บทที่ 1016 เจ้าว่าข้าเหมือนเมื่อก่อนกี่ส่วน
นับจากที่แดนศักดิ์สิทธิ์ระดับดำลงมาเยือน…
ดินแดนทางทิศใต้ ทิศตะวันตก และทิศเหนือ 3 เขตพื้นที่ของแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ สงครามรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ทั้ง 2 ฝ่ายต่างมีแพ้มีชนะ สถานการณ์สงครามดุเดือด
พูดได้ว่าแทบจะทุกชั่วขณะล้วนมีความเป็นความตาย ล้วนมีสงครามปะทุขึ้น
แผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ปั่นป่วนโกลาหลไปทั่ว
ส่วนทางตะวันออกทางนี้ มีเผ่านภาคิมหันต์และเผ่าต่างๆ ฝ่ายต่างๆ รวมตัวกันโดยมีเผ่ามนุษย์เป็นผู้นำ สร้างเป็นค่ายกลสุดยอด แบ่งแยกฟ้าดิน
นอกค่ายกลคือท้องฟ้า คือแดนศักดิ์สิทธิ์ระดับดำ 4 แดน
ในค่ายกลคือสรรพชีวิตทั้งหลายของดินแดนตะวันออกของแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์
แม้มหาจักรพรรดิในแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 4 แดนนี้ หลังจากที่สู้กับจักรพรรดิมนุษย์และเทพทั้ง 3 แห่งเผ่านภาคิมหันต์แล้วก็ไม่ได้ปรากฏตัวขึ้นอีก แต่เทพทั้ง 3 แห่งเผ่านภาคิมหันต์ก็ไม่ได้ปรากฏตัวขึ้นอีกเช่นกัน
คนนอกไม่รู้ว่าศึกสุดยอดตอนนั้นทั้ง 2 ฝ่ายใครชนะ ใครแพ้
รู้เพียงแค่ว่าจักรพรรดิมนุษย์ยังคงเหมือนเดิม ยังคงบัญชาการศึกครั้งนี้
สงครามดินแดนตะวันออกยังคงดำเนินต่อไป
ระหว่างนี้สงครามขนาดใหญ่ไม่มีเกิดขึ้น แดนตะวันออกกับฝ่ายแดนศักดิ์สิทธิ์ล้วนกำลังพยายามลองควบคุมจังหวะ แต่สงครามขนาดเล็กแทบจะเกิดขึ้นทุกวัน
ไม่ว่าจะเป็นเผ่านภาคิมหันต์ หรือจะเป็นเผ่ามนุษย์ ล้วนเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา
ตอนนี้ก็มีศึกขนาดเล็กแบบนั้นศึกหนึ่งกำลังดำเนินไปเหนือค่ายกลสุดยอด จำนวนผู้เข้าร่วมสงครามของทั้ง 2 ฝ่ายมหาศาล มากมายมืดฟ้ามัวดิน เกิดเป็นจุดดำนับไม่ถ้วน
สวี่ชิงและเอ้อร์หนิว ในช่วงเวลานี้ก็ได้ส่งข้ามจากเขตปกครองผนึกสมุทรหลายต่อหลายครั้ง มาถึงยังดินแดนเมืองหลวงจักรพรรดิ
ตลอดทางมานับว่าราบรื่นดี
ไม่ได้เสียเวลาอะไร เพียงแต่ ที่นอกค่ายกลโบราณมีชีวิตแห่งนั้น เอ้อร์หนิวดึงขนปีกของค่ายกลส่งข้ามมาอีกสองสามอัน…
และตอนนี้ ทันทีที่เงาร่างของทั้ง 2 คนปรากฏขึ้นชัดในค่ายกล เสียงครืนครั่นกึกก้อง เสียงกรีดหวีดจากท้องฟ้าก็ดังมา ดังขึ้นในหูของพวกเขาทันที
เสียงมากมายมหาศาลในขณะเดียวกับที่กึกก้องกัมปนาทไปทั่วทุกสารทิศ ประกายแสงวิชาเวทหลากสีสันก็ก่อเป็นประกายแสงพร่างพรายระยับ ทำให้จุดแต้มที่อาบย้อมม่านฟ้า ประเดี๋ยวสว่างวาบ ประเดี๋ยวมืดดับ
เงยหน้ามองไป จะเห็นว่าใต้ค่ายกล ผู้บำเพ็ญที่จับกลุ่มขึ้นจากเผ่าต่างๆ ในแดนตะวันออกแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์เป็นแถวๆ ออกมาจากค่ายกลทำศึกสงครามอย่างเป็นระเบียบ และกลับมาพักอย่างเป็นระเบียบ
เพียงแต่ดูจากสภาวะของผู้ที่กลับมาก็เห็นได้ชัดถึงความเสียหายจากสงครามนั้นมหาศาลนัก
แต่แดนศักดิ์สิทธิ์ทางนั้นก็เป็นแบบนี้เช่นกัน ซากร่างร่วงหล่น ค่ายกลทำลายแหลกละเอียด
“สงคราม…”
สวี่ชิงสีหน้าเคร่งเครียด ในขณะที่สังเกตสงครามนอกค่ายกลบนม่านฟ้า ค่ายกลส่งข้ามที่เขาอยู่ เนื่องจากอยู่ภายในค่ายทหารที่มีการป้องกันแน่นหนา ดังนั้นไม่นานนักจิตเทพแต่ละทางๆ ก็แผ่ปกคลุมเข้ามาอย่างเข้มงวดในทันที
ยิ่งมีกลิ่นอายฆ่าล้างสังหารมากมายจับเป้าหมายเอาไว้
หลังจากรู้ถึงฐานะของสวี่ชิง จิตเทพและกลิ่นอายเหล่านั้นถึงได้สลายไป
จากนั้นเงาร่างมากมายก็ลอยมาเยือนจากทั่วทุกทิศ คำนับโค้งคารวะมาทางสวี่ชิงทางนี้
ผู้ที่นำมาเป็นชายชราคนหนึ่ง
สวี่ชิงเคยเห็นคนคนนี้ อีกฝ่ายเป็นโหวนภาของเผ่ามนุษย์ แซ่เฉิน
“คารวะท่านอาจารย์!”
“อ๋องสวรรค์หลายท่านอยู่ที่สนามสมรภูมินอกค่ายกล ไม่อาจกลับมาได้ ข้าน้อยจึงรับคำสั่งมาดูแลที่นี่ขอรับ”
“นอกจากนี้ ฝ่าบาทมีรับสั่งไว้ว่า ขอเมื่อท่านอาจารย์มาถึงให้รีบไปยังตำหนักใหญ่ทันทีขอรับ”
โหวสวรรค์ผู้นี้ หลังจากที่เข้ามาใกล้ก็รีบโค้งคารวะ เอ่ยอย่างเคร่งขรึม
สวี่ชิงพยักหน้า มองศึกบนท้องฟ้า หลังจากนั้นความรอบรู้แห่งเทพแผ่ออก ปกคลุมค่ายทหารที่นี่ มองเห็นทหารเผ่าต่างๆ ที่รักษาอาการบาดเจ็บนับไม่ถ้วน
ในใจของเขาหมองหม่น
เทียบกับความโหดร้ายของที่นี่แล้ว พื้นที่อื่นทางตะวันออกของแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ ตลอดเส้นทางที่เขาเดินทางผ่านมา สิ่งที่เห็นความจริงถือว่าไม่เลวร้ายนัก
เพราะที่นี่แทบจะแบกรับซึ่งทุกสิ่งแล้ว
ที่นี่เป็นทั้งศูนย์กลางของโลกแดนตะวันออกของแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ และเป็นแนวหน้าด้วยเช่นกัน
“สถานการณ์เป็นอย่างไร” สวี่ชิงเอ่ยเนิบช้า
“นับว่ายังควบคุมได้ขอรับ” โหวสวรรค์ฉีกยิ้ม เพียงแต่กลิ่นอายที่แผ่ออกมาจากร่างของเขาเห็นได้ชัดว่าไม่ค่อยเสถียร เห็นได้ชัดว่าได้รับบาดเจ็บ ตอนนี้กำลังจะเอ่ยปากพูด แต่เสี้ยวขณะต่อมา นอกค่ายกลบนม่านฟ้าก็ส่งเสียงดังครืนครั่นสะท้านเลื่อนลั่น
ในจุดดำมากมายนับไม่ถ้วนที่เกิดจากการต่อสู้ของทั้ง 2 ฝ่าย มีแสงเจิดจ้าทางหนึ่งปะทุอยู่ข้างใน
นั่นเป็นแสงที่มาจากชายกลางคนฝ่ายแดนศักดิ์สิทธิ์ ข้างหลังมีปีกมหึมา ทั่วทั้งร่างแผ่กลิ่นอายโหดเหี้ยม พลังบำเพ็ญยิ่งถึงระดับเตรียมสู่เทวะ 5 โลก
พลังบำเพ็ญระดับนี้ อยู่เหนือยิ่งกว่าอ๋องสวรรค์จำนวนมากมายของเผ่ามนุษย์
โดยเฉพาะในศึกขนาดเล็กครั้งนี้ ระดับเตรียมสู่เทวะเผ่าต่างๆ แม้จะลงมือเช่นกัน แต่ก็ต่างถูกตรึงเอาไว้ ดังนั้นตอนนี้การลงมาเยือนอย่างกะทันหันของคนคนนี้ ก็สำแดงการสังหารทันที
เหมือนว่าเขาจะฉีกทึ้งเส้นทางเส้นหนึ่งออกมาบนสนามสมรภูมิแห่งนี้
ข้างหลังของเขายิ่งมีผู้บำเพ็ญเผ่าปีกมารนับพันติดตามอยู่ข้างหลัง ประดุจผู้คุ้มกันของเขา ติดตามเขาพุ่งมา
เป้าหมายก็คือค่ายกลสุดยอด
เห็นเป็นเช่นนี้ โหวนภาแซ่เฉินรูม่านตาหดเล็ก แต่ไม่ได้ลนลาน สำหรับเหตุการณ์กะทันหันเช่นนี้ ย่อมมีวิธีจัดการ
ไม่นานนัก ประกายแสงค่ายกลสุดยอดหมุนวน จะขัดขวาง
แต่เสี้ยวขณะต่อมา เงาร่างของสวี่ชิงหายไปจากที่เดิม
ในยามที่ปรากฏตัว เขาก็มาปรากฏตัวอยู่นอกค่ายกลสุดยอดแล้ว
เสียงที่กึกก้องสะท้านสะเทือนเสียยิ่งกว่าก่อนหน้านี้ ดังส่งมาอย่างชัดเจนจากทั่วทุกสารทิศในพริบตา ท่ามกลางเสียงมากมายมหาศาลที่ดังเลื่อนลั่น สวี่ชิงมองไปยังชายกำยำเผ่าปีกมารที่พุ่งมาอย่างรวดเร็วข้างหน้า
ชายกำยำผู้นี้ก็สังเกตเห็นสวี่ชิงเช่นกัน แค่นเสียงขึ้นจมูกขึ้นทีหนึ่ง ความเร็วไม่ลดลงแม้แต่น้อย ก้าวเดินมา
ทุกอย่างนี้พูดแล้วเหมือนนาน แต่ความจริงแล้วเกิดขึ้นในชั่วเสี้ยวพริบตา
ในค่ายกล โหวนภาเฉินตื่นตกใจ เขารู้ว่าฐานะของสวี่ชิงสูงส่งเป็นอย่างยิ่ง แต่กำลังรบเหมือนว่าแค่พอจะถึงระดับมาตรฐานขั้นต้นของอ๋องสวรรค์เท่านั้น แต่ตอนนี้ต้องเผชิญหน้ากับผู้แข็งแกร่งระดับเตรียมสู่เทวะ 5 โลกเช่นนี้…
เขาเป็นกังวลขึ้นมาทันที
เอ้อร์หนิวอยู่ข้างๆ กระแอมขึ้นทีหนึ่ง “ตื่นเต้นอะไร ไม่ต้องกังวล”
แม้เขาจะพูดแบบนี้ แต่โหวนภาแซ่เฉินจะฟังเข้าหูไปได้อย่างไร
ไม่ใช่แค่เขาทางนี้ที่เป็นกังวล บนสนามรบ อ๋องสวรรค์เผ่าต่างๆ ที่ถูกสามสี่คนรุมพัวพัน ก็ต่างสังเกตเห็นภาพนี้ทันทีเช่นกัน จำสวี่ชิงได้ ต่างจิตใจสะท้าน กระทั่งว่ามีคนสบถออกมา
เห็นได้ชัดว่าในการวิเคราะห์ของพวกเขาไม่คิดว่าสวี่ชิงจะสามารถต่อกรกับผู้บำเพ็ญระดับเตรียมสู่เทวะ 5 โลกคนนั้นได้
มีใจคิดอยากจะช่วย แต่กลับไม่สามารถปลีกตัวไปได้ในทันที
ทำได้เพียงมองชายกำยำเผ่าปีกมาคนนั้นพุ่งไปหาสวี่ชิงอยู่กับตา
“เหลวไหล สวี่ชิงคนนี้ไยจึงปรากฏตัวซี้ซั้วโผล่มาแบบสุ่มสี่สุ่มห้าเช่นนี้!”
“เปิดค่ายกลคลุมสวี่ชิงเอาไว้!”
“เร็วเข้า!”
ค่ายกลส่งเสียงกึกก้อง ประกายแสงกะพริบวูบวาบ ประดุจแสงพราวพร่างสาดทอ จะปกคลุมสวี่ชิงไว้ในนั้น
แต่ชายกำยำเผ่าปีกมารคนนั้น ตอนนี้ผ่านจากค่ายกลนี้ก็มองออกได้อ้อมๆ ว่าฐานะของสวี่ไม่ธรรมดา และหลังจากที่จ้องมองอย่างละเอียด ดวงตาก็พลันฉายประกายวาบ จำตัวตนของสวี่ชิงได้ทันที
บุคคลสำคัญในเผ่ามนุษย์ พวกเขาแดนศักดิ์สิทธิ์เผ่าปีกมารย่อมศึกษาเอาไว้อยู่แล้ว โดยเฉพาะสวี่ชิงก่อนหน้านี้สร้างเรื่องใหญ่ขนาดนั้นเอาไว้
เพราะเขา แดนศักดิ์สิทธิ์แดนหนึ่งแตกดับ
เพราะเขา แดนศักดิ์สิทธิ์ระดับเหลืองถูกขับไล่
เพียงแต่ สิ่งที่พวกเขารู้มีเพียงแค่สวี่ชิงถูกฝูเสียจับไป สุดท้ายถูกช่วยเอาไว้
พวกเขาไม่รู้รายละเอียดในนั้น และไม่รู้ว่าฝูเสียสุดท้ายแล้วตายด้วยมือของสวี่ชิง ยิ่งไม่รู้ถึงกำลังรบที่แท้จริงของเขา
ดังนั้น ชายกำยำตาลุกวาว ยิ้มเหี้ยมเกรียมออกมา เร่งความเร็ว พุ่งตรงไปหาสวี่ชิง
แต่…ในเสี้ยวพริบตาที่เงาร่างของเขาเข้าไปใกล้ สวี่ชิงยกมือขึ้นด้วยใบหน้าเรียบเฉย
ยกมือไปทางชายกำยำเผ่าปีกมารคนนั้นที่มาเยือน แล้วขยี้กลางอากาศ
จากการขยี้ครั้งนี้ ภายในสนามรบที่พื้นที่กว้างใหญ่ไพศาลแห่งนี้ พื้นที่บริเวณหมื่นลี้โดยมีสวี่ชิงเป็นศูนย์กลาง เสียงทุกอย่างหายไปในทันที
ช่วงชิงเสียงไป!
และความเงียบก็เป็นเพียงแค่ 1 อึดใจเท่านั้น
อึดใจต่อมา เสียงเหล่านี้ถูกควบคุม รอบๆ ชายกำยำเผ่าปีกมารคนนั้นถูกรวบรวมมา ก่อเป็นก้อนน้ำขนาดมหึมาลูกหนึ่งด้วยความทรงพลังอย่างไม่เคยมีมาก่อน
คลุมชายกำยำเผ่าปีกมารตลอดจนองครักษ์นับพันที่อยู่ข้างหลังไว้ทั้งหมด
ระลออกคลื่นในนั้นแผ่ไม่หยุด ฉายพลังสังหารทำลายล้างน่าหวาดหวั่น สั่นสะเทือนบ้าคลั่ง
เสียงโหยหวนดังออกมาจากชายกำยำเผ่าปีกมารตลอดจนองครักษ์ของเขาที่อยู่ในก้อนน้ำทันที
แปรเปลี่ยนเป็นพลังทำลายล้างอำนาจแห่งเสียงมากยิ่งขึ้น ดังเลื่อนลั่นอย่างต่อเนื่อง
มีองครักษ์สามส่วนร่างระเบิดทันที แหลกเป็นเสี่ยงๆ สำหรับชายกำยำเผ่าปีกมารคนนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เขาได้ยินเสียงพึมพำแว่วๆ
เสียงพึมพำนี้ชัดขึ้นเรื่อยๆ ท่ามกลางเสียงซ้ำไปมาไม่หยุด พลังเก่าแก่กลุ่มหนึ่งตามเสียงพึมพำมา แผ่ลามไปทั่วร่างของเขาอย่างบ้าคลั่งและละโมบ แทรกซึมไปในจิตใจของเขา เข้าแทนความรู้ความเข้าใจของเขา
ยิ่งช่วงชิงแนวคิดเรื่องเสียงของเขาไป
จะร่างกายก็ดี วิญญาณก็ดี แม้แต่ความเป็นตัวเองก็ถูกช่วงชิงไป
จวบจนกระทั่ง…พร้อมกับองครักษ์ทั้งหลายระเบิดกลายเป็นหมอกเลือด!
จากนั้น ก้อนน้ำก็แยกออก แปรเปลี่ยนเป็นเสียงนับไม่ถ้วนใหม่อีกครั้ง โดยมีสวี่ชิงเป็นศูนย์กลาง แผ่ขยายไปรอบๆ เสียงดังสนั่นหวั่นไหว
ทุกที่ที่ผ่าน ขอเพียงแต่เป็นเสียงบนสนามรบก็ล้วนแต่กลายเป็นพลังสังหารทำลายล้างในพริบตา
ภาพนี้แม้จะเป็นเพียงมุมหนึ่งที่เกิดขึ้นในสนามรบ แต่เพียงพริบตาก็แผ่ระลอกพลังไปทั่วทั้งสนามรบ ยิ่งทำให้โหวนภาเผ่าต่างๆ เหล่านั้นและผู้บำเพ็ญระดับเตรียมสู่เทวะแดนศักดิ์สิทธิ์ต่างหน้าเปลี่ยนสี!
เพราะ…การลงมือของสวี่ชิงฆ่าล้างสังหารรวดเร็วยิ่งนัก อีกทั้งตอนนี้ยังส่งผลต่อสถานการณ์ทั้งหมด
ผู้บำเพ็ญโลกแดนตะวันออกจิตใจสั่นสะท้าน
ผู้บำเพ็ญแดนสักดิ์สิทธิ์หวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง
“พลังอำนาจเทพ!”
“เผ่านมนุษย์คนนี้ไม่ชอบมาพากล!”
ฝ่ายแดนศักดิ์สิทธิ์ต่างในใจเกิดระลอกคลื่น เพียงแต่…สงคราม ยากจะเปลี่ยนเพราะคนคนเดียว นอกเสียจากคนคนนี้จะมีพลังสุดยอดที่สามารถสยบได้ทุกสิ่ง
ดังนั้นเสี้ยวขณะต่อมา จิตเทพน่าหวาดกลัวกลุ่มหนึ่งแผ่มาจากแดนศักดิ์สิทธิ์ลอยฟ้าที่อยู่ที่ไกล มีเจ้าเหนือหัวลงมาเยือน!
ส่วนในแผ่นดินใหญ่เผ่ามนุษย์มีกลิ่นอายเทพเช่นกัน พลันปะทุมา ประจันหน้าอยู่ไกลๆ
นั่นคือเทพอสุภเสวียนจั้น!
ภายใต้การตรึงกำลังของพลัง 2 กลุ่มนี้ เงาร่างสวี่ชิงหายไป กลับมาในค่ายกล และในระหว่างที่กลับมา เขาจุดระเบิดพลังอำนาจแห่งเสียงที่แผ่อยู่ข้างนอกสนามรบทั้งหมด ยิ่งเพิ่มพลังคำสาปเคราะห์หายนะ
เสียงระเบิดสนั่นหวั่นไหว ปะทุท่วมฟ้าที่นอกค่ายกล ก่อเป็นพายุเสียง
ผู้บำเพ็ญที่เข้าร่วมสงครามทุกเผ่าของโลกแดนตะวันออก แต่ละคนจิตใจสั่นสะท้าน ท่ามกลางคำบัญชาการอย่างเด็ดขาดจากอ๋องสวรรค์ทั้งหลายก็คว้าโอกาสนี้เอาไว้ กระโจนสังหารออกไปทันที
สถานการณ์ของศึกขนาดเล็กครั้งนี้เปลี่ยนมาเอนเอียง
เผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นนี้ ฝ่ายแดนศักดิ์สิทธิ์ส่งเสียงระฆังหนักต่ำทุ้มออกมา เริ่มถอนกำลังทหาร…
จวบจนกระทั่ง 1 ชั่วยามหลังจากนั้น ศึกนี้ก็ปิดฉาก ทันทีที่ทุกเผ่ากลับมา ต่างก็ซุบซิบวิพากย์วิจารณ์เรื่องการปรากฏตัวขึ้นของสวี่ชิง
ส่วนสวี่ชิงก็จากมาพร้อมกับเอ้อร์หนิวแล้ว
เข้ามายังเมืองหลวงเผ่ามนุษย์ มายังหน้าตำหนักใหญ่ของเมืองหลวง
ยืนอยู่ตรงนั้น สวี่ชิงเปลี่ยนเป็นชุดขุนนางไท่ฟู่ เอ้อร์หนิวก็สวมเกราะนภาทองม่วงเลียนแบบที่เผ่ามนุษย์หลอมขึ้นให้เขา
เกราะสงครามที่ชื่อว่ามหาขุนพลสวรรค์เป็นเกราะที่เอ้อร์หนิวควบคุมการสร้างด้วยตนเองตามความต้องการของเขาเองในตอนนั้น ปกติแล้วเขาไม่ค่อยสวมใส่ แต่ดูจากท่าทางก็เห็นได้ว่าเขาชื่นชอบมันมาก
ตอนนี้อยู่ที่หน้าตำหนัก เขายืนอย่างหยิ่งทะนง สวมเกราะมหาขุนพลสวรรค์ไว้บนร่าง ทั่วทั้งร่างส่องประกายแสงอาทิตย์วูบวาบ ทำให้ทั้งคนดูแล้วราวมนุษย์แสง
มองไปไกลๆ ก็มีท่วงท่าบุคลิกทรงอำนาจอยู่หลายส่วนจริงๆ
ทั้ง 2 คนยืนอย่างเคร่งขรึมข้างนอกได้ไม่นาน เสียงต่ำทุ้มเสียงหนึ่งก็ดังมาจากในตำหนักใหญ่วังหลวง
“เรียกท่านอาจารย์ มหาขุนพลสวรรค์เข้าเฝ้า!”
สวี่ชิงและเอ้อร์หนิวเงยหน้า ก้าวเดินไปยังตำหนักใหญ่พร้อมกัน หลังจากเดินมาสามสี่ก้าวก็เข้าไปในตำหนัก มองเห็นขุนนางทั้งหลาย และเห็นจักรพรรดินีที่กำลังนั่งอยู่ข้างบน ตลอดจนหนิงเหยียนที่สีหน้าตื่นเต้นข้างๆ นาง
“คารวะฝ่าบาท!”
สวี่ชิงโค้งคารวะ เอ้อร์หนิวก็เช่นกัน เอ่ยปากเสียงดัง
จักรพรรดินีพยักหน้าเล็กน้อย เอ่ยตอบราบเรียบ “กลับมาก็ดีแล้ว นั่งเถิด”
สวี่ชิงลุกขึ้น ก้าวออกไปก้าวหนึ่ง มาถึงยังข้างล่างจักรพรรดินี ข้างหน้าเก้าอี้ตัวที่ 2 ในบรรดาเก้าอี้อ๋องสวรรค์ทั้ง 33 ตัว
นั่งอย่างสง่างามอยู่บนนั้น ก้มมองหมู่ขุนนาง
ตำแหน่งนี้เป็นรองเพียงจักรพรรดิมนุษย์และอ๋องเจิ้นเหยียนที่ไม่ได้ปรากฏตัวอยู่ที่นี่เท่านั้น!
สำหรับขุนนางทั้งหลาย ภายใต้สายตาของสวี่ชิงต่างก็ก้มศีรษะอย่างเคารพนอบน้อม
แม้แต่หนิงเหยียนทางนั้นก็โค้งคารวะมาทางสวี่ชิงด้วยเช่นกัน
ไม่ว่าจะเกิดจากการพึ่งพาสวี่ชิงในอดีต หรือจะเป็นฐานะท่านอาจารย์ของสวี่ชิง หนิงเหยียนล้วนยอมรับนับถือจากใจ และรู้สึกตื่นเต้นอย่างลึกซึ้งในจิตใจ
กระทั่งในใจของเขา สวี่ชิงเมื่อเทียบกับมารดาของเขาแล้วก็มีความสนิทสนมยิ่งกว่า
เอ้อร์หนิวเห็นเช่นนี้ ในใจอิจฉาเล็กน้อย แต่ว่าไม่นานนักความสนใจของเขาก็อยู่ที่ร่างของสหายเก่าที่ยืนอยู่ที่ไกลๆ ตอนแรกเป็นความแปลกประหลาด จากนั้นก็มีเลศนัย กระทั่งว่ายังเอาเถาวัลย์เทพศักดิ์สิทธิ์ออกมา เล่นอยู่ในมือ
จวบจนเมื่อสายตาของสวี่ชิงหลังจากที่กวาดสายตามองเหล่าขุนนางที่อยู่ข้างล่าง จับจ้องไปที่ร่างของผู้บำเพ็ญคนนี้…
ผู้บำเพ็ญเผ่าปีกมารที่ถูกสวี่ชิงและเอ้อร์หนิวจับจ้องพร้อมๆ กัน ในใจปั่นป่วนเต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย สูดหายใจลึก โค้งตัวเล็กน้อย “เฟิงหลินเทาคารวะท่านอาจารย์”
(>>>พิสูจน์อักษร By Zank<<<)



