บทที่ 600 เอามาเล่นได้ไหม?
หลังจากนั้นไม่นานชายชราก็กลับออกจากสุสานกระบี่ ในอ้อมแขนประคองหีบกระบี่มาด้วยใบหนึ่ง
เขาจัดแจงส่งมอบหีบกระบี่ให้เยว่ฉี สตรีรับมาเปิดฝาหีบออกพิจารณาดูสิ่งที่อยู่ภายในทันที ซึ่งภายในหีบบรรจุกระบี่ด้วยกันสี่เล่ม!
ทุกเล่มเป็นกระบี่สวรรค์!
เยว่ฉีหันไปทางคนที่อยู่ข้างหลังและส่งหีบกระบี่ให้เยี่ยฉวน ขณะถามว่า “พอหรือยัง?”
พอหรือยัง?
เมื่อได้ยินสตรีถามเช่นนั้น ชายชราถึงกับตาเหลือก
เยี่ยฉวนคิดนิดหนึ่ง จากนั้นจึงตอบไปว่า “น่าจะพอขอรับ!”
สตรีหันไปทางชายชราพลางบอกหน้าตาเฉย “นำมาให้ข้าอีกเล่ม!”
ชายชราเงียบฉี่
เยี่ยฉวนก็เงียบกริบ
ครู่ต่อมาชายชราจึงกลับไปนำกระบี่ออกมาให้ตามคำสั่ง
ซึ่งก็เป็นกระบี่สวรรค์ด้วยเช่นกัน!
จึงเป็นอันว่าเยี่ยฉวนได้มาทั้งหมดห้ากระบี่!
ทว่าเยว่ฉีไม่พูดอะไรสักคำและหันกลับออกไปทันที
คนที่อยู่ข้างหลังนิ่งงันเป็นเนิ่นนาน ที่มุมปากผุดรอยยิ้ม “อาจารย์ใจดีอะไรอย่างนี้!”
ณ ขณะนั้นเขารู้สึกอบอุ่นในหัวใจอย่างบอกไม่ถูก เพราะที่ผ่านมาอาจารย์เยว่ฉีไม่เคยถามสักคำว่าจะเอากระบี่ไปทำอะไร มันเป็นความเชื่อใจ ความรู้สึกว่ามีคนเชื่อใจเรานี่มันช่างน่ารื่นรมย์แท้!
ชายชราหน้าง้ำตาขวางจ้องมองเยี่ยฉวนอยู่ครู่หนึ่งโดยไม่พูดอะไร ก่อนจะหันกลับออกไปอีกคน
อยากจะบอกว่าแท้ที่จริงเยี่ยฉวนแอบคร่ำครวญอยู่ภายในใจลึกๆ เขาไม่รู้ว่าเยว่ฉีเหตุใดจึงครอบครองกระบี่สวรรค์มากมายนัก ทว่าที่รู้หากไม่ได้นางช่วยเหลือ ตนจะไม่ได้รับกระบี่สวรรค์มามากมายเช่นนี้
ทว่าตอนนั้นเอง เยี่ยฉวนจึงได้รู้เหตุผลในเชิงลึกว่าทำไมคนอยากเข้าร่วมกับกองกำลังขนาดใหญ่กันเสียหนักหนา
เป็นเพราะกองกำลังใหญ่ๆ เต็มไปด้วยทรัพยากรล้ำค่าและยังมีหน้ามีตา หากเขายังอยู่อย่างโดดเดี่ยวถึงแม้จะได้ครอบครองสุดยอดศิลาจิตวิญญาณนับหมื่นชิ้นก็ไม่อาจหาซื้อกระบี่สวรรค์ทั้งห้าเล่มนี้ได้อย่างเด็ดขาด!
การรวมกลุ่มและมีคนให้พึ่งพิงย่อมดีกว่า!
การต่อสู้เพียงลำพัง มีแต่ความเหนื่อยยาก!
ต่อไปต้องหาที่พึ่งพาอาศัยได้ให้มากขึ้น!
ชายหนุ่มคิดแล้วอดที่จะยิ้มให้กับตนเองไม่ได้ มือถือกระบี่และหันกลับออกจากสถานที่เป็นคนสุดท้าย
เมื่อกลับถึงยังห้องพักที่ยอดเขาอวิ่นเจี้ยนแล้วก็ตรงเข้ายังหอคอยแห่งเรือนจำทันที
เริ่มปฏิบัติการสูบกลืน!
ในหอคอยแห่งเรือนจำ ทันทีที่เห็นเยี่ยฉวนก้าวเข้าไป อาหลิงรีบนำหีบไปซ่อนโดยเร็ว นัยน์ตากลมจ้องมองชายหนุ่มแววตาหวาดระแวง “ข้าเปล่าซน!”
เยี่ยฉวนเลิกคิ้วมอง “……”
เด็กหญิงคงคิดว่าอีกฝ่ายไม่เชื่อคำพูดของตน จึงรีบปฏิเสธเป็นพัลวัน “ข้าไม่ได้ซนนะ!”
“ก็ดี!”
เยี่ยฉวนโบกมือ “ข้ารู้แล้วว่าเจ้าไม่ได้เล่นซน เดี๋ยวข้าจะฝึกฝนบ่มเพาะพลัง อย่าเข้ามารบกวนล่ะ เข้าใจไหม?”
อาหลิงพยักหน้าทำท่าว่าเข้าใจ
ชายหนุ่มจึงทรุดนั่งขัดสมาธิลงบนพื้น ก่อนจะหยิบกระบี่ขั้นสวรรค์ออกมาและกดเข้าที่บริเวณหน้าอกของตน
เมื่อเห็นกับตา อาหลิงถึงกับเบิกตาโพลงด้วยความตกตะลึงพรึงเพริดและยกมือเล็กๆ ขึ้นมาปิดปากทันที
ทันทีที่กระบี่สวรรค์เข้าสู่ร่างกาย บังเกิดเป็นพลังแผ่รัศมีสาดส่องออกโดยรอบตัวของเยี่ยฉวน ต่อมาไม่นานร่างกายเริ่มดูดซับพลังงานเข้าสู่ภายในอย่างเมามัน!
กายากระบี่ไร้เทียมทาน!
เขายังจดจำได้ที่สตรีลึกลับเคยบอกว่า ถ้าเขาสามารถฝึกฝนการบ่มเพาะพลังชี่จนประสบความสำเร็จ ร่างกายของผู้ฝึกจะกลายเป็นกระบี่และกระบี่อื่นไม่อาจทำอันตรายได้!
การประสบความสำเร็จในการฝึกฝนเป็นฉันใด เยี่ยฉวนสุดปัญญาจะรู้ได้!
อย่างไรก็ตามต้องฝึกไว้ก่อน!
ข้างเยี่ยฉวน เด็กน้อยอาหลิงตื่นละลึงมองตาโต ขณะที่คลานไปรอบๆ คนที่นั่งอยู่บนพื้นและคอยเอื้อมมือไปสัมผัสตัวของอีกฝ่ายซ้ำแล้วซ้ำเล่า แววตาเต็มไปด้วยความฉงนสงสัย
ดูเหมือนเด็กหญิงจะนึกอะไรขึ้นมาได้ ฉับพลันต่อมาจึงทะยานไปยังหีบกระบี่ที่วางอยู่เบื้องหน้าเยี่ยฉวน จากนั้นจึงยื่นมือทั้งสองข้างคว้าหีบกระบี่ ทันใดนั้นกระบี่ค่อยยกตัวขึ้นมาอย่างช้าๆ
เด็กหญิงควบคุมกระบี่ให้ลอยเข้ามาหาตนเอง
ในขณะที่กระบี่ใกล้จะแทรกเข้าสู่ร่างกาย พลังงานเริ่มแผ่ปกคลุมร่างของเด็กน้อยขณะที่เจ้าตัวกำลังตกตะลึงอยู่นั้น พลันเสียงตวาดลั่นของใครบางคนดังมาจากชั้นที่หนึ่ง “ทำอะไร!”
เสียงของยอดยุทธ์ชั้นที่สอง!
อาหลิงกะพริบตาปริบ “อยากเล่นนี่!”
“เล่นได้ยังไง?” ยอดยุทธ์ชั้นสองตวาดเสียงกระด้าง
เด็กน้อยชี้นิ้วไปทางเยี่ยฉวน “เขายังเล่นได้เลย!”
ครานี้อีกฝ่ายนิ่งเงียบไป
ในเวลานั้นเด็กอาหลิงทะยานขึ้นไปที่ชั้นสองของหอคอยและได้พบกับยอดยุทธ์ชั้นสองบนนั้น
บนร่างของยอดยุทธ์ชั้นที่สองมีแผ่นยันต์สีทองปิดคลุมเต็มไปหมดเป็นที่น่าพิศวง คล้ายกับว่านางถูกพันธนาการไว้ด้วยค่ายกลอะไรสักอย่าง
อาหลิงขยับเข้าไปอยู่ต่อหน้ายอดยุทธ์ชั้นสองพลางส่งยิ้มหวาน จากนั้นเด็กน้อยได้ล้วงเอาผลไม้วิเศษออกมาและยื่นให้อีกฝ่าย
ยอดยุทธ์ชั้นสองจ้องมองอาหลิง หากยังคงนิ่งเงียบ
อาหลิงมีท่าลังเลนิดหนึ่งก่อนจะพูดว่า “คนที่อยู่บนชั้นสี่บอกให้ข้าดึงกระบี่ที่อยู่บนนั้นสามเล่มออกมาเล่น… ข้าเอามาเล่นได้ไหม?”
อีกฝ่ายเมื่อได้ยินเช่นนั้นถึงกับตาเหลือกตาปลิ้น
ณ ห้องโถงใหญ่สำนักชางเจี้ยน
ภายในหอโถงมีคนอยู่สามคนคือ เฉินเป่ยฮั่น ฉางเสวี้ยนและจ้านเถี่ย
เจ้าสำนักเฉินเป่ยฮั่นหันไปถามฉางเสวี้ยนว่า “เวลานี้ยังไม่มีความเคลื่อนไหวของทางสำนักผู้ตรวจการเขตแดนงั้นหรือ?”
คนถูกถามสั่นศีรษะก่อนตอบว่า “ไม่มีเลย! อย่างไรก็ตาม ข้าคิดว่าพวกมันต้องเคลื่อนไหวในอีกไม่ช้าแน่”
เฉินเป่ยฮั่นพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “ทางชุมนุมพลังเร้นลับและพวกตระกูลใหญ่แห่งโลกสวรรค์ไม่มีปฏิกิริยาเลยหรือ?”
ฉางเสวี้ยนฝืนยิ้มเล็กน้อย “ถ้าพวกเขาไม่มีผลประโยชน์ร่วมด้วยก็ยากจะยื่นมือเข้ามายุ่งเกี่ยว อีกทั้งตอนนี้มีแต่คนอยากให้สำนักชางเจี้ยนทำศึกกับสำนักผู้ตรวจการเขตแดนเพราะมีพวกที่รอจะฉวยโอกาสอยู่น่ะสิ”
เฉินเป่ยฮั่นพึมพำอย่างครุ่นคิด “เห็นทีพวกเราจะต้องพึ่งพาตัวเองกันเสียแล้ว”
คนพูดหยุดคิดนิดหนึ่ง “ตอนนี้คงต้องรบกวนศิษย์น้องกู่ช่วยเป็นธุระ ขอร้องนางให้จัดตั้งค่ายกลทางฝั่งขวาทั้งสองแห่งโดยเฉพาะต้องซ่อมแซมค่ายกลที่ผู้ก่อตั้งเคยสร้างให้เสร็จโดยเร็ว เพราะสถานการณ์นี้เร่งด่วนนัก”
ฉางเสวี้ยนผงกศีรษะ “รับทราบ ศิษย์น้องกู่เข้าใจดีว่าพวกเราต่างมีภารกิจในสถานการณ์ที่เป็นอยู่กันทุกคน”
พลันเฉินเป่ยฮั่นถามขึ้นทันทีว่า “ศิษย์พี่ใหญ่อยู่ที่ไหน?”
ศิษย์พี่ใหญ่!
คำถามของเฉินเป่ยฮั่นยังผลให้สีหน้าฉางเสวี้ยนและจ้านเถี่ยแปรเปลี่ยนไปอย่างบอกไม่ถูก
ฝ่ายฉางเสวี้ยนยิ้มแห้งแล้ง “หลังจากที่ส่งซางเยว่และเยี่ยฉวนกลับสำนัก พวกเราก็ไม่ได้ข่าวคราวของเขาอีกเลย ถึงกระนั้นเวลาที่สำนักชางเจี้ยนกำลังมีปัญหาเขาจะต้องกลับมาช่วยพวกเราแน่ขอรับ”
เจ้าสำนักพยักหน้าเบาๆ “คราวที่ไปปรากฏตัวขึ้นที่เผ่าอสูร คงเพราะเขาไม่อยากให้ซางเยว่ถูกฆ่าตายเพราะเกรงว่าสำนักชางเจี้ยนจะไร้ผู้สืบทอด เรื่องศิษย์พี่ใหญ่เอาไว้ก่อน! ทว่าถึงเวลาเมื่อไรเดี๋ยวเขาก็มาเอง!”
ฉางเสวี้ยนเปล่งเสียงหัวเราะ “จริงด้วย เวลานี้สำนักชางเจี้ยนและสำนักผู้ตรวจการเขตแดนเริ่มเปิดศึกแล้ว เขาไม่ยอมพลาดแน่!”
เสียงของเฉินเป่ยฮั่นพูดเหมือนรำพึงกับตัวเอง “ข้าแค่ไม่รู้ว่าสำนักผู้ตรวจการเขตแดนมันจะมาไม้ไหนเท่านั้น……นี่เป็นศึกชี้ชะตาของสำนักชางเจี้ยนเราโดยแท้!”
ได้ยินวาจาของคนเจ้าสำนัก ทั้งฉางเสวี้ยนและจ้านเถี่ยสีหน้ากลายเป็นเคร่งขรึม
ชี้ชะตา!
การต่อสู้ครั้งนี้ ถ้าผลออกมาสำนักชางเจี้ยนเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ หากปราศจากสำนักผู้ตรวจการเขตแดนเสียฝ่ายหนึ่ง กองกำลังอื่นในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ต่างจ้องจะเขมือบสำนักชางเจี้ยนกันทั้งนั้น!
การต่อสู้ครั้งนี้สำนักชางเจี้ยนจะแพ้ไม่ได้เด็ดขาด!
หลังจากต่างฝ่ายต่างนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ เฉินเป่ยฮั่นเอ่ยขึ้นว่า “ถ้าจำเป็นให้เยี่ยฉวน ซางเยว่และหนานข่งรีบหนีไปเสีย อะไรจะเกิดขึ้นกับพวกเราก็สุดแล้วแต่โชคชะตา สำนักชางเจี้ยนจะพินาศไม่ได้”
ฉางเสวี้ยนพยักหน้าหงึก “รับทราบ!”
ไม่ว่าอย่างไรสำนักจะต้องคงไว้ซึ่งผู้สืบทอด!
เฉินเป่ยฮั่นค่อยหลับตาลงช้าๆ ในขณะที่ฉางเสวี้ยนและจ้านเถี่ยกลับออกไปเงียบๆ
ภายในหอโถงจึงมีเฉินเป่ยฮั่นอยู่เพียงลำพัง
พักใหญ่ต่อมาภายในหอโถง จู่ๆ มีคนสวมชุดดำมาปรากฏ สายตามองไปยังเฉินเป่ยฮั่นพลางส่ายหน้าน้อยๆ
เสียงเฉินเป่ยฮั่นพูดขึ้นว่า “ช่างเถอะไม่ต้องตามแล้ว! ในเมื่อเจ้าเชื่ออย่างนั้น ข้าก็ต้องเชื่ออยู่วันยังค่ำ”
คนสวมชุดดำพยักหน้าและถอยกลับไปอย่างเงียบเชียบ
ยอดเขาอวิ่นเจี้ยน
ภายในหอคอยแห่งเรือนจำ เยี่ยฉวนยังคงปฏิบัติการสูบกลืนกระบี่ และในตอนนี้เขากลืนกระบี่สวรรค์ไปแล้วถึงสามกระบี่! บัดนี้ลมหายใจที่อยู่รอบตัวเริ่มแข็งแกร่งขึ้นทุกขณะ
ภายในหอคอยแห่งเรือนจำเกิดเหตุการณ์ที่คนหนึ่งสุขและคนหนึ่งเศร้า
แน่ละคนที่สุขคืออาหลิง เด็กหญิงใช้ชีวิตอย่างอิสระและได้ไปในที่ที่อยากไป …ซึ่งก็มิใช่เพียงเท่านั้นด้วยนางยังได้กินอาหารที่ให้พลังงานด้วย!
คนที่เศร้าก็คือยอดยุทธ์ชั้นที่สอง
ด้วยการที่เยี่ยฉวนกระตุ้นหอคอยแห่งเรือนจำซ้ำไปซ้ำมาหลายต่อหลายครั้ง ทำให้บัดนี้ผนึกยันต์ที่ปิดไว้ในหอคอยเริ่มหลุดร่อน
ในทางทฤษฎีแล้ว ตัวนางน่าจะชอบเพราะการที่ผนึกหลุดออกจะเป็นผลดีต่อนางมากกว่า
ทว่าเวลานี้นางรู้แจ้งแล้วว่าถ้าแผ่นยันต์ที่ผนึกหอคอยหลุดหายจนเกลี้ยงเมื่อใด คนที่อยู่บนหอคอยจะออกมาฆ่าเยี่ยฉวนก่อนใครเพื่อน!
เมื่อใดก็ตามที่เขาตาย ผู้ที่อยู่ในหอคอยจะไม่รอดเช่นกัน!
ทั้งหอคอยมีคนเพียงสองคนที่รู้เกี่ยวกับการมีอยู่ของสตรีลึกลับ คนหนึ่งคือตัวของนางเองและอีกคนเป็นคนยโสโอหังอย่างยิ่ง เขาขู่ว่าจะหาทางแก้แค้นสตรีลึกลับให้จงได้ ซึ่งตัวนางคิดว่าช่างน่าขันสิ้นดี
ความกล้าแกร่งที่สตรีลึกลับเผยให้เห็นนั้น เป็นเพียงส่วนเล็กกระจิริดที่สุดของทั้งหมด!
และด้วยความที่เกี่ยวกับตัวของนาง จึงเห็นเหตุผลที่ว่าทำไมสถานการณ์ของหอคอยเป็นดังเช่นทุกวันนี้ด้วยเกี่ยวข้องกับสตรีลึกลับนั่นเอง!
ข้อเท็จจริงมีอยู่ว่าพวกเขาไม่รู้ว่าสตรีลึกลับกลับมายังหอคอยแห่งเรือนจำ ด้วยยามที่พวกเขาถูกนำมากักขังไว้หอคอยไม่บุบสลายแม้แต่น้อย และแผ่นยันต์ที่นำมาผนึกไว้ ได้ทำให้พวกเขาตกอยู่ในภาวะหลับใหลตลอดกาลกระทั่งตายลง!
ดังนั้นแม้แต่ผู้ที่อยู่หอคอยจึงไม่รู้สึกว่าเกิดอะไรขึ้นกับหอคอยบ้าง ซึ่งเป็นสาเหตุให้หอคอยมีสภาพเป็นเช่นนี้!
ทั้งหมดรู้แต่เพียงว่า ณ เวลานี้ เมื่อตื่นขึ้นมาจึงพบกับสภาพหอคอยแห่งเรือนจะเกิดความเสียหายอย่างหนัก ร่องรอยแตกร้าว ยันต์ที่ผนึกหายไปเกือบหมดอีกทั้งสภาพของผู้เป็นนายอ่อนแอลงอย่างมาก!
พูดง่ายๆ ยกเว้นยอดยุทธ์ชั้นสองและบางส่วนที่อยู่ชั้นบนซึ่งสตรีลึกลับพยายามปรามไว้แล้ว พวกเขาก็ไม่รู้ว่าคนที่อยู่เบื้องหลังคอยช่วยเหลือเยี่ยฉวนนั้นมีพลังแกร่งกล้าเพียงใด!
ถ้าหอคอยแตกดับเยี่ยฉวนจะต้องตาย และเมื่อนั้นคงอีกไม่นานทุกคนจะต้องตายอยู่ในนั้นทั้งหมด!
ครู่ต่อมายอดยุทธ์ชั้นสองหันไปพิจารณาดูคนที่อยู่ชั้นที่หนึ่ง ขณะนั้นลมหายใจของเยี้ยฉวนเริ่มแกร่งกล้ามากขึ้น
ถ้าลมหายใจเช่นนี้ออกไปข้างนอก คงจะน่าตื่นเต้นไม่น้อย!
ในหอคอยแห่งเรือนจำ ต่อให้ลมหายใจของเขาจะแกร่งกล้าเพียงใดหอคอยจะปรามไว้โดยตลอด!
เหตุการณ์ดำเนินไปจวบจนวันรุ่งขึ้น วันมะรืนและเข้าวันที่สาม ขณะที่เยี่ยฉวนนั่งขัดสมาธิบนพื้น ทันใดนั้นชายหนุ่มกระพือเปลือกตาเปิดขึ้นอย่างฉับพลัน
ฉัวะ! ฉัวะ!
พลันรัศมีสองลำแสงพุ่งปราดออกมาทันที ปรากฏพลังลมหายใจคายออกมาด้วยในเวลาเดียวกัน
เยี่ยฉวนยกมือข้างขวาขึ้นโบกครั้งหนึ่ง ทันใดนั้นลมหายใจเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว
ทลายกำแพง!
กระบี่สุญญากาศ!
ขั้นควบยุทธ์สะท้านภพระดับแท้จริง!
ในที่สุดเยี่ยฉวนก็บรรลุขั้นควบยุทธ์สะท้านภพระดับแท้จริงได้สำเร็จ!
ภายในหอคอยเยี่ยฉวนสูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอดขณะที่สัมผัสได้ถึงความแกร่งกล้าที่มากขึ้น ไม่เพียงเท่านั้น บัดนี้ทั้งวิญญาณและความคิดอ่านของเขาแตกต่างไปจากเดิมเป็นอันมาก ราวกับสิ่งต่างๆ รอบตัวกระจ่างชัดขึ้นมาทันใด
และกระทั่งอากาศรอบตัวก็สามารถรับรู้ได้อย่างแจ่มกระจ่างมากขึ้น อีกทั้งกระจ่างชัดในความรู้สึกได้นานตราบเท่าที่ตนต้องการ เขาอยากจะเปลี่ยนแปลงสุญญากาศรอบตัวเมื่อใดก็ได้!
ควบยุทธ์สะท้านภพระดับแท้จริง!
คิดนึกพลางเยี่ยฉวนบิดยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย
ในที่สุดเขาก็บรรลุขั้นควบยุทธ์สะท้านภพสำเร็จจนได้!
ทว่าในใจยังมีคำถามหนึ่งผุดขึ้นมา……ข้าเป็นเซียนกระบี่หรือยัง?



