ตอนที่ 1323
สงครามต้องการความฮึกเหิม
จากสี่ดวงดาวที่โคจรหมุนเวียนอยู่รอบๆ ขุนเขาที่เจ็ด สามดวงดาวถูกทำลายไป จนกลายเป็นสนามแห่งเศษซากปรักหักพัง และฝุ่นละอองที่ลอยไปมาอยู่ในท้องฟ้าซึ่งเต็มไปด้วยหมู่ดาว
ดาวที่ยังคงหลงเหลืออยู่เพียงดวงเดียวในตอนนี้ เป็นที่รู้จักกันดีในนามว่า
หู่เหลา (กรงพยัคฆ์)
ตอนนี้อวี่เหวินเจียนและผู้ฝึกตนนับหมื่น ที่ยังคงเหลืออยู่ของกองกำลังแห่งขุนเขาทะเลที่เจ็ด ต่างก็ไปอยู่บนดาวหู่เหลา กำลังต่อสู้กันอย่างดุร้ายกับกลุ่มคนนอกคอก
เป็นการต่อสู้ที่เต็มไปด้วยหยาดโลหิตและความขมขื่น เสียงระเบิดตนเองดังก้องออกไปเป็นระยะ ท้องฟ้าและผืนดินต่างก็กลายเป็นสีแดงราวโลหิต กลุ่มคนนอกคอกที่บ้าคลั่งและดุร้ายกำลังเติมเต็มความสามารถศักดิ์สิทธิ์ของพวกมันด้วยพลังชีวิตของตนเอง ทำให้ทะเลแห่งเปลวไฟสีดำเผาไหม้ไปยังทุกสรรพสิ่งที่มากีดขวางเส้นทางของมัน
รอยแตกขนาดใหญ่กำลังพุ่งกระจายออกไปทั่วทั้งพื้นผิวของดวงดาว เมืองและสิ่งมีชีวิตกำลังสั่นสะท้านไปทั้งหมด สำหรับพวกมันแล้วราวกับว่าวันสิ้นโลกกำลังมาเยือนแล้ว
แม้แต่ท้องฟ้าก็ดูเหมือนว่าแทบจะพังทลายลงไป ขณะที่ผู้ฝึกตนและกลุ่มคนนอกคอกต่อสู้กันอยู่นั้น มีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่ดูเหมือนว่าจะเป็นปกติเช่นเดียวกัน ซึ่งก็คือพวกมันกำลังตะเกียกตะกายดิ้นรนอยู่ในความเป็นตายด้วยกันทั้งหมด
อันที่จริงอวี่เหวินเจียนไม่ใช่ผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งมากที่สุด ในท่ามกลางกลุ่มผู้ฝึกตนนับหมื่นเหล่านั้น
แต่เนื่องจากมันมีศักดิ์ฐานะเป็นผู้ฝึกตนลำดับขั้น ทำให้คำพูดที่เปล่งออกมามีน้ำหนักเป็นอย่างมาก และตอนนี้มันก็เป็นผู้นำกลุ่มผู้ฝึกตนอยู่ในสนามรบ
ร่างกายมันเปียกชุ่มไปด้วยโลหิต จนถึงจุดที่ดูเหมือนว่ามันกำลังสวมใส่ชุดโลหิตอยู่ ผิวหนังเต็มไปด้วยบาดแผล และดวงตาก็กลายเป็นสีแดงก่ำโดยสิ้นเชิง ดูน่ากลัวอย่างถึงที่สุด
อย่างไรก็ตาม ภายใต้ความน่ากลัวนั้น ก็แอบแฝงไว้ด้วยความโศกเศร้าและสิ้นหวัง
“มีชีวิตอยู่เพื่อขุนเขาทะเล ตายไปเพื่อขุนเขาทะเล!!” อวี่เหวินเจียนแหงนหน้าขึ้นและหัวเราะออกมา กลุ่มผู้ฝึกตนที่อยู่ด้านหลังมันตอบรับด้วยเสียงแผดร้องคำรามที่ทรงพลัง กลิ่นอายอันน่ากลัวพุ่งกระจายออกไป พวกมันอาจจะต่อสู้อยู่ในสงครามที่ไม่อาจจะเอาชนะได้ แต่ก็ยังคงต้องการสังหารกลุ่มคนนอกคอกให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
ไม่มีเส้นทางให้หลบหนีจากไป…ในขุนเขาทะเลที่เจ็ด ทุกพื้นที่ที่เคยจงรักภักดีต่อไป๋จู่ก่อนหน้านี้ ตกอยู่ในเงื้อมมือของศัตรูไปหมดสิ้นแล้ว เหล่าผู้ฝึกตนได้แต่เฝ้ามองไป ขณะที่สามดวงดาวของพวกมันถูกทำลายลง สิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วนต้องถูกสังเวยไป ขุนเขาทะเลที่เจ็ดถูกครอบครองโดยกลุ่มคนนอกคอกอย่างต่อเนื่อง และผู้ฝึกตนดั้งเดิมก็ไม่อาจจะทำอะไรได้นอกจากต้องแผดร้องด้วยโทสะเท่านั้น
ตอนนี้เหตุผลเดียวเท่านั้นที่พวกมันยังคงมีชีวิตอยู่ก็คือต่อสู้ ถึงแม้ว่าจะเหลืออยู่แค่ลมหายใจสุดท้ายเท่านั้น พวกมันก็จะใช้มันเพื่อสังหารคนนอกคอกให้ได้เพิ่มขึ้น!
เสียงระเบิดดังก้องออกไป และอวี่เหวินเจียนก็กระอักโลหิตออกมา มันกำลังเผชิญหน้ากับคนนอกคอกอาณาจักรเต๋าที่กำลังเยาะเย้ยด้วยคำพูดที่เย็นชา ซึ่งพุ่งลงมายังร่างมันด้วยความรวดเร็วราวสายฟ้า มือขวาของคนนอกคอกแวบขึ้นเพื่อขยับร่ายเวท และเปลวไฟสีดำก็พุ่งกระจายออกไปเพื่อก่อตัวเป็นปากขนาดใหญ่ พุ่งตรงไปกลืนกินอวี่เหวินเจียน
อวี่เหวินเจียนหัวเราะอย่างขมขื่น เมื่อต้องเผชิญหน้ากับคนนอกคอกอาณาจักรเต๋าก่อนหน้านี้ ก็มักจะมีผู้แข็งแกร่งอาณาจักรเต๋าแห่งขุนเขาทะเลที่เจ็ดมาตรึงพวกมันไว้ แต่ตอนนี้ผู้แข็งแกร่งอาณาจักรเต๋าเหล่านั้นต่างก็ตกตายไป หรือไม่ก็ได้รับบาดเจ็บอย่างสาหัสไปจนหมดสิ้น อวี่เหวินเจียนกำลังจ้องมองไปด้วยสีหน้าที่มุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว! ดวงตาสาดประกายขึ้นด้วยความบ้าคลั่ง จ้องมองไปยังคนนอกคอกอาณาจักรเต๋า และเตรียมตัวที่จะระเบิดตนเองไป
ผู้ฝึกตนอื่นๆ ที่อยู่ใต้คำสั่งของมัน ก็จ้องมองไปด้วยสายตาที่แดงก่ำด้วยเช่นกัน และเตรียมตัวที่จะระเบิดตนเองตามมันไป การระเบิดตนเองไปของผู้ฝึกตนเพียงคนเดียว ไม่อาจจะทำอะไรกับผู้แข็งแกร่งอาณาจักรเต๋าได้ แต่ถ้าระเบิดพร้อมกันทั้งสิบคนหรือร้อยคนหรือหนึ่งพันคน ก็เป็นเรื่องที่แตกต่างกันออกไป!
พลังการระเบิดที่รวมตัวกันอย่างมากมายเช่นนั้น แม้แต่ผู้แข็งแกร่งอาณาจักรเต๋าก็ยังต้องตื่นตระหนก
ดวงตาคนนอกคอกนั้นเบิกกว้างขึ้นและขมวดคิ้ว แต่เมื่อมันกำลังจะทำการป้องกัน จู่ๆ สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ที่ทำให้สวรรค์ต้องสะท้านปฐพีต้องสะเทือนก็ระเบิดออกมา
เป็นสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ที่ระเบิดขึ้นด้วยรังสีสังหาร ความเกลียดชังและความบ้าคลั่ง และขณะที่มันกระจายออกไปทั่วทั้งสนามรบ ดวงตาของคนนอกคอกอาณาจักรเต๋าก็เบิกกว้างขึ้น และร้องตะโกนออกมาด้วยความตกใจ
“เต๋า…” มันร้องตะโกนขึ้นมาได้แค่คำเดียวเท่านั้น ก่อนที่ศีรษะจะระเบิดออกและร่างกายก็แตกกระจายไป แทบจะในเวลาเดียวกันนั้น กลุ่มคนนอกคอกอื่นๆ ที่อยู่ในสนามรบก็แผดร้องอย่างน่าอนาถใจออกมา สีหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ขณะที่ร่างกายระเบิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ถ้ามองมาจากที่ห่างไกลขึ้นไปบนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว สนามรบแทบจะดูคล้ายกับเป็นสนามแห่งบุปผาโลหิตที่กำลังเบ่งบาน…
กลุ่มคนนอกคอกที่รอดชีวิตต่างก็ตื่นตระหนกและหวาดกลัว พวกมันพยายามจะหลบนีจากไปในทันที ทิ้งให้ผู้ฝึกตนแห่งขุนเขาทะเลที่เจ็ดยืนอยู่ที่นั่นด้วยความตกตะลึง แต่ความเกลียดชังของพวกมันไม่มีทางจะลดลงไปได้ จึงรีบโจมตีไปยังกลุ่มคนนอกคอกที่กำลังหลบหนีในทันที
อวี่เหวินเจียนกำลังสั่นสะท้าน แต่ก็ไม่มีเวลาให้ขบคิด และเข้าไปร่วมการสังหารอย่างรวดเร็ว
ในตอนนี้เองที่เงาร่างๆ หนึ่งได้ปรากฏขึ้นในสนามรบ ซึ่งก็คือเมิ่งฮ่าวที่เพิ่งจะเคลื่อนย้ายทางไกลเข้ามา ฉับพลันนั้นเขาก็ยกมือขวาขึ้น และทำท่าตะกุยไปอย่างดุร้าย
พลังแห่งขุนเขาทะเลกระจายออกไป ถึงแม้ว่าจะไม่มีพลังมากมายมหาศาล ไม่เพียงพอแม้แต่จะต่อสู้กับผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิเต๋า แต่กลุ่มคนนอกคอกใดๆ ก็ตาม ที่อยู่ต่ำกว่าอาณาจักรนั้น ก็ต้องถูกบดขยี้ไปอย่างง่ายดายราวกับเป็นหญ้าแห้ง!
เสียงกระหึ่มดังก้องขึ้น ขณะที่หัตถ์ภาพลวงตาขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว ระลอกคลื่นอันไร้ขอบเขตกระจายออกมาจากหัตถ์ยักษ์ ขณะที่ตะกุยตรงไปยังกลุ่มคนนอกคอก
ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวสั่นสะเทือน และรอยแตกจำนวนมากก็ถูกกรีดเฉือนจนแยกเปิดออก ในชั่วพริบตาอาณาเขตในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวที่ถูกยึดครองโดยกลุ่มคนนอกคอกก็ถูกบดขยี้ไปโดยสิ้นเชิง!
ตูม!
เสียงแผดร้องโหยหวนและเสียงคำรามด้วยโทสะขาดหายไปในทันที ชั่วขณะต่อมาหัตถ์ยักษ์ก็หายไป สิ่งที่ยังคงเหลืออยู่ทั้งหมดก็คือเถ้าธุลีที่กำลังลอยไปในสายลม
สนามรบเงียบกริบลง และผู้ฝึกตนจากขุนเขาทะเลที่เจ็ดก็มองไปรอบๆ ด้วยความตกตะลึง อวี่เหวินเจียนที่อยู่ในกลุ่มฝูงชนหันหน้ามองไปยังเมิ่งฮ่าว
“เมิ่งฮ่าว…” มันกล่าวขึ้น ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม น่าเสียดายที่รอยยิ้มนั้นดูขมขื่นและว่างเปล่าเป็นอย่างยิ่ง
ถึงแม้ว่ากลุ่มคนนอกคอกกว่าหนึ่งหมื่นคนเพิ่งจะถูกสังหารไป แต่ก็ไม่มีใครส่งเสียงร้องตะโกนด้วยความยินดีออกมา มองไม่เห็นความตื่นเต้นใดๆ ผู้ฝึกตนแห่งขุนเขาทะเลที่เจ็ดแค่ยืนอยู่ที่นั่นอย่างเงียบๆ เท่านั้น
เมื่อพวกมันหมุนตัวไปเผชิญหน้ากับเมิ่งฮ่าว แทบจะดูเหมือนว่าแววตาของพวกมันไร้ชีวิตชีวาไปโดยสิ้นเชิง ราวกับว่าวิญญาณของพวกมันได้ตายไปแล้ว
พวกมันรู้ดีว่าจำนวนกลุ่มคนนอกคอกในขุนเขาทะเลที่เจ็ดตอนนี้ไม่อาจจะนับได้อย่างแท้จริง ถึงแม้ว่าจะเอาชนะในสนามรบนี้ได้ แต่สนามรบต่อไป…ก็คงมีผลลัพธ์เป็น ขุนเขาทะเลที่เจ็ดถูกกวาดล้างไปจนหมดสิ้น
พวกมันประสานมือและโค้งตัวลงให้กับเมิ่งฮ่าวอย่างเงียบๆ จากนั้นก็เริ่มแยกย้ายนำพาสหายที่ตกตายจากไป และเริ่มลบล้างกลิ่นคาวโลหิตของกลุ่มคนนอกคอก
ทุกสิ่งทุกอย่างยังคงเงียบกริบราวความตาย…
ขณะที่เมิ่งฮ่าวมองไปรอบๆ ยังผู้ฝึกตนที่ไร้จิตวิญญาณเหล่านั้น ก็รู้สึกราวกับว่าจิตใจตนเองกำลังถูกแทงด้วยคมมีด
ใบหน้าอวี่เหวินเจียนบิดเบี้ยวขึ้นด้วยความเจ็บปวดจากบาดแผล ขณะที่เข้ามาใกล้เมิ่งฮ่าว จากนั้นก็มองไปรอบๆ ยังสหายร่วมรบของมันทั้งหมด และกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ขมขื่น “พวกมันเป็นเช่นนี้เพราะว่าพวกเราไม่มีความหวังหลงเหลืออยู่…”
“เมิ่งฮ่าว เจ้าคิดว่าพวกเราสามารถ…ชนะในสงครามครั้งนี้ได้จริงๆ?”
อวี่เหวินเจียนเอ่ยขึ้นด้วยความงุนงง บางทีมันอาจจะไม่ได้ถามเมิ่งฮ่าวอยู่ แต่กำลังค้นหาหนทางบางอย่างเพื่อปลุกเร้าตัวเอง ถึงแม้ว่าจะเป็นเรื่องหลอกลวงก็ตามที…
ในช่วงชีวิตของเมิ่งฮ่าวเคยเผชิญหน้ากับสงครามมาแล้วหลายครั้ง แต่ก็ไม่เคยพบเจอกับประสบการณ์เช่นเมื่อครู่นี้มาก่อน ทำให้ต้องสะท้านใจด้วยความเจ็บปวดอย่างไร้ที่สิ้นสุด กวาดมองไปรอบๆ ยังผู้ฝึกตนแห่งขุนเขาทะเลนับหมื่น มองเห็นความเหน็ดเหนื่อยของพวกมัน เห็นความสิ้นหวังที่ซ่อนลึกอยู่ในจิตใจ และมองเห็นความเกลียดชังที่มีต่อกลุ่มคนนอกคอกอย่างลึกล้ำ
ทันใดนั้นเมิ่งฮ่าวก็รู้สึกว่าอยากจะพูดขึ้นมา ถึงแม้ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรก็ตามที ราวกับมีเสียงในส่วนลึกของจิตใจต้องการจะร้องตะโกนออกไปอย่างไม่คิดชีวิต เพื่อกระตุ้นปลุกเร้ากลุ่มคนที่อยู่รอบๆ เหล่านี้
“สหายเต๋าแห่งขุนเขาทะเล! ข้าคือเมิ่งฮ่าว ผู้ฝึกตนลำดับขั้นจากขุนเขาทะเลที่เก้า!”
“ข้าไม่แน่ใจว่าพวกเราจะชนะในสงครามครั้งนี้หรือไม่ แต่สิ่งที่ข้ารู้ก็คือว่า
ไห่เมิ่งจื้อจุนกำลังต่อสู้กับผู้ยิ่งใหญ่นอกคอกบนนั้น!” ขณะที่กล่าวขึ้นมา คำพูดของเมิ่งฮ่าวก็เริ่มปลุกเร้าความรู้สึก และชี้นิ้วตรงขึ้นไปยังด้านบนของท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว
“ข้ายังรู้ด้วยอีกว่าราชันแห่งขุนเขาทะเลที่สี่ ตี้จ้าง ก็กำลังต่อสู้กับราชันจักรพรรดินอกคอกด้วยเช่นกัน!”
“ราชันขุนเขาทะเลอื่นๆ ต่างก็กำลังต่อสู้กับร่างจำแลงของจักรพรรดิเต๋านอกคอกกันทั้งหมด ยิ่งไปกว่านั้นข้าเพิ่งจะหลอกล่อให้จักรพรรดิเต๋าอีกคนตกอยู่ในสามสิบสามนรกเมื่อครู่นี้ ถ้ามันไม่ตายอยู่ในที่แห่งนั้น อย่างน้อยก็ไม่อาจจะโผล่ออกมาได้ในช่วงเวลาสั้นๆ นี้!”
“อีกสิ่งหนึ่งที่ข้ารู้ก็คือว่าในตอนนี้ ข้า, เมิ่งฮ่าวคือผู้ฝึกตนเพียงคนเดียวที่สามารถจะต่อสู้กับระดับจักรพรรดิเต๋าที่ยังไม่โผล่ออกมานั้นได้!”
“ข้าไม่รู้ว่าพวกเราจะชนะในสงครามครั้งนี้หรือไม่ แต่…อาณาจักรขุนเขาทะเลจะไม่ยอมถูกกวาดล้างไปอย่างง่ายดาย!”
“พวกเราคือลูกหลานแห่งอาณาจักรเซียนผู้ยิ่งใหญ่ ที่มีชีวิตรอดอยู่จนถึงทุกวันนี้ จนกระทั่งกลายเป็นอาณาจักรขุนเขาทะเลในตอนนี้ และสงครามก็เพิ่งจะเริ่มขึ้นเท่านั้น พวกเราจะหมดหวังไปเพื่ออันใด?!?!”
ขณะที่เมิ่งฮ่าวมองออกไปยังผู้ฝึกตนแห่งขุนเขาทะเลที่เจ็ด จิตใจก็พลุ่งพล่านขึ้นด้วยแรงกระตุ้นอันทรงพลัง การต่อสู้อย่างดุร้ายกำลังเกิดขึ้นเหนือดาวหนานเทียนในขุนเขาทะเลที่เก้า ค่ายกลเวทป้องกันตระกูลหลี่กระจายออกปกคลุมไปทั่วทั้งดวงดาว เพื่อให้มั่นใจว่ากลุ่มคนนอกคอกใดๆ ก็ตามที่เข้ามาใกล้จะถูกทำลายไป ก่อนที่พวกมันจะย่างเท้าลงไปบนดาวหนานเทียน
พิรุณโลหิตจากกลุ่มคนนอกคอกตกลงมาจากท้องฟ้า แน่นอนว่าโลหิตเหล่านั้นสกปรกจนถึงจุดที่สามารถจะทำร้ายผู้ฝึกตน และทำให้พื้นดินเสียหายไปได้ ดังนั้นจึงไม่อาจจะปล่อยให้โลหิตเหล่านั้นตกลงมาบนพื้นดินได้ ทำให้พวกมันกระจายไปเป็นกลุ่มหมอก ต่อหน้าต่อตาของผู้ฝึกตนแห่งดาวหนานเทียน
ที่กำลังยืนอยู่บนยอดเขายังที่ห่างไกลคือสุ่ยตงหลิว ท่านกำลังจ้องมองขึ้นไปยังท้องฟ้า ด้วยแววตาที่โศกเศร้าเสียใจอยู่ตลอดเวลา
ในบางช่วงก็มีเรือโบราณลำหนึ่งปรากฏขึ้นยังที่ห่างไกลออกไป กำลังลอยตัวอยู่ที่นั่นในกลางอากาศ เป็นเรือที่ไม่มีใครสามารถจะมองเห็นได้ แทบจะราวกับว่า…มันไม่เคยคงอยู่มาก่อน
ชายชราผู้หนึ่งนั่งขัดสมาธิหันหลังออกไปอยู่บนหัวเรือ ราวกับว่าท่านถูกสวรรค์และปฐพีทั้งปวงทอดทิ้งให้อยู่อย่างเดียวดาย
ถ้าเมิ่งฮ่าวอยู่ในที่แห่งนั้น ก็จะต้องจดจำเรือลำนี้และชายชราผู้นี้ได้ในทันที เขาเคยเดินทางไปด้วยเรือลำนี้ ตอนที่ปรมาจารย์รุ่นสิบตระกูลหวังมาแย่งชิงพื้นฐานสมบูรณ์ของตนเองไป ทำให้ชีวิตของเมิ่งฮ่าวต้องแขวนอยู่บนขอบเหวแห่งความตาย
เรือลำนี้ได้พาเขาเดินทางไปทั่วทั้งอาณาจักรขุนเขาทะเลราวกับเป็นความฝัน เป็นการเดินทางที่ช่วยเปิดหูเปิดตาเมิ่งฮ่าวยังโลกที่กว้างขึ้น
ไม่ว่าจะด้วยความตั้งใจหรือไม่ก็ตาม แต่ชายชราบนเรือลำนี้ก็ช่วยรักษาอาการบาดเจ็บของเมิ่งฮ่าว และมอบพลังชีวิตให้เล็กน้อย ทำให้เขามีชีวิตอยู่ต่อไปได้ช่วงเวลาหนึ่ง
ตอนนี้เรือลำนั้นกำลังลอยอยู่ในกลางอากาศ ตรงเบื้องหน้าสุ่ยตงหลิว
สุ่ยตงหลิวยืนอยู่บนยอดเขา และชายชราบนเรือก็นั่งหันหลังอยู่ที่นั่น ถึงแม้ว่าสายตาของคนทั้งสองจะไม่สบประสานกัน แต่ก็ราวกับว่าพวกท่านกำลังมองดูซึ่งกันและกันอยู่
ทันใดนั้นเสียงเก่าแก่โบราณก็ได้ยินมา ขณะที่ชายชราบนลำเรือกล่าวขึ้น “จำเป็นต้องทำเช่นนี้?…ไม่มีความหวังเหลืออยู่อีกแล้ว”
เห็นได้ชัดว่านี่เป็นครั้งแรกที่ชายชราผู้นี้กล่าวขึ้นมาอย่างแท้จริง ดูเหมือนว่าเสียงนั้นจะดังก้องออกมาจากส่วนลึกแห่งห้วงกาลเวลา ขณะที่ท่านพูดขึ้นก็ดูเหมือนว่าเรือลำนั้นจะยิ่งกลายเป็นภาพลวงตามากขึ้นกว่าเดิม
สุ่ยตงหลิวไม่กล่าวตอบ ยังคงจ้องมองออกไปยังที่ห่างไกลอยู่ตลอดเวลา
หลังจากที่ผ่านไปนาน ชายชราบนลำเรือถอนหายใจ จากนั้นร่างท่านและตัวเรือก็จางหายไปอย่างช้าๆ
แทบจะในช่วงเวลาเดียวกับที่ตัวเรือและชายชราหายไป จู่ๆ สุ่ยตงหลิวก็หันหน้าไป ใครบางคนกำลังเข้ามาใกล้ท่านจากทางด้านหลังอย่างเงียบๆ เป็นบุรุษในชุดสีดำผู้หนึ่ง สีหน้าสงบนิ่งเยือกเย็น มีรูปร่างหน้าตาที่ไม่ธรรมดา แต่ก็มีกลิ่นอายอันน่ากลัวอย่างน่าประหลาดใจกระจายออกมาจากร่าง นี่คือบุคคลที่เคย…สอนวิชาก้าวเดินผ่านห้วงกาลเวลาให้กับเมิ่งฮ่าว…มือสังหาร!
มันมองไปยังสุ่ยตงหลิวด้วยสายตาที่เย็นชา รังสีสังหารแวบขึ้นมาในแววตา
“ข้าสงสัยมานานแล้ว…ข้าน่าจะหายสาบสูญไปแล้ว ทำไมถึงยังกลับมาได้อีก? แต่เมื่อเห็นเจ้า ข้าก็เข้าใจแล้ว”
“ครั้งเดียว ข้าจะช่วยเจ้า…แค่ครั้งเดียวเท่านั้น!” ด้วยเช่นนั้นมือสังหารก็มองไปยังสุ่ยตงหลิวอย่างลึกซึ้ง จากนั้นก็หายลับตาไป
สุ่ยตงหลิวยืนครุ่นคิดอยู่ที่นั่น ตลอดช่วงเวลานั้น ท่านไม่เคยพูดออกมาแม้แต่คำเดียว ในที่สุดดวงตะวันก็ลับขอบฟ้า ยามราตรีมาเยือน และจันทราก็ส่องแสงสว่างจนเกิดเป็นเงาทอดยาวอยู่ด้านหลังท่าน
“อาณาจักรล่มสลายแต่ขุนเขาและสายน้ำยังคงอยู่ อาณาจักรคงอยู่แต่ขุนเขาและสายน้ำมอดมลาย…ทางเลือกนี้ถูกกำหนดไว้นานแล้ว” แสงแห่งความมุ่งหวังแปลกๆ เริ่มสาดประกายขึ้นในแววตาท่านอย่างช้าๆ
“อาณาจักรขุนเขาทะเลตกอยู่ในห้วงสงคราม ทำให้จิตวิญญาณของผู้คนลุกฮือขึ้น!”
——————–
หมายเหตุ
- 1. ดาวหู่เหลา คือที่อยู่ของโฉ่วเหมินไถซึ่งเป็นศพเซียนที่ตกลงมาจากท้องฟ้าในภาคแรก มีพูดถึงในตอนที่ 301, 322 และ 979
- 2. ช่วงที่เมิ่งฮ่าวอยู่บนเรือกับชายชรา เริ่มประมาณตอนที่ 683: นับจากนี้ไป
อาณาจักรล่มสลายแต่ขุนเขาและสายน้ำยังคงอยู่
(国破山河在- กั๋วพั่วซานเหอจ้าย แปลตรงตัวว่า แม้ประเทศชาติจะล่มสลายแต่ขุนเขาและสายน้ำยังคงอยู่) ในที่นี้หมายถึง ต่อให้อาณาจักรขุนเขาทะเลจะล่มสลายไป แต่ผู้คนยังคงอยู่