีทองคำที่วิเศษล้ำสยบฟ้าสะท้านปฐพีแล้ว ฟันออกไปทีเดียวสามารถผ่าช่องว่างระหว่างสองภร จากนั้นกรีดให้เกิดรอยแยกก็มุดเข้าไปในภพมารได้สบายๆ ไม่เคยต้องลงทุนลงแรงวิ่งมาใช้เส้นทางของพวกหัวขโมยเพื่อเข้าตามตรอกออกตามประตูเช่นนี้

ถ้าอย่างนั้นก็มีปัญหาแล้ว พื้นที่ๆเผ่ามารใช้ผ่านทางแต่กลับทิ้งสิ่งของๆหลิ่วหมิงเยียนไว้ หรือว่าหลิ่วหมิงเยียนจะพลาดพลั้งถูกจับตัวไป

เขาไม่เห็นจำได้เลยว่าหลิ่วหมิงเยียนที่รับบทนางเอกเบอร์หนึ่งในนิยายดั้งเดิมเคยถูกกระทำแบบนี้ด้วย โจรกระจอกหน้าไหนช่างขวัญกล้าแตะต้องเมียของลั่วปิงเหอกันนี่

ถึงแม้ว่าพี่น้องสกุลหลิ่วจะต่างคนต่างฝึกวิชา อยู่บนยอดเขาของใครของมัน แต่ในนิยายดั้งเดิมรักใคร่ผูกพันกันไม่เลว อาจเป็นเพราะสองคนนี้ไม่ได้รักกันชนิดตัวติดกันหนึบหนับเป็นตังเม เลยดูเหมือนว่าความรักระหว่างพี่น้องเมินเฉยชืดชา แต่ไม่ว่าจะในฐานะที่เป็นน้องสาวของหลิ่วชิงเกอหรือในฐานะศิษย์รักของฉีชิงชี เสิ่นชิงชิวก็ไม่อาจนิ่งเฉยดูดายได้

อีกทั้งในเวลานี้ ระบบไม่(น่าจะ)ออกมาคุกคามเขาแล้ว(อย่างน้อยก็ตอนนี้น่ะนะ) เลยไม่ต้องกลัวว่าจะโดนห้ามโน่นห้ามนี่ หรือไปหักลบค่า B อะไรนั่นอีกก็น่าจะไปดูๆเสียหน่อย

เสิ่นชิงชิวถาม “รอยแยกของเขตแดนอยู่ที่ไหน”

ตกดึก เสิ่นชิงชิวซุ่มอยู่บนยอดไม้ อำพรางร่องรอยทั้งหมด มองภาพจากมุมสูง

ไม่รู้ผ่านไปนานแค่ไหน ห้วงอากาศบางส่วนพลันบิดเบี้ยวอย่างที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า

เสิ่นชิงชิวดวงตาเป็นประกาย กลั้นลมหายใจตั้งสมาธิมั่น เห็นเพียงหนุ่มน้อยชุดดำผู้หนึ่งวิ่งโร่ออกมา

พวกเขาอยู่ห่างกันค่อนข้างมาก ทว่าเสิ่นชิงชิวมีสายตาแหลมคมจึงเห็นได้ชัดเจน หนุ่มน้อยผู้นี้อายุน่าจะสิบเจ็ดสิบแปดแล้ว ท่าทางตื่นเต้นหน้าตาคมคาย เสิ่นชิงชิวกลับรู้สึกคุ้นหน้าอยู่บ้าง นึกไม่ออกว่าเคยเห็นที่ไหน แต่มั่นใจว่าเคยเห็นแน่นอน

ทันใดนั้นก็มีเสียงสดใสของผู้หญิงดังแทรกความเงียบยามราตรีออกมา เสียงนั้นนุ่มนวลเย็นฉ่ำ ก้องกังวานไปทั่วผืนป่า “ศิษย์ไป่จั้นเฟิงร้ายกาจยิ่งนัก ใช้เชือกมัดเซียนร้อยเส้นมัดไว้ยังสามารถซัดบรรดาลูกน้องข้าเสียงหมอบ ซ้ำยังหนีออกมาได้นานปานนี้ ไม่อาจเผอเรอแม้ชั่วครู่ชั่วยามได้เลยจริงๆ”

ได้ยินเสียงนี้เสิ่นชิงชิวก็รู้ได้ทันที

หน้าตาดี ทั้งยังสถานะสูงส่ง มีลูกน้อง และเมื่อปีศาจน้อยพูดถึงก็ทำหน้าแดง ที่แท้คือซาหัวหลิงนี่เอง

ขอโทษที จะดีจะชั่วน้องเขาก็เป็นหนึ่งในตัวเอกฝ่ายหญิง แต่ไม่ได้ปรากฏตัวเสียนานเลยเกือบลืมไปแล้ว

เช่นนั้นหากหลิ่วหมิงเยียนต้องอยู่ในมือนาง ผลลัพธ์ยิ่งน่ากังวลเข้าไปใหญ่ แค่โดยข่วนหน้าลายก็ถือว่าเบาแล้ว

มิน่าเล่าเมื่อกี้ถึงรู้สึกว่าหนุ่มน้อยคนนี้ท่าวิ่งดูแปลกๆอีกทั้งร่างกายก็ดูเหมือนจะหนัก เมื่อครู่เสิ่นชิงชิวมัวแต่มองหน้า ตอนนี้เลยมองไล่ลงมาที่แท้ที่ตัวเขามีเส้นใยสีเงินเล็กบางจำนวนมากมัดพันรอบตัว ดูจากสีเครื่องแบบก็คือคนของไป่จั้นเฟิงจริงๆ แต่เหมือนไม่เคยเห็นศิษย์ที่อายุน้อยขนาดนี้ในไป่จั้นเฟิงมาก่อนเลย

หนุ่มน้อยคนนี้รู้ว่าความเร็วของตนไม่เท่าอีกฝ่ายก็หยุดกึก หว่างคิ้วพลันปรากฏรังสีดุดัน “จะโจมตีก็โจมตีมาเลย!”

ผ้าโปร่งสีแดงวาบขึ้น ซาหัวหลิงส่ายเอว ปรากฏตัวขึ้นแล้วยิ้มจางๆ “ไม่ง่ายกว่าข้าจะจับเจ้าไว้อยู่ จะตัดใจโจมตีเจ้าได้อย่างไรเล่า เร็วๆรีบตามข้ากลับไป”

หนุ่มน้อยผู้นี้ได้ฟังก็อารมณ์ร้อน แค่นเสียง ถุย ทีหนึ่ง

ซาหัวหลิงกล่าว “ไม่ยอมหรือ ถึงแม้ข้าจะไม่ทำลายกายทิพย์ของเจ้า แต่ตัดแขนตัดขาอะไรทำนองนี้กลับไม่เหลือบ่ากล่าแรงหรอกนะ”

นางพูดพลางเอื้อมมือขวาออกมาคว้าตัวหนุ่มน้อย แต่ยังไม่ทันแตะถูก หว่างนิ้วพลันเกิดการสั่นสะเทือนอย่างประหลาด

ซาหัวหลิงเข้าใจว่าถูกกลอุบายของหนุ่มน้อยผู้นี้จึงรีบชักนิ้วกลับ พอยกมือขึ้นดูจึงเห็นว่าเล็บมือทั้งห้าที่ทาสีแดงสดถูกตัดเหี้ยนเสมอกันทุกนิ้ว

แม้เป็นแค่เล็บ และไม่เจ็บไม่ปวดแม้แต่น้อย ทว่าซาหัวหลิงกลับขนลุกซู่ นางตวาดเสียงดุดัน “ผู้ใด”

ถ้าตรงนี้มีคนผู้หนึ่งที่สามารถตัดเล็บของนางอย่างง่ายดาย เช่นนั้นหากต้องการตัดคอของนางก็ไม่ต้องใช้ความพยายามอะไรเลย

เสิ่นชิงชิวสบายอกสบายใจ ปล่อยกิ่งไม้ที่เหนี่ยวออกมาปลิดใบกลับคืนที่ของมัน

ความจริงเขาแค่อยากขู่ขวัญนาง แต่ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ไว้เล็บยาวขนาดนั้นไม่ดีหรอก จริงๆนะ เห็นทีไรเขาเป็นต้องนึกกังวลว่ามันจะหักทุกที แบบว่าหงุดหงิดมาก อีกทั้งนางมักชอบข่วนหลังปิงเหอจนเลือดเหวอะหวะ

ถึงเซี่ยนเทียนต่าเฟยจีจะชอบรสนิยมซาดิสม์แบบนี้ และแม้ความสามารถในการคืนสู่สภาพเดิมของร่างกายลั่วปิงเหอจะผิดมนุษย์มนา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันเป็นรูปแบบการใช้ชีวิตที่ดีต่อสุขภาพใช่ไหมล่ะ

ซาหัวหลิงพลันบังเกิดจิตสังหาร ผ้าโปร่งม้วนตลบคลุมนิ้วทั้งห้า แผ่ปราณมารเย็นเยียบพุ่งใส่หนุ่มน้อยผู้นั้น ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่คนที่ตกใจแล้วหวาดกลัว กลับกันเมื่อถูกข่มขวัญแล้วจะยิ่งอาละวาดหนัก ช่างน่านับถือเสียจริง

เสิ่นชิงชิวหมดหนทางเลยต้องกระโจนลงจากต้นไม้ ก่อนกระโดนพรวดเข้าไปแทรกกลางระหว่างพวกเขา รวมกำลังมาไว้ที่มือข้างเดียว ฟาดออกไปใส่ซาหัวหลิงเต็มๆเดี๋ยวนั้น

เขารู้ว่าร่างนี้พลังทิพย์เต็มพิกัด แต่ไม่นึกว่าจะแรงระดับนี้ ยังไม่ทันได้ประมือกัน ซาหัวหลิงก็เหมือนแม่เหล็กที่ถูกผลัก ตัวนางปลิวกระเด็นออกไปไกล เสื้อผ้าเจ้ากรรมที่สวมใส่เพื่อความเย็นสบายก็ฉีกขาดอีกแล้ว…

ถึงแม้จะถือเป็นบุญตาที่ได้เห็น แต่เสิ่นชิงชิวซึ่งถือคติ ‘ไม่มองหน้าผู้หญิงคนไหนในโลกนี้ที่สวยกว่ามาตรฐาน’ มาตลอด เลยมองเห็นเป็นภาพโมเสกโดยอัตโนมัติ ซาหัวหลิงก็แน่พอ คราวก่อนยังด่าเสียๆหายๆ คราวนี้พิจารณาจากกำลังความสามารถแล้ว กระทั่งบทพูดประจำยามออกฉากก็ไม่พูดแล้ว เพียงกลิ้งตัวเลียดพื้นเข้าไปในห้วงอากาศที่บิดเบี้ยวทันควัน แล้วหายวับไปทันที

เสิ่นชิงชิวสะบัดพัดด้ามจิ้วในมือไปมา ถ่ายพลังทิพย์เข้าไป พัดด้ามจิ้วก็เป็นเสมือนมีดฟันฉับทีเดียวเชือกมัดเซียนก็ขาดสะบั้นเป็นร้อยๆท่อน

เด็กหนุ่มกุมหมัดคารวะอย่างเป็นเรื่องเป็นราว “ขอบพระคุณผู้อาวุโสที่ช่วยชีวิตขอรับ”

เสิ่นชิงชิวก็สอบถามเป็นเรื่องเป็นราวว่า “เจ้าเป็นศิษย์ของไป่จั้นเฟิงหรือ”

“ขอรับ”

“อยู่ใต้สังกัดผู้ใด”

“ซือจุนข้าคือเจ้ายอดเขาไป่จั้นเฟิง หลิ่วชิงเกอขอรับ”

เสิ่นชิงชิวประหลาดใจมาก

แต่ไหนแต่ไรมาหลิ่วชิงเกอไม่เคยรับศิษย์ คนที่อยู่บนยอดไป่จั้นเฟิงส่วนใหญ่เป็นศิษย์รุ่นเดียวกันกับเขา หรือไม่ก็เป็นลูกศิษย์ที่ศิษย์พี่ศิษย์น้องของเขารับไว้ ตัวเขาเองไม่เคยสนใจสอนศิษย์ ต่อให้การสอนศิษย์ของไป่จั้นเฟิงจะว่าไปก็เป็นแค่การซ้อมศิษย์คนนั้นให้หนักหน่อยเท่านั้น

เสิ่นชิงชิวนึกสงสัยอยู่บ้าง “เจ้าชื่ออะไร”

เด็กหนุ่มตอบเสียงดังฟังชัด “หยางอี้เสวียนขอรับ”

ว่าแล้ว คุ้นหน้าแบบนี้ ต้องเคยเห็นที่ไหนมาก่อนแน่

ห้าปีนี่นานพอจะให้เด็กคนหนึ่งโตเป็นผู้ใหญ่ได้เลยทีเดียว เสิ่นชิงชิวมองประเมินหยางอี้เสวียนขึ้นๆลงๆ นึกถึงครั้งนั้นที่หลิ่วชิงเกอสาบานเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าไม่มีทางรับศิษย์มาให้รำคาญใจเด็ดขาด สุดท้ายก็ยังรับมาจนได้

หยางอี้เสวียน “ผู้อาวุโสขอรับ?”

เสิ่นชิงชิวถาม “ซือจุนของเจ้าหลายปีมานี้เป็นอย่างไรบ้าง”

จากกันที่เมืองฮวาเยวี่ย พ่ายแพ้ให้แก่ลั่วปิงเหอน่าจะทำให้หลิ่วชิงเกอช็อคไปไม่น้อย เสิ่งชิงชิวคิดว่าเขาควรต้องใส่ใจสถานการณ์ของศิษย์น้องผู้นี้เสียหน่อย

หยางอี้เสวียนตอบตามตรง “พ่ายแพ้อยู่ร่ำไป”

เสิ่นชิงชิวไร้วาจาจะกล่าว “…”

พ่ายแพ้อยู่ร่ำไป ถ้อยคำนี้ต้องมาเกี่ยวข้องกับเจ้ายอดเขาไป่จั้นเฟิง ช่างชวนให้ใจสลายจริงๆ

เสิ่นชิงชิวซักต่อ “เขาสู้กับใคร ลั่วปิงเหอหรือ”

หยางอี้เสวียนแค่นเสียง “นอกจากเจ้าเดรัจฉานน้อยผู้นั้นแล้วยังจะเป็นใครได้อีก”

เสิ่นชิงชิวหน้าเหยเกเล็กน้อย หยางอี้เสวียนเด็กกว่าลั่วปิงเหอไม่น้อย คำว่า ‘เจ้าเดรัจฉานน้อย’ นี้ไปเรียกตามอย่างใครกัน

แต่เขาไม่รู้เลยว่า ตอนนี้ทั้งชางฉยงซานพอพูดถึงลั่วปิงเหอขึ้นมา ถ้าไม่ใช่ ‘เจ้าเดรัจฉานน้อย’ ก็เป็น ‘ลูกปีศาจเผ่ามาร’ หรือไม่ก็ ‘หมาป่าเนรคุณ’ ที่เรียกแค่ ‘ไอ้เจ้าลั่วปิงเหอผู้นี้’ ก็นับว่าเกรงใจแล้ว

เสิ่นชิงชิวถามว่า “แล้วเจ้าตกมาอยู่ในมือปีศาจสาวผู้นี้ได้อย่างไร ข้าได้ยินที่นางพูดแล้วฟังทะแม่งๆ อะไรคือ ‘จะตัดใจได้อย่างไร’ ”

หยางอี้เสวียนหน้าแดงเถือก “หากมิใช่เพราะนางมารผู้นี้ทำอุบายโฉดชั่ว ปลอมตัวเป็นหญิงสาวที่ประสบเคราะห์กรรมก่อน พอถูกข้าสงสัย ก็ถอด…ถอด…ข้าย่อมไม่มีทางติดกับให้นางจับตัวได้เป็นอันขาด”

เก็ทเลย

เสิ่นชิงชิวเลยสั่งสอนเขา “ดูเจ้าสิ ดูเจ้าสิ แบบนี้เหมือนมาจากไป่จั้นเฟิงหรือ ไม่เข้าใกล้สตรี ไม่ได้หมายความว่าจะกลัวสตรีนะ แค่ถอดเสื้อผ้านับเป็นอะไรได้ ยิ่งผู้หญิงคนเดียวถอดเสื้อผ้าจะนับเป็นกระไรได้ ครั้งนั้นซือจุนของเจ้าไปปราบเม่ยเยา(ภูตยวนเสน่ห์) ทั้งถ้ำไม่มีนางปีศาจตัวใดสวมเสื้อผ้าสักตน” แน่นอนว่าตอนนั้นเขาก็อยู่ด้วย ยังเคยนึกสงสัยว่าหลิ่วชิงเกอถ้าไม่ X ตายด้านก็ต้องมีปัญหาทางด้านร่างกาย เช่น…

(เม่ยเยา หรือภูตยวนเสน่ห์ คือ ปีศาจประเภทหนึ่งที่มีรูปร่างแบบหญิงมนุษย์ หน้าตางดงาม ใช้เสน่ห์ยั่วยวนบุรุษให้มาติดกับแล้วดูดซับปราณ คล้ายกับซัคคิวบัส ของทางตะวันตก

ใบหน้าของหยางอี้เสวียนเปี่ยมไปด้วยความเลื่อมใส “ทั้งถ้ำเลยหรือขอรับ สมแล้วที่เป็นซือจุน”

จากนั้นก็กล่าวอย่างใคร่รู้ “ผู้อาวุโสสนิทสนมคุ้นเคยกับซือจุนหรือขอรับ หาไม่แล้วรู้ได้อย่างไรว่าซือจุนของข้าเคยปราบเม่ยเยา”

เสิ่นชิงชิวกระแอมทีหนึ่ง “เรื่องเก่าแล้ว นมนานกาเลมาแล้ว”

กลับเข้าเรื่อง ซาหัวหลิงไม่เพียงจับตัวหยางอี้เสวียน แต่น่าจะจับตัวหลิ่วหมิงเยียนมาด้วย จับตัวศิษย์ชางฉยงซานอย่างเอิกเกริกปานนี้ เห็นทีว่ามีสาเหตุประการเดียว

ลั่วปิงเหอเกิดเรื่องแล้ว

ระบบพลังฝึกปรือของลั่วปิงเหอนั้นเป็นแนวทางที่ไร้ตรรกะอย่างยิ่ง เป็นการฝึกพร้อมกันไปทั้งสองวิธีการ รวมระบบซึ่งความจริงแล้วขัดแย้งกันให้เป็นหนึ่งเดียว การกระทำเช่นนี้จำเป็นต้องรักษาสมดุลระหว่างปราณทิพย์กับปราณมารไว้ให้ได้

ทว่าการเข้าแทรกแซงของกระบี่ซินหมัว จะทำให้ปราณมารแก่กล้าสูญเสียสมดุล ปราณไหลเวียนไม่พอดี

เพื่อแก้ปัญหานี้ วิธีการที่ลั่วปิงเหอใช้คือเอาคนมาเป็นสื่อนำ ยามพระจันทร์เต็มดวง หาคนผู้หนึ่งที่มีพลังทิพย์อันแข็งแกร่ง ถ่ายทอดปราณมารที่มีเหลือล้นในกายเข้าไป แล้วดูดซับปราณทิพย์ของคนผู้นั้นเข้ามาเป็นการแลกเปลี่ยน เช่นนี้ก็จะเกิดความสมดุลแล้ว

ถึงอย่างนั้นเนื่องจากปราณมารของลั่วปิงเหอมีอานุภาพร้ายแรงเกินไป ทำให้บ่อยครั้งหลังจากถ่ายเทพลังเสร็จคนก็มักพิการไปเสียแล้ว เอามาใช้ซ้ำไม่ได้อีก ภาชนะในการโอนถ่ายพลังเหล่านี้จึงมักใช้ได้อย่างจำกัดแค่ครั้งเดียวเท่านั้น

การจับสื่อมีชีวิตเป็นเรื่องยุ่งยาก ลั่วปิงเหอย่อมไม่ลงมือทำเอง เขาไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมาก เดี๋ยวซาหัวหลิงก็จะไปจับคนมาให้เขาเลือกใช้ได้ตามสะดวก ลั่วปิงเหอเพียงใช้กระบี่ซินหมัวกรีดเปิดทางเข้ามาในภพมารในคืนพระจันทร์เต็มดวง แล้วตรงเข้าไปจับคนมาใช้ก็ได้แล้ว

ที่อนาถก็คือซาหัวหลิงในนิยายดั้งเดิมอุตส่าห์ทุ่มเทแรงกายแรงใจผลปรากฎว่าลั่วปิงเหอกลับไปลั้นลากับนักพรตหญิงหน้าตางดงามสามคนของอารามเทียนอีที่นางเลือกมาด้วยตัวเองซะงั้น ตรองดูก็รู้แล้วว่าซาหัวหลิงจะโมโหเดือดดาลขนาดไหน

เสิ่นชิงชิวซักไซ้ “ตอนที่เจ้าถูกจับมา มีคนอื่นอีกหรือไม่ แล้วถูกจับไปไว้ที่ไหน”

หยางอี้เสวียนส่ายหน้า “หลังเข้ารอยแยกระหว่างสองภพมาก็เป็นถ้ำฉื้ออวิ๋น(เมฆแดงฆ ที่เป็นรังของนางมารผู้นั้นเลย ข้าถูกขังเดี่ยว จึงไม่เห็นผู้ใดอีกขอรับ”

เสิ่นชิงชิวแกว่งพู่ห้อยกระบี่ของหลิ่วหมิงเยียนเล่น “ข้าเดาว่าไม่ใช่แค่เจ้าคนเดียวที่ถูกจับมาหรอก”

คิดแล้วก็ขอไปดูสักหน่อยดีกว่า อย่างไรซะคืนนี้ก็ไม่ใช่คืนวันเพ็ญและไม่ใช่เวลาถ่ายโอนปราณ ตอนนี้ลั่วปิงเหอคงมัวยุ่งอยู่กับการก่อกรรมทำเข็ญสร้างความแตกแยกอยู่ในภพมนุษย์ ไม่น่าจะมาสุมหัวอยู่กับซาหัวหลิง การที่ตนไปช่วยหลิ่วหมิงเยียนที่ไม่ควรปรากฏตัวที่นี่ ไม่ถือเป็นการทำลายเนื้อเรื่อง มิหนำซ้ำยังถือเป็นการแก้ไขให้กลับมาเหมือนเดิมด้วยซ้ำ

หยางอี้เสวียนรีบวิ่งตามมา “ข้าไปด้วย กระบี่ข้ายังอยู่ในมือนางมารนั่นขอรับ”

เสิ่นชิงชิวถาม “เจ้าไม่กลัวนางถอดเสื้อผ้าแล้วหรือ”

หยางอี้เสวียนกล่าวอย่างเหยียดหยาม “ข้าไม่กลัวหรอก อีกอย่างตลอดทางมานี่นางถอดไปหลายสิบรอบแล้ว ยังมีอะไรแปลกพิศดารอีกเล่า”

เสิ่นชิงชิวหมุนกายเงียบๆ ดูท่าว่าที่นางจับนายขังเดี่ยวก็เพื่อถอดเสื้อให้นายดู วาสนาอันเหลือเชื่อนี้ ไอ้หนุ่มเอ๊ย นายต้องโดยพระเอกซ้อมตายแน่ ศิษย์คนเดียวของหลิ่วชิงเกอเสียด้วย น่าเป็นห่วงจริง

เมื่อเข้ารอยแยกของห้วงอากาศมาแล้ว บรรยากาศก็ราวกับผ่านธารน้ำร้อนที่กำลังไหลพลั่งๆ ออกมาอีกทีก็เป็นเขตแดนของเผ่ามาร

ฝั่งภพมนุษย์เป็นเวลาหลังเที่ยงคืนแล้ว ขณะที่ทางฝั่งภพมารเพิ่งจะเริ่มโพล้เพล้ อากาศค่อยข้างแห้งเป็นพิเศษ

เสิ่นชิงชิวยืนอยู่ครู่หนึ่งก็รู้สึกมึนหัวเล็กน้อย เหมือนอาการแพ้ที่สูง เขามองไกลออกไปสุดลูกหูลูกตา ไม่เห็นความแตกต่างจากภพมนุษย์ตรงไหนเลย ก็แค่ต้นไม้มีน้อยไปนิด ดูท่าว่าทีมโปรเจคโลกสีเขียวคงทำงานไม่ดีเท่าไหร่

หยางอี้เสวียนทำหน้าที่นำทาง ผ่านป่าหินระเกะระกะก็เจอปากทางเข้าถ้ำฉื้ออวิ๋นอย่างรวดเร็ว ได้ยินคำร่ำลือเกียวกับวัฒนธรรมการก่อสร้างของเผ่ามารมานาน พอมาเห็นด้วยตาตัวเอง ช่าง…ไม่ธรรมดาจริงๆ

เผ่ามารนิสัยชอบความมืดสลัว ที่พำนักและสถานที่พักแรมส่วนใหญ่จะอยู่ใต้ดิน ปากทางเข้าถ้ำแห่งนี้ดูแล้วเหมือนสุสานที่ตกแต่งอย่างอลังการเป็นพิเศษ

เสิ่นชิงชิวนึก ดูสิ มีหินก้อนใหญ่ล้อมปิด ด้านหน้าปักป้ายหิน บนป้ายหินมีตัวอักษรโย้เย้สีแดงเขียนไว้สามตัว ถ้านี่ไม่ใช่สุสานแล้วจะเป็นอะไร

เขากักกระแสปราณทิพย์ไว้ในมือ เตรียมพร้อมโจมดีใส่หน้าศัตรูที่อาจปรากฏตัวออกมาจากทางเข้าสุสาน เอ๊ย ไม่ใช่ จากปากทางเข้าถ้ำ แต่พอลงไปกลับไม่เห็นเวรยามคอยเฝ้า คิดๆแล้วก็ไม่แปลก แต่ไหนแต่ไรมีมีแต่เผ่ามารลอบเข้าไปในภพมนุษย์เพื่อแสดงอำนาจอวดบารมี ไหนเลยจะมีมนุษย์วิ่งมารนหาที่ตายฝั่งนี้ เพราะฉะนั้นจึงไม่จำเป็นต้องมีเวรยามเลยสักนิด

คนทั้งสองลอบลัดเลาะเข้าไปข้างใน พอผ่านระเบียงทางเดินหินมาได้ก็เป็นห้องโถงขนาดใหญ่

ในห้องโถงปูหนังสัตว์แปลกประหลาดสารพัดชนิดไว้จนเต็ม มองผิวเผินทีแรกเหมือนยังมีชีวิต ซาหลัวหลิงกำลังเดินย่ำเท้าเปลือยเปล่าไปมาบนหนังเสือขนาดใหญ่

เสิ่นชิงชิวเป็นห่วงว่าหยางอี้เสวียนจะทะเล่อทะล่าจนทำเสียงดังให้อีกฝ่ายรู้ตัว ขณะกำลังจะเตือนกลับเห็นเด็กคนนี้เม้มปากซะแน่นอย่างรู้งาน จึงหันกลับไปอย่างวางใจ

สองด้านของห้องโถงเรียงรายไปด้วยกรงหลายใบ ในกรงล้วนเป็นเหล่าซิวซื่อที่ถูกมัดแขนมัดขาไพล่หลัง สวมเครื่องแบบสีต่างกัน บ้างดูอายุยังน้อย บ้างดูเหมือนนักพรต บ้างเซื่องซึม บ้างกำลังทำหน้าถมึงทึง

ซาหัวหลิงเดินมายังหน้ากรงใบหนึ่ง เอามือกอดอก “คนจากชางฉยงซานของพวกเจ้าทั้งรับมือ ยาก ทั้งหน้าชังจริงๆ กว่าจะจับตัวมาได้สองคนอย่างลำบาก มีคนหนึ่งที่ยังไม่ทันเอามาขังก็หนีไปเสียแล้ว”

นางขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “หากมิใช้…หากมิใช้เพราะ…ข้าละอยากจับพวกเจ้าตีให้ขาหักนัก”

ในกรงนี้หลิ่วหมิงเยียนที่สวมผ้าคลุมหน้านั่งขัดสมาธิ หลับตา ไม่หวั่นไหวต่อสิ่งเร้าภายนอกแม้แต่น้อย

ซาหัวหลิงเห็นนางไม่สนใจตัวเองก็หัวเราะหยัน “เจ้าสวมของพรรค์นี้ไว้บนหน้า ไม่เคยเอาออกเลยหรือ อ้อ ข้ารู้แล้ว หรือว่าหน้าตาเจ้าอัปลักษณ์เกินไป เลยเจียมตนไม่กล้าเอาออกกระมัง

เสิ่งชิงชิวนึกค่อนว่า น้องสาว…เธอรู้ไหมว่าคนที่เธอจะต้องอิจฉาริษยาที่สุดในภายภาคหน้าเป็นใคร ไปว่าเขาอัปลักษณ์ก็เท่ากับตบหน้าตัวเองเลยนะ

สัญชาตญาณของผู้หญิงเป็นเหตุ ซาหัวหลิงมองหลิ่วหมิงเยียนอย่างไรก็ขัดหูขัดตา เลยเปิดประตูกรงลากตัวนางออกมา ตวาดว่า “คุกเข่า!”

แน่นอนว่าหลิ่วหมิงเยียนย่อมไม่ยอมคุกเข่า แม้พลังทิพย์เหลือแต่กลับยืนอย่างมั่นคง

ซาหัวหลิงทั้งฉุดทั้งกระชากยังไม่อาจทำให้นางคุกเข่าได้ ก็โมโหแทบควันออกหู กระชากผ้าคลุมหน้านางลงมาทันที

พริบตานั้นดวงหน้าน้อยๆ ขาวปานหิมะของซาหัวหลิงก็กลายเป็นสีขาวไปจริงๆ

เสิ่นชิงชิวตะโกนร้องในใจ หันมา หันมา ฉันอยากเห็น รีบให้ฉันดูหน้านางเอกอันดับหนึ่งหน่อยว่าเป็นอย่างไร

หลายปีที่อยู่ชางฉยงซาน เพราะต้องคำนึงถึงศักดิ์ฐานะตัวเอง เลยไม่อาจขอว่า ‘หวัดี ศิษย์หลาน ได้ยินว่าเธอสวยมาก ขอดูหน้าเธอหน่อยได้เปล่า’ แบบนั้นมันเหมือนคำพูดของผู้ชายสารเลวที่กำลังล่วงละเมิดทางเพศก็ไม่ปาน เขาจึงไม่เคยได้เห็นหน้าหลิวหมิงเยียน ทำเอาอกจะแตกตายอยู่แล้ว

แต่หลิ่วหมิงเยียนยังไม่ทันได้หันหน้ามาให้เขาได้ปลาบปลื้ม ซาหัวหลิงก็ตาลุกวาบ งอนิ้วทั้งห้าเป็นตะขอ หมายจะเข้าไปตะกุยกหน้าหลิ่วหมิงเยียน

ดังนั้นตอนที่ถูกซัดกระดอนออกไปไกลเป็นครั้งที่สองในคืนนี้ ในที่สุดซาหัวหลิงก็ทนไม่ไหว ถ่มเลือดที่กลั้นไว้ในปากออกมา ในสมองพลันผุดความคิดปลอบใจตัวเอง ยังดีที่คราวนี้เสื้อผ้าไม่ฉีกจึงไม่ต้องเปลี่ยนใหม่…

ถึงเสิ่นชิงชิวจะฟาดนางกระเด็นออกไป แต่แขนเสื้อดันถูกนางกรีดจนขาดเป็นรอยห้าแถบ ก็นึกผวาในใจ เล็บมือของเธอเพิ่งถูกฉันตัวเหี้ยนไปชั่วยามก่อนเองไม่ใช่รึ หรือว่ามันงอกใหม่ได้ไม่จำกัด

เขาฟาดซาหัวหลิงกระเด็นแล้วรีบหันไปดูหน้าหลิ่วหมิงเยียน แต่พอหันไปก็ขาเซวูบ เวลาสั้นๆแค่นี้นางดันเอาผ้าคลุมหน้าขึ้นมาสวมทันเวลา เขาเลยไม่ได้เห็นว่าหน้าตาเป็นอย่างไรเลยสักแวบ

หยางอี้เสวียนหากระบี่ของตัวเองที่ถูกปักไว้ในซอกหินเจอแล้ว รีบเข้าไปเอากระบี่ตัดโซ่เหล็กที่ประตูกรงด้วยความรวดเร็วสุดจะเปรียบ ตัดกรงหนึ่ง คนโขยงหนึ่งก็กรูกันออกมา

เสิ่นชิงชิวมองปราดไปเห็นร่างในชุดสีครามสามคนก็ตกใจใหญ่ “หยุดก่อนๆ อย่าเพิ่งใจร้อย”

หยางอี้เสวียนหันกลับมามองด้วยความกังขา “มีปัญหาอะไรหรือขอรับ ผู้อาวุโส” ไม่ทันขาดคำเสิ่นชิงชิวก็เห็นเขาเปิดประตูกรงที่อยู่ใกล้มือออก นักพรตหญิงหน้าตาจิ้มลิ้มพริ้มเพรา รูปโฉมประหนึ่งเคาะออกมาจากพิมพ์เดียวกันสามคนก็พุ่งกายออกไปจากถ้ำฉื้ออวิ๋นราวกับพายุสามสายทันที

สหาย นายปล่อยคนมั่วซั่ว ดันปล่อยคนที่ไม่ควรปล่อยออกไปเสียแล้ว

สามศรีพี่น้องที่จะทำหน้าที่กรุยปราณมารให้ลั่วปิงเหอในระยะยาวถูกนายปล่อยออกไปแล้ว

ความผิดพลาดใหญ่หลวงเกิดขึ้นแล้ว เสิ่นชิงชิวน้ำตานองอยู่ในใจ แต่ไม่อาจสั่งให้หยางอี้เสวียนออกไปตามจับพวกนางกลับมาเข้ากรงใหม่ได้ ด้วยความอับจนหนทางเลยได้แต่ตามเขาไปปล่อยคนอื่นๆที่เหลือออกมา

เสิ่นชิงชิวปล่อยคนพลางทอดถอนใจด้วยความกลัดกลุ้ม เวรแล้ว เขาดันไปทำลายเส้นบุพเพระหว่างพระเอกกับสามสาวในฮาเร็มเสียพังพินาศ จับพลัดจับผลูป่วนเนื้อเรื่อ ‘การฝึกผสานลมปราณแบบหมู่’ ของพวกเขา ได้แต่หวังว่าซาหัวหลิงพนักงานผู้ขยันขันแข็งจะรวบรวมความกล้าลุกขึ้นสู้ใหม่คราวหน้า จับพวกเธอกลับมามอบให้ลั่วปิงเหอใหม่อีกครั้งก็แล้วกัน บาปก้ำ…บาปกรรม

ขณะที่เสิ่นชิงชิวมัวแต่เศร้าเสียดาย พอก้มหน้าจู่ๆก็สบตากับใบหน้าที่ดูคุ้นตาอย่างยิ่งของคนผู้หนึ่ง ในใจพลันเต้มตูมตาม

เชี่ยๆๆ ซวยซ้ำซวยซ้อนจริงๆ ศัตรูมาพบกันบนทางแคบอีกแล้ว

ชิวไห่ถังหมอบคุดคู้อยู่ในกรง มองเขาอย่างฉงบ

เสิ่นชิงชิวอึ้งไปสองวินาที แกล้งทำเป็นไม่รู้จัก ทำท่าเป็นนัยให้นางรีบออกมา แล้วทำไม่รู้ไม่ชี้หมุนกายเดินออกไป

รูปร่างของเขาในตอนนี้(น่าจะ)ไม่มีใครจดจำได้ อีกทั้งห้าปีก่อนเสิ่นชิงชิวระเบิดพลังทิพย์ตายคาที่ท่ามกลางสายตาของพยานรู้เห็นไม่รู้ตั้งกี่คู่ ไม่จำเป็นต้องทำตัวเป็นวัวสันหลังหวะเลยสักนิด

ซาหัวหลิงถ่มเลือดเสร็จก็นอนละลึมสะลือพังพาบกับพื้นอยู่พักหนึ่ง จากนั้นตะเกียดตะกายลุกขึ้นนั่งอย่างลำบาก พอมองเห็นถนัดก็กล่าวน้ำเสียงดุดัน “เป็นเจ้าหรือ เจ้าเป็นใครกันแน่ บังอาจตามข้ามา ช่างขวัญกล้าดีแท้”

หยางอี้เสวียนพลันเฉลียวใจถึงคำถามนี้ขึ้นมาได้ จึงปล่อยคนไปด้วยเอ่ยปากถามไปด้วย “นั่นซิ ผู้อาวุโส ท่านเป็นใครหรือ”

จริงด้วยบ้าอะไรล่ะ ไอ้หนุ่มนี่เส้นประสาทตอบสนองช้าเกินไปไหม

แล้วถามด้วยน้ำเสียงเออออแบบนี้มันหมายความว่าไง

ขณะเสิ่นชิงชิวกำลังใคร่ครวญว่าจะเอาฉายาเจวี๋ยซื่อหวงกวามาใช้อีกครั้งดีหรือไม่ ซาหัวหลิงก็แค่นหัวเราะ “จะอะไรก็ช่าง มาแล้วก็อย่าได้คิดออกไปเด็ดขาด”

นางตบมือจนเสียงกระพรวนดังรัว หลังจากนั้นครู่หนึ่งองครักษ์ของถ้ำฉื้ออวิ๋นก็กรูกันเข้ามาล้อมเขาเอาไว้

ถ้ำฉื้ออวิ๋น เป็นที่พักส่วนตัวของซาหัวหลิง ปกติผู้ใต้บังคับบัญชาโดยตำแหน่งจะไม่ได้อยู่ที่นี่ ส่วนพวกลูกกะจ๊อกส่วนตัวนั้นฝีมือไม่น่ากลัวเท่าไหร่นัก เหล่าปีศาจน้อยวิ่งวนไปรอบๆ ยกแขนขึ้นแล้วก็เอาลง ดูเหมือนคนทรงเจ้าไม่มีผิด เสิ่นชิงชิวมองจนตาลาย ขณะกำลังนึกกระวนกระวายใจเตรียมจะเอาพัดฟาดให้ปลิว พริบตาทั่วทั้งร่างก็รู้สึกเหมือนมีเส้นผมนับไม่ถ้วยฉุดรั้งการเคลื่อนไหวของเขา

เชือกมัดเซียน

กองกำลังเหล่านี้แม้ความสามารถด้านการต่อสู้ไม่แข็งแกร่ง แต่เห็นชัดว่าผ่านการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี แต่ละคนใช้เชือกมัดเซียนที่บางราวกับเส้นผม วิ่งวนรอบตัวเสิ่นชิงชิวไม่หยุด เอาเชือกมัดเซียนพันตัวเขาจนกลายเป็นก้อนด้ายขดใหญ่

ซาหัวหลิงยังไม่ทันโห่ร้องชมเชย เสิ่นชิงชิวก็หัวเราะ กระทืบพื้นอย่างแรง เสียงเส้นด้ายขาดกระจุยดังขึ้นในอากาศ

ป่นปี้! เชือกมัดเซียนถูกคนผู้นี้ใช้พลังทิพย์ซัดจนป่นปี้หมดแล้ว

เกือบทุกคนในที่นั้นล้วนตกตะลึงจนลืมเรื่องที่ควรทำไปซะหมด เป็นครั้งแรกจริงๆที่เห็นคนสามารถใช้พลังทิพย์สะบั้นเชือกมัดเซียนขาดกระจุยได้

ช่างเป็นวิธีการคลายพันธนาการได้รุนแรงดีแท้

เสิ่นชิงชิวตะโกน “ออกไปก่อน”

เหล่าซิวซื่อที่ได้รับการช่วยเหลือ มีหรือต้องให้เขาสั่งซ้ำ ต่างการกันวิ่งออกไปเกือบหมดแต่แรกแล้ว

หยางอี้เสวียนกับหลิ่วหมิงเยียนเพิ่งสลัดเชือกมัดเซียนพ้นจากตัวได้ไม่นาน พลังทิพย์ยังโคจรไม่เสถียร รู้ว่ารั้งอยู่ก็มีแต่จะเป็นตัวถ่วง ทั้งเห็นว่าผู้อาวุโสน่าจะรับมือได้อย่างไม่เหลือบ่ากว่าแรงก็เอ่ยทิ้งท้ายว่า “ผู้อาวุโสโปรดถนอมตัว”

จากนั้นก็แยกย้ายกันออกไปทันควัน พวกปีศาจเห็นดังนั้นก็ไม่รู้ว่าควรตามดีหรือไม่ ยืนงงงันอยู่กับที่ รอรับคำสั่งจากเบื้อบน

ซาหัวหลิงตาลุกวาว ชี้เสิ่นชิงชิวแล้วตะโกนลั่น “จับเขาไว้ คนอื่นไม่ต้องไปสนใจ เขาคนเดียวก็พอ ถึงตายก็ต้องจับตัวมาให้ข้าให้ได้”

เสิ่นชิงชิวฟาดพัดใส่ไพร่พลที่โผเข้าใส่เขาสองสามตน ทันใดนั้นเหนือศีรษะก็มีบางสิ่งบางอย่างหนักอึ้งทับลงมา

ตาข่ายยักษ์!

เชือกมัดเซียนหนาขนาดเท่านิ้วก้อยนับไม่ถ้วนเอามาทอเป็นตาข่ายยักษ์ตกลงมากลุมหัวคลุมหูเสิ่นชิงชิว ตอนที่โดนตัวเขา ลำพังน้ำหนักก็ทำเอาเสิ่นชิงชิวเข่าอ่อนยวบ จวนเจียนล้มคว่ำลงไปเดี๋ยวนั้น

ไอเทมร้ายกาจแบบนี้เอามาจากไหน เชือกแต่ละเส้นหนาขนาดนี้ ไม่ใช่เอามามัด ‘เซียน’ แล้ว เอามามัดช้างมากกว่ามั้ง

ซาหัวหลิงรอสักพักหนึ่ง เห็นคราวนี้เสิ่นชิงชิวดิ้นไม่หลุดแล้ว จึงเดินเข้ามาช้าๆ

สถานการณ์หมดทางสู้เมื่อครู่หายไปอย่างสิ้นเชิง ซาหัวหลิงรู้สึกว่าครั้งนี้ตัวเองสร้างวีรกรรมครั้งใหญ่ จึงพออกพอใจยิ่งนัก ขนาดด่ายังหัวเราะคิกคักทำเสียงยั่วเย้า “เชือกมัดเซียนร้อยเส้นมัดเจ้าไม่อยู่ หรือข้าจะไม่รู้จักเอาพันเส้นหมื่นเส้นมาใช้ ตาข่ายมัดเซียนนี้เดิมทีข้ามิได้เตรียมไว้สำหรับเจ้า กลับต้องเอามาใช้กับเจ้า เจ้าควรรู้สึกเป็นเกียรตินะ อย่าดิ้นเลยอยู่นิ่งๆข้าไม่ทำอะไรเจ้าหรอก”

เสิ่นชิงชิวกล่าวว่า “หากไม่ทำอะไรข้า ก็รบกวนเอาตาข่ายออกได้หรือไม่”

ซาหัวหลิงพนักงานดีเด่นของเผ่ามารเริ่มปฏิบัติหน้าที่เผยแพร่ลัทธิของตัวเองอย่างแข็งขัน ยอบกายลงมา พูดเองเออเอง “เห็นเจ้ามีพรสวรรค์ หากยอมสวามิภักดิ์ให้แก่เผ่ามารของข้า อำนาจและอิทธิพลย่อมได้มาครอบครองอย่างง่ายดาย แน่นอนว่าหากเจ้าไม่ยอมสวามิภักดิ์ก็ไม่เป็นไร อะไรที่สมควรทำก็ต้องทำ แต่คงต้องเจ็บตัวไม่น้อยนะ เจ้าชั่งผลได้ผลเสียเอาเองก็แล้วกัน”

มิน่าเล่าเมื่อครู่ซาหัวหลิวถึงไม่สนใจคนอื่น ทุ่มพลังทั้งหมดมาที่เขา ที่ลั่วปิงเหอต้องการคือภาชนะที่มีพลังทิพย์สมบูรณ์แข็งแกร่ง พวกซิวซื่อที่นางจับตัวมา ไหนเลยจะมีพลังทิพย์แกร่งไปกว่าเขาในตอนนี้ น่ากลัวว่ายัยคนนี้วางแผนจะส่งเขาไปให้ลั่วปิงเหอจับไปทำสื่อมีชีวิตแน่นอน!

ปล่อยสามศรีพี่น้องคนงามให้หนีไปถือเป็นความผิดพลาดที่ไม่ได้ตั้งใจ เสิ่นชิงชิวไม่คิดเอาตัวเองไปแทนที่หรอกนะ ความรู้สึกที่เหมือนได้บทมาผิดนี้ทำให้เขาสังหรณ์ใจว่าระบบซังกะบ๊วยนั่นอาจจะยังอยู่ ขณะกำลังคิดหาทางหนีทีไล่ ซาหัวหลิวอยู่ๆก็รีบสางผมที่ยุ่งเหยิงเป็นการใหญ่ บิดเอว ส่ายสะโพก หมุนตัวเดินออกไปยังนอกห้องโถง

เสิ่นชิงชิวได้ยินนางกล่าวเสียงฉอเลาะแต่ไกล “วันนี้ไม่ใช่คือพระจันทร์เต็มดวง จวินซั่ง ไฉนเกิดความคิดมาเยือนถิ่นของบ่าวหรือเจ้าคะ แต่มาได้จังหวะเหมาะจริงๆ ข้าบังเอิญเตรียมของขวัญชิ้นใหญ่ไว้ให้ท่านพอดี อยู่ที่นี่แล้วเจ้าค่ะ”

(จวินซั่ง เป็นคำสรรพนามที่ผู้ใต้บังคับบัญชาที่มีศักดิ์สูงเรียกเจ้านายที่มีฐานันดตสูงศักดิ์กว่าตน”

ชั่ววูบนั้นเลือดร้อนฉ่าแล่นขึ้นสมองของเสิ่นชิงชิวก่อนไปปะทะกับเหงื่อเย็นชื้นบนหน้าผาก

พละกำลังไม่รู้แล่นมาจากไปน เขาคว้าตาข่ายแน่น เอาพลังทิพย์ในกายที่หลั่งไหลไม่หมดไม่สิ้นแปรเปลี่ยนเป็นพลังโจมตีออกไป

ตูม!

เสียงดังสนั่นหวั่นไหว รอยยิ้มของซาหัวหลิงแข็งค้างอยู่บนหน้า นางรีบกลับเข้ามาในห้อง เบิกตาค้างพูดอะไรไม่ออกไปแล้ว

ในห้องโถงใหญ่ เหล่าปีศาจน้อยของถ้ำฉื้ออวิ๋นล้มระเนระนาดนอกกันให้เกลื่อน ตรงกลางของตาข่ายมัดเซียนกลายเป็นรูโหว่ใหญ่เบ้อเริ่ม ตรงขอบยังมีสะเก็ดไฟแลบอยู่ ควันขาวลอยอวลเป็นสาย

คนผู้นี้น่ากลัวเกินไปแล้ว ขนาดตาข่ายมัดเซียนยังถูกเขาระเบิดเป็นรู หนีไปแล้ว!

ผู้ที่อยู่ด้านหลังเดินแซงนำหน้าเข้ามาในห้องโถงช้าๆ ถ้ำฉื้ออวิ๋นมืดสลัวไม่มีแสงไฟ เห็นเพียงร่างสูงตรงของคนผู้หนึ่ง และแสงสะท้อนของเส้นใยสีเงินที่ปักแทรกอยู่ในเสื้อคลุมสีดำเท่านั้น

หลังจากนั้นครู่หนึ่งเสียงของลั่วปิงเหอก็ดังขึ้นอย่างไม่ยินดียินร้าย “นี่คือของขวัญของเจ้าหรือ”

ซาหัวหลิงกล่าวอย่างเจ็บใจ “…ข้าคำนวณพลาดไป ทำให้เขาหนีไปแล้ว”

นางเจ็บใจจนหลั่งเลือดซิบๆอยู่ในอก ตาข่ายมัดเซียนที่ถักจากเชือกมัดเซียนนับพันเส้น เดิมทีเอาไว้จัดการกับซิวซื่อหน้าเหม็นกลุ่มนั้นของชางฉยังซาน ผลปรากฏว่าถูกระเบิดจนขาดเป็นรูใหญ่ นี่ไม่ใช่ของที่จะเอาเข็มกับด้ายมาเย็บก็สามารถเอามาใช้ต่อได้เสียด้วย

ลั่วปิงเหอหันหลังให้นาง ก้มหน้ามองซากความเสียหายแวบหนึ่งกล่าวเสียงเย็น “เหมือนข้าจะเคยบอกเจ้าแล้ว คนของชางฉยงซาน ไม่อนุญาตให้จับ”

เหงื่อเย็นผุดเต็มหน้าผากของซาหัวหลิง

ลั่วปิงเหอเคยพูดไว้จริงๆ แต่พลังทิพย์ของศิษย์ชางฉยงซานโดยทั่งไปแล้วยังสูงกว่าศิษย์ของสำนักอื่น เหมาะสำหรับนำมาทำเป็นภาชนะในการโอนถ่ายพลังที่สุด นางยังแอบหวังเอาไว้ในใจว่าจะเอาคนที่จับมานี้เปลี่ยนเสื้อผ้าเสีย ไม่แน่ว่าอาจรอดหูรอดตาเขาได้ แต่ไม่รู้ทำไม ขนาดคนหนีไปแล้ว ลั่วปิงเหอยังมองออกว่านางจับคนพวกไปนมา จึงอดขนลุกเกรียวไม่ได้ รีบกล่าว “จวินซั่งโปรดระงับโทสะ สองคนนั้นข้าจับมาโดยไม่ตั้งใจ แต่ก็รีบปล่อยไปแล้ว ครั้งนี้บ่าวหาคนประหลาดมาได้ผู้หนึ่ง ข้าไม่เคยเห็นซิวซื่อที่มีพลังทิพย์เปี่ยมสมบูรณ์เท่าเขามาก่อนเลย มีเขาคนเดียวก็พอแล้ว ภายหน้าท่านจะได้ไม่ต้องคอยเปลี่ยนคนที่จะมาเป็นภาชนะทุกเดือน”

นางกัดริมฝีปาก กล่าวเสริมว่า “ขอเพียงท่านมอบ…ของสิ่งหนึ่งให้ข้า”

รออยู่ครู่หนึ่งนางก็ยื่นมือออกไปคว้าของบางอย่างที่ถูกโยนมาให้ไว้ได้แล้วกำไว้ในฝ่ามือแน่น เผยรอยยิ้มที่แสดงถึงความพอใจอย่างมากออกมา

เวลานั้นเสิ่นชิงชิวที่วิ่งหนีมาได้หลายลี้ก็เกือบหัวใจวาย

สาเหตุไม่ใช่เพราะเขาหนีรอดจากใต้ฝ่าเท้าของลั่วปิงเหอมาได้อย่างฉิวเฉียด แต่เป็นเพราะชั่ววินาทีนั้นเขาได้ยินเสียงคุ้นหูที่แสนจะน่าชังเสียงหนึ่งดังขึ้น

เสียงคอมพิวเตอร์สังเคราะห์ที่ตายด้านแบบเว็บแปลภาษากูเกิล

เชี่ยแล้ว ไหนว่าเปลี่ยนฮาร์ดแวร์แล้วไม่โดนไวรัสไง ไหนว่าจากนี้ไปจะมีชีวิตใหม่ โผบินอิสระทำอะไรก็ได้ตามใจชอบไง

เสิ่นชิงชิวเอามือปิดหู ขณะโกยอ้าวออกจากภพปีศาจมายังภพมนุษย์ประหนึ่งอุดหูขโมยกระดิ่ง

(อุดหูขโมยกระดิ่ง มาจากนิทาน คนผู้หนึ่งชอบขโมยของ อยู่มาวันหนึ่งอยากขโมยกระดิ่งเพื่อนบ้าน แต่กลัวเสียงกระดิ่งจะดังพ้อง เลยเอาสำลีมาอุดหูตัวเอง เพราะคิดว่าตัวเองไม่ได้ยินแล้วไม่เป็นไร แต่ก็โดนจับได้เพราะเสียงกระดิ่งนั่นเอง)

เขาวิ่งเป็นพายุบุแคมมาตลอดทาง ผ่านเทือกเขาเปลี่ยวร้างกลับมายังพื้นที่ชายแดน แต่เสียงเวรนั้นก็ทะลุเข้ามาในสมองราวกับการยึดพื้นที่ในระบบประสาทเขาไว้

[…เปิดการใช้งาน…เปิดการใช้งาน…ผูกติดวิญญาณ…]

[…ซ่อมแซม…กรุณา…ติดต่อฝ่ายบริการลูกค้า…]

เพราะวิญญาณถูกผูกติด พอเจอลั่วปิงเหอ ระบบก็เลยกลับมาเปิดใช้งานอีกครั้งเหรอ

พอเปลี่ยนร่าง สัญญาณเลยติดขัด ต้องติดต่อฝ่ายบริการลูกค้าก่อนอย่างนั้นเหรอ

ลั่วปิงเหอเป็นดาวปีศาจในชีวิตเขาจริงๆ

ดีที่ระบบเอาแต่พูดคีย์เวิร์ดสองสามคำนั่นซ้ำไปซ้ำมาโดยไม่พูดให้ครบประโยค เสิ่นชิงชิวตบหัวตัวเองมาตลอดทาง เบื้องหน้าสายตาพลันปรากฎวี่แววมนุษย์ ด้วยกลัวจะเสียมาด จึงชะลอฝีเท้าแล้วค่อยๆเดินกลับเข้าเมือง

เมืองเล็กของพื้นที่ชายแดนตอนกลางวันดูจะมีวี่แววผู้คนมากกว่าตอนกลางคืนแต่ไม่ถึงขนาดเรียกได้ว่าคึกคัก ตามถนนที่ไม่กว้างไม่แคบ มีคนเดินผ่านไปผ่านาพอสมควร หลังจากร้านรวงเปิด พจะนับได้ว่ามีชีวิตชีวาได้อยู่

ป้ายผ้าร้านน้ำชาโบกสะบัด ข้างๆร้านมีชายหนุ่มหญิงสาวคู่หนึ่งถือกระบี่กำลังมองมา เสิ่นชิงชิวจึวเดินเข้าไปถาม “ทำไมพวกเจ้ายังไม่กลับชางฉยงซาน”

หลิ่วหมิงเยียนยกมือคารวะเขา หยางอี้เสวียนรีบกล่าว “ศิษย์สำนักอื่นล้วนกลับไปแล้วขอรับ ตอนนี้เห็นผู้อาวุโสหนีออกมาได้ พวกข้าก็วางใจแล้ว”

เสิ่นชิงชิวเดินเข้าไปในร้านน้ำชากับพวกเขาล้าหาที่นั่ง ด้านข้างมีกลุ่มคนที่เดิมกำลังพูดคุยซุบซิบนินทากันอยู่ พอเห็นเขาเต็มๆตาก็ตกใจร้องลั่นออกมาทันที “อ๊าก…ปะ…เป็น…”

เสิ่นชิงชิวเหลียวหน้าไปมอง ก็เห็นว่าเป็นศิษย์รักษาการณ์พื้นที่ชายแดนซึ่งเขาได้เคยช่วยชีวิตเอาไว้ในคืนที่เพิ่งออกมาจากหลุมกลุ่มนั้นนั่นเอง คนที่เห็นเขาก่อนใครเพื่อนทำเสียงอึกๆอักๆ

หลูลิ่วรีบกล่าว “ที่แท้เป็นท่านเจวี๋ยซื่อ…นี่เอง”

หลังคำว่า ‘เจวี๋ยซื่อ’ มีคำพูดตามมาสองคำ แต่ฟังแล้วคลุมเครืออย่างมากเหมือนติดอยู่ใต้ลิ้น คนอื่นที่เหลือรีบทักทายตาม “ที่แท้ก็เป็นผู้อาวุโสเจวี๋ยซื่อ…”

เสิ่นชิงชิวผงกศีรษะทักทายพวกเขา ตกลงใจว่าเดี๋ยวจะต้องหาชื่อใหม่ดีๆมาใช้เป็นการด่วน

หยางอี้เสวียนรีบกล่าว “ผู้อาวุโส ท่านแซ่หวงหรือขอรับ หวงฮวา(ดอกไม้เหลือ) หรือว่า กวงหัว(เรืองโรจน์)นะ”

เสิ่นชิงชิวกระแอมสองที กล่าวอ้อมแอ้ม “เออ…นั่นแหละ” ไอดีที่ใช้มาหลายปีขนาดนี้ นับเป็นครั้งแรกที่รู้สึกละอายใจนิดๆ

เขากล่าวด้วยท่าทางเคร่งขรึม “เมื่อคืนศิษย์สำนักอื่นล้วนเห็นข้าอยู่ในถ้ำฉื้ออวิ๋น แม้ปิดบังไว้ไม่ได้แล้ว แต่หากมีใครถามถึงข้าขึ้นมา พวกเจ้าก็พูดให้น้อยเข้าไว้แล้วกัน หากปิดปากไม่พูดถึงได้ย่อมดีที่สุด”

หยางอี้เสวียนถาม “ทำไมเล่าขอรับ ผู้อาวุโสมิใช่สนิทกับซือจุนของพวกเราหรอกหรือ”

“เอ่อ สนิทก็สนิทอยู่…”

เสิ่นชิงชิวไม่รู้จะตอบว่าอย่างไรดี โต๊ะข้างๆหันกลับไปซุบซิบนินทากันต่อ มีคนถุยเปลือกเม็ดกวยจี๊ไปคุยกันไป “ลิ่วเกอ ท่านเล่าต่อที ตกลงว่าคำอธิบายอีกอย่างคืออะไร”

หลูลิ่วกล่าวว่า “สำหรับคำอธิบายอีกอย่างหนึ่งนั้น น่าสนใจยิ่งนัก เรื่องนี้เหมือนจะลือออกมาจากคนใน ลั่วปิงเหอผู้นี้กับเสิ่นชิงชิว…”

เสิ่นชิงชิวได้ยินสองชื่อนี้ ใจก็เต้นโครมครามขึ้นมาทันที เหยียดกายตรงโดยไม่รู้ตัว กางหูผึ่ง โบกพัดด้ามจิ้วในมือช้าลง ศิษย์สองคนของชางฉยงซานก็อดชำเลืองมองไม่ได้เหมือนกัน

หลูลิ่วจิบชาอึกหนึ่ง ก่อนจะกล่าว “ลั่วปิงเหอกับเสิ่นชิงชิวเป็นศิษย์อาจารย์กันใช่ไหมเล่า ลั่วปิงเหอผู้นี้เกิดมาในครอบครัวยากจน ความเป็นอยู่อัตคัดขัดสนมาตั้งแต่เล็ก หลังจากเข้าเป็นศิษย์ในสังกัดชางฉยงซาน มีอยู่ช่วงหนึ่งไม่ได้รับการยอมรับ ถูกเพื่อนร่วมสำนักทุบตีเหยียดหยาม ดีที่เสิ่นชิงชิวให้ความเมตตาต่อเข้าเป็นที่สุด”

เขาเล่าพลางหมุนหน้า โยกคอ ทำเสียงสูงเสียงต่ำ นี่ถ้าในมือถือกรับไม้ไปด้วย คงไม่ต่างอะไรกับนักเล่านิทานเลย

เสิ่นชิงชิวแอบพยักหน้าถูกต้อง ก่อนที่เขาจะถีบลั่วปิงเหอลงไป เขาเห็นว่าตังเองนั้นถือได้ว่ามีมโนธรรมเลยทีเดียว

หยางอี้เสวียนแค่นเสียง “เฮอะ ให้ความเมตตาต่อเขาแล้วมีประโยชน์อะไร ยังมิใช่…”

มีคนทำท่าประหลาดใจ “เรื่องนี้มิใช่ตรงข้ามอย่างสิ้นเชิงกับข่าวลือที่ว่าเสิ่นชิงชิวขอบทารุณลูกศิษย์หรอกหรือ”

หลูลิ่วกล่าวว่า “แค่นี้ประหลาดใจแล้วหรือ เบื้องหลังยังว่ากันอีกว่า ศิษย์อาจารย์คู่นี้อยู่ด้วยกันทั้งกลางคืนกลางวัน แอบมีใจให้กัน เจ้าจะว่าอย่างไรเล่า”

คนสามคนทางโต๊ะนี้ ความจริงน้ำชาเข้าปากไปแล้ว พอได้ยินประโยคนี้เข้า เสิ่นชิงชิวและหยางอี้เสวียนก็พร้อมใจกันพ่นน้ำชาออกมาพรวด!

แม้หลิ่วหมิงเยียนไม่ได้พ่น แต่มือกระตุกจนถ้วยชาเอียงกระเท่เร่ น้ำชาหกออกมาเต็มโต๊ะ

ส่วนทางโต๊ะนั้นผลัดกันสูดลมหายใจ “มีคำอธิบายเช่นนี้ด้วยหรือ”

หลูลิ่วกล่าวว่า “ถูกต้อง แต่พูดกันอย่างจริงจังนะ เป็นลั่วปิงเหอต่างหากที่แอบหลงรักเสิ่นชิงชิว คิดเพ้อฟันไปเองข้างเดียว”

คิดเพ้อฝันไปเองข้างเดียว? คิดเพ้อฝันไปเองข้างเดียว?!

“เสิ่นชิงชิวเป็นใครกัน เจ้ายอดเขาชิงจิ้งเฟิงนะ วิถีของชิงจิ้งเฟิงคืออะไร ทำใจให้บริสุทธิ์ละกิเลสตัณหา มุ่งฝึกบำเพ็ญฌาน ศึกษาคัมภีร์ เสิ่นชิงชิวรู้ซึ้งจึงสละแล้วซึ่งทางโลก ไม่สุงสิงข้องแวะกับผู้อื่น แต่เพราะลั่วปิงเหอไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ จึงเป็นเหตุให้ความรักแปรผันเป็นความแค้น”

เส้นเอ็นเขียวๆบนหลังมือและหน้าผากเสิ่นชิงชิวเต้นตุบๆ

หยางอี้เสวียนตกตะลึง “พะ…เพราะความรักแปรผันเป็นความแค้นหรือ”

หลูลิ่วกล่าวต่อ “พอเป็นเช่นนี้ก็สามารถอธิบายได้เข้าเค้าเลยทีเดียว ต้นสายปลายเหตุของเรื่องเมื่อครั้งงานชุมนุมเซียน จะต้องมาจากเรื่องนี้แน่ ลั่วปิงเหอลงชิงชัยในฐานะผู้นำศิษย์ของชิงจิ้งเฟิง ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม เลยเกิดความมั่นใจขึ้นมา ประจวบเหมาะกับพวกปีศาจอยู่นอกเหนือการควบคุม ด้วยความที่มีการร่ายเขตอาคมผนึกเขรแดนอยู่ เสิ่นชิงชิวเข้าหุบเขาทางตันไปให้การช่วยเหลือ ลั่วปิงเหอเลยจิตใจสับสนฉวยโอกาสเปิดเผยความในใจต่อซือจุน”

เสิ่นชิงเชวเอามือกุมหน้าผากอย่างปวดร้าว

ทำไมหนอ ทำไมถึงได้รู้สึกว่าที่คนผู้นี้พูดมาสิบประโยค มีเก้าประโยคอาจพูดได้ไม่ผิด แต่ประโยคท้ายสุดกลับฟังทะแม่งๆ

และประโยคนี้นี่เองที่เปลี่ยนความนัยของเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้พิลึกพิลั่นไป

หลูลิ่วกล่าวอย่างเป็นจริงเป็นจัง “เสิ่นชิงชิวอุปนิสัยสูงส่งบริสุทธิ์ แน่นอนว่าย่อมปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย”

เสิ่นชิงชิวรู้สึกประทับใจอยู่นิดหน่อย นึกไม่ถึงจริงๆ คำว่า ‘อุปนิสัยสูงส่งบริสุทธิ์’ นี้ นอกจากศิษย์พี่เจ้าสำนักผู้แสนดีของเขาแล้ว ตอนนี้ยังมีผู้อื่นเต็มใจเอามาใช้กับตัวเขาเช่นกัน แต่ไม่คาดคิดว่าจะตามมาด้วยการหักมุมขวับ หลูลิ่วกล่าวอย่างตื่นเต้นว่า “ใครเล่าจะรู้ว่าหลังจากถูกปฏิเสธ ด้วยความสิ้นหวัง ลั่วปิงเหอเลยบังเกิดจิตมาร คลุ้มคลั่งเสียสติขึ้นมา ไม่รู้จักดีชั่ว หมายใช้กำลังบีบบังคับให้เสิ่นชิงชิวโอยอ่อนผ่อนตามเขา”

เสิ่นชิงชิวจิกนิ้วเข้าไปขยุ้มผมเป็นกระเซิงของตัวเอง ก้มหน้าลงต่ำ

หยางอี้เสวียนพูดไม่ออกไปแล้ว เด็กหนุ่มที่เพิ่งเปิดประตูสู่โลกใบใหม่ถูกประตูบานใหญ่ฟาดใส่หน้าเต็มๆ

ส่วนหลิ่วหมิงเยียนทำเพียงส่งเสียง “อา” เบาๆ

ได้ยินนางกล่าวอย่างระมัดระวัง “ที่แท้เป็นเช่นนี้”

ที่แท้เป็นเช่นนี้อะไรเล่า!

‘เช่น’ น่ะ มันเช่นไหน!

อย่านึกว่าเธอเป็นนางเอกแล้วฉันจะไม่เกลียดเธอนะ

โต๊ะของหลูลิ่วถูกฝูงชนที่ชอบฟังเรื่องซุบซิบนินทารุมล้อมโดยไม่รู้ตัว เปลือกเม็ดกวยจี๊เกลื่อนพื้น ม้านั่งทุกตัวมีคนนั่งเต็ม แต่ละคนตั้งใจฟังกันหูผึ่ง ถอนใจออกมาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย “เดรัจฉานแท้ๆ”

“ไม่ใช่แค่เดรัจฉาน แบบนี้ยิ่งกว่าเดรัจฉานอีกนะ”

ในเสียงถอนหายใจ กลับมีความปลื้มปริ่มของผู้เล่าแฝงอยู่ด้วย

ที่ชาย ตกลงคุณเป็นหัวหน้าหน่วยลาดตระเวนหรือกัปตันทีมขาเม้าท์กันแน่

หลูลิ่ววางถ้วยชาดังกึกกะทันหันประหนึ่งทุบค้อนกับโต๊ะ

“เสิ่นชิงชิวไปนเลยจะยอมโอนอ่อน ศิษย์อาจารย์ประมือกัน ในที่สุดยังคงเป็นอาจารย์ที่เป็นฝ่ายชนะ ลั่วปิงเหอพ่ายแพ้ ถอนตัวจากไปอย่างเศร้าเสียใจ ถึงต้องแตกหักกับลั่วปิงเหอ แต่เสิ่นชิงชิวยังคงไม่อาจหักใจทำลายชื่อเสียงของศิษย์รัก ไม่บอกเล่าความจริง เพียงกลบเกลื่อนว่าลั่วปิงเหอตายด้วยน้ำมือของเผ่ามาร จึงรักษาชื่อเสียงของศิษย์ผู้นี้ไว้ได้ อย่างไรก็ไม่ยอมลงมือขั้นเด็ดขาด นี่แหละคือสาเหตุที่แท้จริงว่าทำไมลั่วปิงเหอถึงได้หายตัวไปหลายปี หลังงานชุมนุมเซียนครั้งใหญ่ เขาไม่ได้เสียชีวิต แต่ก็ไม่กลับไปที่ชางฉยงซาน”

“ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากนะ แต่ไม่มีหน้าไปพบซือจุนน่ะซิ”

ทางนั้นตั้งกองนินทากันอย่างออกรสออกชาติ แต่เสิ่นชิงชิวทางนี้น้ำตากลับนองอยู่ในใจ

ช่างเป็นพล็อตที่แสบทรวงดีแท้

สองคนที่พูดถึงอยู่นี้ คนหนึ่งบอกเป็นผู้ร้ายข่มขืน กับอีกคนที่พูดเสียราวกับเป็นพ่อพระผู้บริสุทธิ์ผุดผ่องประหนึ่งดอกบัวขาวนี่มันใครกัน

ที่พีคคือจะจับข่มขืน แต่ยังไม่ทันจะได้ข่มขืนสำเร็จนี่แหละ แม่ง…อนาถเกินไปแล้ว นี่จะเป็นลั่วปิงเหอไปได้ไง คนอย่างหมอนั่นหากจะจับใครข่มขืน ก็มีแต่คนอ้าขายอมแต่โดยดีทั้งนั้นแหละ

หลูลิ่วกล่าวว่า “หลังจากอกหักตอนงานชุมนุมเซียน ลั่วปิงเหอโชคช่วยได้ฝึกสุดยอดวิชาล้ำลึกพิสดาร ทั้งยังได้รับความเมตตาจากกงจู่เฒ่า แต่เขายังไม่ยอมตัดใจจากเสิ่นชิงชิวหวนกลับมาใหม่อีกครั้ง นี่จึงเป็นที่มาของเหตุการณ์พลิกผันในเมืองฮวาเยวี่ย

สำนักชางฉยงซานมิใช่ล้วนกล่าวยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่าลั่วปิงเหอคือเผ่ามารหรอกหรือ ข้าว่าเรื่องนี้ไม่แน่ว่าจะไม่มีมูล น่าจะมีเบาะแสว่าเขาสมคบคิดกับเผ่ามารใส่ความเสิ่นชิงชิว ซือจุนเขาสูงส่งปานนั้น ลั่วปิงเหอย่อมขัดหูขัดตา ถึงต้องฉุดเสิ่นชิงชิวลงมาให้ได้ ใคร่เอาให้อีกฝ่ายไม่มีที่ยืน ดับความเย่อหยิ่งจองหองให้จงได้”

…เสิ่นชิงชิวไม่รู้ว่าตัวเองปล่อยวางอะไรไป แต่สรุปแล้วจู่ๆก็รู้สึกสบายกายสบายใจขึ้นมา ไม่ว่าอะไรก็ไม่อยากฟัง ทั้งไม่นึกสนใจอะไรแล้ว เขากล่าวกับอีกสองคนว่า “สั่งอาหารเถอะ”

หลูลิ่วอุตส่าห์เจียดเวลามาบอกเขา “ท่านเจวี๋ยซื่อ…บัญชีโต๊ะท่านข้าเลี้ยงเอง”

จากนั้นก็หันกลับไปปวดอกปวดใจต่อ “ลั่วปิงเหอทำทุกวิถีทาง จับเสิ่นชิงชิวเข้าคุกน้ำของวังฮ่วนฮวา พวกเจ้าว่าเขาทำเช่นนี้ทำไม นี่มันเจตนาชั่วช้าชัดๆ วังฮ่วนฮวาอยู่ในกำมือเขาไปนานแล้ว พลิกมือเป็นเมฆ คว่ำมือเป็นฝน ปากบอกว่ากักบริเวณเสิ่นชิงชิวเพื่อรอการไต่สวนของสี่สำนัก แต่ความจริงแล้วไม่ต่างอะไรกับส่งลูกแกะเข้าปากเสือ สองสามวันที่อยู่ในคุกน้ำ เสิ่นชิงชิวถูกเชือกมัดเซียนพันธนาการ พลังทิพย์สูญสิ้น ใครจะไปรู้ว่าเจ้าศิษย์ทรยศผู้นี้มันจะทำอะไรเขาบ้าง”

ทุกคนวิพากษ์วิจารณ์กันเซ็งแซ่ จุปากไม่หยุด “ใช่แล้ว ศิษย์ทรพีจริงๆด้วย”

เลี้ยงลูกเสือลูกจระเข้แท้ๆ”

เสิ่นชิงชิวเหวี่ยงรายการอาหารทิ้ง “หรือจะย้ายไปกินร้านอื่นดี”

หลูลิ่วกล่าวว่า “เสิ่นชิงชิวยอมรับความอัปยศไม่ไหว เสี่ยงชีวิตหนีออกมา ใครจะไปนึกว่าพอถึงเมืองฮวาเยวี่ยกลับเจอประกาศจับของลั่วปิงเหอสกัดเอาไว้ ชางฉยงซานเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว หลิ่วชิงเกอเจ้ายอดเขาไป่จั้นเฟิงย่อมต้องมาให้การช่วยเหลือ พอช่วยเหลือก็เจอเข้ากับลั่วปิงเหอ

ลั่วปิงเหอหึงหน้ามืดตาลาย ไม่ยอมพูดยอมจาตั้งหน้าตั้งตาสู้กับหลิ่วชิงเกอชนิดสะท้านฟ้าสะเทือนดิน มุ่งมั่นจะลงมือสังหาร ด้วยความจำใจเสิ่นชิงชิวจึงได้แต่ระเบิดพลังทิพย์ตัวเองตายคาที่…นับแต่นั้นมาก็…”

หลูลิ่วไม่ได้เล่าต่อ ปล่อยที่เหลือให้คิดกันเอาเอง ทำเอาทุกคนพากันทอดถอนใจไปตามๆกัน

สุดท้ายหลูลิ่วจึงค่อยกล่าวสรุป “นี่แหละคือคำอธิบายอีกอย่างที่ปิดกันให้กระฉ่อน ถึงแม้จะฟังเหลวไหลอย่างมาก คนบางกลุ่มอาจเห็นเป็นเรื่องไร้สาระ แต่ในรายละเอียดมีหลายจุดที่น่าขบคิด ทุกท่านโปรดอย่าลืมว่า ผู้จดบันทึกพงศาวดารมักชอบใส่สีตีไข่กันอยู่เป็นประจำ และอำพรางข้อเท็จจริงเอาไว้ ขณะที่พงศาวดารเถื่อนนี่แหละมักเป็นเรื่องจริง”

แค่รายละเอียดก็ไม่น่าเชื่อถือแล้ว!

เรื่องจริงบ้านแม่แกซิ!

ต่อให้เกออยู่มายี่สิบปีไม่เคยมีแฟน จะรันทดแค่ไหนก็ยังไม่ตกต่ำถึงขั้นต้องมาเป็นเกย์นะ มิหนำซ้ำยังเป็นเกย์คู่กับพระเอกยิ่งไม่มีทางเข้าไปใหญ่

น้องสาวที่มีหน้าที่เสิร์ฟอาหารเยื้องกรายส่ายสะโพกเอากับข้าวมาวางครบแล้ว แต่หยางอี้เสวียนกับหลิ่วหมิงเยียนยังคงอ้ำอึ้งนิ่งงันอยู่

เสิ่นชิงชิวดุเข้าให้ “รีบๆกินซิ กินเสร็จแล้วจะได้รีบกลับไป”

สถานที่อันตรายแห่งนี้ ขืนรั้งอยู่นาน ไม่รู้ว่าโลกทัศน์ มโนทัศน์ แบะวิสัยทัศน์ของเด็กสองคนนี้จะได้รับความกระทบกระเทือนอย่างไรบ้าง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!