บทที่ 20
รับศึก
ลั่วปิงเหอนั้นเตรียมตัวไว้แล้วว่าเดี๋ยวต้องถูกถีบแน่ แต่ไม่คาดคิดสักนิดว่าเสิ่นชิงชิวจะพยักหน้า
เขาถึงกับตัวแข็งทื่ออยู่บนร่างเสิ่นชิงชิว สีหน้าตะลึงลานไปแล้ว
เสิ่นชิงชิวเองก็เพิ่งรู้ตัวว่าทำอะไรลงไป ที่พยักหน้าเมื่อกี้มันหมายความว่าไง เขาอับอายจนอยากฆ่าคนปิดปากแล้วค่อยฆ่าตัวตายตามนัก
ไม่ๆๆๆนะ
มันไม่ใช่อย่างที่นายคิดนะ นายฟังฉันอธิบายก่อน
ลั่วปิงเหอกลับไม่ให้โอกาสเขา มือที่กอดเอวพลันรัดแน่นขึ้น กล่าวถามย้ำด้วยน้ำเสียงนุ่มลึกว่า “…คิดถึงข้าจริงๆหรือ”
เสิ่นชิงชิวโดยเขากอดรัดจนหน้านิ่ว ลมหายใจของลั่วปิงเหอถี่กระชั้น ถามอย่างไม่ลดละว่า “จริงๆหรือ”
นายปิดปากฉันอยู่นะ ต่อให้ฉันอยากตอบก็ตอบไม่ได้อยู่ดีน่ะแหละ! ได้แค่พยักหน้าหรือไม่ก็ส่ายหน้าเท่านั้นเองไม่ใช่เรอะไง
เสิ่นชิงชิวเดี๋ยวก็พยักหน้าเดี๋ยวก็ส่ายหน้าให้มั่วไปหมด
ลั่วปิงเหอซักไซ้อย่างร้อนใจว่า “ตกลงคิดถึงหรือไม่”
เห็นเขาทำหน้าเหมือนจะร้องไห้เต็มแก่ เสิ่นชิงชิวพลันสงสารอย่างบอกไม่ถูก เอาวะ เป็นไงเป็นกัน ในที่สุดก็พยักหน้าอีกครั้ง
คราวนี้เสิ่นชิงชิวเลยได้เห็นชัดๆเต็มตาว่าชั่วพริบตาที่ได้รับการยืนยัน ลมหายใจของลั่วปิงเหอนั้นถึงกันชะงักค้างไปเลยทีเดียว
แสงดาวอ่อนจางค่อยๆวับวาวขึ้นในดวงตาของเขา จากนั้นลุกลามอย่างรวดเร็วราวกับไฟลามทุ่งไปทั่วทั้งดวงหน้าและแผ่ลามไปทั้งตัว
แต่ขณะที่เสิ่นชิงชิวกำลังนึกว่าเดี๋ยวลั่วปิงเหอต้องดีใจจนน้ำตาไหลพราก เขากลับซุกหน้าเข้ากับซอกคอของเสิ่นชิงชิว มือที่ปิดปากเสิ่นชิงชิวไว้ค่อยๆคลายออก
จากนั้นก็จุ๊บมุมปากเขาถี่รัวราวกับลูกเจี๊ยบจิกข้าวเปลือก
เสิ่นชิงชิวหอบหายใจอย่างลำบาก เปล่งเสียงลอดไรฟันสองคำว่า “อย่าซน”
ลั่วปิงเหองึมงำว่า “ข้าก็คิดถึงท่าน คิดถึงมาก ไม่มีเวลาไหนเลยที่ไม่คิดถึง…”
ลมที่ตีขึ้นมาถึงช่องอกของเสิ่นชิงชิวจึงค่อยๆคลายลง
เขานอนนิ่งอยู่บนตั่งเหมือนปลาตาย เหม่อมองหลังคาของเรือนไผ่ราวกับจะไว้อาลัยให้ตัวเอง ผ่านไปครู่หนึ่งก็ถอนใจกล่าวว่า “…เช่นนั้นทำไมเจ้าถึงไม่มาหาเหวยซือในห้วงฝันตั้งแต่หลายวันก่อน”
ลั่วปิงเหอจ้องหน้าเขาด้วยดวงตาดำขลับที่ชื้นไปด้วยน้ำตา “ซือจุนไม่รังเกียจว่าข้าตามตอแยหรือ”
กลางวันตามตอแย กลางคืนก็ยังตามไปตอแยในฝันอีก หนึ่งวัน 12 ชั่วยามต้องเจอแต่ใบหน้านี้ ก็น่ารำคาญจริงๆนั่นแหละ
แต่พอเผลอตัวไม่ระวังก็ชินกับการถูกตามตอแยไปเรียบร้อยแล้ว อย่างตอนนี้ขนาดว่าลั่วปิงเหอนอนคว่ำอยู่บนร่างเขา แต่เสิ่นชิงชิวก็ไม่รู้สึกว่ารับไม่ได้เลย…
นี่เขามาถึงขั้นนี้ได้ยังไงเนี่ย มันจะเกินไปแล้วรึเปล่า!
เสิ่นชิงชิวกล่าวด้วยน้ำเสียงกระด้าง “รู้ว่าตัวเองน่ารำคาญ ยังไม่เจียมตัวอีก”
ลั่วปิงเหอกล่าวว่า “ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่ซือจุนเกลียดขี้หน้าข้าเสียหน่อย อยากรำคาญก็รำคาญเถอะ”
ได้ฟังคำพูดนี้เสิ่นชิงชิวก็อดสงสารไม่ได้
ลั่วปิงเหอชอบตนมากขนาดไหนกันนี่
ต่อให้ช่วงแรกๆที่เข้าชางฉยงซานจะถูกกระทำถึงขนาดนั้น แต่พอเสิ่นชิงชิวแสดงความเมตตากับเขาแค่นิดเดียว ลั่วปิงเหอก็ลืมความเจ็บปวดที่เคยได้รับจนหมดสิ้น ไม่ลังเลแม้แต่น้อยที่จะวางเสิ่นชิงชิวไว้ในก้นบึ้งของหัวใจ
หัวใจที่บอบบางดวงหนึ่งถูกเสิ่นชิงชิวทุบแตกโดยไม่ตั้งใจ หลังจากนั้นก็ทำราวกับภรรยาสาวตัวน้อยที่ค่อยๆเก็บหัวใจตัวเองขึ้นมาประกอบใหม่ แล้วค่อยๆยื่นส่งมาให้อีกครั้งอย่างระมัดระวังด้วยใจที่คาดหวัง ถูกทุบละเอียดอีกก็ประกอบใหม่อีก…
ลั่วปิงเหอกล่าวเสียงแผ่ว “เวลาที่ซือจุนอยู่ชางฉยงซานทีไร ตอนอยู่กับคนอื่นจะหัวเราะสนุกสนานถึงเพียงนั้น ข้ายังนึกว่าจะไม่คิดถึงข้าเสียแล้ว”
เสิ่นเซียนซือเก็กมาหลายปีจนติดเป็นนิสัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนอยู่ในสำนักชางฉยงซาน อย่างมากก็ยิ้มจางๆอย่างแฝงความหมาย หรือปากยิ้มตาไม่ยิ้มแบบที่ทำให้คนอื่นทายใจไม่ออก ไม่ก็ยิ้มหลอกๆอย่างขอไปที ไม่เคย ‘หัวเราะสนุกสนานถึงเพียงนั้น’ สักหน่อย
เสิ่นชิงชิวกล่าวอย่างไม่ยอมรับ “เหลวไหล”
ลั่วปิงเหอเถียงกลับ “จริงๆนะขอรับ” ใบหน้าของซือจุนแม้จะไม่เคยยิ้มแย้มอย่างเต็มที่ แต่ในใจซือจุนจะยิ้มอยู่หรือไม่ ข้าก็รู้อยู่ดี”
ลั่วปิงเหอนอนออดอ้อนเป็นเด็กน้อยอยู่บนร่างเขา พลางคว้าผมปอยหนึ่งของเขามาเล่น นี่นายเป็นเด็กผู้หญิงรึไง!
เสิ่นชิงชิวกลอกตามองบน “ใช่ซิ เจ้าเป็นพยาธิในท้องข้านี่”
ลั่วปิงเหอเอ่ยว่า “ไม่เอา ข้าไม่เป็นพยาธิ”
เสิ่นชิงชิวตีมือที่กำลังเอาผมตนไปเล่นราวกับตบยุง “เช่นนั้นเจ้าจะเป็นอะไร ไหนเจ้าลองว่ามา เหวยซือเคยหัวเราะกับใครบ้าง”
พูดมาถึงตอนท้ายได้ไม่กี่คำก็ต้องตีมือที่อยู่ไม่สุขนั่นไปทีนึง จะไล่ก็ไล่ไม่ไป
ลั่วปิงเหอเริ่มนับนิ้วจริงๆเสียด้วย “หลายคนมากเลย หลิ่ว…เอ๊ย อาจารย์อาหลิ่ว เจ้าสำนักเยวี่ย ซั่งชิงหัว หมิงฟาน ศิษย์พี่หนิง ศิษย์ของเซียนซูเฟิง วั่นเจี้ยนเฟิง ฉยงติ่งเฟิง ไป่จั้นเฟิง เชียนเฉ่าเฟิง ศิษย์ที่เฝ้าประตูทางขึ้นเขา ศิษย์ที่กวาดประตู…”
กระทั่งศิษย์ที่เป็นยามเฝ้าประตูกับกวาดกระตูก็ไม่ละเว้น เด็กคนนี้ช่างเจ้าคิดเจ้าแค้นเสียจริง คนทั้งชางฉยงซานจะต้องจมน้ำส้มสายชูเก่าเก็บฉุนกึกที่อิมพอร์ตมาจากภพมารตายแน่
เสิ่นชิงชิวตำหนิ “เรียกอาจารย์อาด้วยเสียงแบบนั้นช่างไม่จริงใจเสียเลย วันหลังไม่อนุญาตให้เรียกเช่นนี้อีก”
ลั่วปิงเหอกล่าวอย่างเคืองๆ “เขาชอบเรียกข้าว่า เจ้าเดรัจฉานน้อย หมาป่าเนรคุณตลอดเลย นั่นก็จริงใจมากเลยล่ะซิ”
เสิ่นชิงชิวหลุดขำ พัดด้ามจิ้ววางอยู่ข้างตั่งเลยถูกเขาคว้าขึ้นมาเคาะหน้าผากลั่วปิงเหอ “แล้วเขาพูดผิดหรือ บังอาจยื่นกรงเล็บมาตะปบตัวเหวยซือ ถ้าไม่ใช่เดรัจฉานน้อยแล้วจะเป็นอะไร”
เขาพูดอย่างคล่องปากจนไม่ได้สังเกตว่าคำพูดนี้ไม่เหมาะไม่ควรอยู่สักหน่อย หางเสียงขึ้นสูงตามมุมปากที่ยกโค้งขึ้น น้ำหนักเสียงเหมือนจะเบาแต่ก็ไม่เบาเสียทีเดียว เจือแววหยอกเย้าไม่เก็บอาการ ไม่สำรวมเอาซะเลย
จากมุมมองของลั่วปิงเหอที่อยู่ด้านบน ภาพที่เห็นพาให้รู้สึกว่าที่อกกับช่องท้องมีกองไฟที่ไม่รู้จักชื่อกองหนึ่งค่อยๆลุกแผดเผา จึงขยับขาข้างหนึ่งแทรกเข้าไปที่ช่องว่างระหว่างเข่าของอีกฝ่ายโดยไม่รู้ตัว แต่ก็กลัวอยู่เหมือนกันว่าหากซือจุนรู้ตัวจะถูกถีบร่วง เลยรีบยื่นศีรษะให้เสิ่นชิงชิวเอาพัดเคาะจนหนำใจ “ถึงจะเป็นเดรัจฉานน้อยก็เป็นเดรัจฉานน้อยของซือจุนคนเดียว คนอื่นไม่อนุญาตให้เรียก”
เสิ่นชิงชิวได้ยินดังนั้นก็รู้สึกเหมือนโดนจับกรอกด้วยน้ำบ๊วยเปรี้ยวสักสองชั่ง ทำเอาขนที่หลังลุกซู่ เกือบทำพัดด้ามจิ้วหักคามือ เขารีบจิ้มหน้าอกลั่วปิงเหอ ดันตัวคนข้างบนออกไป “ลุกขึ้น!”
จะคุยธุระสำคัญ ก่อนอื่นต้องนั่งให้ดี หากอยู่ในท่าคนหนึ่งจับอีกคนกด ไม่ว่าเรื่องที่คุยจะเป็นการเป็นงานแค่ไหนก็ไม่เป็นการเป็นงานขึ้นมาได้
ลั่วปิงเหอไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่ แต่ก็ยันตัวขึ้นมานั่งข้างตั่งแต่โดยดี
เสิ่นชิงชิวหลับไปห้าวัน นอนจนเอวแก่ๆจะหักอยู่แล้ว ในที่สุดก็ได้เหยียดแข้งเหยียดขาซะที เขารู้สึกว่าตัวเองจะต้องดูเหมือนตาแก่หน้าง้ำที่คอยเอามือทุบขานวดเอวเป็นแน่
แต่ในสายตาคนอื่นกลับไม่เป็นเช่นนั้น ผมเผ้าแผ่สยายลงมาคลุมไหล่ คอเสื้อตัวกลางไม่อยู่กับที่ เผยให้เห็นซอกคอ ลูกกระเดือก และกระดูกไหปลาร้าขาวผ่องโล่งโจ้ง เพราะเมื่อครู่นอนกลิ้งอยู่บนตั่งมารอบหนึ่ง แก้มเลยแดงระเรื่อ เขาขมวดคิ้วไม่พูดจา ก้มหน้าก้มตานวดเอวด้านหลังเป็นการใหญ่ สภาพเช่นนี้ชวนให้ใครบางคนที่คิดมิดีมิร้ายอยู่ในใจยิ่งคิดมิดีมิร้ายหนักขึ้นไปอีก
ลั่วปิงเหอมองตาไม่กะพริบ ขยับเข้าไปช่วยนวดเอวให้เขา เสิ่นชิงชิวพยักหน้าอย่างพอใจ “เด็กดี ช่างรู้ใจนัก”
ลั่วปิงเหอกล่าวว่า “ข้อดีของการที่ข้ารู้ใจท่านมีมากกว่านี้อีกนะ ซือจุนยังมิรู้หรอก”
อ้อนเก่งจริงๆ
ลั่วปิงเหอยังกล่าวต่อ “ตอนต้องรับมือกับเทียนหลางจวิน หากซือจุนต้องการความช่วยเหลืออะไร บอกข้าได้เต็มที่เลยนะขอรับ”
เสิ่นชิงชิวพยายามหลีกเลี่ยงการพูดคุยเรื่องเทียนหลางจวินมาตลอด เพื่อไม่ให้ระคายเคืองความรู้สึกของลั่วปิงเหอ แต่นึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายกลับเอ่ยปากพูดขึ้นมาเอง เห็นทีจะรู้ใจเกินไปแล้ว เขาขบคิดอยู่ครู่หนึ่งก็กล่าวอย่างใครครวญว่า “พ่อของเจ้า…”
ลั่วปิงเหอเอนศีรษะซบบนไหล่เขา กล่าวอู้อี้ว่า “ข้าไม่มีพ่อ มีแต่ซือจุน”
“…”
ทำไมพูดซะราวกับเห็นเราเป็นพ่อไปแล้วล่ะ
เสิ่นชิงชิวสลัดความกระอักกระอ่วนทิ้งไป กล่าวอย่างจริงจังว่า “หากลำบากใจก็ห้ามฝืนตัวเองเด็ดขาด”
ต่อให้พิลึกคนแค่ไหน ดีร้ายยังไงก็เป็นพ่อของลั่วปิงเหอ อย่างน้อยๆก็เป็นคนที่ลั่วปิงเหอเคยแอบฝันหา ถึงแม้ตัวจริงกับภาพลักษณ์ที่ลั่วปิงเหอจินตนาการขึ้นจะห่างกันไกลก็ตาม
ลั่วปิงเหอขยับมือนวดไม่หยุด กล่าวอย่างไม่ยี่หระว่า “ไม่ลำบากใจหรอกขอรับ”
เสิ่นชิงชิวมองเขาอย่างพิจารณา อืม สีหน้าจริงจังนี่มัน…บอกให้รู้ว่าเต็มอกเต็มใจร่วมมือด้วยจริงๆนั่นแหละ ไม่มีเค้าของความลำบากใจให้เห็นแม้แต่น้อย
นี่เป็นเรื่องดีจริงๆ ถึงแม้จับมือกับคนเป็นลูกไปโค่นผู้เป็นพ่อจะไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ แต่ถ้าลั่วปิงเหอเต็มใจร่วมมือกับเหล่าผู้ฝึกวิชาเซียนขับไล่เทียนหลางจวิน ไม่เพียงภพมนุษย์จะมีกำลังหนุนที่แข็งแกร่ง ลั่วปิงเหอก็จะได้อัพภาพลักษณ์ในเชิงบวกด้วย ทั้งยังได้แก้ไขภาพลักษณ์ที่เสียไปตอนอยู่วัดเจาหัวไปด้วยเลย
เมื่อครู่ก่อนที่เยวี่ยชิงหยวนจะไปได้บอกเอาไว้ว่า ให้เขาพักผ่อนก่อน ‘เรื่องนี้มอบให้ศิษย์ร่วมสำนักคนอื่นจะดีกว่า’ แสดงชัดว่าไม่ต้องการให้เขาเข้าร่วมศึกครั้งนี้ เสิ่นชิงชิวกล่าวพึมพำ “เป็นได้ว่าศิษย์พี่เจ้าสำนักจะไม่ให้ข้าออกรบ ตอนหิมะตกครั้งแรก แม่น้ำลั่ว สถานที่กับเวลาที่บอกนี้ เจ้าคอยจับตาเอาไว้ให้ดี”
ลั่วปิงเหอผ่อนแรงที่นวดเอวเขา กล่าวเสียงนุ่มนวลว่า “บางทีข้าก็รู้สึกว่าซือจุนรู้เรื่องราวบางอย่างมากเกินไปหน่อยจริงๆ”
เสิ่นชิงชิวใจเต้นโครมคราม
ลั่วปิงเหอกล่าวต่อ “อย่างตอนอยู่ในสุสานศักดิสิทธิ์ เห็นๆอยู่ว่าซือจุนไม่เคยเข้ามาในสุสานศักดิ์สิทธิ์มาก่อน แต่กลับรู้จักแผนผังห้องหับต่างๆรวมถึงปีศาจที่คอยเฝ้ายามอย่างกระจ่างราวกับฝ่ามือตัวเอง ทั้งยังสามารถเอามาใช้ให้เป็นประโยชน์ได้เป็นอย่างดี ทำให้ศิษย์ทั้งเลื่อมใสและประหลาดใจนัก”
เสิ่นชิงชิวแสร้งพูดด้วยน้ำเสียงสบายว่า “เจ้ายอดเขาชิงจิ้งเฟิงรุ่นแล้วรุ่นเล่าสะสมคัมภีร์โบราณไว้มากมาย หาใช่ตัวหนังสือไร้ค่า เขียนไว้ยืดยาวปานนั้น ย่อมต้องมีส่วนที่เอามาใช้ประโยชน์ได้”
ลั่วปิงเหอทำเสียงอ้อ นวดเอวเสร็จแล้วก็เริ่มใช้มือค่อยๆสางผมยาวของเสิ่นชิวชิวที่แผ่กระจายอยู่กลางหลัง “คัมภีร์โบราณเหล่านั้นศิษย์ก็เคยอ่านแล้ว แต่ไม่เห็นได้อะไรมากมายปานนี้เลย ยังห่างชั้นกับซือจุนไกลโขจริงๆด้วย”
…ลืมไปได้ไง ลั่วปิงเหอมันเด็กหัวดีเรียนเก่งผิดมนุษย์มนาด้วยนี่หว่า ตำราเก่าเก็บที่โยนสุมบนชิงจิ้งเฟิง หากเขาบอกว่า ‘เคยอ่าน’ ก็หมายความว่าท่องกลับหน้ากลับหลังจนคล่องแล้วด้วยซ้ำ ย่อมรู้ว่าในนั้นมี ‘ส่วนที่เป็นประโยชน์’ อยู่จริงหรือเปล่า
เด็กคนนี้ไม่ใช่เยวี่ยชิงหยวน หากเขาไม่อยากพูด เยวี่ยชิวหยวนก็จะไม่เซ้าซี้ แต่ลั่วปิงเหอจะต้องซักไซ้ไล่เรียงจนถึงที่สุด ไม่มีทางตบตาได้เลย ขณะเสิ่นชิงชิวกำลังเค้นสมองว่าจะแถยังไงต่อดี ทันใดนั้นเสียงหนิงอิงอิงก็ดังขึ้นจากนอกเรือนไผ่ “ซือจุน ท่านตื่นแล้วกระมัง อิงอิงเข้าไปได้หรือไม่”
เด็กดี ช่างเป็นศิษย์ที่แสนน่ารักจริงๆ
เสิ่นชิงชิวกดเสียงต่ำ “เจ้าไปก่อน”
มือของลั่วปิงเหอชะงักค้าง “ทำไมข้าต้องเป็นคนไป ไม่ใช่พวกเขาไป”
เสียงหมิงฟานก็ดังขึ้นเช่นกัน เขาแหกปาก “ซือจุน อาจารย์อาหลายท่านล้วนมาถึงแล้ว ท่านสะดวกลุกขึ้นมาไหมขอรับ”
จะมากันทำไมมากมายนี่!
เสิ่นชิงชิวกระโดดลงจากตั่ง ดันตัวลั่วปิงเหอไปที่หน้าต่าง
ลั่วปิงเหอเดินพลางเหลียวหน้ากลับมา “ที่แท้ซือจุนก็ชอบแบบลับๆล่อๆ”
เสิ่นชิงชิวเอาพัดเคาะหน้าผากเขา “ที่ลับๆล่อๆน่ะใครกันแน่ เป็นความผิดของใครกันเล่า”
แล้วทำไมทุกครั้งจะต้องทำเหมือนลอบคบชู้กันด้วยล่ะเนี่ย!
ลั่วปิงเหอกระโดดข้ามหน้าต่างอย่างไร้สุ่มเสียง ยื่นมือกลับเข้ามาจับมือเสิ่นชิงชิวไว้ กล่าวออดอ้อนว่า “ซือจุน รอจนเรื่องราวเหล่านี้สงบแล้ว ท่านจะไปกับข้าหรือไม่”
เสิ่นชิงชิวลำบากใจที่จะให้คำตอบ ได้แต่กล่าวอย่างสงวนท่าทีว่า “เหวยซือยังเป็นเจ้ายอดเขาชิงจิ้งเฟิงอยู่นะ”
หากลั่วปิงเหออยากเจอเขาแค่ตรงดิ่งมาหาก็ได้แล้ว ทำไมจะต้องให้เขาไปด้วย เขาไม่มีทางยอมเอาตัวเองไปเป็นวัตถุดิบให้เพลง ‘แค้นชุนซาน’ อีกแล้ว
ลั่วปิงเหอถอนใจ “ข้าก็คิดอยู่แล้วว่าจะต้องเป็นเช่นนี้”
เพิ่งจะปิดหน้าต่าง ประตูของเรือนไผ่ก็เปิดออก ฉีชิงชีส่งเสียงมาก่อนตัว เลิกม่านขึ้นเผยให้เห็นดวงหน้างามผุดผาด เบะปากกล่าวว่า “สำออยหนักกว่าเก่าอีก โดนซัดที่วัดเจาหัวไม่กี่ทีถึงกับกระอักเลือดเลยหรือ หลับได้หลับดีตั้งห้าวัน!”
เสิ่นชิงชิวหมุนกายมา กล่าวทีเล่นทีจริงว่า “ศิษย์น้องฉีอย่าว่ากันอย่างนี้ซิ เจ้าก็รู้มาตลอดว่าข้าร่างกายอ่อนแอ”
ฉีชิงชีแค่นเสียง “ข้าก็รู้มาตลอดเหมือนกันว่าเจ้าเป็นคนเรื่องมาก”
ผู้ที่ติดตามอยู่ด้านหลังนางคือหลิ่วหมิงเยียน ซึ่งพอเข้ามาในห้องแล้วก็ยอบกายคารวะ ถัดมาเป็นหลิ่วชิงเกอ โดยมีหมิงฟานกับหนิงอิงอิงปิดท้ายตามอยู่ด้านหลังมู่ชิงฟาง เรือนไผ่ไม่ใหญ่ไม่เล็ก พอเข้ามาพร้อมกันทีเดียวหลายๆคนก็แน่นขนัด
เสิ่นชิงชิวแอบปาดเหงื่อ ยังดีที่ให้ลั่วปิงเหอปีนหน้าต่างออกไปก่อน ไม่งั้นซ่อนยังไงก็ซ่อนไม่มิดแน่
มู่ชิงฟางกล่าวยิ้มๆ “ข้าบอกแล้วว่าศิษย์พี่เสิ่นสีหน้าไม่เลว ไม่ได้เป็นอะไรเลย แค่หลับไปเท่านั้นเอง คราวนี้พวกท่านจะเชื่อข้าได้แล้วหรือยัง”
เสิ่นชิงชิวปากบอกละอาย รีบหาที่นั่งให้เหล่าเจ้ายอดเขา แต่เห็นว่าหลิ่วชิงเกอพอเข้ามาในห้องได้ก็มองสอดส่ายไปทั่วห้องด้วยสายตาคมปลาบ เขาจึงกล่าวว่า “ศิษย์น้องหลิ่ว ข้าอยู่นี่”
หลิ่วชิงเกอเก็บสายตากลับคืน หันมาถามเสิ่นชิงชิว “เมื่อครู่นี้ใครเข้ามา”
เสิ่นชิงชิวชี้ไปยังเก้าอี้ที่เชิญให้อีกฝ่ายนั่งอีกครั้งหนึ่ง และตอบว่า “ศิษย์พี่เจ้าสำนักเพิ่งไปเมื่อครู่”
เขาคว้ากาน้ำชาขึ้นมา หมิงฟานรีบเข้ามาช่วย แต่เขายกมือเป็นนัยบอกว่าไม่ต้อง เสิ่นชิงชิวรินน้ำชาแจกจ่ายทุกคนด้วยตัวเอง
ในที่สุดหลิ่วชิงเกอก็ยอมนั่งลง ยกถ้วยชาขึ้นดื่มอึกหนึ่ง ไม่กล่าวอะไรอีก
ฉีชิงชีกล่าวว่า “ศิษย์พี่เจ้าสำนักย่อมต้องมาอยู่แล้ว ศิษย์น้องหลิ่ว เจ้าทำหน้าแบบนั้น ข้ายังนึกว่าที่เจ้าพูดหมายถึงลั่วปิงเหอเสียอีก”
คนพูดไม่รู้สึกอะไร แต่คนฟัง ฟังแล้วกินปูนร้อนท้อง เสิ่นชิงชิวตีหน้ายิ้มจนปวดแก้ม กล่าวว่า “จะเป็นไปได้อย่างไร”
ฉีชิงชีวางถ้วยชาลงบนโต๊ะอย่างแรง เลิกคิ้วกล่าวว่า “นั่นซิ จะเป็นได้ได้อย่างไร เจ้าเด็กลั่วปิงเหอตอนนี้หากยังกล้ามาที่ชางฉยงซาน คอยดูก็แล้วกันว่าพวกเราจะจัดการกับเขาอย่างไร!”
มู่ชิงฟางที่นั่งสอดมือในแขนเสื้ออยู่ข้างๆพูดว่า “นั่นต้องมีปัญญาโค่นเขาให้ได้ก่อน”
เสิ่นชิงชิวหัวเราะลั่นอย่างไม่ไว้หน้า
ฉีชิงชีชี้หน้าเขา “หัวเราะรึ เจ้ายังมีหน้ามาหัวเราะ คนที่เป็นตัวปัญหาที่สุดก็คือเจ้านั่นแหละ! เสิ่นชิงชิว ข้าจะบอกเจ้าให้นะ ดีที่ครั้งนี้เจ้าสำนึกตัวตามศิษย์พี่ศิษย์น้องกลับมา หากไม่พูดไม่จาก็ตามลั่วปิงเหอไปอย่างคราวก่อนละก็ ข้านี่แหละจะเป็นคนแรกที่จัดการเจ้าเพื่อสำนักเอง ดูซิว่าเจ้าจะมีปัญญาก่อเรื่องได้อีกไหม”
ทั้งที่เป็นถ้อยคำที่กล่าวเพราะความเป็นห่วงแท้ๆ แต่กลับพูดเสียโหดขนาดนี้ ขาดก็แต่ยังไม่ได้กระโดดเข้ามาบีบคอเสิ่นชิงชิวเท่านั้น ในห้องที่อัดแน่นไปด้วยผู้คน ที่หัวเราะขบขันชะตากรรมชาวบ้านก็หัวเราะไป ที่จิบชาก็จิบชาไป ที่แทะเม็ดกวยจี๊ก็แทะเม็ดกวยจี๊ไป (ว่าแต่ทำไมหลิ่วหมิงเยียนขนาดแทะเม็ดกวยจี๊ก็ยังไม่เอาผ้าคลุมหน้าลงมาล่ะ)
เสิ่นชิงชิวนับว่ากลัวศิษย์น้องหญิงคนนี้ไปแล้ว จึงรีบเปลี่ยนหัวข้อทันที “ว่าแต่ที่ศิษย์พี่เจ้าสำนักได้รับบาดเจ็บคราวก่อนหายดีแล้วกระมัง”
มู่ชิงฟางตอบว่า “นับว่าหายดีแล้ว”
แม้เขาใช้คำว่า ‘หายดี’ แต่สีหน้าแสดงอย่างเห็นชัดว่าอยากจะถอนใจ ฉีชิงชีแค่นเสียง “หากมิใช่เพราะศิษย์พี่จะไม่ชักกระบี่ออกจากฝักถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ทั้งยังฝืนฝ่าด่านฝึกวิชาออกมาเพราะได้ยินว่าเกิดเรื่องขึ้นแล้วละก็ ลั่วปิงเหออย่าได้คิดเด็ดขาดว่าจะเอาชนะเขาได้ หากเจ้ามาช้ากว่านั้นอีกครู่เดียว ไม่แน่ว่าคงได้มีบุญตาเห็นเสวียนซู่ของศิษย์พี่ออกจากฝักเต็มตัวแล้ว”
จะว่าไปเสิ่นชิงชิวก็นึกคันคะเยอในใจอยู่บ้าง ควรรู้ว่าไม่ว่าจะนิยายดั้งเดิมหรือว่าทางนี้ เขาไม่เคยได้รู้เลยว่าตอนเสวียนซู่ออกจากฝักเต็มๆ จะเจิดจ้าอลังการแค่ไหน และไม่รู้ว่าเซี่ยงเทียนต่าเฟยจีมันคิดอะไรของมัน ถึงได้หมกเม็ดไม่ยอมเขียนขนาดนี้ หรือจะมาแนวฟ้าร้องใหญ่โตแต่ฝนตกนิดเดียว ขึ้นต้นบรรยายเสียเป็นคุ้งเป็นแคว แต่สุดท้ายก็ ~~~~~~ หลุมครับท่าน!
ไม่บอกไม่กล่าวอะไรเยวี่ยชิงหยวนก็โดนหมื่นศรเสียบทะลุร่างตายเอาดื้อ [โบกมือบ๊ายบาย]
นับจากหนิงอิงอิงเข้ามาในห้องก็ก้มหน้ายืนอยู่ข้างๆมาตลอด เสิ่นชิงชิวเรียกนางเข้ามาถามว่า “เป็นอะไรไป”
หนิงอิงอิงค่อยๆ กระแซะเข้ามา เงยหน้าขึ้น สองดาแดงก่ำเสียจนดูเหมือนกระต่าย งึมงำด้วยเสียงขึ้นจมูกว่า “ซือจุน ท่านกลับมาคราวนี้อย่าไปไหนอีกเลยได้หรือไม่เจ้าคะ”
ร้องไห้อีกละ เสิ่นชิงชิวอึ้ง เขาไม่ใช่คนบ่อน้ำตาตื้น อย่างมากก็เป็นน้ำตาที่ไหลออกมาตามสัญชาตญาณของร่างกาย แต่ทำไมลูกศิษย์แต่ละคนที่เลี้ยงดูมาเอะอะก็น้ำตาร่วงดุจดอกหลีต้องฝนพรำล่ะนี่…
หมิงฟานสะเทือนใจไปกับภาพที่เห็น พลอยเศร้าตามไปด้วย ร้องไห้โฮโดยไม่มีน้ำตา “ซือจุน T_T”
ภาพนี้ไม่ได้ใกล้เคียงกับน้ำตาร่วงดุจดอกหลีต้องฝนพรำเลยสักนิด!
ฉีชิงชีไม่ยอมให้โอกาสที่จะได้สั่งสอนเขาผ่านเลยไป “ดูซิดู! ดูลูกศิษย์ของเจ้าซิ รักสงสารพวกเขาบ้างไหม เจ้าไม่ได้มีลูกศิษย์แค่คนเดียวนะ! รักเอ็นดูแต่เจ้าหมาป่าเนรคุณนั่นคนเดียว แล้วคนอื่นไม่สนหรือไร”
เสิ่นชิงชิวตบหลังหนิงอิงอิง ปลอบประโลมพลางแก้ตัว “ข้ารักเอ็นดูแต่ลูกศิษย์คนเดียวตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”
หลิ่วชิงเกอจิบชาพร่องไปค่อนถ้วย หลุบตากล่าวว่า “กลับมาแล้วก็อยู่ต่อ ไม่ต้องไปไหนแล้ว”
เสิ่นชิงชิวรับคำสั้นๆ ได้ใจความว่า “อือ”
ได้ฟังคำตอบของเขาฉีชิงชีก็พอใจมาก
หลิ่วชิงเกอทำท่าจะพูดอะไรบางอย่าง ทันใดนั้นที่หว่างคิ้วก็ผุดรังสีสังหารขึ้น
ทุกคนในห้องรู้สึกได้ถึงท่าทางที่เปลี่ยนแปลงไปของเขา พร้อมใจกันเอามือแตะด้ามกระบี่โดยไม่ต้องบอก
หลิ่วชิงเกอลุกขึ้นทันที เพียงชั่วอึดใจก็มาถึงตรงหน้าต่าง
เสิ่นชิงชิวหัวใจกระดอนขึ้นไปแขวนอยู่กลางอากาศ
หลิ่วชิงเกอผลักหน้าต่างทั้งสองบานเปิดออกอย่างแรง ข้างนอกนั้นเบื้องบนคือท้องฟ้าที่มีดวงจันทร์ส่องสว่างและดวงดาวทอแสงอยู่ประปราย เบื้องล่าวคือป่าไผ่แน่นขนัด ปราศจากผู้คน
ลั่วปิงเหอย่อมไม่มีทางยืนซื่อบื้ออยู่กับที่ คงจากไปนานแล้ว บรรยากาศในห้องผ่อนคลายลงอย่างรวดเร็ว มู่ชิงฟางถามว่า “ศิษย์พี่หลิ่วท่านมองอะไรหรือ”
ทว่าหลิ่วชิงเกอไม่ได้หันกลับมา หากแต่ยื่นมือออกไป คล้ายกับจะคว้าบางสิ่งบางอย่างที่ตกลงมาจากท้องฟ้า
ผ่านไปครู่ใหญ่เขาก็ชักมือกลับ หันมากล่าวว่า “หิมะตกแล้ว”
เสิ่นชิงชิวข่มตานอนไม่หลับทั้งคืน พอรุ่งเช้าเมื่อได้ยินเสียงระฆังเตือนภัยดังขึ้น จึงรุดออกจากเรือนไผ่ไปเดี๋ยวนั้น
เสียงระฆังดังเร่งเร้าขึ้นทุกที ทั้งถี่รัวทั้งเร่งเร้า สะท้อนกลับไปกลับมาไม่หยุด ก้องกระหึ่มทั่งชางฉยงซาน ศิษย์ทุกยอดเขาข้ามสะพานสายรุ้งมารวมตัวกันที่ยอดฉยงติ่งเฟิง ด้านนอกอารามฉยงติ่งเต็มไปด้วยผู้คนซึ่งอยู่กันเงียบๆ ไม่มีใครส่งเสียงดัง
เสิ่นชิงชิวจัดระเบียบให้คนของชิงจิ้งเฟิงแล้วเดินเข้าไปในอารามกระจกทำจากแก้วผลึกสีขาวสูงกว่าหนึ่งจั้งบานหนึ่งวางอยู่ข้างผนัง ยกเว้นอันติ้งเฟิงที่ส่งศิษย์ซึ่งทำหน้าที่รักษาการดูแลงานแทนเจ้ายอดเขามาเป็นตัวแทนแล้ว เจ้ายอดเขาทุกคนล้วนยืนอยู่หน้ากระจกบานนั้นด้วยท่าทางเคร่งขรึม
ภาพที่กระจกฉายสะท้อนออกมาคือแม่น้ำกว้างใหญ่ไหลเรียบเรื่อยสายหนึ่ง สองฟากฝั่งเป็นเรือกสวนไร่นาและขุนเขาเขียวขจี และยังมีหลังคาบ้านสีขาวเรียงรายติดกันเป็นแถวยาวบ้าง รวมกันเป็นกระจุกหย่อมๆบ้าง อย่างกระจัดกระจาย
เยวี่ยชิงหยวนเอ่ยปาก “แม่น้ำลั่วตอนกลาง บนฟ้า”
ภาพที่เห็นคือยอดเขาดำทะมึนห้อยกลับหัวลงมาจากหมู่เมฆครึ้มหนา ตามเขาแทรกด้วยโพรงถ้ำดูประหลาดล้ำพิสดารชวนให้สะพรึงกลัว แลดูคล้ายหัวกะโหลกมนุษย์สีดำมะเมื่อมเป็นหลุมเป็นบ่อ โดยที่โพรงเหล่านั้นคือดวงตาที่กำลังมองลงมายังเบื้องล่างอย่างข่มขวัญ
นั่นคือเทือกเขาฝังกระดูกของภพมาร
เยวี่ยชิงหยวนเล่าว่า “ข่าวว่าเริ่มปรากฏตอนเที่ยงคืนที่ผ่านมา เมื่อแรกเห็นเป็นแค่กองเหินระเกะระกะ ไม่ถึงหนึ่งชั่วยามก็เห็นชัดว่าเป็นยอดเขาลูกหนึ่ง”
เจ้ายอดเขาคนหนึ่งกล่าวอย่างตื่นตะลึง “ไม่ถึงหนึ่งชั่วยามหรือ นี่มัน…เร็วเกินไปแล้ว!”
ไม่เลย นี่เป็นความเร็วในการรวมภพระดับปกติธรรมดาเอง เทียนหลางจวินเลือก ‘สถานที่และจังหวะ’ ที่ดีที่สุดในการลงมือตามที่บอกไว้ในนิยายจริงๆด้วย หากไม่ผิดไปจากที่คาด แค่ครึ่งวันทุกแห่งล้วนจะเกิดปรากฏการณ์ประหลาดให้เห็นดังเช่นภาพที่ปรากฏในกระจก ภายในสองวันนี้สองภพจะรวมเข้าด้วยกันได้อย่างสมบูรณ์ ก็เหมือนฉีกภาพที่อยู่ของมันดีๆ สองภาพมาแปะเข้าด้วยกันมั่วๆ จนกลายเป็นภาพใหม่ที่ปุๆปะๆและแสยงสายตานั่นแหละ
หลิ่วชิงเกอยืนกอดอก กำเฉิงหลวนอยู่ในมือ กล่าวว่า “ดังนั้นพวกเราต้องเร่งลงมือแล้ว”
เยวี่ยชิงหยวนสั่งการ “เจ้ายอดเขาทุกคนให้นำศิษย์สองในสามของสังกัดตัวเองติดตามไป ภายในครึ่งชั่วยามต้องไปถึงแม่น้ำลั่วตอนกลาง”
ครั้นเจ้าสำนักมีคำสั่งบรรดาเจ้ายอดเขาก็แยกย้ายกันไปทันที ให้ไปถึงภายในครึ่งชั่วยาม เวลาสำหรับเตรียมตัวจึงมีไม่ถึงสิบนาที แน่นอนว่าต้องรีบแล้ว เสิ่นชิงชิวก็เตรียมจะกลับไปจัดทัพศิษย์ด้วยเหมือนกัน แต่เยวี่ยชิงหยวนกลับเรียกเขาไว้เสียก่อน “เจ้ารั้งอยู่ที่นี่”
เสิ่นชิงชิวหันกลับมา “ศิษย์พี่ ท่านก็รู้ว่าข้าไม่ไปไม่ได้”
เยวี่ยชิงหยวนไต่ถาม “ศิษย์น้อง นอกจากหิมะแรก แม่น้ำลั่ว เจ้ายังรู้อะไรอีก”
เสิ่นชิงชิวตอบช้าๆ “จะหยุดยั้งการรวมภรได้ ก่อนอื่นต้องดึงกระบี่ซินหมัวออกมา ตอนนี้มันเสียบอยู่ที่ส่วนกะโหลกของเทือกเขาฝังกระดูก เทียนหลางจวินย่อมต้องอยู่ที่นั่นเพื่อคอยถ่ายทอดพลัง”
ความหมายก็คือ วิธีการแก้ไขมีดังนี้
1 ทำลายกระบี่ซินหมัว
2 กำจัดเทียนหลางจวิน
เยวี่ยชิงหยวนยืนกราน “เจ้าอยู่เฝ้าที่นี่”
ขณะเสิ่นชิงชิวทำท่าจะพูด เยวี่ยชิงหยวนก็ยกมือร่ายคาถาเหมือนเตรียมจะเปิดข่ายอาคมเพื่อกักตัวเขาไว้ในอารามฉยงติ่ง
เจ้าสำนักกำลังจะใช้ไม้แข็งกับเขาแล้ว
กล้ามเนื้อที่หลังเสิ่นชิงชิวเขม็งเกร็ง ไม่รู้ควรชักซิวหย่าออกมาต้านดีหรือเปล่า เวลานี้เองก็มีเสียงร้องด้วยความตกใจดังมาจากนอกอาราม คนทั้งสองถลันออกไปข้างนอกโดยพร้อมเพรียงกัน เมื่อมองขึ้นไปตามที่พวกศิษย์พากันชี้อยู่ เสิ่นชิงชิวก็ลอบผวาเฮือก
กลางเวหาเหนือชางฉยงซาน ในชั้นเมฆหนาที่กำลังเคลื่อนตัวปั่นป่วนราวกับทะเลคลั่งมีสีแดงฉานดุจโลหิตซึมทะลุออกมา ลำแสงสีแดงกรีดผ่าเส้นขอบฟ้าสายแล้วสายเล่า หินยักษ์ที่มีไฟลุกท่วมตกลงมาใส่ชางฉยงซานเป็นห่าราวกับฝนดาวตก
เยวี่ยชิงหยวนสีหน้าไม่เปลี่ยน ชูมือขึ้นร่ายคาถาทันที เสวียนซู่พุ่งออกไปทั้งฝักพร้อมเสียงหวีดแหลม เข้าฟาดฟันห่าหินยักษ์เหล่านั้นจนป่นเป็นแป้ง หลงเหลือเพียงสะเก็ดไฟที่ยังอุ่นนิดๆ โปรยปรายลงมาเช่นเดียวกับยามดอกไม้ไฟแตกตัว
ในชั้นเมฆที่ดูราวกับภูเขาไฟ สามารถเห็นท่อนแขนและหัวคนที่กำลังร้องตะโกนจำนวนนับไม่ถ้วนในสภาพดิ้นพล่านด้วยความเจ็บปวดดุจดั่งอยู่ในนรกโลกันตร์ได้อย่างรางๆ
ห้วงอเวจีโผล่มาอย่างกับผีหลอกกลางวันแสกๆ——–ชางฉยงซานถูกหวยเข้าจังเบ้อเร่อแล้ว!!!
เสิ่นชิงชิวร้องด่าในใจไม่หยุด ไอ้เซี่ยงเทียนต่าเฟยจี!
แกมีปัญญาเขียนฉากรวมภพทั้งที ทำไมต้องเขียนให้ตำแหน่งของชางฉยงซานอยู่ตรงกับห้วงอเวจีพอดีเป๊ะแบบนี้!
หลังจากระลอกนี้ผ่านพ้นไป ไม่รู้ว่าระลอกต่อไปจะมาอีกเมื่อไหร่ และไม่รู้จะต้องใช้เวลานานแค่ไหนที่ยอดเขาทั้งสิบสองจะรวมตัวกับห้วงอเวจีแล้วกลายเป็นทะเลลาวาหรือนรกบนดินไป ชางฉยงซานในเวลานี้ไม่สามารถอยู่ได้แล้ว
เยวี่ยชิงหยวนหันไปกล่าวกับศิษย์ที่เป็นตัวแทนอันติ้งเฟิงว่า “ไปเชิญต้าซือวัดเจาหัวทุกท่านให้มาช่วยที” ก่อนหันกายมากล่าวด้วยเสียงดังว่า “ศิษย์ที่รั้งอยู่ฟังคำสั่ง หากเขรอาคมนี้พังทลาย ไม่ต้องเป็นห่วงข้าวของให้แยกย้ายกันลงจากเขาทันที!”
ศิษย์นับพันบนลานกว้างร้องเป็นเสียงเดียวกันว่า “ขอรับ/เจ้าค่ะ!”
เยวี่ยชิงหยวนหันหน้ามาบอกว่า “ศิษย์น้องชิงชิว เจ้าก็ไปที่แม่น้ำลั่วด้วย”
หลิ่วชิงเกอที่จัดทัพศิษย์ของไป่จั้นเฟิงเสร็จแล้วย้อนกลับมาพอดีถามขึ้นทันที “แล้วท่านเล่า”
เยวี่ยชิงหยวนตอบว่า “ข้าจะยันไว้สักพัก รอให้วัดเจาหัวมาช่วยจากนั้นจะตามไป”
เสิ่นชิงชิวเอ่ย “ศิษย์พี่เจ้าสำนัก ท่านยันคนเดียวจะไหวรึ หรือจะให้ข้าอยู่…”
เยวี่ยชิงหยวนกลับหัวเราะ “ให้เจ้าอยู่เจ้ากลับจะไป ให้เจ้าไปเจ้ากลับจะขออยู่ น้อง…ศิษย์น้อง เจ้านี่นะ…”
หลิ่วชิงเกอลากตัวเขาไปทันที กล่าวห้วนๆแต่ได้ใจความว่า “ไปได้แล้ว เขาบอกจะตามมาทีหลังก็ต้องตามมาทีหลังแน่นอน”
ในที่สุดเมื่อคราวเคราะห์มาถึง ชางฉยงซานก็รู้จักทำตัวให้สมกับเป็นสำนักอันดับหนึ่งของนิยายแนวผู้ฝึกวิชาเซียนเสียที ไม่อาจมัวเอ้อระเหยลอยชาย นั่งรถม้ากันสบายได้อีกต่อไป กระบี่นับพันเหินขึ้นสู่ท้องฟ้าแล้วเหาะผ่านไปอย่างรวดเร็ว คนที่อยู่ข้างล่างหากมีใครแหงนหน้าขึ้นมาก็จะได้เห็นกองทัพแสงอันสว่างไสวเจิดจ้าเคลื่อนผ่านไปราวกับทางช้างเผือกเลยทีเดียว
นี่เป็นภาพอันตระการตาเป็นอย่างยิ่ง แต่เสียดายที่พอมีหินประหลาดโผล่ขึ้นมาบนท้องฟ้า เลยทำให้ผู้คนไม่มีแก่ใจจะชื่นชมภาพอันอลังการและงามมหัศจรรย์เหล่านี้แล้ว
อันติ้งเฟิงสมเป็นมือหนึ่งด้านงานธุรการ ประสิทธิภาพสูงจริงๆ ดูเหมือนว่าผู้ที่มาช่วยก่อตั้งค่ายกลจากวัดเจาหัวจะมาถึงเร็วมาก และช่วยรับช่วงยันเขตอาคมต่อให้ เยวี่ยชิงหยวนจึงถอนตัวตามมาได้อย่างว่องไว ยังไม่ทันครึ่งชั่วยามก็มาถึงแม่น้ำลั่วตอนกลางเรียบร้อยแล้ว
เนื่องจากมีคนมากเกินไป พวกเขาจึงต้องแบ่งพื้นที่ และทยอยกันร่อนลงสู่พื้นดินเป็นกลุ่ม สองฟากของแม่น้ำลั่วเนืองแน่นไปด้วยเหล่าผู้ฝึกวิชาเซียนที่ได้ข่าว หรือไม่ก็รู้สึกถึงความผิดปกติเลยมาตรวจสอบสถานการณ์
ทั่วบริเวณจึงเต็มไปด้วยเครื่องแบบหลากสีของแต่ละสำนักคละกันไป นักพรตของอารามเทียนอีกำลังวุ่นอยู่กับการอพยพชาวบ้านที่กระจายอยู่ตามริมแม่น้ำลั่ว อู๋วั่งกับอู๋เฉินเดินนำหน้าบรรดาหลวงจีนจากวัดเจาหัวเข้ามา
เยวี่ยชิงหยวนยกมือขึ้นคารวะ “ขอบพระคุณต้าซือทุกท่านที่ส่งศิษย์มาคลี่คลายสถานการณ์ หาไม่แล้วรากฐานของชางฉยงซานที่อยู่มานับพันปีอาจต้องมาพังทลายลงภายในวันเดียว”
ก่อนหน้านี้หลวงจีนอู๋วั่งพูดมาก วันนี้กลับตีหน้าขึงไม่ปริปาก ทว่าอู๋เฉินต้าซือปาดเหงื่อ กล่าวว่า “อมิตาพุทธ รากฐานนับพันปีต้องมาพังทลายลงในวันเดียวไม่ใช่แค่สำนักท่านหรอก วัดเจาหัวเองก็เกือบตกอยู่ในสภาพอับจนเช่นนี้เหมือนกัน”
เยวี่ยชิงหยวนถามอย่างประหลาดใจ “มีเรื่องเช่นนี้หรือ ต้าซือทุกท่านส่งศิษย์นับร้อยไปตั้งค่ายกลช่วยยันชางฉยงซาน แล้วยังเหลือกำลังไว้คุ้มครองวัดหรือไม่”
เสิ่นชิงชิวนึกสงสัยเหมือนกัน หรือจิตสำนักของวัดเจาหัวจะสูงส่งถึงขั้นยอมให้ตัวเองถูกทำลาย แต่ยังไงก็ต้องช่วยสำนักอื่นให้จงได้?
สีหน้าของอู๋วั่งดูไม่ได้ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ อู๋เฉินต้าซือเห็นเขาไม่ยอมพูดเลยได้แต่กล่าวแทนต่อไป “นี่…ความจริงแล้วยากจะกล่าวนัก ที่ยันเอาไว้ได้หาใช่เป็นเพราะอาศัยกำลังของตัวเองไม่ หากแต่ขอยืมกำลังความช่วยเหลือจากผู้อื่น”
เยวี่ยชิงหยวนถามอย่างฉงน “คงมิใช่อารามเทียนอีกระมัง” อารามเทียนอีได้ชื่อว่าเอ้อระเหยตามสบายมาตลอด เป็นสำนักใหญ่ที่ไร้ระเบียบวินัยที่สุด ในด้านการสร้างเขตอาคมโดยทั่วไปแล้วไม่มีคุณูปการเท่าไหร่ หากอาศัยกำลังของอารามเทียนอีค้ำยันเอาไว้ได้จริง ก็น่าหรอกที่จะชวนให้คนแปลกใจ
อู๋เฉินต้าซือส่ายหน้า “เป็นวังฮ่วนฮวา”
เสิ่นชิงชิวหยุดโบกพัด โพล่งออกมาว่า “วังฮ่วนฮวาหรือ นั่นมิใช่…”
อู๋วั่งหน้าเขียว “ถูกต้อง ลั่วปิงเหอนั่นแหละ”
จู่ๆมีเสียงหัวเราะดังขึ้นเบาๆ จากนั้นเจ้าของเสียงก็กล่าววาจาด้วยเสียงสดใสนุ่มนวลแฝงความสุภาพ “คำว่าช่วยเหลือ มิกล้ารับ หากจะให้พูดข้าก็เพียงช่วยซือจุนของข้าเท่านั้น”
ทุกคนที่อยู่ที่นี้ล้วนเป็นผู้ฝึกวิชาเซียนซึ่งมีประสาทสัมผัสทั้งห้าเฉียมคมอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะอยู่ใกล้ไกลยามนี้ล้วนหันขวับมาทางเสิ่นชิงชิว สายตานับร้อยคู่ที่เต็มไปด้วยแววตาหลากหลายโอบล้อมเขาจากทุกทิศทาง
เสิ่นชิงชิวกางพัดด้ามจิ้วบังหน้าครึ่งหนึ่งเงียบๆ
ลั่วปิงเหอเดินเข้ามาด้วยท่วงท่าสบาย ลมแม่น้ำพัดโชยเอื่อยพาให้ชายเสื้อสีดำโบกสะบัด กระบี่ที่ห้อยเอวอยู่กลับเป็นเจิ้งหยาง ด้านหลังเขามีโม่เป่ยจวินคอแข็งหน้าเชิดอยู่ทางเบื้องซ้าย ซาหัวหลิงเดินเยื้องกรายส่ายสะโพกอยู่เบื้องขวา บรรดาศิษย์วังฮ่วนฮวาที่ไม่ได้เห็นนานแล้วตามหลังมาติดๆ
รั้งท้ายด้วยกองทับขนาดย่อมของนักรบเกราะดำจากเผ่ามาร ซั่งชิงหัวปะปนอยู่ตรงกลาง เดี๋ยวก็อยู่หน้า เดี๋ยวก็อยู่ข้างหลัง มุดไปมุดมาปรูดปราดราวกับปลาไหล เสิ่นชิงชิวมองแล้วขัดหูขัดตาสุดๆ พอสบตากับเจ้านักเขียนผู้นี้เข้า ทั้งคู่สาดสายตาใส่กันวุ่นวายราวกับพันดาบหมื่นกระบี่โรมรัน
ลั่วปิงเหอเดินผ่าเข้ามาอย่างสง่างาม เมื่อเข้ามายืนระหว่างวัดเจาหัวและชางฉยงซาน ก็กลายเป็นฝ่ายที่สามของไตรภาคีไป ใบหน้าของแต่ละคนในที่นั้นมีสารพัดสี เพียงพอให้เอามาทำเป็นคอลเลกชั่นรวมสีหน้าคนได้ครบชุดเลยทีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งชางฉยงซาน มีอยู่ช่วงหนึ่งที่พอเห็นหน้าวังฮ่วนฮวาเป็นต้องตีกัน ตอนนี้เจอหน้าศัตรูเก่าเข้าก็เกิดอาการของขึ้นทันที แต่ฟังจากคำพูดของวัดเจาหัวดูเหมือนพวกเขาจะเป็นมิตรไม่ใช่ศัตรู เลยจำต้องอดทนอดกลั้นไว้ไม่อาละวาดออกมา
ฉีชิงชีถามอย่างระแวว “ที่ต้าซือทั้งสองกล่าวเป็นความจริงหรือ”
ลั่วปิงเหอกล่าวยิ้มๆ “เจ้ายอดเขาฉีคงมิใช่กำลังสงสัยว่าวัดเจาหัวก็ถูกข้า…เอ่อ วางยาไปอีกรายหรอกกระมัง”
เมื่อเห็นท่าทางจะยืดเยื้อไปกันใหญ่เสิ่นชิงชิวเลยรีบกล่าวว่า “คำพูดของอู๋เฉินต้าซือย่อมไม่หลอกลวงอยู่แล้ว”
ได้ฟังดังนั้นสายตานับร้อยๆคู่ที่ตอนแรกกระจัดกระจายไปที่อื่นเหมือนโดยสะกดหมู่ หันกลับมามองเสิ่นชิงชิวเป็นตาเดียว
ฉีชิงชีถลึงตาใส่เขาด้วยแววตาคับแค้นที่เหล็กไม่เป็นเหล็กกล้า อารมณ์เดียวกับลูกสาว(ขีดทิ้ง)เติบใหญ่จะรั้งไม่ให้ออกเรือนก็ไม่ได้
สายตาของลั่วปิงเหอจับอยู่ที่ร่างเขา กล่าวราวกับไม่มีคนอื่นอยู่ด้วยว่า “ซือจุน ไม่พบกันหลายวัน ศิษย์เป็นห่วงท่านจะแย่”
เมื่อคืนไม่ใช่เพิ่งเจอกันเรอะ…
เปลี่ยนเป็นคนอื่นพูดว่า ‘เป็นห่วงจะแย่’ คงทำให้ทุกคนในที่นั้นขนลุกเกรียวแน่ แต่น่ดันเป็นลั่วปิงเหอที่มีสกิล ‘ไม่ว่าพูดอะไรก็ไม่ทำให้คนอื่นสะอิดสะเอียน’ ติดตั้งมาให้ในแพ็กเกจด้วย ดังนั้นความสนใจของทุกคนจึงไม่ได้ย้ายไปที่ตัวเขา เสิ่นชิงชิวได้สัมผัสด้วยตัวเองเต็มๆ ถึงความไร้มนุษยธรรมของบรรดาขามุงที่รอดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาจึงได้แต่พยายามทำเสียง “อือ” ให้ดูเหมาะสม
มุมปากลั่วปิงเหอยังคงเหลือรอยยิ้มค้างอยู่สามส่วน กล่าวต่อว่า “แดนเหนือแดนใต้ขัดแย้งกันมาตลอด แดนเหนือที่มีข้าเป็นผู้นำไม่เห็นด้วยกับการรวมภพ คราวนี้จึงยินดีช่วยอีกแรง ร่วมมืกับทุกท่านต่อต้านศัตรู”
มองลั่วปิงเหอที่ยามนี้ยืนเอามือไพล่หลังดูภูมิฐานเป็นเรื่องเป็นราวใครก็นึกไม่ออกเด็ดขาดว่าคนๆนี้จะมีนิสัยราวกับสาวน้อย ชอบนอนตื้ออยู่บนตัวคนอื่น ทั้งขี้แยขี้อ้อน…พูดไปใครจะเชื่อ!
เยวี่ยชิงหยวนกล่าวนิ่งๆว่า “ขออภัยที่ผู้แซ่เยวี่ยมีข้อสงสัย คราวก่อนที่วัดเจาหัวมิได้จากกันด้วยดี คราวนี้คุณชายลั่วจู่ๆจะมาร่วมมือกับเหล่าผู้ฝึกวิชาเซียนต่อต้านบิดาแท้ๆของตัวเอง…”
ลั่วปิงเหอตอบง่ายๆสั้นๆ “ข้าทำเพื่อคนๆเดียวเท่านั้น อย่างอื่นข้าไม่รับรู้”
ครั้งนี้เขาไม่ได้พูดออกมาว่าเพื่อใคร แต่มีอะไรแตกต่างรึ มีประโยชน์รึ
ในวันที่อากาศหนาวจัดหิมะปลิวคว้าง เสิ่นชิงชิวเอาพัดด้ามจิ้วซึ่งปกติใช้โบกแผ่วเบาอย่างสง่างามมากระพือจนเป็นพัดใบลานไปแล้ว แค้นก็แต่ไม่อาจพัดกวาดให้สายตาที่มองมาจากทุกทิศทางเหล่านั้นให้ลอยโด่งขึ้นสวรรค์ชั้นเก้าได้ เจ้าสำนักผู้หนึ่งหัวเราะฝืดเฝื่อน “เจ้ายอดเขาเสิ่นอบรมศิษย์ออกมาได้ดีจริงแท้ นับเป็นวาสนาของเหล่าผู้ฝึกวิชาเซียนจริงๆ”
ถึงแม้ที่เขาพูดคือ ‘อบรมศิษย์ออกมาได้ดี’ แต่น้ำเสียงไม่ต่างอะไรกับ ‘แต่งได้สามีดีจริงแท้’ เลย
พอเสิ่นชิงชิวได้ยิน ท่าทางโบกพัดจึงเพิ่มรังสีสังหารเข้าไปด้วย
อู๋วั่งดูท่าทางแค้นใจที่ไม่อาจเอาไม้เท้าพระธรรมกระทุ้งเจ้าคนที่ฝ่าฝืนจารีตประเพณีคู่นี้ให้ตายๆไปซะ
อู๋เฉินต้าซือรีบกล่าว “ในเมื่อประสกลั่วมีใจอยากช่วยเหลือก็ยิ่งดีใหญ่ ยังขอเชิญเจ้าสำนักเยวี่ยรับหน้าที่บัญชาการโดยรวมด้วย”
เยวี่ยชิงหยวนเป็นบุคคลที่หลายสำนักให้การยอมรับโยดุษณีมาตลอดว่าสามารถทำหน้าที่เป็นเสาหลักในช่วงวิกฤตได้ ยามนี้จึงเริ่มวางแผนจัดทัพอย่างรู้งาน “วัดเจาหัวโปรดจัดสรรกำลังคนที่เหลือคอยค้ำยันเขนอาคม อย่าให้เทือกเขาฝังกระดูกต่ำลงมามากกว่านี้ ต้องไม่ให้มาเชื่อมต่อกับผิวน้ำได้โดยเด็ดขาด”
อู๋เฉินต้าซือมีสีหน้าหนักใจ “ย่อมต้องทำอย่างสุดกำลัง ทว่าแม่น้ำลั่วกว้างใหญ่ สองฟากฝั่งอยู่ห่างกันมาก ไม่มีที่ให้เท้าเหยียบ ฐานย่อมไม่มั่นคง ไม่เหมาะจะกางข่ายเวท”
เยวี่ยชิงหยวนขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเสนอว่า “หากให้ชางฉยงซานส่งศิษย์ของสักยอดเขาท่องกระบี่ขึ้นไปช่วยคุ้มกันและประคองพวกท่านตอนกางข่ายเวทกลางอากาศจะเป็นอย่างไร”
ลั่วปิงเหอกล่าวทันทีว่า “ไม่จำเป็นต้องลำบากลำบนปานนั้น”
เขาเบือนหน้าเล็กน้อยไม่กล่าววาจา โม่เป่ยจวินก็ก้าวออกมาเอง จากนั้นเดินไปยังริมแม่น้ำแล้วเหยียบลงบนผิวน้ำโดยที่ร่างกายไม่จมลงไปทุกที่ที่เดินผ่านพลันจับตัวเป็นน้ำแข็งอย่างรวดเร็ว ไม่นานนักท้องน้ำก็จับตัวแข็งลึกสามฉื่อ อีกทั้งยังแผ่อาณาบริเวณออกไปไม่หยุด ปลาที่กำลังว่ายน้ำอยู่ล้วนถูกแช่แข็งไปด้วย เชื่อว่าถ้าให้เวลาเขาอีกนิด แม่น้ำลั่วตอนกลางก็จะถูกทำให้กลายเป็นน้ำแข็งจนหมด
เผ่ามารได้เปรียบในเรื่องของการใช้พลังอันเป็นพรสวรรค์ที่ติดตัวมาแต่กำเนิดนี่เอง ผู้คนรอบด้านที่ตกตะลึงก็มี ที่ไม่ยอมรับนับถือก็มี อู๋เฉินกล่าวขอบคุณซ้ำแล้วซ้ำเล่า ลั่วปิงเหอไม่ได้มีสีหน้าลำพอง เพียงหันมามองเสิ่นชิงชิวด้วยดวงตาเป็นประกาย
เสิ่นชิงชิวเห็นภาพลักษณ์เชิงบวกของลั่วปิงเหอกระเตื้องขึ้นไม่น้อย อีกทั้งความโกรธแค้นและความหวาดระแวงของผู้คนรอบด้านที่มีต่อเขาก็ไม่ได้รุนแรงปานนั้นแล้ว จึงกล่าวอย่างปลื้มใจ “อืม ทำได้ดีมาก”
รอยยิ้มตรงมุมปากลั่วปิงเหอขยายออกเต็มที่ ไม่รู้ทำไมเสิ่นชิงชิวก็ยกมุมปากขึ้นเช่นกัน ครั้นรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงบนใบหน้าก็รีบบังคับมุมปากให้ตกลงมาทันที จึงค่อยๆควบคุมสีหน้าได้ ในใจนึกสงสัยว่าไม่ใช่น้ำตาอย่างเดียวหรอกรึที่ติดต่อกันได้ รอยยิ้มก็ติดต่อกันได้ด้วยเหมือนกัน
เยวี่ยชิงหยวนมอบหมายหน้าที่ต่อ อารามเทียนอีคอยคุ้มครองและอพยพชาวบ้านในบริเวณอื่นซึ่งอยู่ไกลออกไปจากแม่น้ำลั่วที่เริ่มปรากฏภาพประหลาดของดินแดนซึ่งถูกผนวกเข้าด้วยกัน ต่อมาเป็นชางฉยงซาน เยวี่ยชิงหยวนสั่งการเสียงเบาว่า “ยามที่เผ่ามารจากแดนใต้บุกข้ามภพมาระลอกแรก ให้เป็นหน้าที่ไป่จั้นเฟิงรับมือ”
ไป่จั้นเฟิงมีคนมาเพียง 40 คน มีคนถามอย่างอดไม่อยู่ “เผ่ามารแดนใต้ส่วนใหญ่เป็นสัตว์และอสูรกาย มีกำลังมหาศาลสุดจะเปรียบ 40 คนจะต้านการบุกระลอกแรกได้ไหวหรือ”
ถึงกับกังขาความแข็งแกร่งในการต่อสู้ของเผ่าพันธุ์นักรบเรอะ!
หลิ่วชิงเกอขาข้างหนึ่งเหยียบโขดหิน พู่ห้อยกระบี่และชายเสื้อขาวทั้งผมยาวดำขลับสะบัดพลิ้วตามแรงลม เขาไม่ตอบคำถามตรงๆ เพียงกล่าวกับบรรดาศิษย์ที่อยู่ด้านหลังอย่างเย็นชา “ใครที่ฆ่าได้ไม่ถึงพัน ไสหัวตัวเองไปอยู่อันติ้งเฟิงเสีย”
ทั้ง 40 คนตะโกนเป็นเสียงเดียว “ขอรับ!”
ซั่งชิงหัวงึมงำอย่างแหยๆ “อย่าดูถูกเหยียดหยามอันติ้งเฟิงซิ…”
แผนกธุรการไม่ผิดอะไรเสียหน่อย แผนกธุรการจงเจริญ!
เยวี่ยชิงหยวนจัดวางกำลังต่อ ฉยงติ่งเฟิง เซียนซูเฟิง เซียนเฉ่าเฟิง…ทุกยอดเขาต่างมีตำแหน่งมีหน้าที่ของตนเอง เสิ่นชิงชิวเห็นลั่วปิงเหอเอ้อระเหยว่างงานก็ถามอย่างอดรนทนไม่ไหว “เจ้าพาลูกน้องมาด้วยเท่าไร ไม่จัดวางกำลังเตรียมไว้หรือ”
พอเขาเปิดปากก็รู้สึกไว้ว่าใบหูนับไม่ถ้วนพากันกางผึ่ง กลั้นใจรอฟังกันสุดฤทธิ์ กระทั่งเสียงกระซิบกระซาบก็หดหายไปไม่น้อย นักพรตหญิงแฝดสามที่อยู่ไม่ไกลออกไปนักหัวเราะคิก
ลั่วปิงเหอกล่าวว่า “ที่พามาได้ล้วนพามาแล้ว จัดวางกำลังง่ายดายมาก” พูดพลางชี้ไปที่ซาหัวหลิงกับโม่เป่ยจวินที่อยู่ด้านหลัง “จิ่วจ้งจวินยกให้นาง ส่วนเดรัจฉานอัปลักษณ์ยกให้เขา”
…นี่คือให้ลูกสาวไปจัดการพ่อตัวเองรึ ช่าง…
เสิ่นชิงชิวถามต่อ “ยังมีอีกไหม”
ลั่วปิงเหอพยักหน้าอย่างหนักแน่นจริงจัง “ยังมีขอรับ” เขายิ้มหวาน “ซือจุนยกให้ข้า”
รอบด้านกระแอมไอกันให้ขรม เสิ่นชิงชิวไม่รู้จะเอาหน้าไว้ที่ไหนแล้ว
เขาหุบพัดด้ามจิ้วดังพึ่บแล้วกำไว้ในมือ ปรับสีหน้า กล่าวอย่างเป็นงานเป็นการว่า “เหวยซือมีเรื่องจะคุยกับอดีตเจ้ายอดเยาอันติ้งเฟิง เจ้าร่วมหารือกับเจ้าสำนักทุกท่านไปพลางๆก่อน จะได้ร่วมกันวางแผนรับมือทัพใหญ่ของศัตรู”
เขาไม่สนแล้วว่าคนอื่นจะมีปฏิกิริยากันยังไง พูดจบก็วิ่งไปลากตัวซั่งชิงหัวออกมาราวกับลากหมูตายสักตัวไปคุยกันใต้ต้นไม้ที่อยู่ค่อนข้างห่าง
เสิ่นชิงชิวถาม “ทำไมนายถึงยังไม่ตาย นายน่าจะตายไปตั้งแต่ 800 บทก่อนหน้านี้แล้วนะ ทำไมโม่เป่ยจวินถึงยังไม่ฆ่านายทิ้ง!
ซั่งชิงหัวขยับคอเสื้อให้เข้าที่ “ลูกพี่เสิ่น ตามหลักคุณก็ควรตายก่อนผมเหมือนกัน ตอนนี้ยังกระโดดโลดเต้นได้อยู่เลย ยังมีหน้ามาถามผมรึ”
เสิ่นชิงชิวกุมหน้าผาก สูดลมหายใจเข้าลึกๆ “พี่เซี่ยงเทียน ไอ้คุณต่าเฟยจี นายเป็นพวกขาดแคลนความรักซินะ หา ตอนนั้นนายบอกว่าพล็อตเดิมที่วางไว้เกี่ยวกับ ‘เสิ่นชิงชิว’ ก็คือวัยเด็กถูกไอ้โรคจิตรังแกใช่ไหม นายชอบเขียนภูมิหลังที่มันเศร้ารันทดรึไง”
ซั่งชิงหัวตอบว่า “ตัวละครยิ่งรันทด คนยิ่งชอบ”
เสิ่นชิงชิวด่า “พ่องซิ! โดนเม้มยาวเหยียดให้จับตอนเนี่ยนะคนอ่านชอบ?”
“นั่นเพราะผมหั่นบทออกไปหรอก” ซั่งชิงหัวแย้งอย่างยึดมั่นในหลักการ ยกเหตุผลมาอ้าง “ปิงเกอไง รันทดไหมล่ะ คนเลยยิ่งชอบใช่เปล่า”
ยังกล้าเอาลั่วปิงเหอมายกตัวอย่างนะ! เสิ่นชิงชิวเอาพัดฟาดเข้าให้ “นายชอบใช้มุกแบบนี้มากเลยรึไง”
พอนึกถึงตอนลั่วปิงเหอคุกเข่าเก็บถ้วยชาที่พื้นอย่างน่าเวทนา ไหนจะร่างเล็กผอมต้องหิ้วน้ำสองถังขึ้นลงบันไดทางขึ้นเขากลับไปกลับมา ตอนกลางคืนยังต้องนอนงอก่องอขิงตัวสั่นด้วยความหนาวอยู่มุมห้องเก็บฟืน เขาก็ของขึ้น ไม่จับคนมาซ้อมเสียหน่อยคงไม่สบายใจ และคนๆนั้นต้องเป็นไอ้เซี่ยงเทียนต่าเฟยจีนี่ด้วย!
ซั่งชิงหัวมองสีหน้าเขา แล้วกล่าวอย่างประหลาดใจ “…กวาซยง สีหน้าแบบนี้ของคุณ อย่าบอกนะว่าคุณกำลังเจ็บปวดใจน่ะ ผมเข้าใจมาตลอดว่าคุณเป็นพวกยอมหักไม่ยอมงอ รักษาเขตแดนมั่น แล้วผมยังเข้าใจว่าคุณเป็นแมนแท้ด้วยนะนี่!”
เสิ่นชิงชิวถีบเขาทีหนึ่ง “ไม่มีเวลาพูดจาไร้สาระกับนายหรอกนะ บอกมา ตกลงควรจัดการเทียนหลางจวินยังไง”
ซั่งชิงหัวกล่าวอย่างเจ็บปวดใจว่า “อย่าทำเขาเลย! คุณไม่คิดว่าเขาน่าสงสารเหรอ แล้วบอกตามตรงนะ ผมเองก็ไม่รู้หรอกว่าควรจัดการยังไง เพราะรายละเอียดของพล็อตหลักยังเขียนไม่จบเลย”
เสิ่นชิงชิวว่า “ไม่จัดการเขา คนที่น่าสงสารก็จะกลายเป็นนายกับฉันนั่นแหละ คิดไม่ออกตอนนี้ก็คิดซะ ลอจิกของโลกใบนี้นายเป็นคนสร้างขึ้น ความคิดของนายนั่นแหละคือพล็อตหลัก!”
เขายังพูดไม่ทันจบ เสียงลั่วปิงเหอก็ลอยมา “ซือจุนคุยเสร็จแล้วหรือยังขอรับ หากเสร็จแล้วก็ควรออกเดินทางได้แล้ว”
นี่ยังไม่ถึง 5 นาทีเลยมั้ง เสิ่นชิงชิวหมุนตัวทันที “ออกเดินทางหรือ”
ลั่วปิงเหอกล่าวว่า “เจ้าสำนักเยวี่ยกับข้าคิดว่ารีบส่งคน 10 คนล่วงหน้าไปดึงกระบี่ออกก่อนเป็นดีที่สุด ซือจุนจะไปหรือไม่ ท่านไปข้าก็ไป”
เสิ่นชิงชิวตอบ “ก็ได้”
แล้วชะงัก ก่อนชี้ไปที่ซั่งชิงหัว “พาเขาไปด้วย”
ซั่งชิงหัวตกใจจนหน้าซีด คิ้วผูกเป็นโบ ร่ำร้องว่า กวาซยงไว้ชีวิตด้วย แต่เสิ่นชิงชิวจากไปเรียบร้อยแล้ว
หลิ่วชิงเกอและศิษย์ไป่จั้นเฟิงรับหน้าที่คอยเฝ้าดูผิวน้ำแข็ง เสิ่นชิงชิวเดินสวนผ่านเขาไป แต่แล้วจู่ๆก็หันกลับมากล่าวทีเล่นทีจริงว่า “สั่งศิษย์ฆ่าให้ได้หนึ่งพัน เช่นนั้นศิษย์น้องเองก็ต้องฆ่าให้ได้หนึ่งหมื่นเพื่อเป็นแบบอย่างนะ”
หลิ่วชิงเกอแค่นเสียง “กล้ามาก็ฆ่าหมด”
เสิ่นชิงชิวถาม “คราวนี้วางใจแล้วหรือยัง”
หลิ่วชิงเกอขบคิด ก่อนฝืนใจตอบ “มีศิษย์พี่เจ้าสำนักอยู่ด้วย”
ลั่วปิงเหอดึงชายเสื้อเสิ่นชิงชิว “ซือจุน พาข้าเหาะที”
เสิ่นชิงชิวก้มหน้ามองกระบี่ที่เอวเขา “…เจ้าก็มีกระบี่ไม่ใช่หรือ”
พออยู่ตามลำพังกับเสิ่นชิงชิว ลั่วปิงเหอก็เลิกสำแดงมาดเหี้ยมโหดอำมหิตอย่างสิ้นเชิง กล่าวอายๆว่า “หมูนี้ใช้ปราณมารมากไปพลังทิพย์น้อยไป เลยชักลืมๆแล้วว่าใช้อย่างไร”
ยังมีคนอื่นๆอีกเกือบสิบคนกำลังมองมาทางนี้ เสิ่นชิงชิวไม่อยากชักช้าอืดอาด เลยพูดอย่างขอไปทีว่า “ขึ้นมา!”
แล้วท่องกระบี่ขึ้นไปสูง พอเข้าเทือกเขาฝังกระดูกก็ร่อนสู่พื้นทันที ดังนั้นลั่วปิงเหอเลยอดกอดเขาให้นานอีกนิด
บริเวณที่ร่อนลงเต็มไปด้วยโขดหินระเกะระกะ ตามซอกหินสีขาวมีโครงกระดูกซุกอยู่เต็ม เงยหน้าขึ้นก็เห็นต้นไม้แปลกๆ สีดำสูงเสียดฟ้าเกี่ยวกระหวัดรัดพัน ไม่รู้สัตว์ประหลาดอะไรส่งเสียงหัวเราะประหลาดแหลมสูงชวนสยอง ผสานกับเสียงอีกาแก่สะท้อนไปมาในสันเขา
กว่าจะหากระบี่ซินหมัวเจอ น่าจะต้องใช้เวลาค้นหาในยอดเขาสักระยะ เสิ่นชิงชิวเตือนว่า “เทือกเขาฝังกระดูกเต็มไปด้วยปีศาจ ทางที่ดีอย่าไปแตะต้องอะไรที่ดูเหมือนมีชีวิตเด็ดขาด”
ลั่วปิงเหอเป็นเผ่ามาร เวลานี้จึงต้องแสดงความจริงใจในการร่วมมือ ย่อมเดินนำหน้า เสิ่นชิงชิวเดินตีคู่ไปกับเขา เดินๆกันอยู่ ลั่วปิงเหอก็ยื่นมือมาคว้ามือเสิ่นชิงชิวไปกุมเงียบๆ
อู๋วั่งกระแอมไอเสียงดัง อู๋เฉินท่องอมิตาพุทธ เยวี่ยชิงหยวนทอดสายตามองมานิ่งๆ
เสิ่นชิงชิวลมหายใจสะดุดไปพักหนึ่ง หน้าผาก แก้ม คอ ใบหูพากันร้อนผ่าว ว้าวุ้นใจอย่างไม่มีสาเหตุ และชักมือกลับอย่างระมัดระวัง
เพียงชั่วอึดใจที่อุ้งมือว่างเปล่า แววตาของลั่วปิงเหอก็แปรเปลี่ยนเป็นทุ่งหญ้าที่ปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งในฉับพลัน
ไม่นานนักเขาก็หัวเราะออกมา ข่มเสียงต่ำ “กลัวอะไร พวกเขามีเรื่องขอร้องข้า ไม่กล้าพูดอะไรหรอก”
เสิ่นชิงชิวลดเสียงกล่าว “ปัญหามันไม่ได้อยู่ตรงนั้น”
ลั่วปิงเหอไม่ยินยอม “เช่นนั้นปัญหาอยู่ตรงไหน”
เสิ่นชิงชิวหยิบพัดขึ้นมา “จัดการเรื่องราวให้เรียบร้อยก่อน แล้วค่อยว่ากัน”
ลั่วปิงเหอค่อยๆถอยออกไป ยกมุมปากเล็กน้อย “ได้” แล้วกล่าวเสียงเบาว่า “…ถึงอย่างไรก็มีเวลาอีกถมเถ”
ทุกคนล้วนตระหนักได้ว่าตามกิ่งใบหนาทึบและพุ่มหญ้าสูงถึงเอวรวมทั้งตามซอกโขดหินสีซีดขาวเต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วนที่ซุ่มรอจังหวะจู่โจม ดวงตาเรืองแสงสีเขียวและเสียงลมหายใจแผ่วต่ำดังสลับกันเป็นระลอกราวกับผิวน้ำกระเพื่อม
ข้อดีของการให้ลั่วปิงเหอเดินนำหน้าสุดปรากฏให้เห็นชัดเจนตอนนี้นี่เอง ที่ใดก็ตามที่เขาเดินผ่าน ลมปีศาจจะหยุดฉับ สรรพสำเนียงเงียบเป็นเป่าสาก บรรดาปีศาจที่ซุ่มอยู่ถ้าไม่แกล้งตายยกก๊วนก็ถอยกรูดไปหมด
พูดให้ระคายหูหน่อยก็ต้องบอกว่าวิ่งกันหากจุกตูดราวกับหนีโรคระบาด…
มีเทพท่านนี้ช่วยเหลือ เวลาที่ใช้ในการตามหาที่หมายจึงรวดเร็วกว่าที่คาดไว้มาก
หากท่ามกลางไอหมอกขาวจู่ๆ ก็เจอที่แห่งหนึ่งมีปราณมารสีดำเป็นลูกๆพวยพุ่ง ขอเพียงตาไม่บอดก็ต้องมองออกถึงความผิดปกติ
หน้าปากทางเข้าถ้ำภูเขาแห่งนี้มีใบไม้เขียวดกหนาขึ้นบดบัง มืดมนน่ากลัวมาก รู้สึกได้ถึงความเย็นยะเยือกตั้งแต่ข้างปากถ้ำเลยทีเดียว ทุกคนชะงักเท้า เกิดลังเลขึ้นมา
ตามที่คิดเอาไว้ในตั้งแต่แรก ก่อนจะมาถึงตรงนี้น่าจะต้องเข่นฆ่าขุนพลฝ่ายศัตรูสักแปดร้อย ตัดหัวปีศาจสักหนึ่งพัน และต้องฝ่าฝูงแมลงพิษ ดอกไม้ประหลาด อะไรต่อมิอะไรจึงจะมาถึงด่านสุดท้ายอย่างสะบักสะบอม
ต่อให้ไม่เจอขั้นตอนมากมายที่ว่า อย่างน้อยเสื้อผ้าก็น่าจะเปราะคราบเลือดเป็นหย่อมๆถึงจะสมกับเป็นด่านบอสไม่ใช่เรอะ!
เจ้าสำนักท่านหนึ่งกล่าวว่า “เกรงว่าไม่อาจกระทำการโดยประมาท”
เจ้าสำนักอีกท่านกล่าวอย่างเห็นพ้อง “จะให้ดีต้องตรวจสอบจริงเท็จเสียก่อน”
ลั่วปิงเหอเอ่ย “แน่นอนอยู่แล้ว”
เพิ่งจะพูดจบ โม่เป่ยจวินก็ถีบซั่งชิงหัวออกไป ถีบออกไปจริงๆ…ออกไปแล้ว…ไป…
ท่ามกลางสายตาตกตะลึงของเสิ่นชิงชิว ซั่งชิงหัวลอยหวือแล้วกลิ้งขลุกๆหายเข้าถ้ำไป ‘ตรวจสอบจริงเท็จ’ เรียบร้อยแล้ว
หลังจากเงียบกริบอยู่พักหนึ่ง มีเสีงร้องโหยหวนออกมาจากถ้ำ “อ๊าาาาาาาาาาา!”