Skip to content

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ 408

Yi Jian Du Zun
BC

บทที่ 408 มนุษยธรรมบนโลกที่มัวหม่น!

C

……

กลืนกระบี่!……

……

ก่อนหน้าที่จะกลืนกระบี่ อันที่จริงเยี่ยฉวนยังรู้สึกลังเลอยู่ กระบี่ทั้งแปดเล่มเทียบเท่ากระบี่บินซึ่งจะส่งให้อำนาจในการต่อสู้ของเขาเพิ่มพูนยิ่งขึ้น หากอีกแง่มุมหนึ่ง ไม่ว่ากระบี่ทั้งแปดจะมีพลังแข็งแกร่งเพียงใด มันก็ไม่อาจใช้สังหารคนแข็งแกร่งขั้นผนึกยุทธ์ได้อยู่วันยังค่ำ……

..

การจะสังหารคนที่แข็งแกร่งขั้นผนึกยุทธ์ เขาต้องบรรลุพลังขั้นผสานเทพให้ได้เท่านั้น!

เนื่องจากในครั้งก่อนมีการต่อสู้กับสถานศึกษาฉางมู่และดินแดนอันธการ เขาจึงไม่กล้าบรรลุพลังผสานเทพในเวลานั้น เพราะหากเยี่ยฉวนบรรลุพลังขึ้นมาเมื่อใด คนแข็งแกร่งจากฉางมู่ขั้นผนึกยุทธ์และดินแดนอันธการก็จะไม่ลดทอนขั้นพลังในการต่อสู้และเขาเองจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในที่สุด

นอกจากนั้นก่อนหน้าพลังปราณของเยี่ยฉวนยังไม่คงที่นัก ดังนั้นจึงเลือกชะลอการบรรลุขั้นพลังผสานเทพไว้เสียก่อน อย่างไรก็ตามหลังจากการต่อสู้กับฉางมู่ในครั้งนั้น ทำให้ขั้นพลังของเยี่ยฉวนทะยานถึงขีดสุด โดยเฉพาะพลังกระบี่เต๋า กระทั่งเกิดความเข้าใจครั้งใหม่!

สำหรับเยี่ยฉวน ถึงเวลาแล้ว!

หลังจากกลืนกระบี่ไปเล่มหนึ่ง เยี่ยฉวนรู้สึกได้ถึงพลังอันมากมหาศาลที่เปล่งประกายออกมาจากร่างกาย จากนั้นกระบี่หลิงซิ่วภายในเริ่มไหวสะท้าน ฉับพลันนั้นเองกระแสพลังก็ทะยอยหลากไหลสู่กระบี่หลิงซิ่ว เมื่อการดูดกลืนกระบี่จิตวิญญาณผ่านไปราวครึ่งก้านธูป พลังที่ดูเหมือนว่าจะบริสุทธิ์ยิ่งกว่าเริ่มที่จะกระจายสู่ภายนอกกระบี่ และแผ่ซ่านไปตามอวัยวะส่วนต่างๆ ของร่างกาย

ขั้นผสานเทพ!

การที่ได้ชื่อว่าขั้นพลังผสานเทพ แท้ที่จริงเป็นลักษณะการหลอมรวมระหว่างกายเนื้อและจิตวิญญาณเข้าด้วยกันโดยสมบูรณ์ ถ้าเปรียบกายเนื้อเป็นนิ้วมือทั้งห้านิ้วซึ่งเชื่อมโยงกัน อย่างไรก็ตามมิได้หมายความว่านิ้วทั้งห้ามีความยืดหยุ่นแคล่วคล่องเมื่ออยู่โดยเอกเทศ

จิตวิญญาณมีความเชื่อมโยงกับร่างกาย ทว่าในทางเกื้อหนุนกัน

นี่คือที่มาของชื่อขั้นพลังผสานเทพ!

เมื่อใดที่มีการบรรลุขั้นผสานเทพ ระดับกายเนื้อและจิตวิญญาณจะไปได้ไกลกว่านี้ และผู้ฝึกปราณจะเกิดการเปลี่ยนแปลงในเชิงคุณลักษณะ

เยี่ยฉวนปล่อยให้กายเนื้อและจิตวิญญาณหลอมรวมต่อไปเรื่อยๆ และแปรเปลี่ยนอีกครั้ง

ราวครึ่งชั่วยามต่อมาเขาก็เริ่มดูดกลืนกระบี่อีกเล่ม

ในหอคอยแห่งเรือนจำ มีเพียงเสียงลมหายใจของเยี่ยฉวนดังขึ้นทุกขณะ……

ด้านนอกหอคอยแห่งเรือนจำ บนเรือเหาะ เด็กสาวทั่วปาเซียวเหยาท่าทางเบื่อหน่ายเต็มที ขณะกำลังนั่งอยู่บริเวณหัวเรือและห้อยขาออกไปด้านนอกพลางแกว่งเบาๆ

ในขณะนั้นเรือเหาะลำหนึ่งแล่นมาจากทางด้านหลัง เรือเหาะลำนั้นลอยลำแล่นมาด้วยความเร็ว เพียงไม่นานก็แซงหน้าเรือเหาะลำที่เด็กสาวโดยสารมากับเยี่ยฉวน ทั่วปาเซียวเหยาหันหน้ามองดูตามสัญชาตญาณ จึงเห็นคนบนเรือเหาะลำนั้นเป็นบุรุษคนหนึ่งสวมเสื้อผ้าที่ตัดเย็บจากผ้าไหม

เครื่องแต่งกายดูมีราคาสูงพอสมควร ด้วยทำจากผ้าหนาทอด้วยดิ้นไหมทองและเงิน และที่เอวคาดอัญมณีหยกจิตวิญญาณส่องประกายสว่างสุกใส ท่าทางชายคนนี้จะมาจากตระกูลร่ำรวยหรือไม่ก็เป็นเชื้อพระวงศ์

ราวกับชายคนดังกล่าวจะรู้สึกถึงสายตาที่จ้องมองของทั่วปาเซียวเหยา เขาจึงได้หันขวับและมองตรงมาทางเด็กสาวทันที เมื่อเห็นหน้าของทั่วปาเซียวเหยาเขาถึงกับเบิกตากว้าง จากนั้นก็เห็นว่าชายคนนั้นโบกมือขึ้นครั้งหนึ่งพลันเรือเหาะซึ่งเร่งความเร็วในขณะนั้นกลับชะลอความเร็วลง

ชายหนุ่มมองตรงมาที่เด็กสาว พร้อมกับเผยรอยยิ้มเล็กน้อย “แม่นางท่านนี้ มีชื่อว่าอะไร?”

ทั่วปาเซียวเหยาพูดอย่างใจเย็น “ว่าไงนะ?”

ชายหนุ่มตอบยิ้มๆ “ตอนที่เห็นเจ้าครั้งแรก ข้าคิดว่าเป็นนางฟ้าลงมาจากสวรรค์ พูดจากใจจริงว่าอยากคบหาผูกมิตรต่อกัน หวังว่าเจ้าจะตกลง!”

“ผูกมิตรงั้นหรือ?”

ทั่วปาเซียวเหยาหยุดกระพริบตาปริบ “เจ้านะหรืออยากผูกมิตรกับข้า?”

อีกฝ่ายพยักหน้า “ข้าคงเป็นคนโชคดีมากถ้าเจ้าตกลงยอมรับข้าในฐานะสหาย!”

เด็กสาวมองชายหนุ่มตรงหน้าแล้วจึงพูดว่า “อยากผูกมิตรกับข้า? แต่ไม่เห็นว่าเจ้าจะทำอะไรให้ข้ายอมรับสักนิด?”

ทำอะไร……?

ชายหนุ่มทำหน้าตึงเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดของเด็กสาว ชั่วครู่ต่อมาดูเหมือนคนจะนึกอะไรได้บางอย่างจึงปรากฏรอยยิ้มบางที่มุมปาก สตรีบางคนเมื่อเห็นทรัพย์สินเงินทองมักจะกระตือรือร้น ดังนั้นการเจรจาก็จะง่ายดาย! เพื่อเป็นการตัดปัญหาอันอาจเกิดขึ้น!

ชายหนุ่มจึงเผยนิ้วมือยื่นออกมา ปรากฏแผ่นป้ายชิ้นหนึ่งลอยมาต่อหน้าทั่วปาเซียวเหยา “แผ่นป้ายนี้มีเงินห้าแสนเหรียญทอง ข้าขอมอบให้เจ้าเป็นของขวัญในโอกาสที่เราได้พบกัน!”

ห้าแสนเหรียญทอง!

สาวน้อยเอื้อมมือมาหยิบแผ่นป้ายขึ้นดูโดยพลิกไปมาท่าทางไม่สนใจนัก ก่อนส่ายหน้าและพูดว่า “ไม่แปลกใจเลยที่บิดาเคยบอกว่า บนโลกนี้มิตรแท้หายาก เพื่อผูกมิตรกับข้าจอมยุทธ์เยี่ยมอบให้ข้าตั้งหลายร้อยล้าน……แสดงว่าเขาเป็นมิตรแท้ของข้าสินะ?”

ขณะที่พูดพลางเหยียดนิ้วชี้ออกไป พลันแผ่นป้ายก็ทะยานกลับคืนยังชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของ “ไปเสีย! ข้าจะเป็นมิตรกับคนที่ดูดีอย่างจอมยุทธ์เยี่ยเท่านั้น อย่างเจ้านั่นนะ เจ้าดูยากจนจะตาย! ข้าไม่อยากเป็นมิตรกับคนอย่างเจ้าหรอก!”

ชายหนุ่มหรี่นัยน์ตามอง “เจ้าไม่คิดจะไว้หน้าข้าบ้างเลยหรือ?”

คนพูดน้ำเสียงเย็นชา เจือคุกคามมุ่งร้าย

เมื่อได้ยินคำพูด ทั่วปาเซียวเหยาหันขวับไปมองอีกฝ่าย จากนั้นโดยไม่พูดไม่จานางยกค้อนที่ถือในมือฟาดลงไปเต็มแรง!

พลันสีหน้าของชายสวมผ้าคลุมหนาเปลี่ยนแปลงสิ้นเชิง เขารีบถอยร่นไปจนไกลหลายจั้งร่างกายสั่นเทิ้ม เรือเหาะลำที่เขาโดยสารมาเริ่มปริแตกและแหลกละเอียดเป็นผุยผงในที่สุด!

เมื่อเห็นเช่นนั้น ใบหน้าคนถึงกับซีดเผือดลงทันที!

เมื่อยอดยุทธ์ลงมือ อัตลักษณ์ของบุคคลจะเผยออกมา เขาจึงตระหนักในบัดดลว่าตนได้สร้างความขุ่นเคืองให้กับคนที่ไม่สมควรถูกทำให้ขุ่นเคืองอย่างยิ่ง!

ชายหนุ่มรีบค้อมตัวลงคารวะขอโทษต่อทั่วปาเซียวเหยา “ข้าไม่รู้ว่าเจ้าเป็นใคร อีกทั้งพลาดไปจึงทำให้เจ้าขุ่นเคือง หวังว่าเจ้าจะอภัยให้ข้าสักครั้ง”

เด็กสาวแบมือยื่นออกไป “เจ้าไปก็ได้แต่ก่อนไปส่งของมาให้ข้า”

อีกฝ่ายท่างงงัน “.”

หนึ่งวันถัดมา

ณ วังหลวงของแคว้นหนิง

ในขณะนั้นบรรยากาศภายในวังหลวงแคว้นหนิงมีแต่ความหมองหม่น

ด้วยเวลานี้ผู้ฝึกปราณจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์จำนวนมากมาอยู่ที่นี่ ทหารธรรมดาจึงไม่มีทางที่จะรับมือกับคนพวกนี้ได้เลย!

ทว่าเรื่องนั้นมิใช่เหตุผลหลัก เหตุผลสำคัญก็คือตลอดอาณาเขตทั้งแผ่นดินชิง พลังชี่จิตวิญญาณอยู่ในสภาพทรุดโทรมและผู้คนอยู่ในสภาวะที่ไร้กฎเกณฑ์ โดยเฉพาะในเมืองหลวงแคว้นหนิง ที่ทุกวันนี้พลังชี่จิตวิญญาณอ่อนกำลังลดน้อยถอยลงในอัตราที่รวดเร็วอย่างน่าใจหาย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพลังชี่จิตวิญญาณที่อยู่ภายใต้ครอบครองของราชวงศ์หนิง ทำให้สถานการณ์ในเมืองยังปกติดูไม่หนักหนาสักเท่าใดนัก

ถึงกระนั้นเมื่อมีจอมยุทธ์จากดินแดนศักดิ์สิทธิ์หลั่งไหลเข้าสู่เมืองหลวง สถานการณ์พลันกลายเป็นวุ่นวายจนยากที่จะควบคุม! เหตุเพราะทหารที่มีฝีมืออยู่ในเกณฑ์เฉลี่ยทั่วไปไม่สามารถจัดการกับคนจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้!

บรรยากาศเศร้าสลดในเมืองเหตุเพราะคนจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์เข้ามานี่เอง ทำให้พลเมืองหลายคนไม่อาจอยู่นิ่งเฉย ผลกระทบที่เกิดขึ้นทำให้เมืองทั้งเมืองตกอยู่ในสภาวะหมองมัวทีละน้อย

ไม่เพียงในเมืองเท่านั้นที่บรรยากาศหม่นมัว แม้ในวังหลวงแคว้นหนิงขณะนี้ก็ตกอยู่ในภาวะเสี่ยงต่อความเป็นความตายเช่นกัน!

ด้วยบัดนี้ ภายในวังหลวง ประตูเมืองทั้งสองด้านถูกเหล่าจอมยุทธ์ต่างแดนจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์บุกทะลวงเข้ามาจนได้

พวกกองกำลังต่างแดน คนจากตระกูลใหญ่ และจอมยุทธ์ไร้สังกัด!

และสาเหตุที่เข้ามาในแผ่นดินชิงนี้ก็เพื่อแสวงหาทรัพย์สินและความมั่งคั่ง

ด้วยการปล้นอย่างอุกอาจ!

ซึ่งเป็นเจตนาที่แท้จริง! เป็นความมุ่งมาดปรารถนาของคนเหล่านี้!

นอกจากผู้ฝึกปราณจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ บางส่วนยังเป็นจอมยุทธ์ที่อยู่ในแคว้นหนิงนั่นเอง คนเหล่านี้ประกอบด้วยจอมยุทธ์ไร้สังกัดและจอมยุทธ์ทั่วไป และยังมีจอมยุทธ์จากตระกูลใหญ่ต่างๆ!

ในดินแดนที่อยู่ภายใต้อาณาเขตของแคว้นหนิง ตระกูลหนิงคือตระกูลชนชั้นปกครองที่ใหญ่ที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย นอกนั้นยังมีตระกูลขุนนางอีกหลายตระกูล ถึงกระนั้นช่วงที่แคว้นหนิงประสบภาวะวิกฤตที่สุดในขณะนี้ พวกเขากลับไม่เลือกที่จะร่วมหัวจมท้ายกับแคว้นตนเอง ทว่ากลับเลือกที่จะฉวยแยกตัวเป็นเอกเทศในสถานการณ์ลำบากเช่นนี้!

ในมุมมองของพวกคนในตระกูลใหญ่และคนทั่วไป ต่างมั่นใจว่าแคว้นหนิงถึงกาลจบสิ้น!

ด้วยสำนักเหอฮ่วนและชุมนุมฮวนเสี่ยวจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้เคลื่อนไหวกระทำการต่อต้านคนในราชวงศ์

ในแผ่นดินชิงแคว้นหนิงนับว่าเป็นดินแดนที่มีความแข็งแกร่งแคว้นหนึ่ง ทว่าเมื่อเทียบกับกลุ่มอำนาจที่มาจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ถือว่าฝีมือยังห่างชั้นกันอยู่ไม่น้อย!

ผนวกกับพลังชี่จิตวิญญาณซึ่งกำลังอ่อนแอลง แคว้นหนิงจึงต้องตกอยู่ท่ามกลางสภาวะการณ์แห่งความสิ้นหวังอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง

ตอนนี้หลายฝ่ายต่างต้องการมีส่วนร่วมเพื่อแบ่งปันผลประโยชน์ อย่าลืมว่านี่คือแคว้น และเป็นแคว้นที่ร่ำรวยอย่างน่ามหัศจรรย์โดยแท้!

ภายในโถงท้องพระโรงแคว้นหนิง ฮ่องเต้ทัวป้าเหยียนยังประทับอยู่บนบัลลังก์เศียรมังกร โดยมีสตรีสูงวัยและชายชราสวมชุดดำยืนสงบนิ่งอยู่ทางเบื้องหลัง ส่วนด้านหน้าทั้งเบื้องซ้ายและขวามีทหารองครักษ์ราว 30 นาย ทุกคนสวมชุดเกราะหนักและถืออาวุธครบมืออยู่ในท่าเตรียมพร้อม

องครักษ์จิ้นอู๋!

องครักษ์ทั้ง 30 ล้วนเป็นระดับมือพระกาฬซึ่งคัดเลือกมาจากกององครักษ์จิ้นอู๋อีกที ทุกคนมีประสบการณ์ต่อสู้ปะทะและเป็นองครักษ์ที่เข้มแข็งที่สุดของแคว้นหนิง

คนบนบัลลังก์เศียรมังกร ทัวป้าเหยียนมองตรงแน่วนิ่งสีหน้าเรียบเฉย

สตรีสูงวัยทางด้านหลังผุดลุกขึ้นทันที “ฝ่าบาท เสด็จหลบไปก่อนเถอะเพคะ!”

“หลบ?”

ทัวป้าเหยียนเสียงใจเย็นอย่างยิ่ง “พวกชุมนุมสำนักทั้งสองมุ่งเป้าที่ตัวข้า ข้าจะหลบไปไหนได้อีก?”

สตรีสูงวัยแย้งเสียงร้อนรน “เราสองคนตัดสินใจแล้วว่าจะยอมสละชีพเพื่อปกป้องพระองค์ จะได้ทรงหลบออกไปได้โดยปลอดภัยเพคะ!”

“ประชาชนพลเมืองและทหารเล่า?” ทัวป้าเหยียนแค่นหัวเราะเบาๆ “จะให้ข้าทิ้งพวกเขาไปอย่างนั้นหรือ?”

พลันทหารองครักษ์จิ้นอู๋ทั้งสามสิบนายย่อเข่าลงกับพื้นข้างหนึ่ง “พวกเราถวายความจงรักภักดีด้วยการยอมตายเพื่อฮ่องเต้ พะย่ะค่ะ!”

สตรีนั่งบนบัลลังก์ส่ายหน้า “ข้าทิ้งประชาชนและทหารของข้าไม่ได้!”

จากนั้นนางจึงผุดลุกขึ้นยืน “ไป ไปดูหน้าเจ้าพวกที่มาจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์กัน”

หลังจากนั้นครู่เดียว ฮ่องเต้สตรีจึงเดินออกจากโถงท้องพระโรง โดยมีทหารองครักษ์จิ้นอู่ให้การอารักขา

ทางด้านหลัง สตรีสูงวัยและชายชราหันมาสบตากันก่อนต่างฝ่ายต่างทอดถอนใจ จากนั้นคนทั้งคู่รีบเร่งติดตามไปอย่างรวดเร็ว

บริเวณภายนอกท้องพระโรง ตลอดภายในวังหลวงมีสภาพถูกทำลาย ด้วยคนจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ออกมาเคลื่อนไหวล้วนแข็งแกร่ง

ในเขตพระราชฐานทหารหลายนายถูกตีจนต้องถอยร่นมาถึงบริเวณหน้าประตูทางเข้า คนกลุ่มใหญ่ที่อยู่เบื้องหน้าทหารมีกว่าร้อยคนซึ่งเป็นคนกล้าแกร่งที่มาจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ในจำนวนคนเหล่านี้มีคนขั้นผนึกยุทธ์อยู่สามคน! นอกจากนั้นยังมีคนกว่าสองร้อยล้อมอยู่โดยรอบ ส่วนใหญ่คนที่มาเป็นผู้ฝึกปราณชาวแคว้นหนิงเอง

เหตุที่วังหลวงถูกบุกรุกเข้ามาได้โดยง่ายดายเช่นนี้ เป็นเพราะมีคนกล้าแกร่งขั้นผนึกยุทธ์นับพันคนร่วมมือกัน ตามปกติคนขั้นผนึกยุทธ์กว่าจะเคลื่อนไหวโดยมากมักเกิดความลังเล โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวที่เป็นการทำลายแคว้น ทว่าในเวลานี้แคว้นหนิงไร้ทหารองครักษ์และผู้คนก็ไร้ความรู้สึกกระดากใจ!

สองคนที่อยู่หน้าสุดของกลุ่มคนที่มาจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ หนึ่งในนั้นเป็นชายวัยกลางคนใบหน้าโปะเครื่องสำอางค์หนาเตอะ ส่วนอีกคนหนึ่งเป็นชายชรา

ชายวัยกลางคนใบหน้าโบกเครื่องสำอางค์สวมผ้าคลุมสีแดง ท่าทางมีเสน่ห์ชวนมอง อีกคนเป็นชายชราสวมผ้าคลุมสีแดงผืนใหญ่วาดลวดลายรูปชายหญิงเปลือยกาย

คนทั้งสองจ้องมองมาที่ทัวป้าเหยียนซึ่งยืนอยู่ท่างกลางทหารองครักษ์ในที่ไม่ห่างไปมากนัก แววตาหื่นกระหายแฝงความชั่วร้ายอย่างเห็นได้ชัด

ชายวัยกลางคนเค้นเสียงหัวเราะราวเสียงของปีศาจ “นางเป็นคนที่มีรูปร่างเย้ายวนจริงๆ ถ้าได้ไปกระตุ้นพลังก็ดีซี ฮ่าฮ่า……”

ชายชราผิวเข้มเหยียดมุมปากออกยิ้มๆ “จริง ไม่เคยเห็นใครเย้ายวนอย่างนี้เลย ต่อให้ต้องตายข้าก็ยอม ฮ่ะฮ่ะ……”

ทันใดนั้นสตรีสูงวัยที่ยืนอยู่ด้านหลังทัวป้าเหยียนอดรนทนนิ่งอยู่ไม่ไหว จึงร้องตะโกนออกไป “ฮ่องเต้เราเป็นมิตรสนิทกับเยี่ยฉวนผู้เยี่ยมยุทธ์แห่งแคว้นเจียง และข้าขอเตือนพวกเจ้า จะพูดจาอะไรให้เกียรติกันบ้าง!”

“เยี่ยฉวน?”

ชายวัยกลางคนขมวดคิ้วนิ่วหน้า “ใครวะ? ข้าไม่เคยได้ยินชื่อนี้!”

AC

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!