Skip to content

Outside Of Time 1164

Outside of Time
BC

บทที่ 1164 มี่หมิง

เรื่องวังร้อยบุปผาสิ้นสุดช่วงตะวันอัสดง

C

เหล่าหญิงงามในนั้นต่างแยกย้าย เดินทางไกลพร้อมฝันใหม่ของพวกนาง

มีเพียงจิ้งจอกสาว…

ยังอยู่เหมือนเดิม

ด้วยฐานะศิษย์กงซุนชิงมู่ มีป้ายสังกัดวังทัณฑ์อัสนี ทั้งเป็นเจ้าวังร้อยบุปผาต่อไป

ฐานะสำคัญทั้ง 2 ทำให้เป้าหมายของจิ้งจอกสาวสำเร็จแล้ว 7-8 ส่วน

ส่วนเรื่องที่อยู่ตำหนักน้อยต่อ นี่เป็นเสรีภาพส่วนบุคคล

ในฐานะผู้บำเพ็ญแห่งวังเซียน นอกจากว่าสวี่ชิงปฏิเสธ หากมาที่นี่ด้วยฐานะแขกก็เป็นเรื่องปกติ

กอปรกับผู้คนต่างทราบว่านายน้อยยังเห็นแก่สัมพันธ์เก่าก่อน ดังนั้นจึงทำเช่นนี้ สุดท้ายเซียนหลิงหวงก็คงทำได้แค่สะบัดแขนเสื้อจากไป

นางเหมือนขุ่นเคือง แต่ความจริงคือครึ่งหนึ่งจริงครึ่งหนึ่งเท็จ

ส่วนที่จริงเกิดจากวาจาของจิ้งจอกสาว

ส่วนที่เท็จแน่นอนว่านางเจตนาแสร้งทำ ถึงอย่างไรก็เป็นเพียงข้อตกลงของนางกับอริยะเซียนที่ 4

แค่การแลกเปลี่ยนเท่านั้น

ไม่ว่าผลเป็นอย่างไร ตามข้อตกลงคือเรื่องของนางต่อจากนี้ อริยะเซียนที่ 4 ต้องคอยคุ้มกัน

สุดท้ายอริยะเซียนที่ 4 ไม่บรรลุเป้าหมาย นี่ย่อมไม่เกี่ยวกับนาง

ฝ่ายอริยะเซียนที่ 4 หลังจากนิ่งเงียบชั่วขณะ บนตัวแผ่กลิ่นอายอันตราย จากนั้นค่อยยิ้มน้อยๆ ออกจากวังร้อยบุปผา

คล้ายยอมปล่อยเรื่องนี้ชั่วคราว

กาลอวกาศจากคลื่นสะเทือนช่วงนี้จึงก่อตัวเป็นทรายกาลเวลา ปรากฏตรงหน้าสวี่ชิง

‘จำนวนไม่มากนัก’

‘คนผู้นี้ควรจัดการโดยเร็ว’

‘ไม่อย่างนั้นด้วยสติปัญญาของเขา หลังจากพ่ายแพ้ติดต่อกัน 2 ครั้ง ยามลงมือครั้งที่ 3…คงยากรับมือ’

‘หากล่าช้าถึงวันแต่งงาน การมีอยู่ของคนผู้นี้อาจก่ออุปสรรคโดยไม่จำเป็น’

‘แต่วิธีจัดการคนผู้นี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย’

สวี่ชิงกำทรายกาลเวลาพลางครุ่นคิด

‘ควรขับจิตสำนึกคนต่างถิ่นซึ่งติดตัวเขาอย่างไร…’

เวลาล่วงเลย 5 วันผ่านไป

ห่างจากวันแต่งงานอีกเพียง 10 วัน

เมื่อช่วงปลายเดือนมาถึง ท้องฟ้าของวงแหวนที่ 5 ใช่ว่าต้องรอเย็นย่ำถึงมีแสงอัสดง ใช่ว่าต้องรอย่ำค่ำฟ้าค่อยมืด

บางครั้งเห็นชัดว่าอาทิตย์เพิ่งขึ้น แต่ครู่ต่อมากลับตกดิน

บางครั้งเห็นชัดว่าเป็นเที่ยงวัน แต่แสงชาดบนฟ้ากลับบดบังนภาคลุมตะวัน ทำให้รู้สึกเหมือนช่วงโพล้เพล้

คล้ายกับตอนนี้ เวิ้งฟ้าเกิดภาพประหลาดขาวดำอย่างละครึ่ง แต่ส่วนสีดำไม่เห็นจันทรา ส่วนสีขาวไม่เห็นตะวัน

วงจรตะวันจันทราไม่คล้อยตามกฎเกณฑ์อีก

การเปลี่ยนแปลงของอากาศก็เช่นกัน

คนธรรมดาย่อมตื่นตระหนก มึนงง หวาดผวา

แต่สำหรับผู้บำเพ็ญแล้ว ใช่ว่าทุกคนจะเคยประสบ แต่มีตำรามากมายกล่าวถึงเรื่องนี้

เมื่อผลัดเปลี่ยนสมัย ผู้นำเซียนสับเปลี่ยน วงแหวนปรับมรรคา โคจรอีกครั้ง 10 วันก่อนหน้า 7 วันหลัง รวม 17 วัน แก่นฟ้ารางเลือน ลิขิตสวรรค์ปั่นป่วน

10 วันก่อนหน้า คล้ายแดนแรกกำเนิด หมื่นห้วงคิดยากตรวจสอบ เจตจำนงมรรคยากค้นหา

7 วันต่อมา ฟ้าดินเริ่มต้นใหม่ สรรพสิ่งรับพรจากการเบิกฟ้า ชะล้างตัวตน ราวมงคลมาเยือน

ภาพการเปลี่ยนแปลงฟ้าดินสื่อออกมาอย่างเป็นทางการ การผลัดเวรกำลังแปรเปลี่ยน การส่งมอบมาถึงช่วงท้าย

มรรคาของผู้นำเซียนจิ่วอั้นกำลังปลดออกจากวงแหวนที่ 5 มรรคาของผู้นำเซียนจี๋กวงกำลังหลอมรวม

ด้วยเป็นเช่นนี้ถึงก่อเกิดการเปลี่ยนแปลงฟ้าดินประหลาด

17 วันนี้ วิชาอนุมานทุกอย่างล้วนอ่อนกำลัง การรับรู้ทั้งหมดล้วนแผ่วลง

ถึงมีปัญญารอบรู้ แต่กลับไม่อาจทำได้อย่างสมบูรณ์แบบ

‘นี่เป็นสาเหตุว่าทำไมความลับที่เก็บซ่อนตรงประวัติศาสตร์ช่วงนี้ คนภายนอกถึงไม่อาจรับรู้’

ตอนนี้เชียนจวิน ปี้อี้ ภายในเตากระบี่ บุตรสาวจิ่วอั้นตรงตำหนักรับแขก อริยะเซียนที่ 4 ตรงวังอริยะเซียน กงซุนชิงมู่แห่งวังทัณฑ์อัสนี ทั้งมีจงฉือ อัจฉริยะหลี่ซึ่งถูกบีบบังคับให้ปิดด่าน

รวมถึงคนต่างถิ่นที่ซ่อนตัว ทั้งยังไม่ถูกคนอื่นพบเบาะแส ทั้งหมดล้วนเงยหน้ามองท้องฟ้า

พวกเขาสัมผัสถึงความเลือนรางของลิขิตฟ้า

ทั้งสัมผัสได้ชัดเจน วงล้อประวัติศาสตร์คล้ายอานุภาพซึ่งไม่อาจเปลี่ยนแปลงกดดันลงมา

อริยะเซียนที่ 4 แย้มยิ้ม

สิ่งที่เขารอคือวันนี้

ขุมพลังรักษาระเบียบเตรียมรับสถานการณ์

หน้าตำหนักน้อย สวี่ชิงยืนอยู่ตรงนั้น เงยหน้ามองภาพขาวดำบนฟ้า

เขาสัมผัสได้ว่าเมื่อลิขิตฟ้าปั่นป่วน ประวัติศาสตร์เลี่ยงไม่ได้ ทะเลสาบกาลอวกาศช่วงนี้ย่อมหนักหน่วงกว่าแต่ก่อน

คิดก่อคลื่นลม ไม่ใช่สิ่งที่ก้อนหินทำได้ ต้องมีคลื่นลมแรงพัดมา

ด้วยสิ่งที่ขวางคลื่นลม ไม่ใช่พลังภายนอกอีก แต่เป็นตัวทะเลสาบเอง

‘หลังจากมาที่นี่ การสัมผัสกับหยั่งเชิงช่วงนี้ ทำให้ข้าเข้าใจห้วงกาลอวกาศแห่งนี้ระดับหนึ่งแล้ว’ สวี่ชิงพึมพำในใจ

‘บางประวัติศาสตร์เปลี่ยนแปลงไม่ยาก สามารถแก้ไขได้…’

‘แต่ประวัติศาสตร์บางช่วงไม่อาจสั่นคลอนแม้แต่น้อย เมื่อสัมผัสย่อมสะท้อนกลับ!’

‘สิ่งสำคัญยิ่งคือ…เหตุการณ์วันแต่งงาน!’

สวี่ชิงถอนสายตากลับ กางฝ่ามือออก จ้องมองทรายกาลเวลาที่สั่งสมไว้กลางฝ่ามือ จากนั้นค่อยหันหลังคิดเรียกจิ้งจอกสาวมาพบ แต่ตอนนี้ในใจเขาพลันมีเสียงน่าเกรงขามดังก้อง

‘มาพบข้าที่ตำหนักวิภู!’

สวี่ชิงชะงักฝีเท้า ก้มหน้าอย่างนอบน้อม ‘ขอรับ’

ผู้ส่งเสียงคือผู้นำเซียนจี๋กวง!

ตำหนักวิภูตั้งอยู่กลางวังเซียน ด้านล่างตำหนักแสงเหนือ ถือว่าเป็นสถานที่พักผ่อนกับปิดด่านของผู้นำเซียนจี๋กวง ปกติคนนอกห้ามเข้า ไม่อาจเหยียบย่างเข้าไป

ไม่ว่าเป็นศิษย์ทั้ง 4 ของผู้นำเซียนหรือบุตรชาย ทั้งหมดล้วนไม่มีข้อยกเว้น

ดังนั้นตอนนี้เมื่อได้ยินว่าผู้นำเซียนเรียกตนไปตำหนักวิภู ในใจสวี่ชิงหดเกร็ง

แต่ทราบว่าล่าช้าไม่ได้ เงาร่างวาบไหว ออกจากตำหนักน้อย มุ่งตรงไปตำหนักแสงเหนือ

ไม่นานสิ่งปลูกสร้างแถบหนึ่งปรากฏเบื้องหน้าสวี่ชิง

สิ่งที่เห็นก่อนคือลานมหึมา ปูพื้นด้วยแผ่นหินเขียวเป็นระเบียบ เรียบเนียนราวคันฉ่อง

2 ฟากฝั่งของลาน สิ่งปลูกสร้างงามวิจิตร จัดเรียงเป็นอย่างดี คล้ายภาพวาดงามประณีต

เลียบเส้นแกนกลางไปข้างหน้า อาคารโอ่อ่ามากมายเผยให้เห็นตามลำดับ ทับซ้อนเป็นชั้นๆ สง่างามตระการตา

สิ่งปลูกสร้างหลังใหญ่สุดตั้งอยู่ตรงกลาง

มีลักษณะเฉพาะตัว ยิ่งใหญ่ทรงพลัง เด่นตระหง่านสง่างาม กำแพงแดงหลังคาทองสูงลิ่ว เปล่งประกายภายใต้แสงแดดสาดส่อง

นั่นคือตำหนักแสงเหนือ

กลิ่นอายชวนประหวั่นมากมายพลุ่งพล่านทั่วทิศ สวี่ชิงสูดหายใจลึก เข้าไปใกล้อย่างรวดเร็ว

กลิ่นอายพวกนั้นแค่ผ่านตัวเขา ก่อนซ่านสลาย ไม่ได้ขัดขวาง

แต่สามารถจินตนาการได้ หากผู้มาเยือนไม่ใช่สวี่ชิง เกรงว่าคงยากจะก้าวผ่าน

สวี่ชิงเดินเข้าไปเช่นนี้ กระทั่งถึงหน้าทางเข้าตำหนักแสงเหนือ เขาค่อยค้อมตัวคารวะ

ครู่ต่อมาพลังอัศจรรย์มาเยือน เบื้องหน้าสวี่ชิงพร่าเลือน เมื่อชัดเจนกลับไม่ใช่หน้าตำหนัก แต่เป็นทางยาวสายหนึ่ง

2 ฟากของทางเดินมีแสงเทียนสลัวเรียงราย ลุกโชนโดยไร้สุ้มเสียง

ใต้การสะท้อนของแสงไฟ มองเห็นทางบันไดสีดำคล้ำ ทอดยาวถึงส่วนลึกเบื้องล่าง

ข้างหูมีเสียงเหมือนกะเทาะหินดังก้อง

ที่นี่คือตำหนักวิภู

ในความทรงจำเจ้าของร่าง ใช่ว่าสวี่ชิงไม่รู้สึกคุ้นเคยกับที่นี่ ในความทรงจำเจ้าของร่าง ตอนเด็กเคยมาที่นี่บ่อยครั้ง แต่เมื่อโตแล้วกลับมาน้อยลง

สวี่ชิงจึงสูดหายใจลึก ร่างวาบไหวเดินเลียบบันไดลงไป

เสียงเคาะข้างหูชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ นานเข้ายิ่งดังขึ้น

ผ่านไป 1 ก้านธูป เสียงเคาะราวอัสนีบาตกับคลื่นความร้อนถาโถมมาพร้อมกัน ในที่สุดสวี่ชิงก็เดินมาถึงปลายทาง

นั่นคือวังใต้ดินแห่งหนึ่ง

ตรงกลางมีเพลิงพิภพพวยพุ่ง

ผู้นำเซียนจี๋กวงกำลังตีเหล็กเหนือเพลิงพิภพ!

ค้อนมหึมาแผ่แสงสีเงิน ตีแผ่นเหล็กกว้างเท่าฝ่ามืออย่างต่อเนื่อง

ทุกครั้งมีเสียงกึกก้องกัมปนาท มีคลื่นความร้อนแผ่ออกมา

ผู้นำเซียนจี๋กวงไม่ได้ใช้พลังบำเพ็ญใดๆ แค่พึ่งพาพลังจากกายเนื้อ อาศัยความจดจ่อสร้างขึ้นมา

สวี่ชิงมองสิ่งเหล่านี้ เดินเข้ามาใกล้ ไม่เอ่ยวาจา ยามจ้องมองเงียบๆ ในใจเกิดความสงสัย

เขาไม่ทราบสาเหตุที่ผู้นำเซียนจี๋กวงเรียกตนมา ทั้งไม่รู้ว่าตอนนี้อีกฝ่ายกำลังทำอะไร ในสัมผัสของเขาแผ่นเหล็กไม่มีความผิดแปลกอะไร

อย่างมากแค่…ทนทานนัก

เมื่อเริ่มหลอมแสงสีทองปรากฏช้าๆ

แต่เมื่อเวลาผันผ่าน แสงจากแผ่นเหล็กยิ่งเด่นชัด กระทั่งเป็นสีทองอร่าม รูปร่างบิดเบี้ยวก่อนเริ่มเปลี่ยนแปลงช้าๆ

ในสายตาสวี่ชิงถือว่าเหมือนแผ่นทอง

ตอนนี้ผู้นำเซียนจี๋กวงพักการหลอม เขาหยิบแผ่นเหล็กสีทองนี้ขึ้นมาวางตรงหน้า ตรวจสอบอย่างละเอียดครู่หนึ่ง ก่อนเผยสีหน้าพอใจช้าๆ

จากนั้นค่อยครุ่นคิด ใช้นิ้วเริ่มเขียนอักษรบนแผ่นเหล็กสีทองนั้น

‘การแต่งงานเชื่อม 2 ตระกูล การหมั้นหมายหลอมรวมเป็นหนึ่ง สร้างสัมพันธ์อันดีต่อจากนี้ สัญญาว่าเป็นคู่ครองที่ดี อยู่ด้วยกันจนแก่เฒ่า จวบจนทะเลแห้งเหือดหินแหลกลาญ ดั่งยวนยาง(นกเป็ดน้ำ) ยึดมั่นสัญญา ขอให้มีลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง เจริญเฟื่องฟูยิ่งขึ้นไป

สัญญาว่าจะครองคู่จนแก่เฒ่า เขียนเป็นลายลักษณ์อักษร ร่างสัญญาแดงเป็นมงคล บันทึกเรื่องราวความรัก

ยึดมั่นตามสัญญา รับรองอย่างเป็นทางการ’

ผู้นำเซียนจี๋กวงแกว่งมือจรดนิ้ว อักษรเหล่านี้ราวหงส์มังกรร่ายรำ ทุกคำเหมือนมีชีวิตทันที ขานรับอย่างเริงร่า

พวกมันแยกออกจากความธรรมดาบนโลก ประโยคก่อตัวเป็นระเบียบและพันธะ

กลายเป็นหลักฐานของบุตรชายกับลูกสะใภ้!

นี่คือหนังสือสมรส!

สวี่ชิงเข้าใจกระจ่าง

ตอนนี้ผู้นำเซียนจี๋กวงเงยหน้ามองสวี่ชิง

“ต้องลงนามบนหนังสือสมรส ชื่อของเจ้า เจ้าเขียนเองหรือให้พ่อช่วยเขียน”

วาจาเรียบง่ายกระทบหูสวี่ชิง แต่ทำให้เขามึนงงทันที ด้วยเขาพลันตระหนักถึงเหตุการณ์น่าเหลือเชื่อ!

เขาไม่ทราบและจำชื่อนายน้อยจี๋กวงซึ่งเป็นร่างแฝงของตนไม่ได้!

ในความทรงจำก็ไม่มี!

สิ่งที่ยิ่งทำให้ในใจสวี่ชิงสั่นสะท้าน นั่นคือก่อนหน้านี้เขาถึงขั้นไม่สังเกตเห็น ทั้งไม่เคยได้ยินใครเรียก

นี่ทำให้สวี่ชิงเงียบงันอย่างอดไม่ได้

ผู้นำเซียนจี๋กวงมองสวี่ชิงด้วยสายตาแฝงนัยลึกซึ้ง จากนั้นค่อยกล่าวราบเรียบ “พ่อช่วยเจ้าแล้วกัน”

ขณะกล่าวเขาจรดมือเขียนอักษร 2 ตัวบนแผ่นเหล็กสีทอง

มี่หมิง

ชั่วพริบตายามเห็นอักษร 2 ตัวนี้ ในสมองสวี่ชิงพลันปั่นป่วน ความรู้สึกประหลาดเกิดขึ้นในใจ ด้วยเขาสัมผัสได้ว่าความทรงจำเจ้าของร่าง ตอนนี้มีชื่อแล้ว

ทั้งชื่อนี้ยังทำให้เขารู้สึกหนักหน่วง

หนักจนพื้นดินใต้ฝ่าเท้าเขาแตกละเอียด คล้ายกำลังยืนหยัดไม่อยู่

ถึงขั้นว่ากายเนื้อยังสั่นเทา

ความอัศจรรย์ของเรื่องนี้ทำให้สวี่ชิงอดเอ่ยปากไม่ได้ “ท่านพ่อ นี่…”

“หนังสือสมรสเกี่ยวพันทั้งชีวิต แน่นอนว่าเป็นเช่นนี้”

ผู้นำเซียนจี๋กวงกล่าวราบเรียบ จากนั้นค่อยหยิบกล่องหยกออกมา เก็บหนังสือสมรสไว้ในนั้น แขวนเหนือเพลิงพิภพ

จากนั้นเหมือนกำลังจะกล่าวอะไรเพิ่มเติม แต่แสงเพลิงพลันสลัวลงบางส่วน

ผู้นำเซียนจี๋กวงขมวดคิ้ว สะบัดมือเล็กน้อย

“ไปเถอะ เรียกเจ้ามาด้วยทราบเรื่องวังร้อยบุปผา ดังนั้นจึงเรียกมาเป็นพยานต่อคำสาบานของหนังสือสมรส”

“สัญญาอยู่ที่นี่ นอกจากเจ้ากับข้าแล้ว ไม่มีใครเคลื่อนย้ายได้”

“รออีก 10 วันเมื่อถึงงานแต่งเจ้า พ่อค่อยนำออกมา”

ขณะกล่าวเบื้องหน้าสวี่ชิงพร่ามัว ร่างกายรางเลือน ถูกส่งตัวออกจากวังใต้ดิน

ชั่วพริบตายามเขาจากไป แสงไฟในวังใต้ดินพลันมืดสลัว ปราณดำแผ่ออกมาจากตัวผู้นำเซียนจี๋กวงเป็นระลอก

นานเข้ายิ่งมากขึ้น สุดท้ายค่อยรวมตัวตรงหน้าเขา ก่อตัวเป็นเงาร่างดำสนิท

หากสวี่ชิงอยู่ด้วยย่อมจำได้ชั่วพริบตา เงาร่างสีดำนี้คือร่างสะท้อนใต้ทะเลสาบน้ำแข็งของผู้นำเซียนจี๋กวงเมื่อวันนั้น!

“อาศัยช่วงผลัดเปลี่ยนตำแหน่ง ยามวงแหวนที่ 5 ลิขิตฟ้าปั่นป่วน ยึดนามตะวันจันทรา ทำให้คนทั่วไปไม่สังเกตเห็นว่าตนลืมชื่อตะวันจันทราแล้ว”

“ต่อให้เป็นผู้นำเซียนหรือจอมเซียน อาศัยความสามารถเจ้าร่วมกับลิขิตฟ้าปั่นป่วนย่อมปกปิดได้ในเวลาอันสั้น”

“เรื่องชาญฉลาดที่สุดคือเจ้านำนามตะวันจันทรามาสับเปลี่ยนกับชื่อทายาท”

“คิดสร้างความแปลกใจให้บิดาเจ้าที่เป็นจอมเซียนนั่นสินะ”

ร่างจี๋อั้นมองตำแหน่งที่สวี่ชิงยืนอยู่ก่อนหน้า กล่าวด้วยเสียงแหบพร่า

ใบหน้าจี๋กวงปราศจากความรู้สึก มองจี๋อั้นอย่างเย็นชา “เจ้าเรียกผิดแล้ว เจ้าก็คือข้า ข้าก็คือเจ้า นั่นคือบิดาของพวกเรา”

AC

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!