Skip to content

Outside Of Time 1138

Outside of Time
BC

บทที่ 1138 เจ้าเข้ามาสิ!

วังเซียนแห่งนี้ มีโลกหลายชั้น

C

แต่ละชั้นล้วนเป็นเอกเทศ

พวกมันอยู่ตรงนั้น ไปได้ไกลแค่ไหน จะเข้าไปได้กี่ชั้น ขึ้นอยู่กับพลังบำเพ็ญ โอกาส และวาสนาของตนเอง

และด้านนอกวังเซียน มองลงมายังสถานที่แห่งนี้ จะเห็นได้ว่ามี 2 ชั้นที่ซ่อนอยู่ใต้กระแสวิญญาณ ระลอกคลื่นเป็นแถบ มองได้ไม่ชัดเจน มองเห็นเพียงสีขาวและดำ 2 สี พร่าเลือนอยู่ใต้น้ำ

และสิ่งที่ปรากฏชัดเจนที่สุดในสายตาของคนทั้งหลายคือโลกชั้นที่ 3 ของวังเซียนที่อยู่เหนือกระแสจิตวิญญาณ

โลกใบนี้กว้างใหญ่ไพศาล ราวกับไม่มีที่สิ้นสุด ให้ความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่ ภายในมีสิ่งก่อสร้างมากมาย หออาคารระฟ้านับไม่ถ้วน

รอบๆ แสงเพรายรุ้งส่องประกายหมื่นจั้ง รัศมีมงคลนับพันเส้น

ทั้งยังสามารถมองเห็นผลึกแก้ววิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนที่สร้างจากหยกเซียน ส่องประกายระยิบระยับภายใต้แสงหลากสีสันของฟากฟ้า

ราวกับมีอัญมณีจากโลกมนุษย์นับไม่ถ้วนถูกประดับประดาอยู่บนนั้น

ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีนกกระเรียนเซียนตัวแล้วตัวเล่าบินวนเวียนอยู่ในโลกชั้นที่ 3 ของวังเซียนแห่งนี้ ทั้งๆ ที่ตัวตนของพวกมันเป็นเพียงภาพลวงตา แต่ก็ส่งเสียงร้องที่เป็นของจริงและก้องกังวาน

ผสานกับเสียงคำรามของกระแสวิญญาณที่พลุ่งพล่าน คล้ายร่ายเรียงเป็นท่วงทำนองสวรรค์

ส่วนดอกไม้อัศจรรย์และพืชพรรณแปลกตาก็มีนับไม่ถ้วน ต่างอวดโฉมแข่งความงามกัน ขณะเดียวกันบางครั้งก็ยังเห็นเงาร่างของเซียนบางท่าน ราวกับสะท้อนออกมาจากคลื่นกาลเวลา ตกลงสู่สายตาของคนทั้งหลายที่นี้

แม้จะพร่าเลือน แต่ขณะที่พวกเขาก้าวเดิน พลังวิญญาณก็หมุนวนรอบตัวพวกเขา ไม่ธรรมดาเลย

ที่ไกลออกไป มีร่างอันยิ่งใหญ่ร่างหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ ราวกับค้ำจุนความยิ่งใหญ่ของโลกชั้นที่ 3 วังเซียน

สายตาของร่างนี้ประดุจคบเพลิง ราวกับสามารถมองทะลุความสับสนวุ่นวายทั้งหมดในโลกได้

เบื้องหน้าจะเห็นร่างของผู้บำเพ็ญจำนวนมาก แต่ละคนล้วนเลื่อมใสศรัทธา คล้ายกำลังศึกษาวิชาเซียนและหลักธรรมแห่งเต๋า

โลกชั้นที่ 3 ของวังเซียนเต็มไปด้วยเสียงดนตรีอันไพเราะ แว่วเสียงร่ำตำราดังไม่ขาดสาย ทุกหนทุกแห่งอบอวลไปด้วยความสงบร่มเย็น

ด้านหลัง ยังมีเทือกเขา

ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโลกชั้นที่ 3 วังเซียนเช่นกัน

ที่นั่นมีเมฆหมอกปกคลุมรายล้อม มองเห็นศาลาและหออาคารต่างๆ ประเดี๋ยวเลือนรางประเดี๋ยวปรากฏอยู่ในนั้น

ราวกับมีผู้อาวุโสผู้เร้นกายบางท่านกำลังปิดด่านบำเพ็ญเพียร แสวงหาขอบเขตที่สูงขึ้น

และกาลเวลาที่นี่หมุนเวียนไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานนักสีสัน 7 สีก็จางหายไป พลันมีม่านราตรีคลี่ออก ดวงดาวก็ส่องประกายระยิบระยับ

ดังนั้นรัศมีของวังเซียนและดวงดาวบนท้องฟ้าจึงส่องสว่างสอดประสานกัน

ราวกับดินแดนเซียนบนโลกมนุษย์

……

จ้องมองทุกสิ่งเบื้องหน้า ความรู้สึกตกตะลึงก็ผุดขึ้นในใจของคนทั้งหลายที่อยู่นอกวังเซียน โหมทะลักขึ้นมาในระดับที่แตกต่างกันไป

สำหรับพวกเขา นี่เป็นครั้งแรกในชีวิต…ที่ได้เห็นวังเซียนเช่นนี้

สวี่ชิงก็เช่นกัน

และจากความพลุ่งพล่านของกระแสวิญญาณ จากการปรากฏขึ้นของวังเซียน บนร่างของคนทั้งหลายที่นี่ ส่วนใหญ่ก็เกิดแสงดาวลอยขึ้นเช่นเดียวกับวังเซียน

นั่นคือแสงที่มาจากกุญแจลับของแต่ละคน!

กุญแจลับของสวี่ชิง คือตำราไม้ไผ่ที่อวิ๋นเหมินเชียนฝานมอบให้ ในเสี้ยวขณะนี้กำลังส่องประกาย

แต่สายตาของเขาไม่ได้หยุดจับอยู่ที่วังเซียนนานเกินไป แต่กลับมองไปยังขอบฟ้าไกล

ในเสี้ยวขณะที่วังเซียนเปิดออก ร่างมากมายก็กำลังพุ่งเข้ามาอย่างเร็วรี่

ในจำนวนนั้น มีจำนวนไม่น้อยที่ไม่ได้ถือครองป้ายอนุมัติเมืองเซียน ในเมื่อเงื่อนไขในการเข้าสู่วังเซียนแสงเรืองรอง มีเพียงแค่กุญแจลับเท่านั้น ไม่ได้กำหนดว่าต้องเป็นผู้ที่มีป้ายอนุมัติเมืองเซียนเสมอไป

ดังนั้น ผู้บำเพ็ญระดับเจ้าเหนือหัวหลายคนที่ไม่ได้เข้าร่วมการล่าในปีก่อนๆ ก็มาถึงที่นี่ด้วย

ในจำนวนนั้น มีผู้มีชื่อเสียงโด่งดังอยู่ไม่น้อย

แต่แม้พวกเขาจะเคยมีชื่อเสียงรุ่งโรจน์ ทว่าก็ยังคงยากที่จะเทียบรัศมีกับดวงดาวที่ปรากฏในโลกยุคนี้

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง…ดวงดาวจากแดนดาราทิศตะวันออก!

ทิศตะวันออก ใน 4 แดนดาราของระบบดาวที่ 5 จัดอยู่ในอันดับแรก

ไม่เพียงแค่เพราะในบรรดาดวงดาวทั้ง 8 มี 3 คนที่อยู่ในทิศตะวันออก แต่ยังเป็นเพราะจำนวนอัจฉริยะโดยรวมในทิศตะวันออก ก็เหนือกว่าอีก 3 แดนมาก

ตอนนี้ ดวงดาวทั้ง 3 คนก็ได้มาถึงแล้ว อีกทั้งวิธีการมาถึงของพวกเขาก็สร้างระลอกคลื่นในจิตใจของคนทั้งหลาย

อย่างแรกคือจิตสังหาร ผุดขึ้นมาในใจของผู้บำเพ็ญทุกคนที่ไม่มีธรรมนูญในที่นี้อย่างไม่มีเหตุผล

อีกทั้งยังเข้มข้นถึงขีดสุดในพริบตา ส่งผลต่อจิตใจและกายเนื้อ แผ่กระจายไปภายนอกร่างกาย ทำให้ที่นี่ตลบอวลไปด้วยรังสีอำมหิต ถูกพลังอันน่าตื่นตะลึงกลุ่มหนึ่งเหนี่ยวนำ กลายเป็นประตูไม้สีดำบานหนึ่ง

ประตูบานนี้เก่าแก่โบราณ ในเสี้ยวขณะนี้กำลังเปิดออกอย่างช้าๆ ภายในมีชายหนุ่มชุดดำคนหนึ่งเดินออกมา

ในเสี้ยวพริบตาที่ปรากฏขึ้น ผู้คนทั้งหลายที่นี่ต่างมีสายฟ้าฟาดในใจ จิตสังหารถูกควบคุม พลุ่งพล่านไม่หยุด ราวกับว่า…ผู้ที่ปรากฏตัวกลายเป็นผู้นำแห่งจิตสังหาร

เขายืนอยู่ตรงนั้น จ้องมองวังเซียน ทั้งๆ ที่ไม่ได้เอ่ยปากแม้แต่น้อย แต่ทั้งร่างภายใต้การหลอมรวมจากจิตสังหาร ก็ราวกับกลายเป็นดาบคมเล่มหนึ่ง!

ดาบคมที่สามารถต่อสู้กับธรรมนูญได้!

สวี่ชิงรูม่านตาหดเล็กลง

ลักษณะพิเศษเช่นนี้ ประกอบกับคำบรรยายจากข้อมูลในแผนที่ ทำให้สวี่ชิงไม่จำเป็นต้องให้ใครบอก ก็จดจำตัวตนของอีกฝ่ายได้ทันที

คนผู้นี้ คือดวงดาวแห่งทิศตะวันออก เสียหลิงจื่อ

ตามคำบรรยายในแผนที่ในใจ คนคนนี้เป็นผู้บำเพ็ญไร้สังกัด ผงาดขึ้นมาจากการต่อสู้เป็นตาย ใช้วิชาการกลืนกิน สังหารผู้คนนับไม่ถ้วน วิถีที่ฝึกบำเพ็ญก็คือวิถีมาร

ในยามที่เขายังเล็กจ้อยไร้ค่า เคยฝากตัวเป็นศิษย์กับสำนัก แล้วก็ทรยศสำนัก ถูกไล่ล่ามา 60 ปีแต่ก็จับตัวไม่ได้ คนคนนี้ก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย

หลายปีต่อมา เขาก็ปรากฏตัวอีกครั้ง ฝากตัวเป็นศิษย์กับสำนักอีกสำนักหนึ่ง และหลังจากนั้นก็ยังคงเกิดเรื่องการทรยศสำนักและการถูกไล่ล่าอีก แต่ผลลัพธ์ก็เหมือนเดิม คือจับตัวไม่ได้

ในช่วงเวลาต่อมา เรื่องราวคล้ายคลึงกันนี้เกิดขึ้นทั้งหมด 7 ครั้ง

เขาฝากตัวเป็นศิษย์ 7 ครั้ง ทรยศสำนัก 7 ครั้ง สุดท้ายภายใต้การไล่ล่าไม่สิ้นสุด ก็ทวนกระแสผงาดขึ้น ในเสี้ยวพริบตาที่สำเร็จเป็นผู้บำเพ็ญระดับเจ้าเหนือหัว เขาก็สังหารคนในสำนักทั้งระดับบนระดับล่างที่เขาฝากตัวเป็นศิษย์ทั้งหมด

สร้างวิถีสังหารของตนเองสำเร็จในภูเขาศพทะเลเลือด

และภายหลังก็ต่อสู้กับดวงดาวอีกดวงหนึ่งในทิศตะวันออก ฝีมือสูสีไม่ด้อยกว่ากันเลย

ดังนั้นจึงถูกจัดให้เป็นดวงดาว

“ธรรมนูญของเขา ไม่ได้มาจากการบำเพ็ญ แต่เป็นของวิเศษแห่งธรรมนูญ!”

สวี่ชิงมองเสียหลิงจื่อ มองเห็นรางๆ ว่าในร่างของเขามีดาบหักอยู่เล่มหนึ่ง!

“ธรรมนูญของหยวนซานซู่ มาจากบรรพจารย์ของตระกูลนาง ตระกูลของนางในฐานะตระกูลอันดับ 1 ในทิศใต้ มีรากฐานที่ลึกซึ้งมาก บรรพจารย์ของนางแม้จะไม่ใช่เซียนคิมหันต์ แต่ก็เป็นระดับเตรียมสู่เซียนขั้นสูงสุด และมีธรรมนูญของตนเอง”

“ส่วนเจียงฝาน ก็เหมือนกับข้า สืบมรดกจากอาจารย์ของตัวเอง”

หลี่เมิ่งถู่ในเสี้ยวขณะนี้เอ่ยขึ้นเสียงต่ำทุ้ม

“ส่วนคนคนนี้ ข้าเคยได้ยินชื่อเขามาก่อน วิถีมารที่เขาฝึกบำเพ็ญ การทรยศสำนักที่จำเป็นนั้น ก็เพื่อกระตุ้นของวิเศษสูงสุดที่มีธรรมนูญ เรื่องนี้ได้รับการยินยอมจากทูตตรวจตราแห่งทิศตะวันออก”

สวี่ชิงได้ยินดังนั้น ก็พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นสายตาก็ทอดไปยังท้องฟ้า

ผืนนภาปั่นป่วน แสงสวรรค์แผ่ขยายออกไป ท่ามกลางแสงนั้น มีคนคนหนึ่งเดินออกมา

คนคนนี้มีหน้าตาอ่อนโยน สง่างามอย่างบัณฑิต จากการใกล้เข้ามา ความอบอุ่นอ่อนโยนก็แผ่ออกมาจากร่างของเขา บริเวณที่ปกคลุม ทำให้ผู้บำเพ็ญที่ได้รับผลกระทบจากจิตสังหารเหล่านั้น แต่ละคนก็ฟื้นคืนสติขึ้นมาทันที ราวกับเพิ่งตื่นจากความฝัน

นั่นคือ…โจวเจิ้งลี่ 1 ใน 3 ดวงดาวแห่งทิศตะวันออก

เขามาจากตระกูลโจวแห่งทิศตะวันออก ชื่อเสียงก็เหมือนกับชื่อของเขา ยึดมั่นในคุณธรรม ชอบช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยากทำความดี มีใจเมตตา ได้รับความเคารพจากผู้บำเพ็ญนับไม่ถ้วนในทิศตะวันออก

ตอนนี้เดินมา ผาดแรกที่เขามองไป คือเสียหลิงจื่อ

วิถีของเขาเห็นได้ชัดว่าเป็นขั้วตรงข้ามกับเสียหลิงจื่อ ดังนั้นจึงต้องการสังหารอีกฝ่าย

เสียหลิงจื่อแค่นเสียงขึ้นจมูก ไม่สนใจ ตอนนี้ก้าวเท้าออกไป เหยียบย่างเข้าสู่วังเซียนทันที ร่างของเขาหายไปในนั้นในพริบตา

โจวเจิ้งลี่สีหน้าเป็นปกติ ดึงสายตากลับมา ประสานหมัดคารวะเล็กน้อยให้กับผู้คนในที่นี้ และยิ้มให้เจียงฝานและคนอื่นๆ พยักหน้าให้หลี่เมิ่งถู่ และสังเกตเห็นสวี่ชิงด้วยเช่นกัน

หลังจากพยักหน้าเล็กน้อย เขาก็เดินเข้าสู่วังเซียนเช่นกัน

แต่ในเสี้ยวพริบตาที่เขาเข้ามาใกล้ กำลังจะก้าวเข้าไป โจวเจิ้งลี่ก็พลันหยุดชะงัก และโค้งคารวะท้องฟ้า

ขณะเดียวกัน สวี่ชิงและดวงดาวอื่นๆ ก็สัมผัสได้เช่นกัน มองไปยังม่านฟ้า

ท้องฟ้ายามค่ำคืนที่มืดมิด เดิมทีก็มีดวงดาวอยู่แล้ว แต่ในเสี้ยวขณะนี้มีดวงดาวเพิ่มขึ้นมาอีก 9 ดวง

ดวงดาวทั้ง 9 ดวงนี้โคจรรอบกัน ก่อเกิดเป็นวงแหวน

ขณะส่องประกาย แสงดาวก็สาดส่องก่อเป็นเงาร่างหนึ่งจากสภาวะความว่างเปล่าสู่มีตัวตน

สวมเสื้อคลุมนักพรตของขุนนางดารา เครื่องแต่งกายเรียบง่าย ผมยาวสยายถึงบ่า ใบหน้าหล่อเหลา สีหน้าเย็นชา ราวกับบนร่างของเขาไม่มีการแสดงอารมณ์มากนัก

ตอนนี้จากการปรากฏตัวขึ้น ก็ก้าวเท้าเหยียบอากาศไปยังวังเซียน

เดินมาถึงยังข้างกายโจวเจิ้งลี่

โจวเจิ้งลี่ก้มศีรษะลง

ซิงหวนจื่อก้าวผ่านไป

โจวเจิ้งลี่ถึงได้ก้าวเข้าไป

การปรากฏตัวของซิงหวนจื่อ ทำให้เกิดความอึมครึมเกินกว่าทุกสิ่ง เจียงฝานและหยวนซานซู่ ทั้งยังมีเชียนจวิน ปี้อี้จากทิศเหนือต่างสีหน้าเคร่งขรึม

จากนั้นต่างก็ลุกขึ้น ก้าวไปยังวังเซียน

ส่วนผู้ที่มีคุณสมบัติคนอื่นๆ แต่ละคนต่างมีสีหน้าแน่วแน่ ทยอยก้าวเข้าไป

ไม่ไกลนัก หลี่เมิ่งถู่ก็สูดลมหายใจเข้าลึก สีหน้าเคร่งขรึมอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

“ซิงหวนจื่อ!”

“เขาคือผู้นำของ 8 ดวงดาว และยังเป็นที่ยอมรับกันว่า…เป็นผู้บำเพ็ญระดับเจ้าเหนือหัวที่แข็งแกร่งที่สุดในระบบดาวที่ 5 !”

“มาจากหอคอยวงแหวนดาราแห่งทิศตะวันออก ได้รับพระราชทานนามว่าซิงหวน เป็นซิงหวนจื่อในรุ่นนี้ พลังบำเพ็ญของเขาถึงระดับผู้บำเพ็ญระดับเจ้าเหนือหัวช่วงปลายแล้ว ครอบครองอำนาจ 9 อย่าง พลังยากหยั่งถึง น้อยนักที่จะลงมือ”

“ต่อสู้อย่างเปิดเผยเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น ท้าทายมหาจักรพรรดิเตรียมสู่เซียน”

“เอาชนะในศึกเดียว สร้างชื่อเลื่องลือไปทั่วใต้หล้า”

“นี่คือผลงานก่อนที่เขาจะได้รับการสืบมรดก สวี่ชิง…เจ้าคงมองเห็นอะไรออกแล้วใช่หรือไม่”

หลี่เมิ่งถู่กล่าวเสียงทุ้ม

“ก่อนที่เขาจะสืบมรดก เขาก็สัมผัสรับรู้ธรรมนูญของตนเองได้แล้ว” สวี่ชิงกล่าวอย่างสงบ

หลี่เมิ่งถู่พยักหน้า สีหน้ามีระลอกคลื่นอารมณ์เล็กน้อย

“เขาเป็นคนแรกในบรรดาคนรุ่นเดียวกันที่ข้าเคยพบที่สัมผัสรับรู้ธรรมนูญของตัวเองได้โดยไม่พึ่งพามรดกจากอาจารย์ สหายสวี่ เจ้าเป็นคนที่ 2”

“ขณะเดียวกัน ข้าก็ได้ยินมาว่าเมื่อไม่นานมานี้ในทิศตะวันออก เขาได้ปฏิเสธการสืบมรดกที่อาจารย์ของเขามอบให้ เขาบอกว่า เขาไม่ชอบของที่คนอื่นเคยใช้ ชื่อเป็นเพียงสัญลักษณ์ ดังนั้นเขายอมรับ แต่ธรรมนูญ…เขาชอบของตัวเองมากกว่า”

“ส่วนธรรมนูญของเขา ลึกลับอย่างยิ่ง ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่…สามารถเอาชนะระดับเตรียมสู่เซียนได้ เห็นได้ชัดว่าแข็งแกร่ง!”

“ในเมื่อเหล่าผู้บำเพ็ญระดับเตรียมสู่เซียน แม้บางคนจะยังไม่ได้สร้างธรรมนูญของตนเอง แต่…ส่วนใหญ่ก็ไม่เสียดายค่าตอบแทนเพื่อให้ตัวเองมีของวิเศษแห่งธรรมนูญ”

“ไม่เช่นนั้นแล้ว ในระบบดาวที่ 5 อันรุ่งโรจน์แห่งนี้ จะเรียกตัวเองว่าระดับเตรียมสู่เซียนได้อย่างไร”

หลี่เมิ่งถู่หายใจเข้าลึกๆ ลุกขึ้นยืนมองสวี่ชิง

“สหายสวี่ พวกเราเข้าไปกันเถอะ”

“วังเซียนเปิดแล้ว แม้จะมีผู้บำเพ็ญระดับเตรียมสู่เซียนเข้ามา แต่วิธีการเข้าของพวกเขาไม่เหมือนเรา คือจะเข้าไปในโลกชั้นที่ 4 โดยตรง ดังนั้นตามทฤษฎีแล้ว เราจะไม่เห็นพวกเขา ยากที่จะมีการพบปะกัน”

“แม้จะมีธรรมนูญ เราก็จะก้าวเข้าสู่โลกชั้นที่ 4 ทีละก้าวๆ แต่ในตอนนั้น พวกเขาก็ส่วนใหญ่จะไปสู่ขอบเขตที่สูงกว่าแล้ว”

สวี่ชิงได้ยินดังนั้น ก็พยักหน้าเล็กน้อย “ก็ดีเหมือนกัน”

พูดจบ เขาก็ลุกขึ้นพร้อมหลี่เมิ่งถู่ เดินไปยังวังเซียน

ส่วนบรรพจารย์ตี้หลิงก็ติดตามอยู่ด้านหลังของทั้ง 2 ไม่นานร่างของทั้ง 3 ก็ก้าวเข้าสู่วังเซียน

มองจากภายนอก ระลอกคลื่นกลุ่มหนึ่งหายไปไม่มีร่องรอยใดๆ

……

ขณะเดียวกัน ในโลกชั้นที่ 2 ของวังเซียนที่ซ่อนอยู่ใต้กระแสจิตวิญญาณ

ที่นั่นมีพื้นที่แปลกประหลาดแห่งหนึ่ง เมื่อมองไปเห็นแต่สีขาว ไม่มีความรู้สึกของมิติ ไม่มีความหมายของเวลา มีเพียงสีขาวบริสุทธิ์เท่านั้น

ในสีขาวนั่น ค่อยๆ มีมนุษย์จิ๋วค่อยๆ คลานออกมาจากข้างใน ถือกระบี่เล่มหนึ่ง หันกลับมามือเท้าสะเอวข้างเดียว แล้วกล่าวอย่างหยิ่งผยองว่า “จอมมารผู้ยิ่งใหญ่ เจ้ามีปัญญาก็เข้ามาสิ เจ้าเข้ามาสิ มาจัดการข้าสิ”

ตะโกนอยู่ครู่หนึ่ง ก็ไม่เห็นมีการตอบสนอง ร่างเล็กๆ นั้นได้ใจ กำลังจะจากไป จู่ๆ มนุษย์จิ๋วก็พลันสีหน้าเปลี่ยนไป มองไปยังที่ไกล ส่งเสียงประหลาดใจออกมา “เอ๋! เจ้าลูกชายมารึ”

(>>>พิสูจน์อักษร By Zank<<<)

AC

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!