บทที่ 909 : พวกเราจะกลายเป็นศัตรูคู่อาฆาต! (ต้น)
คนที่ยืนข้างเยี่ยฉวน เสียงอันหลานซิ่วถามด้วยความสงสัย “มีอะไร?”
เยี่ยฉวนส่ายหน้า “ไม่มีอะไร ไปกันเถอะ!”
อันหลานซิ่วพยักหน้ารับทราบขณะขยับออกนำเยี่ยฉวน พลันเหอเหลียนเทียนปรากฏตัวที่เบื้องหน้าหญิงสาวทันที
สตรีมองหน้าเหอเหลียนเทียนพลางนิ่งไป ฝ่ายหลังจึงบอกว่า “ข้าอยากพูดอะไรกับเขาสักครู่!”
สีหน้าของอันหลานซิ่วเผยความกังวลเล็กน้อย
เหอเหลียนเทียนพูดยิ้มๆ “ไม่ต้องกลัว สถาบันฝึกยุทธ์ไม่ได้จะทำอันตรายอันใด!”
หญิงสาวพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะขยับถอยไปยืนข้าง
ขณะนั้นเยี่ยฉวนมิได้ซ่อนตัวอีกต่อไป
เหอเหลียนเทียนจ้องหน้าเยี่ยฉวนอย่างคาดคั้น “สำนักกระบี่ใช้อำนาจที่มีสะกดรอยตามเจ้าทุกทาง……นี่ทำอะไรลงไปรู้ไหม?”
ชายหนุ่มส่ายหน้าพร้อมกับยิ้มให้อีกฝ่าย “ข้าไม่ได้ทำอะไรสักนิด!”
แน่นอนเขาย่อมรู้สาเหตุที่ทำให้สำนักกระบี่กำลังควานหาตัวเขาอย่างเอาเป็นเอาตายเป็นเพราะหอคอยแห่งเรือนจำ
คนตรงข้ามเหลือบมองเยี่ยฉวนแวบหนึ่ง “สำนักกระบี่กำลังไล่ล่าเจ้าอย่างจริงจัง!”
เยี่ยฉวนจึงว่า “ท่านจ้าว ท่านคิดว่าก่อนหน้านี้พวกเราเล่นไล่จับกันอย่างนั้นหรือ?”
เหอเหลียนเทียนสั่นศีรษะ “เมื่อก่อนแค่กังวลแต่ไม่ถึงกับระดมสรรพกำลังทั้งสำนักพุ่งเป้าไปที่เจ้าคนเดียว ทว่าเดี๋ยวนี้นั้นต่างกัน พวกเขากำลังระดมสรรพกำลังที่มีอยู่ทั้งสำนักเพื่อควานหาตัวเจ้า เมื่อใดที่พบ……เมื่อนั้นอย่าหวังว่าจะมีโอกาสรอดไปได้!”
เขาจะไม่มีโอกาสรอด!
เยี่ยฉวนฟังแล้วเงียบงันไป
เสียงคนตรงข้ามเตือนมาว่า “สำนักกระบี่ก่อตั้งมาช้านาน แม้แต่ข้าเองยังไม่เคยรู้ถึงพลังที่แท้จริงของพวกมัน”
ชายหนุ่มผงกศีรษะน้อมรับ “ข้าจะระมัดระวัง!”
เหอเหลียนเทียนส่ายหน้า “ทางออกที่ดีที่สุดเจ้าต้องไปเสียจากที่นี่”
เยี่ยฉวนพูดเสียงห้าวลึก “ถ้าข้าไปจากที่นี่ พวกนั้นจะพุ่งเป้ามาที่สถาบันฝึกยุทธ์!”
คู่สนทนามองหน้าชายหนุ่มด้วยสายตาแน่วนิ่ง “เจ้านำพาวังวนปัญหาออกไปที่อื่นได้!”
คำแนะนำของอีกฝ่ายทำให้ชายหนุ่มเกิดความเข้าใจในทันที
ถ้าเขาอยู่ที่นี่กองกำลังข้างนอกจะคอยเฝ้าติดตามไม่ห่าง ทว่าถ้าออกไป กองกำลังพวกนั้นจะออกไปด้วยกัน
ภายหลังจากที่ชายหนุ่มออกจากที่นี่แล้ว ตนจะเริ่มก่อความวุ่นวายเพื่อเรียกร้องความสนใจกองกำลังเหล่านั้น เมื่อเป็นเช่นนี้สำนักกระบี่และกองกำลังอื่นจะหันเหความสนใจจากสถาบันฝึกยุทธ์!
ในท้ายที่สุดพวกมันจะพุ่งเป้าไปที่เขา อีกอย่างสถาบันฝึกยุทธ์ไม่ใช่พวกที่ยอมให้ใครมากลั่นแกล้งได้ตามอำเภอใจ!
พูดง่ายๆ คือเยี่ยฉวนจะต้องตัดไฟแต่ต้นลมนั่นเอง!
เหอเหลียนเทียนกล่าวต่อมา “นอกจากนี้หากยังอยู่ในนครอานุภาพ จะกลายเป็นว่าอยู่ในอาณาเขตของสำนักกระบี่และสถาบันฝึกยุทธ์ เมื่อใดก็ตามที่ควานหาตัวเจ้าจนพบ สำนักกระบี่จะใช้สารพัดวิธีเพื่อเล่นงานให้ได้”
ชายหนุ่มพยักหน้าขณะครุ่นคิดไปพลาง “เข้าใจแล้ว ท่านจ้าวอย่าได้เป็นห่วง ข้าจะทำทุกอย่างเพื่อมิให้สถาบันฝึกยุทธ์ต้องเข้ามาพัวพันด้วย ส่วนเรื่องน้อง แม่นางอันรวมทั้งคนอื่นๆ พวกเขาจะ……”
อีกฝ่ายพูดสวนทันควัน “วางใจได้ ตราบใดที่สถาบันฝึกยุทธ์ยังอยู่ พวกเขาจะปลอดภัย”
ชายหนุ่มพยักหน้า “ขอบคุณท่านจ้าวขอรับ ข้าจะพยายามเบนความสนใจพวกมันไปให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้!”
หลังจากนั้นไม่นานเยี่ยฉวนค้อมตัวลงคารวะอำลา ก่อนจะออกจากสถานที่ไป
อันหลานซิ่วชำเลืองมองเหอเหลียนเทียนนิดหนึ่ง ก่อนจะรีบสาวเท้าเดินตามเยี่ยฉวนไปอย่างรวดเร็ว
บริเวณด้านหลังเหอเหลียนเทียนมองดูชายหนุ่มซึ่งกำลังห่างไปทุกทีๆ สีหน้าครุ่นคิดบางประการ
เวลานี้ชินซานมาปรากฏตัวเข้ามายืนข้างอีกฝ่าย “เขาจะเอาตัวรอดได้หรือไม่?”
เสียงฝ่ายนั้นตอบว่า “ขึ้นอยู่กับโชคแล้ว!”
ชินซานกล่าวด้วยน้ำเสียงแหบต่ำ “ตามข้อมูลที่ไปสืบเรื่องของสองพี่น้อง เจ้าหนุ่มกับเยี่ยหลิงมีความผูกพันกันอย่างสนิทแนบแน่น……”
เหอเหลียนเทียนเอ่ยขึ้นมาว่า “อย่าให้เยี่ยหลิงรับรู้ความเป็นไปภายนอกได้เป็นอันขาด!”
ชินซานผงกศีรษะ “ขอรับ!”
อีกฝ่ายมองไปยังทิศทางอันเป็นที่ตั้งของสำนักกระบี่พลันมีเสียงพึมพำอย่างข้องใจ “ทำไมจู่ๆ สำนักกระบี่ถึงออกตามหาเยี่ยฉวนให้ควั่กไปเช่นนี้?”
…
ณ ปากทางเข้าไปยังสถาบันฝึกยุทธ์
อันหลานซิ่วหยุดเดิน ก่อนจะหมุนตัวหันกลับพร้อมกับสอดส่องสายตาแลเลยไปยังสถานที่แห่งหนึ่งทางด้านหลัง “เมื่อกี้เขาบอกอะไรกับเจ้า?”
เสียงตอบดังออกมาจากมุมมืด “ไม่ต้องห่วง เจ้าต้องดูแลตัวเองและเชื่อมั่นในตัวข้าก็พอ!”
จากนั้นชายหนุ่มหายวับไปอย่างรวดเร็ว
หญิงสาวนิ่งงันขณะที่หัวคิ้วขมวดเข้าหากันเล็กน้อยอย่างครุ่นคิด ต่อมาสายตามองเลยไปทางที่ตั้งของสำนักกระบี่ก่อนที่แววตาค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา
ทันทีที่จากสถาบันฝึกยุทธ์ เยี่ยฉวนตรงเข้านครอานุภาพทันที
“นี่เจ้ากำลังจะไปที่ใด?”
ด้วยมีเสียงถามดังมาจากคนที่ชั้นหกทันควัน
เขาจะไปไหนงั้นหรือ?
เยี่ยฉวนไม่ได้ตอบในทันทีหากเบือนหน้าไปทางท้องฟ้ากว้างขณะสีหน้าแสดงความสับสน……จะไปที่ใดได้? ควรไปที่ไหน?
ครู่หนึ่งต่อมาสีหน้าของชายหนุ่มดูขรึมเคร่งขึ้นทุกขณะ
จะไปไหนงั้นหรือ?
เขาจะไม่ไปไหนทั้งนั้น!
จากนั้น ชายหนุ่มหมุนตัวกลับหลังก่อนจะหายลับไป
ขณะนั้นสำนักกระบี่วุ่นวายออกตามหาเยี่ยฉวนในนครอานุภาพด้วยความกระวนกระวาย พวกเขาค้นหาไปทั่วแทบจะทุกตารางชุ่นในเมืองเพื่อหาตัวให้พบ อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าชายหนุ่มได้ระเหยกลายเป็นอากาศธาตุไปเสียแล้ว
ณ ทางเข้าสถาบันฝึกยุทธ์
ปรากฏลำแสงกระบี่จำนวนหนึ่งพุ่งลงสู่พื้นดิน เมื่อลำแสงเลือนไปเป็นร่างของหลี่เสวียนเฟิงออกมาให้เห็น ตามด้วยชายชราถือกระบี่พร้อมกับคนสะพายกระบี่ไว้ข้างหลัง
ทันทีที่หลี่เสวียนเฟิงปรากฏตัว เหอเหลียนเทียนออกมาเผชิญหน้ากับฝ่ายที่มาเยือนทันที
เมื่อมองดูหลี่เสวียนเฟิงครานี้ เหอเหลียนเทียนถึงกับนิ่วหน้าด้วยคนที่มาครั้งนี้สวมผ้าคลุมสีดำ เปิดเผยใบหน้าเพียงครึ่งเดียวทั้งยังสวมหน้ากากสีดำปิดบังใบหน้าไว้ครึ่งหนึ่ง
หลี่เสวียนเฟิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงข่มขู่กับอีกฝ่ายทันที “เหอเหลียนเทียน ส่งเยี่ยหลิงมาให้เราเดี๋ยวนี้”
เหอเหลียนเทียนบิดมุมปากยิ้ม “หลี่เสวียนเฟิง เจ้าท่าจะหลงลืมคิดว่าอยู่ที่สำนักกระบี่สินะ?”
พลันแววตาของหลี่เสวียนเฟิงแปรเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวขึ้นทุกขณะ “ถ้าไม่ส่งเยี่ยหลิงมาให้ข้า พวกเราก็คงจะใช้กำลังบังคับให้แม้จะต้องแลกด้วยชีวิต!”
ยอมแลกด้วยชีวิต!
เหอเหลียนเทียนแสยะปากเยาะหยัน “เหอะ ยอมแลกด้วยชีวิตงั้นหรือ? เจ้าคิดว่าสถาบันฝึกยุทธ์กลัวพวกเจ้าสินะ?
ว่าแล้ว ทางเบื้องหลังเหอเหลียนเทียนปรากฏชินซานมาอีกคน นอกจากชายชราชินซานยังมีคนอีกสามคนตามออกมาสมทบ พวกเหล่านี้ล้วนเป็นคนพลังขั้นไขว่คว้าเต๋าทั้งสิ้น!
หลี่เสวียนเฟิงจ้องเขม็งมองฝ่ายตรงข้าม “เจ้าคิดว่าสถาบันฝึกยุทธ์จะขัดขวางเราไม่ให้พานางไปได้งั้นหรือ?”
เหอเหลียนเทียนมองอีกฝ่ายด้วยสายตาแน่วนิ่ง “หลี่เสวียนเฟิง เจ้าทำอะไร……เหตุใดถึงไม่นึกถึงสำนักกระบี่ให้มาก? ถ้าขืนเอาแต่หัวรั้นไร้เหตุผลอย่างนี้ สำนักกระบี่อาจพบจุดจบที่ไม่ดีเป็นแน่”
หลี่เสวียนเฟิงตอบเสียงแข็ง “ไม่ใช่ธุระกงการของเจ้า เอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะ ในเมื่อสถาบันฝึกยุทธ์ไม่ยอมส่งเยี่ยหลิงมาดีๆ สำนักกระบี่จะประกาศศึกกับสถาบันฝึกยุทธ์โดยเปิดเผย เราทั้งสองฝ่ายจะเป็นศัตรูคู่อาฆาตกันตลอดไปจนกว่าจะมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งพินาศย่อยยับ!”
สิ้นเสียง ฝ่ายนั้นหันขวับก่อนจะหายวับไปตามด้วยชายชราถือกระบี่พร้อมกับคนสะพายกระบี่
ประกาศศึก!



