บทที่ 1148 คิดตรวจสอบจนแน่ชัด
จิ้งจอกดินมีโอกาสเข้าโลกชั้น 4 นี้มาด้วยหรือไม่ สวี่ชิงไม่มั่นใจ
ตอนนี้กายเนื้อกับจิตวิญญาณที่เขาอยู่ ทั้งหมดล้วนไม่ใช่ของตน
มีเพียงจิตสำนึก จุติเข้าร่างนายน้อยจี๋กวงตรงช่วงเวลานี้ สวมรอยอีกฝ่ายเพื่อเผยฉากจบที่เหมือนไม่อาจเปลี่ยนได้
ประวัติศาสตร์เแก้ไขไม่ได้
นี่คือคำพูดของคนตัวเล็กที่วิวัฒน์จากเสี้ยวจิตสำนึกจี๋กวงบอกกับสวี่ชิงเมื่อตอนนั้น
เขาเคยบอกสวี่ชิงว่าหลังจากเข้าโลกชั้น 4 แค่ต้องทำตามประวัติศาสตร์ แค่มอง ฟัง สัมผัสก็พอ
แต่สวี่ชิงไม่คิดเช่นนั้น
ด้วยการทำเช่นนี้ สำหรับเขาหรือดาวคนอื่นซึ่งมาที่นี่แล้วไม่มีความหมายนัก
หากมองกับรับรู้อย่างเดียว ศุภโชคก็ดี วาสนาก็ช่าง อดีตไม่แน่ว่าดีที่สุด ความก้าวหน้าแห่งยุคสมัยมักผลักดันสิ่งเก่าพัฒนาสิ่งใหม่เสมอ
ดังนั้น… จากการวิเคราะห์ของสวี่ชิง วาสนาใหญ่ในการเข้าโลกชั้น 4 นี้ต้องเกี่ยวกับประโยชน์ที่ซ่อนไว้ในช่วงเวลานี้
‘นั่นคืออะไรกันแน่’ สวี่ชิงพึมพำในใจ ปล่อยให้อัสนีบาตผ่าตัวเอง เริ่มการสังเกตและสืบสัมผัสของเขา
เวลาล่วงเลยไปเช่นนี้
5 วันผ่านไป
5 วันนี้จงฉือมาหาทุกวัน อยู่เป็นเพื่อนบนหน้าผา
ในฐานะสหายศึกษา นี่คือภารกิจของเขา อย่างน้อยภายนอกก็เป็นเช่นนี้
ลับหลังช่วงที่นายน้อยถูกลงโทษ เขาค่อยมีอิสระที่หาได้ยากไปทำเรื่องบางอย่าง… ตามหาวาสนาที่ซ่อนเร้นของตน
เรื่องที่นายน้อยถูกตรึงอยู่ตรงนั้น จงฉือจึงไม่ใส่ใจ
เขาถึงขั้นหวังว่าจะยืดเวลาอีกหน่อย
แต่กลับไม่จำเป็นต้องเปิดโปง เหมือนที่เขาไม่อยากให้คนอื่นรู้ฐานะตัวเอง คนที่มาโลกชั้น 4 นี้ต่างมีเรื่องของตน
ส่วนตัวเขายามรับโทษบนผาทัณฑ์อัสนี เขาสำรวจโลกแห่งนี้ผ่านอัสนีบาตที่ฟาดผ่าลงบนตัว
‘ปราณวิญญาณ อัสนีบาต รวมถึงกลิ่นอายฟ้าดินที่นี่… ล้วนแฝงสัมผัสแห่งกาลเวลารางๆ’
‘ต่างจากโลกจริงเล็กน้อย’
‘หากต้องการเปลี่ยนประวัติศาสตร์แท้จริง แน่นอนว่ายากมาก ทั้งมีข้อจำกัดด้านบัญญัติสูงกว่า ไม่มีทางปล่อยให้ประวัติศาสตร์ถูกเปลี่ยนแปลง ดังนั้นจึงก่อตัวเป็นพายุกาลอวกาศ สะเทือนทั่ววงแหวนที่ 5’
‘แต่ช่วงเวลาที่ข้าดำรงอยู่ เป็นไปได้ว่า… ไม่ใช่ประวัติศาสตร์แท้จริง!’
สวี่ชิงหรี่ตา ยามอัสนีบาตฟาดผ่า เขาคาดเดาในใจ
ใช่ว่าประวัติศาสตร์ช่วงนี้ไม่มีจริง แต่ด้วยความเข้าใจที่มีต่อกาลอวกาศของสวี่ชิง เขาคิดว่าภาพอดีตซึ่งโลกชั้น 4 นี้สำแดงออกมาเหมือน… ภาพสะท้อนมากกว่า
‘จุดนี้ยังต้องไปตรวจสอบ’
นอกจากครุ่นคิดแล้ว สวี่ชิงยังร้องโหยหวนเป็นครั้งคราว ทำให้บทบาทสอดคล้องกับอดีต
นอกจากนี้ช่วง 5 วันนี้สวี่ชิงยังครุ่นคิดอีกเรื่อง
นั่นก็คือ… คนที่เข้าโลกนี้มาเหมือนหลี่เมิ่งถู่ นอกจากพวกดาวแล้วยังมีคนอื่นอีกหรือไม่
รวมถึงบทบาทของคนที่เข้ามาด้วย
‘นี่เป็นเรื่องที่ข้าต้องไปสำรวจหลังออกจากผาทัณฑ์อัสนี’ สวี่ชิงครุ่นคิด
เขาไม่ได้คิดขวางมรรคาคนอื่น แต่บนโลกชั้น 4 นี้ หากทราบฐานะที่คนอื่นสวมบทบาทได้ นั่นย่อมเป็นผลดียิ่งต่อการวิเคราะห์เกี่ยวกับโลกนี้ รวมถึงเอื้อต่อสถานการณ์ตนโดยไม่ต้องสงสัย
‘เมื่อทราบว่าพวกเขาค้นหาศุภโชคของตนอย่างไร นั่นยิ่งพิสูจน์การคาดเดาของข้าได้’
‘หากการคาดเดาของข้าเป็นจริง โลกนี้คงเป็นเพียงภาพสะท้อน…’
‘ถ้าอย่างนั้นต้องลองกระตุ้นเวลาแถบนี้เหมือนทำให้ทะเลมรณะเกิดคลื่นลม สังเกตการเปลี่ยนแปลงของกาลอวกาศ นี่ย่อมทำให้ข้าหยั่งรู้เรื่องบัญญัติกาลอวกาศลึกซึ้งขึ้น’
‘การทำเช่นนี้ถึงจะเรียกว่าเจ้าเหนือหัวแห่งกาลอวกาศ!’
‘อีกอย่างคือไม่ทราบว่าช่วง 2-3 วันนี้ผู้นำเซียนจี๋กวงจะมาอีกหรือไม่…’
สวี่ชิงเงยหน้า ทอดมองห่างออกไป ก่อนหน้านี้เมื่อผู้นำเซียนจี๋กวงปรากฏตัว สวี่ชิงเพิ่งมาเยือนที่นี่ ไม่ทันรู้จักสถานที่นี้ เพื่อป้องกันเรื่องผิดคาด ดังนั้นจึงไม่เคยสังเกตผู้นำเซียน
แต่ปัจจุบันผ่านการสำรวจหลายวันนี้ เขาเก็บเกี่ยวมามากแล้ว
แต่น่าเสียดาย เมื่อวันที่ 6 ผันผ่าน เหลืออีกครึ่งวันก่อนทัณฑ์นี้สิ้นสุด แม้ว่ามีคนหนึ่งมาเยือน แต่กลับไม่ใช่ผู้นำเซียน
ผู้มาเยือนนั่งราชรถ 9 หงส์ ถูกม่านบดบังเงาร่าง มองเห็นไม่ชัดเจน
แค่เห็นเกี้ยวทองอร่ามส่องประกายเจิดจ้าใต้แสงอัสนี คล้ายสาดส่องทุกมุมทั่ววังเซียนได้
ยามหงส์ทั้ง 9 ซึ่งเทียมรถส่งเสียงร้อง ฟ้าดินเปลี่ยนสี แต่ละตัวประหนึ่งเพลิงคิดแผดเผาจักรวาล
บนเกี้ยวยังประดับอัญมณีนับไม่ถ้วน เมื่อเกี้ยวหงส์ส่องแสงวาววามแผ่วเบา เสมือนดวงดาวเจิดจรัสที่สุดบนจักรวาล ทำให้คนจับตามองอย่างอดไม่ได้
นอกจากนี้รอบเกี้ยวยังมีผู้คุ้มกันนับร้อยคอยติดตาม แต่ละคนสวมชุดเกราะดำสนิท มือถือทวนยาว ทั่วร่างแผ่กลิ่นอายชวนประหวั่น
ก้าวย่างพร้อมเพรียง ติดตามราชรถ
ท่าทางเคารพเหมือนบ่งบอกความแน่วแน่อันสูงส่งน่าเกรงขามในการปกป้องของพวกเขา
ท่องเหินมาผาทัณฑ์อัสนีช้าๆ
หยุดตรงหน้าสวี่ชิงที่ถูกตรึงกลางอากาศ ห่างออกไป 30 จั้ง
ในราชรถหลังม่าน 7 สี มือกระจ่างข้างหนึ่งยื่นออกมา มือนี้เนียนละเอียด แผ่แสงนุ่มนวลรางๆ หลังจากยื่นออกมาแล้วชะงักเล็กน้อย
จากนั้นค่อยเงื้อมือเบาๆ กลายเป็นเส้นโค้งงามสง่ากลางอากาศ เลิกม่านขึ้นมา
เผยเงาร่างสง่างาม รวมถึงใบหน้าพริ้งเพรา
ท่ามกลางประกายแสงอัสนี ใบหน้างามเหมือนเคลือบด้วยประกายเงินบางเบา เสริมความศักดิ์สิทธิ์ราวภาพฝันยากบรรยายขึ้นหลายส่วน
ทำให้โดยรอบมืดสลัวหม่นแสง
นัยน์ตานางล้ำลึกส่องประกาย จมูกเป็นสัน เส้นชัดต่อเนื่อง สีปากอมชมพูเป็นธรรมชาติ มุมปากที่เดิมยกโค้งควรเผยรอยยิ้มอ่อนโยน แต่ตอนนี้กลับข่มกลั้นไว้ พยายามแสดงความโกรธ
ตอนนี้เมื่อก้าวออกมา ด้านหลังร่างเพรียวบางนั่น เส้นผมราวน้ำตกทิ้งตัวลงมา ดำขลับเงางาม พาดผ่านหัวไหล่ สลายความโกรธเล็กน้อย เสริมความอ่อนโยนมีเสน่ห์หลายส่วน
นางก้าวเดินมาตรงหน้าสวี่ชิง เผยอริมฝีปากแดงอวบอิ่มเล็กน้อย “คนหลายใจ!”
สวี่ชิงเงยหน้า มองหญิงงามตรงหน้า
จากความทรงจำเจ้าของร่าง แน่นอนว่าเขาทราบฐานะของอีกฝ่ายชั่วพริบตา
ผู้หญิงคนนี้คือบุตรสาวของผู้นำเซียนจิ่วอั้น โจวหลินซาน
หรือก็คือคนที่ผู้นำเซียนจี๋กวงจัดการให้ คู่หมั้นที่เขาต้องแต่งงานด้วยในอีก 1 เดือน
จำต้องบอกว่าบุตรสาวของผู้นำเซียนจิ่วอั้น ไม่ว่าด้านไหนล้วนเพียบพร้อม
ตัวนางเหมือนแฝงความงามเหนือสรรพสิ่ง ทำให้คนใฝ่ฝัน แต่กลับไม่กล้าสัมผัสความศักดิ์สิทธิ์บริสุทธิ์ง่ายๆ
เมื่อลมพัดแผ่ว เส้นผมนางพลิ้วไหวเบาๆ คล้ายผสานเงาร่างสร้างภาพสะท้านใจคน
แม้แต่หน้าตากับบุคลิกยังเหมือนเซียนก้าวออกมาจากภาพโบราณ ทั้งเหมือนสมบัติล้ำค่าซึ่งสวรรค์ประทานให้โลก
ต่อให้ตอนนี้กล่าวด้วยเสียงเดือดดาล แต่น้ำเสียงราวเสียงสวรรค์
แต่เสียดายว่าสวี่ชิงไม่ใช่นายน้อยจี๋กวง
สายตาเขาราบเรียบ มองหญิงสาวตรงหน้า จากนั้นค่อยหลับตาไม่สนใจ
“คนเย็นชา!” นัยน์ตาหญิงสาวฉายแววขุ่นเคือง ตวาดเดือดดาลอีกประโยค จากนั้นค่อยกวาดสายตามองบาดแผลบนตัวสวี่ชิง สีหน้าเหมือนอดปวดใจไม่ได้
แม้ว่าตวาดด่า แต่ยังหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดรอยเลือดบนตัวสวี่ชิง
มือหยกขาวเหมือนแฝงความอ่อนโยนไร้สิ้นสุด คล้ายผ่อนความอึกทึกอลหม่านทุกอย่างบนโลกได้ ตอนนี้นางเช็ดพลางเอ่ยปาก
“เมื่อก่อนเจ้ามีวาทศิลป์ วาจาหวานหู ตอนนี้กลับเป็นเช่นนี้… ข้ารู้ว่าเจ้าเสียดายวังร้อยบุปผา แต่ตอนนั้นทำไมต้องมาเกี้ยวพาข้าด้วย”
“บิดาเจ้ามาสู่ขอแล้ว กำหนดงานแต่งพวกเราอีก 1 เดือน ข้ารู้ว่าใจเจ้าไม่…”
หญิงสาวกำลังกล่าว ไม่ทันเอ่ยจบ สวี่ชิงพลันลืมตาขึ้น มือขวาที่ถูกสายฟ้ามัดไว้ ยกขึ้นจับข้อมือหญิงสาวทันที
หญิงสาวชะงัก ไม่ได้ดิ้นรน แต่มองสวี่ชิง
“เจ้าเช็ดจนสะอาดแล้ว ข้าจะแสดงความสำนึกผิดกับบิดาอย่างไร” สวี่ชิงกล่าวจบก่อนปล่อยมือ
หญิงสาวแค่นเสียงแผ่วเบา ไม่ได้เช็ดต่อ
“ด้วยเสียดายวังร้อยบุปผาของเจ้า คิดอาศัยแผลอนาถบนตัว ทำให้ผู้นำเซียนจี๋กวงใจอ่อนหรือ”
“ข้าจะรื้อวังร้อยบุปผาของเจ้าซะ!”
ขณะกล่าวหญิงสาวเจือโทสะ หันหลังเดินกลับราชรถ มีสาวใช้เลิกม่านให้นาง ทำให้นางก้าวเข้าราชรถโดยไม่ชะงัก
จากนั้นราชรถค่อยหันกลับ ภายใต้การปกป้องของผู้คุ้มกันโดยรอบ ห่างจากผาทัณฑ์อัสนีไปช้าๆ
คราวนี้จงฉือค่อยเงยหน้ากล่าวเสียงเบา “นายน้อย ทำไมท่านต้อง…”
สวี่ชิงไม่เอ่ยวาจา ตอนนี้ค่อยหลับตาลง
นัยน์ตาซึ่งไม่มีคนเห็น ตอนนี้ฉายแววประหลาด
ในสมองเขาเผยภาพบุตรสาวจิ่วอั้นตั้งแต่ปรากฏตัวกระทั่งจากไปอีกครั้ง
ในนั้นมีรายละเอียดบางอย่าง
1 คือยกมือเลิกม่านเองยามอีกฝ่ายก้าวออกจากราชรถ
จุดนี้ไม่สมเหตุสมผลอยู่บ้าง ด้วยจากความทรงจำซึ่งสวี่ชิงได้รับ ฐานะกับตำแหน่งอีกฝ่าย ด้วยความเคยชินตั้งแต่เล็กจนโตไม่มีทางเลิกม่านด้วยตัวเอง
แน่นอนว่าเรื่องนี้มีเหตุผลอธิบาย ตัวอย่างเช่นร้อนใจ
แต่ยังมีรายละเอียดหนึ่ง นั่นคือเมื่อครู่เขาจับมือกะทันหัน อีกฝ่ายเหมือนปกติ แต่ความจริงมีการต่อต้านตามสัญชาตญาณซึ่งซ่อนแฝงล้ำลึก
แม้ว่าเล็กน้อย แต่เมื่อสวี่ชิงตั้งใจก็สังเกตเห็นบ้าง
แปลกนัก
ถึงอย่างไรเจ้าของร่างกับอีกฝ่ายก็มีสัมพันธ์ทางกายมาก่อน
แต่เรื่องนี้ก็ไม่แน่นอน มีเหตุผลอธิบายเช่นกัน
ทว่ารายละเอียดไม่ใช่ 2 เรื่องนี้ แต่ยังมีอีกประเด็น
หลังจากผู้หญิงคนนี้ถูกตนจับข้อมือ ยามต่อต้านยังระวังตัวด้วย
การระวังตัวเช่นนี้ ด้วยฐานะอีกฝ่ายถือว่าไม่สมเหตุสมผล
3 ประเด็นนี้แยกพิจารณาย่อมไม่ใช่เรื่องใหญ่ ทั้งหมดล้วนอธิบายได้
แต่เมื่อนำมารวมกัน ด้วยความคิดสวี่ชิงถือว่าต่างออกไป
โดยเฉพาะ… หลังจากนำรายละเอียดทั้ง 3 มารวมกับการคาดเดา สวี่ชิงพบว่าความไม่มีเหตุผลทั้งหมดกลับเปลี่ยนเป็นสมเหตุสมผล
การคาดเดานี้คือ…
นางเป็นคนต่างถิ่น
ดังนั้นจึงละเลยรายละเอียด ต่อต้านตามสัญชาตญาณ เมื่อเข้าโลกชั้น 4 จึงตอบสนองต่อสิ่งเร้า ทั้งระวังตัวรอบด้าน
สุดท้ายสวี่ชิงพึมพำในใจ
‘เป็นไปได้ว่านางไม่ใช่โจวหลินซานตัวจริง!’
‘เป็นดาวคนไหน บรรดาดาวพวกนั้นมีคนเดียวเป็นหญิงสาว แน่นอนว่ายังไม่ตัดความเป็นไปได้อย่างอื่น’
สวี่ชิงลืมตามองห่างออกไป
‘หากนางเป็นดาว ถ้าอย่างนั้น… เป้าหมายของนางคืออะไร’
(>>>พิสูจน์อักษร By Zank<<<)



