Skip to content

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ 365

Yi Jian Du Zun
BC

บทที่ 365 เอามีดสั้นมังกรเขียวมาที!

C

……

“จนมุมเสียแล้วหรือ?” ……

……

เยี่ยฉวนยกมุมปากยิ้มน้อยๆ……

..

ทางด้านหัวหน้าอู๋ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่มีท่าทีสะทกสะท้าน แต่กลับอมยิ้มแปลกพิกลพลันฉุดคิดบางอย่าง ‘หรือว่าเยี่ยฉวนจะมีไม้ตายซ่อนอยู่?’

หากเขาไม่มัวชักช้าเสียเวลา จึงยกมือขวาขึ้นสะบัดครั้งหนึ่ง “ฆ่ามันเสีย!”

ทันทีที่สิ้นเสียงบงการ ชายชุดดำทั้งเจ็ดทางด้านหลัง ถลันพรวดพุ่งตรงไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว

ทั้งหมดที่มาล้วนเป็นยอดนักฆ่าอันดับต้น การเคลื่อนที่ว่องไวเป็นเลิศ เพียงชั่วพริบตาเดียวคนทั้งเจ็ดได้เข้าถึงตัวเยี่ยฉวนแล้ว ซึ่งเห็นได้ชัดว่าค่ายกลผนึกวิญญาณตั้งขึ้นโดยมีเป้าหมายที่เยี่ยฉวน เพราะคนชุดดำเหล่านี้ไม่ได้รับผลกระทบจากค่ายกลแม้แต่น้อย!

พลันต่อมานั่นเอง–

เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง!

เสียงดังอึกทึกครึกโครมระเบิดดัง พร้อมกับร่างของคนชุดดำทั้งเจ็ดผงะถอยรวดเร็ว

เมื่อเห็นสิ่งที่ปรากฏแก่สายตา สีหน้าของหัวหน้าอู๋เปลี่ยนไปอย่างชัดแจ้ง

มนุษย์ทองคำห้าตนยืนจังก้ากำบังทางเบื้องหน้าเยี่ยฉวน!

และค่ายกลผนึกวิญญาณไม่อาจทำอันตรายต่อห้ามนุษย์ทองคำได้แม้แต่น้อย!

เป็นที่ประจักษ์ชัดว่าค่ายกลไม่สามารถทำลายมนุษย์ทองคำได้ เพราะค่ายกลภายในของมนุษย์ทองคำเหล่านี้เป็นพลังขั้นสูงกว่าค่ายกลผนึกวิญญาณ

หลังจากทำการสกัดคนชุดดำจนผละออกห่างไปแล้ว ห้ามนุษย์ทองคำเริ่มกระดมโจมตีภาคพื้นดินอย่างหนักหน่วง

เมื่อการณ์กลับกลายเช่นนี้ หัวหน้าอู๋ถลึงนัยน์ตาแทบจะประทุ “ถอย!”

“ถอย!”

หลังจากนั้นทั้งหัวหน้าอู๋และคนชุดดำ พากันแยกย้ายกันหลบหนีไป!

เมื่อเห็นว่าค่ายกลไม่ได้ผล เขาจึงตัดสินใจแน่แน่วเลือกที่จะถอย เพราะว่าเมื่อใดที่ค่ายกลถูกทำลาย บรรดาคนที่มีขั้นพลังต่ำกว่าผสานเทพเหล่านี้ไม่มีทางรับมือกับเยี่ยฉวน!

พวกเขาไม่แม้แต่จะพยายามต่อสู้กับเยี่ยฉวน!

ไม่ทันที่หัวหน้าอู๋จะหนีไปได้ไกลเท่าใดนัก พลันเสียงระเบิดสนั่นดังขึ้นทางเบื้องหลัง

ค่ายกลถูกเยี่ยฉวนทำลายเสียแล้ว!

หัวหน้าอู๋บัดนี้รู้สึกหวาดกลัวสุดขีดและเร่งฝีเท้าวิ่งให้เร็วยิ่งขึ้น ฉับพลันนั้นเอง จู่ๆ กระบี่ประหลาดเล่มหนึ่งโผล่ขึ้นมาทางเบื้องหน้า ชายคนที่ชื่อหัวหน้าอู๋เพ่งมองด้วยจอประสาทตาที่หดสั้น ขณะที่เขากำลังจะขยับเคลื่อนกาย กระบี่พลันทะยานวาบแทรกตรงกึ่งกลางหว่างคิ้วโดยไม่ทันสังเกต!

ทั้งที่คนเพิ่งจะออกต้านทานกระบี่เพียงนิดเดียว!

ในเวลาเดียวกัน กลุ่มชายชุดดำที่ยืนข้างหัวหน้าอู๋พากันล้มลงทีละคนด้วยถูกคมกระบี่ปักเข้าจุดหว่างคิ้ว!

ยังเหลือข้างหลังอีกสองสามคน ที่ขณะนั้นเยี่ยฉวนเดินย่างสามขุมช้าๆ ตรงเข้าไป

เยี่ยฉวนเบนหน้าไปยังซากศพหลายร่างที่พื้นดิน เขาส่ายหน้าน้อยๆ เสียงรำพึงอย่างไม่สบอารมณ์ “พวกเจ้าทำให้ข้าสิ้นเปลืองศิลาจิตวิญญาณโดยใช่เหตุ!”

จากนั้นเขายกมือขึ้นสะบัดนิ้วไปอีกทางทำนองชี้นำกระบี่ พลันกระบี่ค่อยทะยอยทะยานกลับคืนสู่หีบกระบี่ที่เขากำลังถืออยู่ในมืออีกข้าง

เมื่อเยี่ยฉวนย้อยกลับไปสำรวจในบริเวณลานต่อสู้ ต้องถึงกับส่ายหน้าอีกครั้ง

ร่างไร้วิญญาณพวกนี้ยากจนกว่าที่คิด ด้วยมีเงินรวมกันยังไม่ถึงห้าสิบล้านเหรียญทองด้วยซ้ำและมีสุดยอดศิลาจิตวิญญาณอีกเพียงไม่กี่ชิ้น!

ราวกับจะนึกอะไรขึ้นมาได้ ทันใดนั้นเยี่ยฉวนเงยหน้าเบนศีรษะไปอีกทางและมองตรงไปยังคนสองคนซึ่งยืนอยู่ไม่ห่างไกลมากนัก

คนสองคนที่อยู่ที่นั่นคือมู่ซ่วนชิงและจ้าวทมิฬ!

ข้อเท็จจริงมีอยู่ว่าเมื่อเยี่ยฉวนเดินทางออกจากแคว้นเจียง ฉางมู่และดินแดนอันธการได้ส่งคนไปสืบเสาะหาตำแหน่งที่อยู่ของเยี่ยฉวนไปอย่างลับๆ

ซึ่งในเวลาเดียวกันพวกเขาก็ต้องจับตาดูการเคลื่อนไหวของเยี่ยฉวนอย่างใกล้ชิด ดังนั้นเมื่อพบว่าชายหนุ่มกำลังเดินทางไปยังเขตแดนต้าอวิ๋น พวกเขาจึงเริ่มปริวิตกขึ้นมา!

ก่อนหน้าเยี่ยฉวนเป็นฝ่ายอยู่นิ่งเฉยคอยแต่ตั้งรับถ่ายเดียว ทว่าตอนนี้เขากลับเป็นฝ่ายรุกเริ่มจู่โจมบ้าง ซึ่งถ้าคนที่ออกมาต่อสู้มิใช่ขั้นผนึกยุทธ์ ใครเล่าจะสามารถยับยั้งเยี่ยฉวนได้?

ไม่มี!

โชคร้ายนัก ที่ยอดฝีมือขั้นผนึกยุทธ์ไม่สามารถออกมาร่วมต่อสู้ต้านทานเยี่ยฉวน!

ด้วยเยี่ยฉวนมีใครบางคนคอยหนุนอยู่เบื้องหลัง!

ถ้าเยี่ยฉวนหัวเดียวกระเทียมลีบ กลุ่มอำนาจทั้งสองฝ่ายจะกลั่นแกล้งเขาอย่างไรก็ได้ตามใจปรารถนา หากปัญหาก็คือคนที่คอยอยู่เบื้องหลังเยี่ยฉวนนั้นเป็นคนที่น่ากลัวยิ่งนัก! นางสังหารคนที่มีขั้นพลังควบยุทธ์สะท้านภพง่ายดายอย่างกับปอกกล้วยเข้าปาก เพราอย่างนี้กลุ่มอำนาจสองฝ่ายจึงไม่กล้าผลีผลามกระทำกลั่นแกล้งต่อเยี่ยฉวน!

พวกเขารู้สึกอับจนหนทางอย่างบอกไม่ถูก!

อีกทั้งรู้สึกตัวว่าทำผิดพลาด!

ทั้งหมดนี้คือความคิดอารณ์ของมู่ซ่วนชิงและจ้าวทมิฬ

คนที่ฆ่าเยี่ยฉวนได้ก็ไม่กล้าเคลื่อนไหว ในขณะที่คนเคลื่อนไหวจู่โจมก็ไม่สามารถฆ่าเขาได้! ในตอนนี้ความรู้สึกจึงปะปนกันทั้งอับจนหนทางและความผิดพลาดของตนเอง

เยี่ยฉวนมองคนทั้งสองโดยไม่เอ่ยปากสักคำ จากนั้นจึงหันหลังกลับออกจากสถานที่ไป!

จะให้เขาพูดอะไร?

เขากับฉางมู่และดินแดนอันธการไม่มีเรื่องที่จะต้องพูดกันอีกแล้ว!

ฉับพลันนั้นเอง มู่ซ่วนชิงหายวาบจากที่ออกมาปรากฏขวางทางเบื้องหน้าเยี่ยฉวน ชายหนุ่มจึงชะงักฝีเท้าหยุดกึก

คนที่ออกมาขวางทางเอ่ยก่อน “เรื่องราวระหว่างเราคงไม่จบลงอย่างสันติสินะ ใช่ไหม?”

“เจ้าคิดเจรจาด้วยสันติกับข้างั้นสิ?”

เยี่ยฉวนเหยียดมุมปากยิ้มน้อยๆ “ข้าจำได้ว่าครั้งแรกเจ้าเป็นคนพูดเองว่าจะไม่ยอมรามือจนกว่าข้าจะตาย เรื่องทั้งหมดนี่ไม่ใช่เพราะความเป็นคนทู่ซี้ดันทุรังของเจ้าหรอกหรือ?”

มู่ซ่วนชิงโต้ตอบอย่างใจเย็น “เจ้าคิดว่าจะเอาชนะพวกเราได้อย่างนั้นหรือ? เยี่ยฉวน ถ้าเราขืนยังต่อสู้กันต่อไป รังแต่จะสูญเสียด้วยกันทั้งสองฝ่าย เจ้า……”

ชายหนุ่มสั่นศีรษะอย่างตัดบท “อย่ามัวพูดอ้อมค้อมไร้สาระ ถ้าเจ้าไม่ฆ่าข้า ข้าก็จะฆ่าเจ้าเอง!”

จากนั้นเยี่ยฉวนสาวเท้าเดินอ้อมมู่ซ่วนชิงไป ทิ้งระยะห่างไปสักพัก พลันเขาหยุดเดิน “จริงสิ ว่าแต่บอกข้าทีว่าจะไปสถานศึกษาฉางมู่ได้อย่างไร?”

มู่ซ่วนชิงหน้าตึง “……”

“ฮ่าฮ่า……”

เสียงหัวเราะของเยี่ยฉวนดังก้อง ก่อนที่ร่างคนจะวูบหายไปและปรากฏอีกครั้งที่สุดปลายถนน

หลังจากเยี่ยฉวนลับสายตาไป มู่ซ่วนชิงค่อยหลับตาลงดุจกำลังข่มสติอารมณ์ มีเสียงของจ้าวทมิฬดังขึ้นจากด้านข้าง “หวังว่าเจ้าแค่จะยื้อเวลาด้วยการเจรจาสันติกับเขา ใช่ไหม?”

มู่ซ่วนชิงพยักหน้าเบาๆ “หากเยี่ยฉวนไปจนถึงเมืองหลวง ทั้งเจ้าและข้าคงยากที่จะหยุดมิให้เจ้านั่นไปที่ดินแดนอันธการหรือว่าฉางมู่ คนในสำนักใหญ่ฉางหลานมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สามารถรับมือกับเยี่ยฉวน แต่ต้องให้เวลาเขาคนนั้นสักหน่อย……ข้าจึงจำต้องยื้อเวลาแสร้งทำเป็นเรียกร้องสันติวิธี อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าเจ้านั่นจะเข้าใจเจตนาของข้าแล้ว!”

จ้าวทมิฬถามเสียงเครียด “ถ้าอย่างนั้น พวกเราจะทำอย่างไรต่อไป?”

อีกฝ่ายเผยอเปลือกตาและชำเลืองมองไปในระยะไกล “เจ้าต้องพยายามหยุดคนผู้นั้น ก่อนที่มันจะไปถึงเมืองหลวงแห่งอาณาจักรต้าอวิ๋น มิเช่นนั้น หายนะจะมาเยือนทั้งดินแดนอันธการของเจ้าและสถานศึกษาฉางมู่ของข้า พวกเรารีบไปขอเข้าเฝ้าฮ่องเต้เกาซานที่อาณาจักรต้าอวิ๋นด้วยกัน!”

หลังจากนั้นร่างของทั้งคู่ได้หายวาบไปทันที

ด้านเยี่ยฉวนซึ่งตามไปจนพบสถานศึกษาฉางมู่ แต่เคราะห์ร้ายที่ไม่หลงเหลือผู้คนอยู่ในสถานศึกษาที่เมืองนี้เลย!

คนที่นี่ต่างหลบหนีกันไปจนหมดเกลี้ยง!

ไม่เฉพาะคนที่หนีไป แต่พวกเขาเก็บเอาสมบัติและของมีค่าในสถานศึกษาฉางมู่ติดตัวไปด้วยจนหมด! เมื่อพบกับสภาพความเป็นจริงเยี่ยฉวนอดไม่ได้จนต้องโพล่งคำผรุสวาทออกไป

แต่เขาไม่ละความพยายาม จึงหันกลับออกจากที่นั่นไปอย่างรวดเร็ว!

ตอนนี้เขามีจุดหมายปลายทางใหม่คือเมืองหลวงแห่งอาณาจักรต้าอวิ๋น!

.

ณ สถานที่แห่งหนึ่งภายในเขตวังหลวงต้าอวิ๋น!

สตรีผู้หนึ่งนั่งอยู่บนขอบสระน้ำ ขณะนั้นนางกำลังแกว่งขาเล่นอย่างเพลิดเพลิน ภายในสระน้ำปรากฏปลาตัวเล็กๆ สีดำเวียนว่ายไปมารอบเท้าทั้งสองข้าง

สตรีนั่งมองปลาตัวเล็กๆ ในสระน้ำอย่างตั้งอกตั้งใจ ฝ่าเท้าทั้งสองข้างที่จมอยู่ในน้ำขาวนวลเนียนประดุจเนื้อหยกชั้นเยี่ยมแกว่งไปมาช้าๆ เมื่อเห็นว่าปลาเล็กปลาน้อยเหล่านั้นพากันรุมกันเข้ามาตอดที่ฝ่าเท้าบอบบาง มุมปากหยักโค้งบิดยกเล็กน้อยอย่างเผลอไผล

ขณะนั้น สตรีอีกคนสวมชุดเกราะที่เอวเหน็บกระบี่ยาวเดินตรงเข้ามาทางสระน้ำและหยุดค้อมกายลงเล็กน้อย “ฝ่าบาท อาจารย์ใหญ่มู่และจ้าวทมิฬ มาขอเข้าเฝ้าเพคะ!”

อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นพลางยิ้มน้อยๆ ซึ่งเพิ่มความมีเสน่ห์บนใบหน้ามากขึ้น “เชิญเข้ามา!”

คนสวมเสื้อเกราะถอยหลังและออกไปทันที

ขณะหนึ่งต่อมา มู่ซ่วนชิงและจ้าวทมิฬทั้งสองเดินเข้ามาที่บริเวณสระน้ำ ฝ่ายแรกพลันสายตาปะทะกับร่างสตรีที่นั่งขอบสระ เขารีบแสดงคารวะทักทาย “คารวะ แม่นางเหลียน!”

เขาให้ความเคารพนบนอบต่อนางเป็นพิเศษ!

อันที่จริงมู่ซ่วนชิงไม่กล้าแสดงความหยาบกระด้างต่อหน้าคนผู้นี้ต่างหาก!

ถึงแม้ปัจจุบันสถานะของอาณาจักรต้าอวิ๋นถดถอยลงกว่าเดิมมาก หากใครก็ไม่กล้ากระทำการประมาทต่อดินแดนแห่งนี้ ด้วยท้ายที่สุดแล้วอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่แห่งนี้ยังทรงอำนาจที่สุดในแผ่นดินชิง ที่มากกว่านั้น สตรีที่อยู่ตรงหน้าคือเหลียนว่านลี่ ผู้มีความลึกล้ำยากจะเข้าใจ จนกระทั่งตอนนี้ แม้แต่สถานศึกษาฉางมู่และดินแดนอันธการก็ยังมองไม่ออกถึงพลังที่แท้จริงของนาง!

เมื่อเห็นคนที่เข้ามา เหลียนว่านลี่ขยับลุกขึ้นยืน ขณะเดินตรงมาทางคนทั้งสอง ริมฝีปากคลี่ยิ้มบาง “พวกท่านมาถึงที่นี่ได้ คงเพราะคนชื่อเยี่ยฉวนสินะ?”

มู่ซ่วนชิงผงกศีรษะ “ถูกต้อง พวกเราต้องการความช่วยเหลือจากท่าน”

เหลียนว่านลี่ยิ้มกว้างขึ้น “ข้าล่ะเป็นปลื้ม ในที่สุด สถานศึกษาฉางมู่ ดินแดนอันธการและอาณาจักรต้าอวิ๋น สามมหาอำนาจผสานร่วมมือ ฉะนั้นเราควรช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เอาอย่างนี้ไหม? ข้าจะส่งพลม้าศึกเพลิงโลกันตร์จำนวนห้าสิบนาย! พวกท่านจะว่าอย่างไร?”

มู่ซ่วนชิงแสดงท่าทางยินดีอย่างยิ่ง รีบตอบรับรวดเร็ว “ตกลง นับว่าเป็นความกรุณาอย่างยิ่ง!”

หญิงสาวกล่าวยิ้มๆ “แต่ว่า ข้าต้องไปอธิบายให้ตาเฒ่าหัวโบราณในราชสำนักพวกนั้น ได้แต่หวังว่าพวกท่านจะมีสินน้ำใจให้บ้าง ไม่ได้มากมายอะไรแค่สุดยอดศิลาจิตวิญญาณจำนวนสิบล้านชิ้นเป็นค่าน้ำพักน้ำแรง จะว่ายังไง?”

เมื่อได้ยินจำนวนค่าน้ำพักน้ำแรง มู่ซ่วนชิงและจ้าวทมิฬออกอาการลังเลเล็กน้อย

เสียงของเหลียนว่านลี่เอ่ยถามเบาๆ “พวกท่านคิดว่าพลม้าศึกไม่ควรค่าสมราคาเลยหรือยังไง?”

มู่ซ่วนชิงฝืนยิ้ม “แน่นอน พวกเขาเทียบเคียงได้กับสุดยอดศิลาจิตวิญญาณจำนวนมากมายขนาดนั้น สิบล้านก็สิบล้าน ตกลง!”

อีกฝ่ายยิ้มมุมปาก “เยี่ยมมาก! เอ่อ เยี่ยฉวนนี้ฝีมือไม่ใช่ธรรมดา ข้าเกรงว่าลำพังม้าศึกเพลิงโลกันตร์ก็ไม่อาจต้านทาน เอาอย่างนี้ดีไหม? ข้าจะเรียกประชุมพวกตระกูลขุนนางเสนาบดีให้พวกเขาร่วมลงแรงในครั้งนี้ด้วย ตราบใดที่ผู้มีอำนาจแข็งแกร่งในเขตแดนต้าอวิ๋นร่วมมือกัน การสังหารเยี่ยฉวนแค่คนเดียวคงไม่เหลือบ่ากว่าแรงของพวกเรา!”

ยามนี้ใบหน้าของมู่ซ่วนชิงเปื้อนไปด้วยความยินดี “ถ้าเป็นเช่นนั้นย่อมดีมากทีเดียว ถ้าทุกคนในเขตแดนต้าอวิ๋นร่วมแรงเป็นหนึ่ง พวกเราไม่มีอะไรต้องไปกลัวเจ้าเยี่ยฉวน”

ฝ่ายหญิงได้ยินเช่นนั้นพลันนิ่วหน้าเล็กน้อย “แต่ข้าเกรงว่าพวกตระกูลขุนนางจะไม่ยอมร่วมมือ……”

อีกฝ่ายจึงตกปากรับคำทันที “วางใจเถอะ หากพวกเราแจ้งคำสั่งออกไป มีหรือพวกเขาจะกล้าขัด!”

เหลียนว่านลี่คลี่ยิ้มกว้างขวาง “ได้อย่างนั้นก็เยี่ยม”

หลังจากที่มู่ซ่วนชิงและจ้าวทมิฬพร่ำคารวะขอบคุณหญิงสาวครั้งแล้วครั้งเล่า พวกเขาจึงอำลากลับกันไปได้ด้วยความรู้สึกสมใจ

เมื่อทุกคนลับกายไป เหลียนว่านลี่มองตามพลางส่ายหน้า สีหน้าแสดงความไม่สบอารณ์อย่างเด่นชัด “พวกฉางมู่และดินแดนอันธการพวกนี้ใช้ไม่ได้ หาพวกมารุมทำร้ายคนเพียงคนเดียว น่าทุเรศจริงๆ ข้าทนดูไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว ใครก็ได้ไปหยิบมีดมังกรเขียวมาให้ข้าที ข้า……ข้าจะเอามาปอกสาลี่……”

สตรีสวมชุดเกราะนิ่งงัน “……”

AC

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!