บทที่ 898 : ออกไปบัดเดี๋ยวนี้!
เยี่ยฉวนย่อมรู้จักคนผู้นี้!
โม่เยี่ย!
โม่เยี่ยแห่งสำนักแมวดำ!
ยามเห็นเยี่ยฉวน โม่เยี่ยเองก็ชะงักค้าง “เจ้า…”
เยี่ยฉวนส่ายหัวแล้วส่งยิ้มให้ ไม่นึกไม่ฝันเช่นกันว่าโม่เยี่ยจะเข้าสถาบันฝึกยุทธ์!
โม่เยี่ยเอ่ยยิ้มๆ “พี่เยี่ย ท่านเองมายังนครอานุภาพสินะ”
เยี่ยฉวนพยักหน้า
โม่เยี่ยกำลังจะเอ่ยบางอย่าง แต่กลับนิ่งคิดอะไรไปแทน ชายหนุ่มขมวดคิ้ว “พี่เยี่ย…”
เยี่ยฉวนเอ่ยขึ้นมา “พวกเรามาแลกหมัดกันสักครั้งเถอะ!”
โม่เยี่ยหันไปมองเยี่ยฉวนแล้วยิ้ม “ย่อมได้!”
พวกเขาปรารถนาจะสู้กัน
ความจริงต่างคนต่างอยากปะทะฝีมือกันตั้งแต่อยู่ที่จักรวาลดาวเว่ยหยางแล้ว!
ทว่าน่าเสียดายนักที่หาโอกาสได้ไม่เลย!
แล้วในที่สุด พวกเขาก็มีโอกาสสักที!
การประลอง!
ทั้งสองต่างเดินเข้ามาในลานประลอง ลานประลองนั้นกว้างประมาณร้อยจั้ง ทั้งลานต่างปกคลุมด้วยค่ายกลหนึ่งซึ่งทนทานต่อแรงกระแทกหนักหน่วง!
รอบด้านลานประลอง ศิษย์สถาบันฝึกยุทธ์ต่างรุมล้อมเข้ามา
ข้างบนเวทีประลอง โม่เยี่ยมองไปยังเยี่ยฉวน “พี่เยี่ย ระวังตัวด้วย!”
อีกฝ่ายเอ่ยจบได้หายวับไปทันที
ห่างไปไม่ไกล เยี่ยฉวนพลันจ้วงกระบี่ไปข้างหน้า!
แสงสีเย็นตาเปล่งขึ้นมา ส่งให้พื้นที่บริเวณนั้นเริ่มร้าว!
ปัง!
ลานประลองพลันสั่นไหว ทั้งคู่ต่างถอยไปด้านหลังด้วยความไวแสง ระหว่างที่พวกเขาถอยไปตั้งหลัก กระบี่บินสองเล่มพลันปรากฏขึ้นด้านหน้าโม่เยี่ย ทว่าร่างกายของโม่เยี่ยกลับกลายเป็นภาพลวง!
ฟิ้ว ฟิ้ว!
กระบี่บินสองเล่มผ่านไป ทว่ากลับตัดได้เพียงอากาศธาตุ
ในตอนนั้นเอง โม่เยี่ยพุ่งไปหาเยี่ยฉวน แต่สิ่งที่มุ่งหน้าไปหาคือลำแสงของกระบี่
โม่เยี่ยสวนหมัดไปเบื้องหน้า!
หมัดเข้ากระแทกกับลำแสงของกระบี่แบบตาต่อตา!
ตูม!
หลังโม่เยี่ยออกกระบวนท่า ลำแสงของกระบี่ของเยี่ยฉวนกลายเป็นเศษซากทันที ในขณะเดียวกัน หมัดนั้นมุ่งฮุกตรงเข้าหน้าชายหนุ่ม ทว่าก่อนจะถึงตัว มันกลับหดกลับไป!
กระบี่บินปรากฏขึ้นที่ศีรษะด้านหลังของโม่เยี่ยเสียแล้ว!
โม่เยี่ยดึงหมัดกลับไปเพื่อหมุนตัว แล้วสวนหมัดที่ด้านหลังแทน!
ตูม!
กระบี่บินของเยี่ยฉวนถูกบีบให้หยุดลง
ทันใดนั้น สีหน้าของโม่เยี่ยพลันเปลี่ยนไป รีบหมุนตัวแล้วประกบมือเข้าหากันโดยพลัน
เขาจับคมกระบี่ได้ด้วยมือเปล่า!
เยี่ยฉวนบิดข้อมือขวาสุดแรง ทว่ากระบี่กลับไม่เขยื้อนเลยสักนิด!
โม่เยี่ยกำลังจะปล่อยกระบวนท่าอีกครา ทว่ากระบี่บินอีกเล่มกลับโผล่ขึ้นมาด้านหลัง!
สีหน้าเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย ส่งปลายเท้าขวาแตะพื้นเบาๆ แล้วรีบดีดตัวไปทางขวาหลายจั้ง ทว่าก่อนที่จะหยุด กระบี่บินสองเล่มกลับพุ่งมาอีกครั้ง!
โม่เยี่ยตกใจยิ่งกับความเร็วของกระบี่บินเหล่านี้จนประมาทไม่ได้เลย ทำเพียงล่าถอยไปด้านหลังอีกครั้งแล้วหลบหลีกกระบี่บินสองเล่มนั่นอย่างเฉียดฉิว!
ยามเยี่ยฉวนจะบุกอีกครา โม่เยี่ยพลันหายตัวไป
ชายหนุ่มพลันชักกระบี่แล้วแทงเข้าไปในทางขวา!
ตูม!
เวทีประลองสั่นสะเทือนไปทั่ว ไม่ทันไร ทั้งสองเงาต่างย้ายไปมาทั่วลานประลองพร้อมกระบี่บินสองเล่ม
บริเวณนั้น เหล่าศิษยานุศิษย์แห่งสถาบันฝึกยุทธ์ต่างหวาดหวั่น
เยี่ยฉวนและโม่เยี่ยนั้นว่องไวยิ่ง!
มองตามไม่ทัน!
โดยเฉพาะกระบี่บินของเยี่ยฉวน ความเร็วถือเป็นระดับพระกาฬ!
หากถูกใช้ในการซุ่มโจมตีล่ะก็…
เพียงแค่คิด……ก็ตัวสั่นหวาดกลัวแล้ว!
ณ หน้าตำหนักยุทธ เหอเหลียนเทียนผู้เป็นท่านจ้าวแห่งสถาบันฝึกยุทธ์กำลังทอดมองเยี่ยฉวนกับโม่เยี่ยอยู่เบื้องล่าง ซึ่งชินซานอยู่ด้านหลังตน
ชินซานดูหม่นหมองไปเล็กน้อย
ไม่ทันไร เหอเหลียนเทียนพลันถามขึ้นมา “เจ้าคิดอย่างไร”
ชินซานเอ่ยเสียงเข้ม “พวกเขาต่างมีฝีมือยอดเยี่ยมนัก”
เหอเหลียนเทียนยิ้มออกมา “ไม่คาดฝันจริงๆ ว่าจะมีอัจฉริยะมากมายจากจักรวาลดาวเว่ยหยางมาที่นี่ อันหลานซิ่ว เหลียนว่านลี่ เยี่ยหลิง รวมไปถึงโม่เยี่ย ต่างคนต่างเป็นสุดยอดอัจฉริยะกันทั้งนั้น!”
ชินซานได้ยินเช่นนั้น รอยยิ้มจึงปรากฏขึ้นบนใบหน้ามืดมน “ใช่ขอรับ พวกเขาช่างแข็งแกร่งนัก”
เหอเหลียนเทียนส่ายหัว “พวกเขาแกร่งยิ่งกว่านั้นอีก! เป็นดั่งเหล่าอัจฉริยะซึ่งร้อยปีจะได้พบสักครั้ง!”
ชินซานลังเลที่จะเอ่ยบางอย่าง
เหอเหลียนเทียนกล่าว “พูดได้ตามสบาย!”
ชินซานว่าขึ้น “ท่านประมุขขอรับ มีอัจฉริยะมากมายขนาดนี้…”
เหอเหลียนเทียนกระซิบ “เกรงว่าพวกเขาจะขัดแย้งกันเองหรือ?”
ชินซานพยักหน้า “พวกเขาจะไม่เคารพกันและกันขอรับ โดยเฉพาะตอนนี้มีการแบ่งฝ่ายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ฝ่ายแรกคือคนที่มาจากจักรวาลดาวเว่ยหยาง คืออันหลานซิ่วกับสหายนาง คนมาจากจักรวาลดาวเว่ยหยางย่อมติดตามพวกเขา ส่วนอีกฝั่งคืออัจฉริยะของสถาบันฝึกยุทธ์ คือชางเหอและคนอื่นๆ เพราะตัวตนของเยี่ยฉวน ทั้งสองฝั่งจึงไม่ค่อยเป็นมิตรกันเท่าไร”
เหอเหลียนเทียนเงียบ
ชินซานเอ่ยต่อ “อีกทั้งอันหลานซิ่วกับคนอื่นๆ ที่สนิทกับเยี่ยฉวนมากเกินไป ทว่าสถาบันฝึกยุทธ์และสำนักกระบี่เรา…”
เหอเหลียนเทียนยกยิ้ม “แล้วเจ้าคิดว่าเราควรทำเช่นใด”
ชินซานเงียบ
เหอเหลียนเทียนเงยหน้ามองฟ้าแล้วเอ่ยเสียงเบา “เจ้าควรรู้เรื่องราวของสถาบันเรากับสำนักกระบี่ พวกเราต่างประชันกันไปถึงขั้นต่อสู้ แต่ไม่อาจเข่นฆ่ากันเองได้!”
“ทำไมหรือขอรับ”
ชินซานงงไปเล็กน้อย
เหอเหลียนเทียนเลื่อนสายตาไปมองรูปปั้นเบื้องล่าง “มีสองเหตุผล อย่างแรกคือผู้ก่อตั้งได้ทิ้งคำสุดท้ายเอาไว้ก่อนลาโลกนี้ไป……ซึ่งอยากให้เราเป็นพันธมิตรกับสำนักกระบี่ต่อๆ ไป อีกอย่าง สำนักกระบี่กับพวกเราต่างมีไพ่ตายซ่อนไว้ หากไร้ซึ่งช่องว่างใหญ่ยักษ์ของทักษะระหว่างเรา ย่อมไม่มีใครอยากจะโจมตีอีกฝ่ายนักหรอก”
ชินซางแย้ง “แต่ประมุขสำนักกระบี่นั้นทะเยอทะยานนะขอรับ!”
เหอเหลียนเทียนเอ่ยยิ้มๆ “ข้ารู้!”
ชินซางมองเหอเหลียนเทียน “ท่านไม่ห่วงเลยหรือไร”
เหอเหลียนเทียนกระซิบ “อยากเห็นมากกว่าว่าสำนักกระบี่กล้าพอจะตั้งตนเป็นศัตรูกับสถาบันฝึกยุทธ์หรือไม่ด้วยซ้ำ!”
ชินซางมองลงไปยังเยี่ยฉวนและโม่เยี่ย “หากสถาบันเรามีสงครามกับสำนักกระบี่แล้ว เยี่ยฉวนกับอัน…”
เหอเหลียนเทียนกล่าว “เยี่ยฉวนผูกตนให้ความสำคัญต่อเพื่อนพ้องและครอบครัวมากนัก หากสำนักกระบี่ขอให้เขาโจมตีกับสถาบันเรา เช่น ขอให้สังหารอันและโม่เยี่ยเสีย เจ้าคิดว่าเจ้าหนุ่มนั่นจะฟังหรือ”
ชินซางชะงักค้าง
เหอเหลียนเทียนมองเบื้องล่างแล้วกระซิบ “สำนักกระบี่สิควรจะห่วงเรื่องนั้น! ตอนนี้สถาบันฝึกยุทธ์เต็มไปด้วยผู้มีพรสวรรค์ เกรงว่าระดับหัวกะทิของสำนักกระบี่คงอยู่เฉยไม่ได้เสียแล้ว!”
อีกฝ่ายว่าจบจึงหันหลังจากไป
ชินซางนิ่งไปแล้วเอ่ย “ไม่ดูต่อหรือขอรับ ผลแพ้ชนะยังไม่เป็นที่รู้กันเลยนะขอรับ!”
เหอเหลียนเทียนส่ายหน้า “พวกเขาต่างไม่ได้เอาจริง ดังนั้นย่อมแปลว่าไม่มีใครตาย ผู้ชนะเองก็เช่นกัน!”
เขาเอ่ยจบได้หายวับไป
ชินซานมองลงไป ทำเพียงส่ายหัวแล้วยิ้มแหย “เจ้าสองคนนั่น…”
อย่างที่เหอเหลียนเทียนว่าไว้ ทั้งเยี่ยฉวนและโม่เยี่ยต่างไม่มีใครเผยไพ่ตายออกมา
ยากจะตัดสินแพ้ชนะ!
เบื้องล่างบนลานประลอง โม่เยี่ยกับเยี่ยฉวนพลันดีดตัวออกห่างพร้อมเสียงดังลั่น หลังจากนั้นต่างคนต่างหยุดปล่อยกระบวนท่า
พวกเขารู้ดีว่าขืนสู้ต่อไปย่อมไม่มีประโยชน์
ก่อนหน้านี้เป็นเพียงการแสดงทักษะขั้นพื้นฐานเท่านั้น!
โม่เยี่ยเดินไปหาเยี่ยฉวนด้วยรอยยิ้มร่า “กระบี่บินของท่านว่องไวกว่าสมัยที่อยู่บนจักรวาลดาวเว่ยหยางเสียอีก!”
เยี่ยฉวนเอ่ยยิ้มๆ “เจ้าแกร่งขึ้นมากเช่นกัน!”
โม่เยี่ยกระซิบ “ท่านลืมความแค้นเหล่านั้นไปแล้วหรือ”
เยี่ยฉวนส่ายหน้า “ไม่มีวัน!”
โม่เยี่ยพยักหน้าเล็กน้อย “ผู้นำสูงสุดแห่งจักรวาลดวงดาว จักรวาลดินแดนต่างถิ่น ดินแดนจักรวาลดาวเที่ยนเหอ และดินแดนทักษิณต่างกำลังฟื้นฟูอยู่!”
เยี่ยฉวนเอ่ยเสียงเข้ม “ผู้นำสูงสุดแห่งจักรวาลดวงดาวส่งคนมาที่นครอานุภาพด้วย!”
โม่เยี่ยมองไปยังเยี่ยฉวน “เพื่อสมบัตินั้นหรือ”
เยี่ยฉวนพยักหน้า
โม่เยี่ยกล่าว “หากต้องการความช่วยเหลือโปรดบอกข้า”
เยี่ยฉวนตอบ “มีอย่างหนึ่งแน่ๆ ที่อยากให้เจ้าช่วย”
โม่เยี่ยถาม “อะไรหรือ”
เยี่ยฉวนว่า “น้องสาวข้าอยู่ในสถาบันฝึกยุทธ์ พวกมันอาจลอบโจมตีนาง!”
โม่เยี่ยผงกหัว “ข้าจะดูแลให้”
เยี่ยฉวนตอบ “ขอบคุณเจ้ามาก!”
โม่เยี่ยกำชับ “ไม่เป็นไรเลย! จำไว้นะ หากมีอะไรล่ะก็……บอกให้ข้ารู้ด้วย”
หลังสิ้นเสียงอีกฝ่ายหมุนตัวจากไป
เยี่ยฉวนมองขึ้นไปยังตำหนักยุทธ ไม่รู้เลยว่าเยี่ยหลิงเป็นเช่นไรบ้าง!
อันหลานซิ่วบอกว่าเมื่อการกักตัวฝึกตนสันโดษของเยี่ยหลิงจบลง นางจะพาเด็กคนนั้นมาหาเขา แต่จนตอนนี้ยังไม่ได้ยินข่าวคราวเลย
ผ่านไปสักพัก เยี่ยฉวนหมุนตัวจากไปบ้าง
รอบด้าน เหล่าศิษยานุศิษย์ต่างมองกันไปมา การประลองจะจบลงเช่นนี้เลยหรือ
ทันใดนั้นเอง ชายคนหนึ่งร่อนลงมาขวางหน้าเยี่ยฉวนเอาไว้
เยี่ยฉวนชะงักฝีเท้า
ชายคนนั้นมองเยี่ยฉวน “ข้าไม่รู้หรอกนะว่าเขาเป็นอะไรกับเจ้า แต่คิดว่าเมื่อครู่นี้ไม่น่าจะนับเป็นการแข่งขันสักเท่าไร”
เยี่ยฉวนพยักหน้าเล็กน้อย “อยากให้ข้าสู้กับเจ้าสินะ”
ชายหนุ่มพยักหน้า
เยี่ยฉวนเอ่ย “เช่นนั้นมาเริ่มเลยไหม”
ชายหนุ่มมองเยี่ยฉวน เวลาต่อมาพลันหายไป ในพริบตานั้นเอง ลำแสงของกระบี่เปล่งประกายจ้าขึ้นมา
ตูม!
ลำแสงของกระบี่หายวับไป และอีกฝ่ายถอยห่างอย่างง่ายดาย
ก่อนที่เขาจะหยุดลง กระบี่บินสองเล่มจ่อเข้าที่หว่างคิ้วเข้าแล้ว
บริเวณนั้นตกอยู่ในความเงียบงัน
เยี่ยฉวนมองรอบด้าน “ความแค้นระหว่างข้ากับสถาบันฝึกยุทธ์ถือว่าล้างออกหมดแล้วนะ!”
จากนั้น ชายหนุ่มหมุนตัวจากไป
ทุกคนที่อยู่ในบริเวณนั้นต่างไม่มีใครเอ่ยคำใด
หลังเยี่ยฉวนออกมาจากสถาบันฝึกยุทธ์ ชายหนุ่มกลับไปยังสำนักกระบี่ เมื่อกลับไปยังกระท่อมอันเป็นที่พักของเยว่อู่เฉิน ชายคนหนึ่งกลับมีปรากฏตัวขึ้นต่อหน้า
เป็นชายสวมเสื้อคลุมยาวสีเทาและมีกระบี่ห้อยอยู่ที่เอว!
เขามองเยี่ยฉวนตั้งแต่หัวจรดเท้า “เจ้าคือเยี่ยฉวนที่เพิ่งเข้ามาในสำนักสินะ”
เยี่ยฉวนพยักหน้า “เจ้าเป็นใครหรือ”
ชายผู้นั้นเอ่ย “ข้าคือเสี้ยวกระบี่ หนึ่งในหกกระบี่แห่งสำนักแห่งนี้!”
เสี้ยวกระบี่!
เยี่ยฉวนชะงักไปเล็กน้อยแล้วเอ่ย “ข้าได้ยินเรื่องเจ้ามามากมายนัก!”
เสี้ยวกระบี่พยักหน้า “ได้ยินมาว่าเจ้าฆ่าคนในสถาบันฝึกยุทธ์!”
เยี่ยฉวนกำลังจะตอบ เสี้ยวกระบี่พลันเอ่ยขึ้น “เยี่ยมยอดนัก!”
ชายหนุ่มถึงกับหมดคำจะกล่าว
เสี้ยวกระบี่เอ่ยต่อ “สนใจไปเยือนนครไร้ขอบเขตไหม”
“นครไร้ขอบเขตหรือ?”
เยี่ยฉวนขมวดคิ้วเล็กน้อย “คือที่ใดหรือ”
เสี้ยวกระบี่ตอบ “ท่ามกลางจักรวาลดาราอันรกร้าง มีเมืองเมืองหนึ่งนามนครไร้ขอบเขต ที่นั่นมีอสุรกายปีศาจอยู่ หากเจ้าฆ่าปีศาจพวกนั้น จะได้รับเพชรน้ำค้างปีศาจมา”
เยี่ยฉวนส่ายหน้า “ข้ามีอย่างอื่นต้องทำ ไปไม่ได้หรอก!”
เสี้ยวกระบี่ดีดนิ้ว พลันตราประทับกระบี่ลอยอยู่ตรงหน้าชายหนุ่ม “หากถูกพวกสถาบันฝึกยุทธ์รุมล้อม เจ้าส่งตรานี้มาได้ แล้วพวกเราจะไปหาทันที!”
เขาเอ่ยจบกลับหลังหันจากไป เปล่งแสงคลื่นพลังของกระบี่ก่อนจะหายลับขอบฟ้าไป
เยี่ยฉวนมองตราประทับกระบี่ในมือ มุมปากยกยิ้มแล้วเก็บมันลงไป!
เสี้ยวกระบี่นั้นอยู่ในขั้นพลังก่อเกิดชั้นเนรมิต!
ขั้นพลังก่อเกิดชั้นเนรมิตเชียวนะ!
เขาไปถึงขั้นพลังนั้นด้วยวัยแค่นี้ ช่างเป็นอะไรที่สุดยอดเสียจริง!
ทันใดนั้นเอง พื้นที่ตรงหน้าพลันสั่นไหว สีหน้าชายหนุ่มเปลี่ยนไปเล็กน้อย ผ่านไปไม่นาน สาวคนหนึ่งพลันปรากฏตัวเบื้องหน้า
เป็นไป๋จื่อจากหอวาณิชถงเป่า!
เยี่ยฉวนประหลาดใจยิ่ง “นายหญิงไป๋?”
ไป๋จื่อเอ่ยเสียงเข้ม “มากับข้า!”
เยี่ยฉวนงุนงงนัก “เจ้าหมายความเช่นไร”
ไป๋จื่ออธิบาย “ยอดฝีมือในขั้นไขว่คว้าเต๋าถึงหกคนก้าวเข้ามาในสำนักกระบี่แล้ว!”
สดับฟังเช่นนั้น เยี่ยฉวนพลันเผยสีหน้าอับจนหนทาง
ไป๋จื่อรีบเอ่ยต่อ “ออกไปจากที่นี่กับข้า ตอนนี้เลย! สำนักกระบี่ย่อมยอมประนีประนอมให้ แน่นอนว่าพวกเขาต้องยอม!”



