Skip to content

I shall seal the heaven Chapter 1455

ตอนที่ 1455

จิ่วจุนมาถึง

จักรพรรดิเต๋าขมวดคิ้ว มองไปยังรอยฟกช้ำบนลำคอของบุรุษหนุ่ม ก็เห็นได้ชัดว่าเกิดจากการกระชากจี้หยกออกมาจากลำคอด้วยความกระวนกระวายใจ

มันคือบุตรชายของปรมาจารย์ชื่อเฟิง และมีพื้นฐานฝึกตนอยู่ที่ระดับจักรพรรดิเต๋าหกแก่นแท้ ในชางหมางพ่ายมันคือผู้แข็งแกร่งมากที่สุดรองลงมาจากระดับผู้ยิ่งใหญ่ กล่าวกันโดยทั่วไปแล้ว มันเป็นคนที่สามารถจะสังหารใครก็ได้ด้วยความเด็ดขาด เมื่อรวมกับความจริงที่ว่า บิดาของมันเกือบจะกลายเป็นตี้ปาจื้อจุนคนต่อไปแล้ว ทำให้ศักดิ์ฐานะของมันมีแต่จะสูงขึ้นไปอย่างต่อเนื่อง และพื้นฐานฝึกตนของมันก็มีความก้าวหน้าขึ้นไปอยู่ตลอดเวลา

กลุ่มคนในตี้ปาจงยังได้เริ่มกล่าวอ้างบิดาและบุตรในฐานะที่เป็นผู้ยิ่งใหญ่อีกด้วย ถึงแม้ว่าบุรุษหนุ่มจะไม่มีทางได้รับความเคารพเช่นนั้น แต่มันก็เป็นสายโลหิตเดียวกัน ดังนั้นถ้าบิดาจักรพรรดิเต๋าต้องการจะลงโทษมัน หรือแม้แต่สังหารมันไป ก็ไม่มีใครพูดอะไรออกมา แต่ถ้ามีใครมาทำร้ายบุตรชายมัน ก็เหมือนกับการมาโจมตีมัน หรือโจมตีปรมาจารย์ชื่อเฟิงโดยตรง

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคิดว่าปรมาจารย์ชื่อเฟิงกำลังบรรลุถึงจุดวิกฤตในการฝึกตน สำหรับจักรพรรดิเต๋าแล้ว การที่มีใครบางคนมากระทำเรื่องเช่นนี้กับบุตรชายของมัน ก็เหมือนกับเป็นการบ่งบอกว่ามีกองกำลังบางแห่งกำลังพยายามจะเคลื่อนไหว แต่ด้วยเป้าหมายอะไร มันไม่อาจจะรู้ได้

และมันก็ไม่จำเป็นต้องรับรู้

“ไม่ว่าจะเป็นใครที่ทำเรื่องนี้ ใครก็ตามที่บังอาจมาตอแยสายโลหิตข้า จะต้องถูกกำจัดไป!” จักรพรรดิเต๋าแค่นเสียงเย็นชา โบกสะบัดชายแขนเสื้อออกไป กลิ่นอายอันน่ากลัวปะทุขึ้น แผ่กระจายออกไปรอบๆ บริเวณนั้น

ทำให้จิตใจของผู้ฝึกตนแห่งตี้ปาจงที่อยู่ใกล้เคียงเริ่มหนาวเหน็บด้วยความหวาดกลัว พวกมันต่างก็ตระหนักดีว่าในตอนนี้สายโลหิตของปรมาจารย์ชื่อเฟิงกำลังเตรียมตัวที่จะไปสังหารด้วยความสนุกสนานแล้ว

“น่าสงสารสัตว์อสูรอาณาจักรเต๋านัก…หญิงสาวนางนี้ต้องมีเครือญาติอยู่ในสำนักของนางอย่างแน่นอน แต่น่าเสียดายในชางหมางพ่ายแห่งนี้ พลังและความแข็งแกร่งคือผู้ยิ่งใหญ่”

“การค้นหาขนหงส์หรือเขากิเลนน่าจะง่ายกว่าการพบเห็นใครบางคนบนดาวชางหมาง ที่สามารถจะเทียบได้กับปรมาจารย์ชื่อเฟิง…” ความคิดเหล่านี้กำลังวิ่งไปมาในจิตใจของกลุ่มคนทั้งหมดในที่แห่งนี้ แม้แต่บางคนยังได้เริ่มกระจายรังสีสังหารของตนเองออกมาอีกด้วย เพื่อเป็นการบ่งบอกว่าพวกมันต้องการเข้าร่วมกับจักรพรรดิเต๋า ไม่ว่าจะมีการกระทำอย่างไรก็ตาม

ดูเหมือนว่าจักรพรรดิเต๋าจะพึงพอใจต่อเรื่องนี้ จ้องมองไปยังบุรุษหนุ่ม กล่าวขึ้นมาว่า “ยังไม่นำทางไปอีก? พวกเราจะไปดูว่าใครที่บังอาจเช่นนี้ กล้าปล่อยให้สัตว์อสูรมาทำร้ายศิษย์ของชางหมางพ่าย!”

สำหรับเยียนเอ๋อร์ มันไม่เหลือบมองไปแม้แต่น้อย ถึงแม้ว่าจะตระหนักดีถึงความชั่วร้ายของบุตรชาย และทำให้ตนเองต้องปวดศีรษะอยู่บ้างในบางครั้ง แต่ก็มีทัศนคติเช่นเดียวกับปรมาจารย์ชื่อเฟิง ในมุมมองของมัน บุตรชายตนเองมักจะมีความระมัดระวังตัวอยู่ตลอดเวลา และสำหรับผู้ฝึกตนแล้ว ความระมัดระวังตัวนั้นก็เหมือนกับความน่าเชื่อถือ

เมื่อคิดว่าหญิงสาวมีสัตว์อสูรอาณาจักรเต๋าคอยเฝ้าปกป้อง ก็เห็นได้ชัดว่านางมีเครือญาติอยู่ภายในสำนัก แต่สำหรับชื่อเฟิงแล้ว เครือญาติเช่นนั้นไม่มีค่าแม้แต่จะเหลือบแลไป

ผู้ฝึกตนอื่นๆ ทั้งหมดในกลุ่มฝูงชน ต่างก็รู้สึกเช่นเดียวกับจักรพรรดิเต๋า เป็นความจริงที่จะค้นหาขนหงส์หรือเขากิเลนได้ง่ายกว่า การพบเห็นใครบางคนที่สามารถจะทำให้จิตใจของกลุ่มคนในสายโลหิตนี้หวาดกลัวได้

จักรพรรดิเต๋าแทบไม่อยากจะเชื่อว่าการเดินทางออกไปนอกสำนักของบุตรชาย จะไปตอแยหาเรื่องใครบางคนที่พวกมันไม่กล้าจะมีเรื่องด้วย

เมื่อมันพูดออกมา พลังแห่งจักรพรรดิเต๋าก็พุ่งทะยานขึ้นไป ทำให้ทุกสรรพสิ่งในบริเวณนั้นสั่นสะเทือนไปมา

ดวงตาของบุรุษหนุ่มเบิกกว้างขึ้นด้วยความดีใจ ในชั่วชีวิตของมัน ไม่เคยรู้สึกหวาดกลัวมากไปกว่าเรื่องเมื่อครู่นี้อีกแล้ว มันเกือบจะตายไปแล้วจนจิตใจแทบจะพังทลายลงไป

มันหัวเราะเป็นเสียงดังก้องออกมา มองไปยังเยียนเอ๋อร์ที่กำลังหวาดกลัว ดวงตาสาดประกายขึ้นด้วยแสงแห่งความต่ำช้า

“เสียวเหม่ยเหริน (นางงามน้อย) สุนัขที่เฝ้าพิทักษ์เจ้าตัวนั้น กงจื่อจะต้มมันและกินลงไปต่อหน้าเจ้า วางใจได้ ข้าจะให้เจ้าได้กินสักหลายคำด้วยเช่นกัน”

เยียนเอ๋อร์สั่นสะท้านกัดริมฝีปากจนแน่น ในตอนนี้จิตใจนางเต็มไปด้วยความหวาดกลัวโดยสิ้นเชิง รู้สึกโดดเดี่ยว ไม่อาจจะทำอะไรได้ และไร้ความหวังใดๆ ฉับพลันนั้นก็คิดไปถึงท่านอาจารย์มากขึ้นกว่าเดิม

“ซือจุน…ช่วยข้าด้วย…” นางเอาแต่ร้องไห้ พึมพำขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่สั่นสะท้าน

“เจ้าพูดถึงอาจารย์? ฮา ฮา ฮา! ไม่ว่ามันจะเกี่ยวข้องอะไรกับเจ้าเดรัจฉานตัวนั้น ถ้ามันกล้ามาตอแยข้า มันก็ต้องตาย และก่อนที่มันจะตายไป ข้าจะทำให้มันคลานเหมือนสุนัข!” แสงอันชั่วร้ายสาดประกายขึ้นมาในดวงตาของบุรุษหนุ่ม ขณะที่เสียงหัวเราะของมันดังก้องไปทั่วในอากาศ กำลังจะนำกลุ่มคนจากไป

แต่ทันใดนั้นเองที่เสียงแค่นเย็นชาก็ปกคลุมไปทั่วยังรังสีสังหารของกลุ่มผู้ฝึกตนที่อยู่รอบๆ บริเวณนั้น ราวกับเป็นเสียงฟ้าร้องคำราม จนทำให้ทุกสรรพสิ่งสั่นสะเทือนจนแทบจะระเบิดขึ้นไป

พื้นดินสั่นไหวไปมา และพื้นกระเบื้องก็กลายเป็นเถ้าธุลีไป ลมพายุพุ่งขึ้นมากระจายออกปกคลุมไปทั่วทั้งตี้ปาจงในทันที

ตี้ปาจงมีขนาดกว้างใหญ่ แต่ต่อให้มีขนาดที่กว้างใหญ่กว่านี้ ลมพายุนั้นก็ยังคงปกคลุมได้ทั้งหมด เวลาเดียวกันนั้นราวกับมีเท้ายักษ์ที่มองไม่เห็นกระทืบลงไปบนพื้นดิน ทำให้เกิดเป็นระลอกคลื่นขนาดใหญ่พุ่งกระจายออกเต็มไปทั่วทั้งตี้ปาจง ทำให้ภูเขา, อาคารบ้านเรือน และพื้นดินทั้งหมดต้องสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง

นอกจากจะมีผลต่อวัตถุสิ่งของที่อยู่รอบๆ บริเวณนั้นแล้ว

ผู้ฝึกตนทั้งหมดในตี้ปาจง ไม่ว่าจะมีพื้นฐานฝึกตนอยู่ที่ระดับใด สิ่งที่พวกมันกำลังกระทำอยู่ในตอนนี้ก็คือ…เริ่มสั่นสะท้านขึ้นมา ราวกับว่าภูเขากำลังบดขยี้ลงมายังร่างพวกมัน ทำให้โลหิตพ่นกระจายออกมาจากปาก แต่ทันใดนั้นพวกมันก็ต้องประหลาดใจเมื่อตระหนักว่า…ไม่อาจจะขยับตัวเคลื่อนไหวได้

เสียงแผดร้องด้วยโทสะดังก้องอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยแรงกดดันอันน่าเหลือเชื่อนี้ บดขยี้ลงไปยังตี้ปาจงทั้งสำนัก!

ผู้ฝึกตนทั้งหมดต่างก็ตื่นตระหนกไปโดยสิ้นเชิง จิตใจเต็มไปด้วยความหวาดกลัว และเริ่มหมุนคว้างไปมา จากนั้นในที่ห่างไกลออกไป คนผู้หนึ่งก็ใกล้เข้ามา…เป็นบุรุษหนุ่มในชุดยาวสีดำ พร้อมกับเส้นผมสีม่วง ดูเหมือนว่าจะนำพาเอาความมืดมิดและความหนาวเย็นทั้งหมดมายังโลกแห่งนี้

ท้องฟ้าที่อยู่ด้านหลังคนผู้นี้สั่นสะท้านราวกับว่ากำลังจะพังทลายลงไป สายตานั้นทำให้อากาศต้องบิดเบี้ยวไปมา ราวกับว่ากำลังสร้างเป็นเส้นทางให้กับมัน และตรงด้านล่าง พื้นดินก็สั่นสะเทือนราวกับว่าพวกมันกำลังโขกศีรษะกราบกรานอยู่!

หนึ่งคนสะกดข่มท้องฟ้า ทำให้พื้นดินสั่นสะเทือน ทุกสิ่งทุกอย่างบิดเบี้ยวไปมา บุรุษหนุ่มผู้นี้กลายเป็นจุดศูนย์กลางของความสนใจทั้งปวง…เป็นหนึ่งเงาร่างที่สามารถจะอยู่ยั้งยืนยงตราบชั่วนิรันดร์!

ขณะที่ปรากฏตัวขึ้น เสียงอันเย็นชาก็ดังก้องออกมา จนดูเหมือนว่าจะเต็มไปด้วยเพลิงโทสะและรังสีสังหารอย่างไม่รู้จบ ดังก้องจนคล้ายกับเป็นสายฟ้านับพัน ทำให้ทุกสรรพสิ่งสั่นสะเทือนไปมา “ใครบังอาจมาทำร้ายศิษย์ตี้จิ่วจงของข้า?”

เสียงนี้ทำให้ภูเขานับไม่ถ้วนต้องถล่มลงมา อาคารบ้านเรือนมากมายพังทลายไป ผู้ฝึกตนแห่งตี้ปาจงกระอักโลหิตออกมาอีกครั้ง

เมื่อมนุษย์ธรรมดามีโทสะ โลหิตก็สาดกระจายไปทั่วทุกแห่งหน เมื่อผู้ยิ่งใหญ่มีโทสะ สวรรค์ร่ำไห้ปฐพีครวญคร่ำ!

กลุ่มคนจากตี้ปาจงเหล่านี้ได้ไปตอแยจุดอ่อนที่ไวต่อความรู้สึกของเมิ่งฮ่าว ทำให้เขามีโทสะขึ้นมา และเมื่อเมิ่งฮ่าวมีโทสะ แทนที่จะบอกว่าสวรรค์กำลังร่ำไห้ปฐพีกำลังคร่ำครวญ ก็น่าจะดีกว่าถ้าจะพูดว่าความว่างเปล่าอันไร้ขอบเขตกำลังจะถูกกลบฝังไปแล้ว!

ในทันทีที่เสียงนี้ดังก้องออกมา สีสันก็แวบขึ้นไปและสายลมก็กรีดร้องระงม ภูเขาพังทลายอาคารบ้านเรือนล่มสลาย พื้นฐานฝึกตนของผู้ฝึกตนทั้งหมดในตี้ปาจงเริ่มไม่เสถียรมั่นคง และโลหิตก็เริ่มไหลซึมออกมาจากดวงตา จมูก หู และปากของพวกมัน

“ตี้…ตี้จิ่ว…จื้อจุน!!” ดวงตาของบิดาบุรุษหนุ่มซึ่งเป็นจักรพรรดิเต๋า เบิกโพลงขึ้นด้วยความไม่อยากจะเชื่อ โลหิตพ่นกระจายออกมาจากปาก และถึงแม้ว่ามันไม่อาจจะขยับร่างเคลื่อนไหวได้จริงๆ แต่กำลังสั่นสะท้านไปทั้งร่าง แม้กระทั่งวิญญาณของมัน

ทั้งหมดนั้นก็เนื่องมาจาก…ประโยคเดียวเท่านั้น!

ราวกับว่าเมิ่งฮ่าวคือตัวแทนของพลังอำนาจแห่งสวรรค์ และคำพูดของเขาก็เหมือนกับเป็นกฏธรรมชาติ!

ท้องฟ้าตรงด้านบนของทวีปที่แปดมืดสลัวลงไป และผู้ฝึกตนตี้ปาจง รวมทั้งผู้ยิ่งใหญ่ของพวกมัน ต่างก็สั่นสะท้านกันถ้วนทั่วทุกตัวคน ปรมาจารย์ชื่อเฟิงก็กำลังสั่นสะท้านด้วยเช่นกัน และเมื่อมันมองออกไปจากห้องเข้าฌานตามลำพังของตนเอง สีหน้าก็เต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ เมื่อตระหนักว่ากำลังมองไปยังเงาร่างที่น่ากลัวมากที่สุด เป็นบุคคลที่สร้างความหวาดกลัวให้กับจิตใจของมันมากกว่าสิ่งใดๆ หลังจากที่กลับออกมาจากเขตสุสาน

“ตี้จิ่วจื้อจุน…มัน…มันมาทำอะไรอยู่ที่นี่? บัดซบ ใครไปตอแยดาวเพชฌฆาตอันน่ากลัวนี้!?!?” ดวงตาของปรมาจารย์ชื่อเฟิงแดงก่ำไปเรียบร้อยแล้ว

คนทั้งหมดกำลังสั่นสะท้าน ยกเว้นเยียนเอ๋อร์ นางมองขึ้นไปผ่านหยดน้ำตาที่กำลังไหลลงมานองหน้า มองเห็นใครบางคนกำลังใกล้เข้ามา แต่ก็ไม่อาจจะมองเห็นรูปร่างหน้าตาของคนผู้นั้นได้ชัดเจนนัก ดูเหมือนเป็นคนที่ดูคุ้นเคย ทำให้อดที่จะโพล่งขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ว่า “ซือจุน…”

ในทันทีที่คำพูดหลุดออกมาจากปากนาง ผู้ฝึกตนทั้งหมดในบริเวณนั้น รวมทั้งบุรุษหนุ่มและจักรพรรดิเต๋า ต่างก็อ้าปากค้างราวกับว่าพวกมันกำลังถูกฟาดด้วยสายฟ้า

โดยเฉพาะอย่างยิ่งบุรุษหนุ่มผู้นั้น มันล้มกองลงไปบนพื้น ราวกับว่ากระดูกทั่วร่างได้กลายเป็นดินโคลนไป จิตใจหมุนคว้างด้วยคำพูดที่นางเพิ่งจะเปล่งออกมา

“กระถางที่ข้าเลือกมาเป็น…เป็นศิษย์ของตี้จิ่วจื้อจุน?” จู่ๆ บุรุษหนุ่มก็อยากจะหัวเราะออกมา ราวกับว่ามันเพิ่งจะได้ยินเรื่องตลกมากที่สุดเท่าที่เคยได้ยินมาในชั่วชีวิตนี้ แต่ลึกลงไปในจิตใจมันกำลังสั่นสะท้านด้วยความบ้าคลั่ง

ขณะที่จิตใจมันหมุนคว้าง โลกทั้งหมดของมันก็ถูกทำลายไป แสงสว่างจางหายไป เหลือทิ้งไว้แต่ความมืดมิดเท่านั้น

ไม่ใช่มันเพียงคนเดียวที่มีปฏิกิริยาเช่นนี้ บิดามันซึ่งเป็นจักรพรรดิเต๋า ที่มีอำนาจสูงสุดอยู่ในตี้ปาจง ผู้คนนับไม่ถ้วนต้องปฏิบัติต่อมันด้วยความหวาดกลัวและยำเกรง แต่ตอนนี้เมื่ออยู่ต่อหน้าเมิ่งฮ่าว มันกำลังสั่นสะท้านราวกับเป็นสุนัขจรจัด กำลังหอบหายใจออกมา จ้องมองไปด้วยความตื่นตระหนก ดวงตาแดงก่ำ ขณะที่หันหน้าไปมองบุตรชาย ถ้ามันสามารถสังหารใครบางคนได้ในตอนนี้ มันก็จะต้อง…ฉีกกระชากบุตรชายที่ไม่ได้เรื่องผู้นี้ออกเป็นชิ้นๆ อย่างแน่นอน!

“เจ้าบุตรอกตัญญู! เจ้า เจ้า เจ้า…เจ้าขุดหลุมฝังคนทั้งตระกูลแล้ว!!” มันแผดร้องตะโกนขึ้นมา

คนทั้งหมดในกลุ่มฝูงชนกำลังสั่นสะท้าน โดยเฉพาะกลุ่มคนที่แสดงความต้องการจะเข้าร่วมกับสายโลหิตของชื่อเฟิงเพื่อกวาดล้างศัตรู ท่าทางตกใจและไม่อยากจะเชื่อปรากฏขึ้นบนใบหน้าพวกมัน และทันใดนั้นก็รู้สึกเห็นใจต่อสายโลหิตของชื่อเฟิงเป็นอย่างยิ่ง

เห็นได้ชัดว่ากลุ่มคนเหล่านี้…ไปกินตับหงส์หัวใจมังกรมา ดังนั้นจึงมีความกล้าหาญเช่นนี้ บังอาจมาท้าทายตี้จิ่วจื้อจุนแห่งชางหมางพ่าย

ทุกสรรพสิ่งเงียบกริบราวความตาย ขณะที่กลุ่มคนยืนอยู่ที่นั่นด้วยความหวาดกลัว

ร่างจริงเมิ่งฮ่าวเดินเข้ามาในตี้ปาจง ผ่านกลุ่มฝูงชนจนกระทั่งไปยืนอยู่เบื้องหน้าเยียนเอ๋อร์ ในทันทีที่สายตาตกกระทบไปบนร่างนาง แววตาก็เปลี่ยนเป็นอ่อนโยนและอบอุ่นขึ้นมา

“ข้าไม่ใช่ซือจุนเจ้า แต่…ผู้ฝึกตนใดๆ ก็ตามในตี้จิ่วจง สามารถจะถือได้ว่าเป็นศิษย์ของข้า”

คนทั้งหมดในที่แห่งนั้นแอบถอนหายใจอย่างโล่งอกออกมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งจักรพรรดิเต๋า ตราบเท่าที่คนทั้งสองไม่ใช่อาจารย์และศิษย์อย่างแท้จริง ทุกสิ่งทุกอย่างก็น่าจะง่ายขึ้น…

เยียนเอ๋อร์มองไปยังเมิ่งฮ่าว และถึงแม้ว่าจะดูไม่เหมือนกับอาจารย์ของตนเอง แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างทำให้ดูเหมือนว่าจะคล้ายคลึงกันเป็นอย่างยิ่ง ความอบอุ่นในคำพูดและสิ่งอื่นๆ ทั้งหมด ทำให้นางมีความรู้สึกอย่างแรงกล้าว่า กำลังยืนอยู่ที่เบื้องหน้าอาจารย์ตนเองจริงๆ

ความรู้สึกที่คุ้นเคยนี้ทำให้หยดน้ำตาไหลลงมานองหน้า รีบวิ่งตรงมาโอบกอดเขาไว้ ร้องไห้ออกมา ราวกับว่าหยดน้ำตาเหล่านี้จะสามารถปลดปล่อยความรู้สึกหวาดกลัว และความอัปยศทั้งหมดที่เพิ่งจะพบเจอมาได้

ตี้ปาจงเงียบกริบไปโดยสิ้นเชิง คนทั้งหมดยืนอยู่ที่นั่นด้วยร่างกายที่สั่นสะท้าน มองตรงไปยังบุคคลที่แข็งแกร่งมากที่สุด กำลังโอบกอดหญิงสาวอยู่ในวงแขนด้วยความอ่อนโยน เมื่อเมิ่งฮ่าวมองขึ้นไปอีกครั้ง ดวงตาก็เย็นชาราวน้ำแข็ง จนดูเหมือนว่าจะสามารถกำจัดแสงแห่งดวงตะวันและจันทราลงไปได้

ขณะที่เยียนเอ๋อร์ร้องไห้อยู่ในอ้อมอก คนทั้งหมดก็มองไปด้วยร่างกายที่สั่นสะท้าน จากนั้นภายในความเงียบที่ปกคลุมไปทั่วทั้งตี้ปาจง เมิ่งฮ่าวก็มองลงไปยังแก้มของเยียนเอ๋อร์

ที่นั่น…มีรอยฝ่ามือประทับอยู่หนึ่งข้าง!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!