Skip to content

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ 949

Yi Jian Du Zun
BC

บทที่ 949 : เมื่อถึงเวลาข้าจะตัดสินเองว่าฆ่าหรือหนี!

C

เมื่อทวนพุ่งมาถึง ชายหนุ่มไม่แม้แต่จะหลบหลีก แต่กลับก้าวเท้าออกไปข้างหน้าหนึ่งก้าวพร้อมกับใช้กระบี่ในมือแทงสวนออกไปทันที

กระบี่ว่องไวประหนึ่งสายฟ้าฟาด!

กระบี่แทงประสานงากับทวนยาว!

เปรี้ยง!

ทวนและกระบี่สั่นสะเทือนด้วยความแรง พลันร่างของคนสองคนผงะหงายหลังถอยกรูดไปอย่างต่อเนื่อง

ต่อมาไม่นานเยี่ยฉวนชะงักหยุดอยู่กับที่ ไกลออกไปไม่มากปรากฏเป็นชายวัยกลางคนอยู่เบื้องหน้า

ชายแปลกหน้าสวมชุดคลุมพอดีกับลำตัว ท่าที่ยืดตัวตรงในมือข้างขวากำด้ามทวนเกร็งแน่น นัยน์ตาคมกริบดุจพญาเหยี่ยว

ชายแปลกหน้าเขม้นมองเยี่ยฉวน แววตาเย็นชายิ่งนัก “คุณหนูใหญ่อยู่ที่ไหน?”

เขาเป็นยอดฝีมือของเผ่าถังคนหนึ่ง!

เยี่ยฉวนเผยยิ้ม “นางสบายดี! อย่าห่วงเลย!”

แววตาของชายวัยกลางคนที่มองมาเยียบเย็นขณะพูดว่า “เยี่ยฉวน ข้าได้ยินว่าเจ้าเป็นยอดฝีมืออายุน้อย แต่ไม่คิดว่าจะใช้วิธีจับผู้หญิงเป็นตัวประกัน คนที่แน่จริงเขาไม่ทำกันอย่างนี้!”

ชายหนุ่มตอบโต้น้ำเสียงจริงจัง “ข้าได้ยินว่าเผ่าถังเป็นชนเผ่าที่ยิ่งใหญ่แห่งหนึ่งในโลก แต่ไม่คาดคิดว่าพวกเจ้าถึงกับส่งคนพลังขั้นไขว่คว้าเต๋านับสิบคน ออกตามล่าหมายเอาชีวิตผู้อาวุโสน้อยกว่า ทั้งที่อายุยังไม่เต็มยี่สิบปีด้วยซ้ำ ชนเผ่าที่ยิ่งใหญ่ทำเช่นนี้หรือ?”

คนตรงข้ามหรี่นัยน์ตาลงเล็กน้อย “ถ้าเช่นนั้นแสดงว่าเจ้าจะไม่ส่งคุณหนูใหญ่มาให้เราสินะ?”

ชายหนุ่มบิดมุมปากยิ้มเย้ย “ไม่มีทาง ส่งคืนให้โง่สิวะ!”

เมื่อได้ฟังคำตอบ ดวงตาของชายวัยกลางคนกระตุกกึก แววตาเปล่งประกายเย็นชาขึ้นทุกขณะ “ถ้างั้นจงตายเสีย!”

ว่าแล้วคนตรงหน้าเยี่ยฉวนขยับตั้งท่าจะเคลื่อนไหวออกปะทะ ทว่าชายหนุ่มหมุนตัวกลับก่อนจะวิ่งหายไปด้วยความเร็วของฝีเท้าขั้นสุด เพียงชั่วพริบตา ร่างนั้นหายเข้าป่ามืดทึบซึ่งอยู่ไกลจนลับสายตาไป

สีหน้าของชายวัยกลางคนเปลี่ยนวูบ พลันยกฝ่าเท้าตบลงไปบนพื้นดินเต็มแรงพร้อมกับทะยานพรวดพุ่งตรงหายเข้าป่าทึบไปอีกคน

ถึงกระนั้นเมื่อตามไปถึงในป่าทึบ เยี่ยฉวนหายไปเสียแล้ว…

พลันชายวัยกลางคนขยับมือข้างที่กำด้ามทวนแน่นขึ้น และกวาดตามองอย่างระแวดระวังเต็มที่

ก่อนมาที่นี่เขาได้ฟังเรื่องราวเกี่ยวกับชายหนุ่มที่ชื่อเยี่ยฉวนมาบ้าง

เยี่ยฉวนเคยสังหารยอดฝีมือขั้นไขว่คว้าเต๋ามาแล้วหลายคน……ชายหนุ่มคนนั้นกำจัดคนพลังขั้นไขว่คว้าเต๋าเพียงชั่วพริบตาเท่านั้น!

เขาไม่อาจประมาท โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเยี่ยฉวนจงใจหนีเข้ามาในความมืด และอาจลอบจู่โจมมา

ชายวัยกลางคนไม่ขยับเคลื่อนที่ไปข้างหน้า แต่ค่อยๆ ขยับถอยทีละก้าว จนกระทั่งออกไปนอกเขตป่ามืดทึบ จากนั้นเริ่มใช้พลังจิตตรวจตราสำรวจเข้าไปในป่าที่มืดทึบเบื้องหน้า ทว่าไม่พบอะไร ยามนี้สีหน้าและแววตาของเขาหม่นมัวอย่างยิ่ง

ชายวัยกลางคนมีท่าทางลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเลือกจากไป

ในมุมลับแห่งหนึ่งภายในป่ารกทึบ เยี่ยฉวนนิ่วหน้าพลางรำพึงในใจ เหตุใดเจ้านั่นไม่ตามมา?

ถ้าคนผู้นั้นก้าวเข้ามาอีกก้าวเดียว ชายหนุ่มมั่นใจเก้าในสิบส่วนว่าสามารถสังหารคนผู้นั้นได้!

……เชื่อมั่นว่า หากได้ต่อสู้ปะทะโดยตรงจะสามารถสังหารอีกฝ่ายได้อย่างแน่นอน ทว่าเขาไม่อาจทำเช่นนั้น ด้วยไม่รู้ว่ามีคนของเผ่าถังมาที่นี่มากน้อยเพียงใด!

เผ่าถังจะไม่สู้ตัวต่อตัวกับเขาแน่!

นอกจากนั้น ยังมีเผ่าอสูรอีกแห่งที่ต้องระมัดระวังด้วย!

เมื่อแน่ใจว่าชายวัยกลางคนจะไม่ตามเข้ามาแน่ เยี่ยฉวนหันหลังกลับและออกจากสถานที่ไป

ภายหลังจากที่ชายวัยกลางคนออกไปแล้ว ชายหนุ่มย้อนกลับไปที่นครผู้คุมกฎ

ณ ร้านน้ำชาแห่งหนึ่งในเมือง ชายวัยกลางคนเผชิญหน้าอยู่กับผู้ร่วมโต๊ะ ผู้อาวุโสเยว่!

เสียงฝ่ายหลังเอ่ยถามชายวัยกลางคนว่า “จัดการไม่สำเร็จงั้นหรือ?”

คนถูกถามพยักหน้า

ผู้อาวุโสเยว่กล่าวต่อมาหางเสียงแข็งกร้าว “หลินมู่เจ้าอย่าได้ประมาทคนผู้นี้เป็นอันขาด”

ชายวัยกลางคนนามว่าหลินมู่ผงกศีรษะทำนองรับคำ “หลังจากประมือเพียงหนึ่งกระบวนท่า ข้ารู้ได้ทันทีว่าพลังของคนผู้นี้เหนือกว่าคนพลังขั้นไขว่คว้าเต๋าเสียอีก และเขายังมีไม้ตายที่ยังไม่ยอมเปิดเผยอีกอย่างแน่นอน ถ้าเมื่อใดที่นำออกมาใช้ด้วยกัน ต่อให้เป็นยอดฝีมือขั้นไขว่คว้าเต๋าก็ไม่คู่ควรจะประมือกับคนผู้นี้”

พูดพลางเขามองหน้าอาวุโสเยว่ตรงๆ “คุณหนูใหญ่ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่?”

ผู้อาวุโสเยว่ส่ายหน้า “ข้าไม่รู้แน่ชัด ทางเผ่าของเราว่าอย่างไรบ้าง?”

หลินมู่พูดน้ำเสียงหนักใจ “เจ้าเองก็รู้ คุณหนูใหญ่หมั้นหมายกับทางตระกูลฉินไว้แล้ว หากข่าวนี้แพร่ออกไป……ตระกูลฉินกับเผ่าถังรังแต่จะเสื่อมเสียด้วยกันทั้งสองฝ่าย”

คนพูดมีสีหน้าลังเล

เสียงของผู้อาวุโสเยว่เอ่ยมาแผ่วเบา “ยังมีสิ่งใดที่เจ้าไม่ได้บอกข้าหรือไม่?”

หลินมู่ถอนหายใจลึก “ตระกูลฉินต้องการรักษาศักดิ์ศรีของวงศ์ตระกูล ข้าเกรงว่าพวกเขาจะ…”

ผู้อาวุโสเยว่หรี่ตาลงอย่างครุ่นคิด “ข้ากล้าท้าให้พวกเขามาเลย!”

คนตรงข้ามสั่นศีรษะ “เผ่าถังต้องการความช่วยเหลือและแรงหนุน ตระกูลฉินเสมือนมือขวา อย่างไรเสียพวกเราต้องคำนึงถึงศักดิ์ศรีของพวกเขาด้วย”

คู่สนทนาเสียงขรึมเคร่ง “ทางเผ่าเราว่าอย่างไร?”

หลินมู่บอกว่า “ทางเราสั่งให้ข้ามาตามหานาง ถ้า…”

คำพูดชะงักไว้เท่านั้นและไม่ได้พูดอะไรอีก

ใบหน้าของผู้อาวุโสเยว่หมองคล้ำไปถนัดตา

ถึงตอนนี้เสียงหลินมู่พูดต่อมาว่า “บางทีตระกูลฉินอาจส่งคนมาที่นี่แล้ว และเป้าหมายของคนพวกนั้นคง…”

ผู้อาวุโสเยว่ตัดบททันควัน “พวกมันจะกล้าทำอย่างนั้นได้อย่างไร?”

หลินมู่ส่ายหน้า “เราตามหาคุณหนูใหญ่ให้พบก่อนดีกว่า มิเช่นนั้นเผ่าถังอาจต้องยอมตระกูลฉิน…”

อีกฝ่ายโพล่งขึ้นทันทีอย่างเกรี้ยวกราด “ให้ตายเถอะ เจ้าเยี่ยฉวนมันก็อันธพาลดีๆ นี่เอง!”

กลางดึก

ท่ามกลางขุนเขากว้างใหญ่

เยี่ยฉวนนั่งพิงโคนต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง เบื้องหน้าเป็นกองไฟ เวลานี้เขาใช้พลังชี่ครอบงำพื้นที่โดยรอบไว้ทั้งหมด

ถังชิงนั่งตรงกันข้ามเยี่ยฉวน

ชายหนุ่มกำลังย่างไก่ฟ้า ซึ่งบัดนี้หนังเกรียมมีสีเหลืองทองและส่งกลิ่นหอมยั่วน้ำลาย

ฝ่ายสตรีเอ่ยถามทำลายความเงียบว่า “ทำไมถึงไม่เคยถามข้าเลยว่า เขาหาเจ้าพบได้อย่างไร?”

เยี่ยฉวนตอบเสียงเรียบโดยไม่มองหน้า “นอกจากเจ้าแล้ว ไม่มีใครรู้ที่อยู่ของข้า”

หญิงสาวมองเยี่ยฉวนพลางเค้นถาม “ถ้างั้นเจ้าตั้งใจที่จะทิ้งทุกอย่างไว้ข้างหลังสินะ?

ชายหนุ่มเหยียดมุมปากยิ้ม “ข้าไม่สนใจหรอกว่าเจ้าหาวิธีบอกยอดฝีมือของเผ่าถังให้รู้ได้อย่างไร และข้าจะให้โอกาสอีกครั้ง ถึงตอนนี้เท่ากับว่า……ได้โอกาสซ้ำเป็นครั้งที่สอง แต่จะไม่มีครั้งที่สามเด็ดขาด”

น้ำเสียงของถังชิงเคร่งขรึม “การที่พาข้าไปด้วย รังแต่จะทำให้สถานการณ์ของเจ้าเลวร้ายมากขึ้นเท่านั้น”

คนฟังส่ายหน้า “พาเจ้าไปด้วยหรือไม่ก็ตาม สถานการณ์ของข้าก็เลวร้ายมากอยู่แล้ว”

ฝ่ายหญิงเขม้นสายตามองคนพูตรงหน้า “คุณชายเยี่ย เจ้าเป็นคนเฉลียวฉลาด ถ้าอยากถอดใจจากสมบัติล้ำค่านั่น เจ้าจะ……”

เยี่ยฉวนเงยหน้าขึ้นพูดยิ้มๆ “แม่นางถัง อย่างแรก แม้ว่าสมบัติล้ำค่าจะไม่ใช่ของของข้า ทว่าในตอนนี้มันเป็นของข้าแล้วอย่างแท้จริง พวกเจ้าพยายามจะฉวยเอาไป มิหนำซ้ำยังมาบอกว่าที่ทำก็เพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของตัวข้าเอง ไม่ดูว่าไร้เหตุผลไปหน่อยหรือ? อย่างที่สอง เคยบอกไปแล้วว่า……ไม่ใช่ไม่อยากมอบให้ ทว่าเวลานี้มันกลายเป็นส่วนหนึ่งในร่างนี้แล้ว ถึงอยากยกให้ใจแทบขาด แต่มันต่างหากที่ไม่ยอมให้ข้าทำอย่างนั้น!”

ถังชิงมองเฉยขณะนิ่งฟังจนจบ “ถ้าเช่นนั้น ขอถามหน่อยว่าจะทำอย่างไร? ทำให้ตัวเองกลายเป็นศัตรูกับคนทั้งโลก……งั้นหรือ?”

คนถูกถามสั่นศีรษะ “ไม่ได้อยากให้เป็นเช่นนั้นเสียหน่อย ทว่าโลกต่างหากที่หันหลังให้ข้า ดังนั้นจึงไม่มีทางเลือก เมื่อถึงเวลาข้าจะตัดสินเองว่าจะฆ่าหรือหนี!”

นัยน์ตาของถังชิงเบิกกว้างเล็กน้อย “เป็นบ้าไปแล้วหรือไง? คิดว่าตัวเองจะเอาชนะเผ่าถัง ชุมนุมผู้คุมกฎและไหนจะเผ่าอสูรได้งั้นหรือ?”

เยี่ยฉวนผายมือออกทั้งสองข้าง “เจ้าคิดว่าควรจะทำอย่างไร? ยอมแพ้? หรือขอร้องวิงวอนให้พวกเขาปล่อยข้าไปงั้นหรือ?”

เป็นความจริงที่ว่า ไม่ใช่เพราะเยี่ยฉวนไม่อยากอำลาจากหอคอยแห่งเรือนจำ ทว่าหอคอยแห่งนี้ติดตามและเชื่อมโยงเข้ากับจิตและวิญญาณของเขาแล้วอย่างแนบแน่น ถ้าหอคอยไม่ตัดสัมพันธ์กับชายหนุ่มโดยสมัครใจ คงต้องรอให้ตายเสียก่อนถึงจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้!”

นอกจากนี้แล้วหอคอยก็เป็นของของเขา เหตุใดจะต้องยอมยกให้คนอื่นไปด้วยเล่า?

อีกอย่างถ้ายกให้คนอื่นแล้ว คนพวกนั้นจะยอมไว้ชีวิตตนงั้นหรือ?

ไม่มีทาง!

พวกมันไม่ยอมแน่!

ถ้ายอมแพ้ ตัวเองอาจถึงจุดจบเร็วขึ้น!

เวลานี้เยี่ยฉวนมีหอคอยที่ถูกเข้าใจว่าเหมือนไพ่ตายใบสำคัญ อย่างน้อยๆ ถึงแม้ไม่อาจเอาชนะคนเหล่านั้น……แต่ก็ยังได้ใช้งานหอคอยแล้วตายไปพร้อมกับศัตรู และทันทีที่ชายหนุ่มมอบสิ่งนี้ให้แก่พวกเขา โดยที่ตนเองไม่สามารถเอาชนะได้ ตอนนั้นคงจะได้แต่นั่งรอความตายมาเยือนเท่านั้น!

เขาไม่อาจยกสิ่งนี้ให้ใครได้ ถึงแม้ตัวเองจะต้องตายก็ตาม!

……ถ้าลองใช้ความพยายามอย่างหนักเพื่อต่อสู้กับคนพวกนั้น บางทีทุกสิ่งอาจเป็นไปได้!

ถังชิงมองหน้าเยี่ยฉวนนิ่งนานโดยไม่พูดอะไรเลย

ชายหนุ่มยื่นมือออกไปพลางดีดนิ้วเปาะ ทันใดนั้นเนื้อไก่ย่างปรากฏขึ้นหน้าถังชิง หญิงสาวรีบคว้าขึ้นมาและลงมือกินอย่างรวดเร็ว

ภายหลังจากที่เยี่ยฉวนกินอาหารเสร็จ ชายหนุ่มนั่งเอนหลังพิงโคนต้นไม้และถามในใจว่า “ผู้อาวุโส เราเปิดผนึกยันต์ที่ชั้นเจ็ดออกมาได้อย่างไรขอรับ?”

ชายหนุ่มไม่อาจะรอที่จะฝึกปรือวิทยายุทธไร้คู่ต่อสู้บนชั้นที่เจ็ดได้อีกแล้ว!

กระบี่ไร้ขีดจำกัด!

ถ้าสำเร็จวิทยายุทธไร้คู่ต่อสู้ จะทำให้เพิ่มพูนขีดความสามารถในการรักษาชีวิตได้มากยิ่งขึ้น!

คนบนชั้นหกตอบว่า “กฎแห่งเต๋า! ถ้าค้นพบกฎแห่งเต๋าของชั้นที่เจ็ด เจ้าถึงจะได้เข้าไปในนั้น!”

เยี่ยฉวนเอ่ยเสียงพร่า “ถ้าค้นพบกฎแห่งเต๋าชั้นที่เก้า……ก็จะได้เข้าไปชั้นที่เก้าสินะ?”

เสียงดังมาจากชั้นที่หก “อาจเป็นไปได้ในทางทฤษฎี”

คนฟังตะลึงงัน ก่อนจะรีบถามเสียงเร็ว “ในทางทฤษฎี? เพราะอะไรขอรับ?”

คนที่ชั้นหกกลับย้อนมาว่า “เหตุใดเจ้าถึงอยากเข้าไปในชั้นที่เก้านัก? อยากตายหรือไง?”

เยี่ยฉวนหุบปากนิ่งเงียบ

คนกล่าวๆ ต่อมาว่า “เจ้าลืมเหตุการณ์บนชั้นที่ห้าแล้วงั้นหรือ? หรือเห็นว่าข้าไม่เรื่องมาก เลยทึกทักเอาว่าทุกคนที่ถูกจองจำอยู่ในหอคอยไม่เรื่องมากสินะ?”

คำบอกกล่าวทำให้คนฟังถึงกับเหงื่อกาฬเย็นๆ เปียกชุ่มเต็มหน้าผาก

จริงด้วย!

เขาเกือบลืมเรื่องที่เกิดขึ้นในชั้นที่ห้าเสียสนิทใจ!

แม้ว่าคนบนชั้นที่หกจะไม่เรื่องมาก แต่ก่อนหน้านั้น ทั้งเจียนจื่อไจ้กับคนในชั้นที่ห้าล้วนอารมณ์ฉุนเฉียว บางครั้งก็หยาบกระด้างยิ่งนัก!

โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่อยู่ชั้นห้า คนผู้นั้นเกือบจะฆ่าเขาด้วยซ้ำ!

ชายหนุ่มไม่ได้ปักใจเสียทีเดียวว่าคนที่อยู่ชั้นหกจะไร้พิษสง!

เสียงจากชั้นที่หกกล่าวดังขึ้นว่า “จัดการเรื่องเฉพาะหน้าของเจ้าด้วยความจริงจังจริงใจเท่านั้นแหละ”

ชายหนุ่มผงกศีรษะ “ขอรับ”

จากนั้น เยี่ยฉวนเหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงมองไปทางถังชิง “แม่นางถัง คนพลังขั้นไขว่คว้าเต๋าของเผ่าถังแต่ละคนมีความแตกต่างกันอย่างไร?”

เยี่ยฉวนประจักษ์ว่าบรรดายอดฝีมือขั้นไขว่คว้าเต๋าที่เคยเผชิญหน้า บางคนอ่อนด้อย ขณะที่บางคนแข็งแกร่งเป็นพิเศษ

ถังชิงมองคนตรงหน้าอย่างไม่เชื่อถือ “เจ้าไม่รู้จริงหรือ?”

ชายหนุ่มส่ายหน้า “ไม่รู้!”

หญิงสาวกล่าวว่า “พลังขั้นไขว่คว้าเต๋าแบ่งเป็นสามชั้น ชั้นเต๋าแรกเริ่ม ชั้นเต๋ารู้ชะตา และชั้นเต๋ารู้แจ้ง เต๋าแรกเริ่มหมายความว่าผู้ฝึกรับรู้ว่ามีเต๋าอยู่ในใจ เต๋ารู้ชะตาหมายความว่าผู้ฝึกมีความเข้าใจและคล้อยตามเต๋า ส่วนเต๋ารู้แจ้งหมายถึงผู้ฝึกเกือบจะไขว่คว้าเต๋าได้สำเร็จ”

เยี่ยฉวนถามกลับ “พวกพลม้าของเผ่าถังเป็นพวกขั้นไขว่คว้าเต๋าชั้นแรกเริ่มสินะ?”

คนถูกถามตอบว่า “พลม้าเหล่านี้ล้วนมีพลังขั้นไขว่คว้าเต๋าชั้นแรกเริ่มทั้งสิ้น ล้วนมีความแข็งแกร่งอย่างยิ่ง……ยอดฝีมือขั้นไขว่คว้าเต๋าชั้นแรกเริ่มที่เป็นคนธรรมดาสามัญเทียบไม่ติดแม้แต่น้อย! อีกทั้งพลม้าของเรายังแบ่งเป็นสามระดับ พลม้าพลังขั้นไขว่คว้าเต๋าชั้นแรกเริ่ม พลม้าพลังขั้นไขว่คว้าเต๋าชั้นรู้ชะตา และพลม้าพลังขั้นไขว่คว้าเต๋าชั้นรู้แจ้ง!”

ขณะที่พูดนางจ้องหน้าเยี่ยฉวนตาเขม็ง

พลม้าของเผ่าถังมีถึงสามระดับด้วยกัน!

หญิงสาวกำลังบอกเป็นนัยถึงความแข็งแกร่งเกรียงไกรของเผ่าถัง!

เยี่ยฉวนเอ่ยถามไปว่า “หมู่เฟิงเฉินและอู่เวิ่นมีพลังขั้นใด?”

ถังชิงตอบทันที “พลังขั้นไขว่คว้าเต๋าชั้นรู้ชะตา!”

ชายหนุ่มถามอีก “เยว่อู่เฉินเล่าขั้นใด?”

คนตอบตอบทันที “คนผู้นี้พลังขั้นไขว่คว้าเต๋าชั้นรู้ชะตาเหมือนกัน!”

เยี่ยฉวนนิ่วหน้าเล็กน้อย “แต่เขาแข็งแกร่งกว่าอู่เวิ่นกับหมู่เฟิงเฉินด้วยซ้ำ!”

ถังชิงอธิบายตอบ “เพราะเขามีอีกหนึ่งอัตลักษณ์คือมหาเซียนกระบี่ชั้นยอด ซึ่งเทียบเท่ากับขั้นพลังขั้นไขว่คว้าเต๋าชั้นรู้แจ้ง ถ้าเมื่อใดที่พลังของบรรลุถึงขั้นไขว่คว้าเต๋าชั้นรู้แจ้งและด้วยพลังมหาเซียนกระบี่ชั้นยอด เขาจะสังหารยอดฝีมือที่มีขั้นพลังสูงกว่าพลังขั้นไขว่คว้าเต๋าชั้นรู้แจ้งได้!”

มหาเซียนกระบี่ชั้นยอด!

คนฟังพึมพำถามพลางครุ่นคิด “แม่นางถัง ในสายตาของเจ้าเต๋าแห่งกระบี่ของข้าอยู่ในขั้นใด?”

ก่อนหน้านั้น ชายหนุ่มสำเร็จถึงขั้นมหาเซียนกระบี่ ทว่าบัดนี้ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพลังกระบี่ของตนอยู่ในระดับใดกันแน่?”

สตรีเขม้นมองเยี่ยฉวน “มหาเซียนกระบี่ชั้นยอด!

เยี่ยฉวนชะงักนิ่งงัน ก่อนจะเอ่ยออกไปว่า “ข้านี่หรืออยู่ขั้นมหาเซียนกระบี่ชั้นยอด?”

ถังชิงพยักหน้าช้าๆ “ถูกต้อง เยว่อู่เฉินซึ่งขั้นพลังเท่ากัน ฝีมือยังไม่คู่ควรกับเจ้า!”

อีกฝ่ายเงียบเสียง

AC

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!