Skip to content

I shall seal the heaven Chapter 1457

ตอนที่ 1457

ชางหมางไถ

เมิ่งฮ่าวไม่ได้กวาดล้างตี้ปาจงไป อาณาจักรขุนเขาทะเลไม่ได้ทำให้เขารู้สึกเสียใจ จนต้องล้างแค้นต่อโลกทั้งหมด เขาไม่ได้อ่อนเยาว์ไร้เดียงสาอีกต่อไป ได้ฝึกฝนและพบเจอกับการเปลี่ยนแปลงมาอย่างยาวนาน จนไม่รู้ว่าได้ผ่านไปกี่ปีมาแล้ว

หนี้ที่เขามีต่อฉู่อวี้เยียนยังคงต้องชดใช้ให้ แต่เพราะว่าจิตใจได้หายไปพร้อมกับผีเสื้อขุนเขาทะเล ทำให้สามารถจะจ่ายหนี้นางได้ก็แค่ความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์และศิษย์เท่านั้น

เพื่อฉู่อวี้เยียนแล้ว เขาจะไม่ไปตรวจสอบหานเป้ยอีกต่อไป

เพื่อฉู่อวี้เยียนแล้ว เขาจะปล่อยให้ร่างจำแลงที่อยู่ในช่วงวิกฤตสำหรับการได้รับความรู้แจ้งแห่งเวทรุ่นเก้า เป็นผู้รับผิดชอบดูแลนาง

เนื่องจากฉู่อวี้เยียน ความโดดเดี่ยวเดียวดายของเมิ่งฮ่าวในชางหมางพ่าย…ได้ประกอบไปด้วยบางสิ่งบางอย่างที่อบอุ่นและรู้สึกคุ้นเคยอยู่ในตอนนี้ เป็นบางสิ่งที่เขาจะไม่ยอมให้ใครสอดมือเข้ามา มันคือการตัดสินใจที่จะ…ปกป้องดูแลนาง

ฉู่อวี้เยียนสูญเสียความทรงจำของชาติที่แล้วไป แต่ก็ไม่ใช่ตลอดไป ความทรงจำของนางยังคงอยู่ในจิตใจของเมิ่งฮ่าว เขาแค่ไม่แน่ใจว่าควรจะส่งมอบให้กับนางดีหรือไม่

แต่เขาก็ยังคงยินดีที่จะยอมให้นางกลายเป็นจุดอ่อนของตนเอง เมื่อจุดอ่อนนั้นถูกกระตุ้นขึ้นมา ก็ทำให้เขามีโทสะต่อตี้ปาจง เขาไม่ยอมอดกลั้นใดๆ แต่ก็ไม่ได้สังหารหมู่อย่างเลือดเย็น สังหารเฉพาะคนร้ายและผู้สมรู้ร่วมคิด รวมทั้งกลุ่มคนที่เกี่ยวข้องทั้งหมดเท่านั้น

การกระทำนี้คือคำเตือนไปยังผู้ฝึกตนทั้งปวงบนดาวชางหมาง รวมทั้งหานเป้ยว่า ห้ามไม่ให้ใคร…มาหาเรื่องเยียนเอ๋อร์ ถ้าใครทำ เมิ่งฮ่าวก็จะปรากฏตัวขึ้น และโทสะของเขาก็ทำให้สวรรค์ต้องสะท้านปฐพีต้องสะเทือน

พร้อมกับโทสะนั้น…แม่น้ำโลหิตก็ต้องหลั่งไหลออกไป

เนื่องจากสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ ทำให้ใครบางคนเริ่มตระหนักถึงความสัมพันธ์ระหว่างเมิ่งฮ่าวและฟางมู่แล้วในตอนนี้ แต่เขาก็ไม่สนใจ

ในชางหมางพ่ายนี้ทั้งหมดนี้ มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถจะคาดเดาได้ถึงความสัมพันธ์นั้น นอกจากนี้เมิ่งฮ่าวก็มีความคิดใหม่ๆ เกี่ยวกับวิถีทางของร่างจำแลงตนเองแล้วในตอนนี้

ตอนนี้ร่างจริงเมิ่งฮ่าวกำลังนำฉู่อวี้เยียนกลับไปยังทวีปที่เก้าและตี้จิ่วจง ตรงเทือกเขาแห่งหนึ่งซึ่งเป็นเขตเข้าฌาณตามลำพังของร่างจำแลง ร่างจำแลงลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆ และสองตาก็สาดประกายขึ้นด้วยความเย็นชาราวน้ำแข็ง ราวกับว่าความหนาวเย็นนั้นกำลังหลอมรวมอยู่ภายในร่าง

“ข้านั่งเข้าฌานตามลำพังนานเกินไป จนผู้คนคิดว่าใครก็ตามสามารถจะมาตอแยข้าได้ ข้ายังคงเป็นเมิ่งฮ่าว แต่ก็ยังคงเป็นสิ่งที่…ร่างจริงของข้าเท่านั้นที่จะสามารถทำได้สำเร็จ มันช่างน่าอึดอัดใจนัก” นี่คือความคิดของร่างจำแลงเมิ่งฮ่าว แต่ก็ยังคงเป็นเมิ่งฮ่าว ลุกขึ้นมายืน แต่ก็ไม่ได้ออกไปจากตี้จิ่วจง กลับมุ่งหน้าตรงไปยังยอดเขาที่อยู่ภายในสำนัก

บนยอดเขานั้นมีหอคอยสูงที่ถูกเรียกว่า…ชางหมางไถ! (แท่นไร้สิ้นสุด)

ในตี้จิ่วจงศิษย์ทั้งหลายสามารถจะไปท้าทายชางหมางไถ โดยมีผลลัพธ์ก็คือการถูกจัดลำดับ มันคือสถานที่ซึ่งทั่วทั้งตี้จิ่วจงมักจะให้ความสนใจอย่างใกล้ชิด

สำนักทั้งปวงในชางหมางพ่ายจะมีหอคอยเช่นนี้อยู่เหมือนกัน มีทั้งหมดเก้าแห่ง และใครก็ตามที่อยู่ในอันดับหนึ่งของการจัดลำดับของหนึ่งในเก้าเหล่านั้น ก็จะทำให้ดาวชางหมางต้องสั่นสะเทือนไปทั่ว และจะกลายเป็นผู้ถูกเลือกไร้สิ้นสุด!

เป็นเรื่องที่แตกต่างไปโดยสิ้นเชิงจากความปั่นป่วน ซึ่งมีสาเหตุมาจากทัณฑ์เซียนของฟางมู่

อันที่จริงไม่จำเป็นต้องได้อันดับหนึ่งเท่านั้น ใครก็ตามที่ผ่านเข้าไปในหนึ่งร้อยอันดับแรกได้ ก็จะถูกถือว่าเป็นผู้ถูกเลือกที่แท้จริงแห่งสำนักทั้งเก้า

ถ้าร่างจำแลงเมิ่งฮ่าวสามารถเข้าไปอยู่ในหนึ่งร้อยอันดับแรกในชางหมางไถได้ เขาก็จะถูกเลื่อนขั้นจากการเป็นศิษย์สายในภายในแผนกของตัวเอง กลายเป็นศิษย์สายในของแผนกหลักแห่งตี้จิ่วจง

ถ้าผ่านเข้าไปในสามสิบอันดับแรกได้ ก็จะกลายเป็น…ศิษย์หลักของตี้จิ่วจง!

จากนั้นเมื่ออยู่ในสามอันดับแรก ก็จะมีตำแหน่งเป็นศิษย์ผู้สืบทอดแห่งตี้จิ่วจง!

เมิ่งฮ่าวกำลังเดินไปตามเส้นทางที่ทอดยาวไปสู่ยอดเขาด้วยสีหน้าสงบนิ่งเยือกเย็น ศิษย์คนอื่นๆ ที่เขาเดินผ่านไป ก็จะมองกลับมาด้วยความประหลาดใจ ตอนแรกคนส่วนใหญ่จำเขาไม่ได้ แต่หลังจากนั้นชั่วขณะพวกมันก็นึกไปถึงเหตุการณ์เมื่อในอดีต และแววตาดูถูกก็ปรากฏขึ้นในดวงตาพวกมัน

“นั่นไม่ใช่ศิษย์น้องฟางมู่ที่เปลี่ยนจากมนุษย์กลายเป็นเซียนภายในเวลาสิบปี? มันมาทำอะไรที่นี่?” ใครบางคนถามขึ้นมา

“มันเป็นคนแปลกๆ ดูเหมือนว่าไม่เคยปรากฏตัวออกมาเลย แต่เยียนเอ๋อร์ศิษย์ของมันก็งดงามอย่างแท้จริง” สหายของมันกล่าวตอบกลับไป

ในตอนนี้เองที่จู่ๆ เมิ่งฮ่าวก็หันหลังมองกลับไปยังคนผู้นั้น

เป็นสายตาธรรมดาทั่วไป แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง ทำให้บุรุษผู้นั้นต้องสั่นสะท้านขึ้นมา และจิตใจก็ว่างเปล่าไปโดยสิ้นเชิง มันรีบถอยหลังไปสองสามก้าวในทันที เมื่อได้สติกลับคืนมา เมิ่งฮ่าวก็หายลับตาไปแล้ว

คนผู้นั้นรู้สึกลังเล ไม่แน่ใจว่าตนเองกำลังจะพูดอะไรออกมา แต่สัญชาตญาณก็บอกกับมันว่าควรจะหุบปากไปดีกว่าในตอนนี้ มันจึงสูดหายใจเข้าลึกๆ ไม่พูดอะไรออกมาอีก

ชางหมางไถแห่งตี้จิ่วจงตั้งอยู่บนจุดสูงสุดของยอดเขาที่สูงที่สุดในสำนัก อยู่ตรงจุดศูนย์กลางของสำนัก เมิ่งฮ่าวมีสีหน้าเยือกเย็น ขณะที่เดินผ่านศิษย์ร่วมสำนักไปมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างต่อเนื่อง

คนส่วนใหญ่ไม่รู้จักเขา แต่หลังจากที่เดินผ่านพวกมันไป คนเหล่านั้นก็นึกขึ้นได้ถึงการกระทำของเขาเมื่อในอดีตที่ผ่านมา

ส่วนใหญ่แล้วพวกมันจะพูดวิจารณ์เขาด้วยความขบขัน ขณะที่เดินผ่านไปอย่างต่อเนื่อง ก็ต้องพบเจอกับศิษย์คนอื่นๆ มากขึ้นเรื่อยๆ

“นั่นไม่ใช่ฟางมู่? นี่เป็นครั้งแรกที่ข้ามองเห็นมันในที่แห่งนี้ หรือว่ามันกำลังจะทะลวงผ่านพื้นฐานฝึกตนอีกครั้ง?”

“มันกำลังมุ่งหน้าตรงไปยังชางหมางไถ ใช่หรือไม่? ช่างน่าหัวเราะนัก มันคิดว่าตัวเองมีคุณสมบัติที่จะไปท้าทายชางหมางไถ?”

เมิ่งฮ่าวได้ยินสิ่งที่กลุ่มคนเหล่านั้นกำลังพูดถึง แต่สีหน้าก็ยังคงสงบนิ่งเหมือนเช่นเคย ขณะที่ก้าวเดินต่อไป

ในที่สุดก็บรรลุถึงเชิงเขา เมื่อมองขึ้นไป ก็เห็นแท่นศิลาตัวอักษรที่มีความสูงประมาณสิบจ้าง บนพื้นผิวมีตัวอักษรซึ่งเป็นรายนามปรากฏอยู่

รายนามเหล่านี้คือผู้ฝึกตนสามพันคนแรกแห่งตี้จิ่วจง ที่มาเข้าร่วมการทดสอบของชางหมางไถ

ถึงแม้ว่าคนทั้งหมดบนรายนามเหล่านั้นต่างก็ไม่ธรรมดากันทั้งสิ้น แต่ก็มีเพียงหนึ่งพันคนแรกเท่านั้นที่สามารถจะถือได้ว่าเป็นดวงตะวันอันเจิดจ้า หนึ่งร้อยคนแรกคือผู้ถูกเลือกอย่างเป็นทางการ

เมิ่งฮ่าวกวาดอ่านรายนามเหล่านั้น จากนั้นก็มองกลับไปยังยอดเขา

ยอดเขานี้แทงทะลุผ่านกลุ่มเมฆ และมีขั้นบันไดหมุนวนขึ้นไปในท้องฟ้า

เมิ่งฮ่าวไม่ค่อยรู้เรื่องเกี่ยวกับชางหมางไถมากนัก เคยแต่ได้ยินจากเยียนเอ๋อร์เท่านั้น

เขารู้ว่าการทดสอบของชางหมางไถ ไม่ได้มีแค่หอคอยที่อยู่บนยอดเขาเท่านั้น มันยังรวมถึงขั้นบันไดที่เริ่มจากเชิงเขาขึ้นไปด้วยเช่นกัน

ผู้คนที่สามารถขึ้นไปถึงหอคอยได้ ก็จะอยู่ในหนึ่งร้อยอันดับแรก ยิ่งไปกว่านั้นความสำเร็จของคนผู้หนึ่ง ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับพื้นฐานฝึกตน แต่เป็นพลังการต่อสู้และศักยภาพของคนผู้นั้นมากกว่า

“ข้าหลบซ่อนตัวนานมากไป เมื่อผู้คนได้ยินว่าอาจารย์ของเยียนเอ๋อร์คือฟางมู่ ก็ไม่มีความหมายเท่าใดนัก ทำให้ร่างจริงของข้าก็ต้องมาดูแลสถานการณ์แทน” เขาครุ่นคิดพร้อมกับส่ายหน้า

“ถ้าเช่นนั้นก็ถึงเวลาที่จะต้องแสดงตัวแล้ว เยียนเอ๋อร์ควรจะมีอาจารย์ที่อยู่ในอันดับหนึ่งบนชางหมางไถแห่งตี้จิ่วจง ซึ่งจะทำให้ยาโถว (คำเรียกเด็กผู้หญิง) นั่นมีความสุขอย่างแท้จริง”

“ถ้าไม่พอ ข้าก็จะอยู่ในอันดับหนึ่งบนชางหมางไถทั้งเก้า ถ้ายังไม่พออีก ข้าก็จะไปลองที่เชาทัวลู่ (เส้นทางเหนือสูงสุด) ดู” เมิ่งฮ่าวยิ้มออกมา และดวงตาก็สาดประกายเจิดจ้าขึ้น ภายในชางหมางพ่าย มีสถานที่สำหรับการทดสอบลำดับอยู่อย่างมากมาย แต่ก็มีเพียงสองแห่งเท่านั้นที่กลุ่มคนทั้งสำนัก และแม้แต่ผู้ยิ่งใหญ่ก็ยังให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง

หนึ่งคือสถานที่สำหรับการทดสอบความสามารถและพรสวรรค์ ซึ่งก็คือ…

ชางหมางไถ อีกแห่งคือสถานที่เพียงหนึ่งเดียวของชางหมางพ่าย…เชาทัวลู่!

มันมีนามว่าเชาทัว (เหนือสูงสุด) แต่ความเป็นจริงก็คือ…ถึงแม้ว่าจะก้าวไปไม่ถึงจุดเหนือสูงสุด แต่ก็มีความเป็นไปได้ว่าคนที่เดินไปตามเส้นทางนั้นจะได้ผลประโยชน์จากการชำระล้าง จากตำนานที่ถูกเล่าขานสืบต่อกันมา ถ้าสามารถบรรลุถึงจุดเหนือสูงสุดที่อยู่บนเชาทัวลู่ ก็จะได้รับการชำระล้างและโชควาสนาบางอย่าง!

เส้นทางของเชาทัวลู่จะยืดยาวออกไปไกลมากแค่ไหนไม่มีใครรู้ อย่างไรก็ตามเป็นที่รับรู้กันดีว่าคนที่เดินไปได้ไกลมากที่สุดไม่ใช่เจ้าสำนัก แต่เป็นสตรีนางหนึ่งซึ่งมีนามว่าไป๋อู้เฉิน

นางเป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไปในนามว่า เซียนไป๋อู้เฉินด้วยเช่นกัน!

อย่างไรก็ตามแม้แต่นางก็ยังไม่อาจจะบรรลุถึงจุดเหนือสูงสุด บางทีอาจจะเป็นเพราะความยากของเส้นทางนี้ ทำให้เจ้าสำนักและคนอื่นๆ ต้องฝากความหวังไว้ในเขตสุสาน

เมิ่งฮ่าวสำรวมความคิด จากนั้นก็เดินตรงไปบนบันไดขั้นแรกด้วยความเยือกเย็น

ก้าวที่หนึ่ง, ก้าวที่สอง, ก้าวที่สาม…

ไม่มีใครให้ความสนใจเขามากนัก อันที่จริงมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะให้ความสนใจต่อคนที่เพิ่งจะเดินไปบนชางหมางไถ เมิ่งฮ่าวเดินขึ้นบันไดไป เผชิญหน้ากับแรงกดดันที่กำลังเพิ่มขึ้นมา สำหรับบางคนแล้ว แม้แต่การเดินไปครึ่งก้าวก็ยังเป็นเรื่องที่ยากเย็น แต่สำหรับเมิ่งฮ่าวแล้ว ก็เหมือนกับการเดินไปบนเส้นทางราบเรียบ ราวกับว่าไร้แรงกดดันใดๆ และยังคงมีความเร็วเหมือนเดินอยู่ตลอดเวลา ขณะที่เดินขึ้นไปอย่างต่อเนื่อง

ก้าวที่สิบ, ก้าวที่สามสิบ, ก้าวที่ห้าสิบ, ก้าวที่แปดสิบ, ก้าวที่หนึ่งร้อย…

ไม่ใช่เมิ่งฮ่าวเพียงคนเดียวที่กำลังเดินขึ้นไป ในช่วงไม่กี่วันมานี้ที่เบื้องหน้ามีผู้คนนับร้อยกำลังเดินขึ้นไปด้วยเช่นกัน เป็นการเดินด้วยความยากลำบาก และพวกมันหลายคนก็มักจะพักเป็นระยะ ก่อนที่จะดิ้นรนเดินขึ้นต่อไป สำหรับกลุ่มศิษย์เหล่านั้น ภูเขาลูกนี้คือความหวังที่จะได้สร้างชื่อให้เป็นที่เลื่องลือของพวกมัน

บางคนยังได้นั่งลงขัดสมาธิเพื่อฝึกตนอีกด้วย แต่เมื่อใครบางคนบรรลุถึงขีดจำกัดของตนเอง ก็จะถูกเคลื่อนย้ายทางไกลจากไป นั่นคือหนทางเดียวที่ทำให้กลุ่มคนเหล่านี้จากไปได้

มีอยู่ไม่กี่คนบนภูเขาที่จู่ๆ ก็มองเห็นฟางมู่เดินผ่านไป เมื่อพวกมันตระหนักว่าเขากำลังเดินไปด้วยท่าทางสบายๆ และดูเหมือนว่าจะไม่รู้สึกยุ่งยากใดๆ ในการเดินขึ้นบันไดไป ก็ทำให้พวกมันตกตะลึงไปตามๆ กัน

พวกมันมองเห็นเขาเดินไปด้วยความรวดเร็ว ทิ้งศิษย์คนอื่นๆ ทั้งหมดไว้ทางด้านหลัง และในที่สุดก็ทำให้เกิดเป็นความปั่นป่วนวุ่นวายขึ้นมาเล็กน้อย

“นั่น…นั่นเป็นใคร?!?!”

“ทำไมมันเดินได้อย่างรวดเร็วเช่นนั้น?!?! นี่เป็นบันไดขั้นที่สามร้อย และมีแรงกดดันอย่างเข้มข้น มัน…มันไม่หยุดชะงักลงแม้แต่น้อย!!”

“เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นได้อย่างไร…? เป็น…เป็นไปได้หรือไม่ว่ามันคือหนึ่งในดวงตะวันอันเจิดจ้า!?!?” ผู้ฝึกตนบนภูเขามองไปด้วยจิตใจที่หมุนคว้าง และในที่สุดเสียงร้องอุทานของพวกมันก็ดังก้องออกมา

เสียงเหล่านั้นดังก้องมากขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่เมิ่งฮ่าวเดินผ่านผู้ฝึกตนของตี้จิ่วจงไปคนแล้วคนเล่า ยังมีบางคนเมื่อเห็นเขาเดินผ่านไปด้วยท่าทางสบายๆ เช่นนั้น ก็เข้าใจผิดว่าแรงกดดันจากการทดสอบนี้จู่ๆ ก็หายไป จากนั้นพวกมันก็ก้าวเดินไปโดยไม่รู้สึกตัว แต่ก็ต้องกระแทกลงไปบนพื้น หรือแม้แต่ถูกขับออกไปจากภูเขา

“นั่นเป็นใคร? มัน…มันบรรลุถึงขั้นที่เจ็ดร้อยแล้ว!!”

“สวรรค์! มันแทบจะผ่านขั้นที่แปดร้อยไปแล้ว! เมื่อไหร่ก็ตามที่ใครบางคนบรรลุถึงขั้นที่หนึ่งพัน ระฆังก็จะดังก้องกังวานขึ้นมา ทำให้ทั้งสำนักสั่นสะท้านไปทั่ว!!” เสียงพูดคุยดังก้องอยู่บนภูเขามากขึ้นเรื่อยๆ เวลาเดียวกันนั้นร่างจริงเมิ่งฮ่าวก็มาถึงพร้อมกับเยียนเอ๋อร์

“ท่าน…ท่านไม่ใช่ซือจุนข้าจริงๆ?” นางถามขึ้นขณะที่คนทั้งสองร่อนลงไปบนพื้นตรงด้านนอกที่พักของฟางมู่

เมื่อนางมองไปยังตี้จิ่วจื้อจุนผู้ทรงอำนาจสูงสุด ก็ไม่รู้สึกหวาดกลัวหรือว่าน่าเกรงขามแม้แต่น้อย อันที่จริงนางยังรู้สึกคุ้นเคยกับเขาเป็นอย่างยิ่ง ทำให้เกิดความรู้สึกสับสนขึ้นมา

แทบจะในทันทีที่คำพูดหลุดออกมาจากปากนาง เสียงระฆังโบราณก็ดังก้องออกมาจากชางหมางไถ กระจายไปทั่วทั้งตี้จิ่วจง

หง่าง…

เสียงนั้นดังก้องสนั่น ได้ยินชัดเจน ให้ความรู้สึกที่เก่าแก่โบราณ และดึงดูดความสนใจของศิษย์แห่งตี้จิ่วจงในทันที จากนั้นเสียงพูดคุยก็ดังก้องขึ้น ร่างจริงเมิ่งฮ่าวยิ้มออกมา ยกมือขยี้ไปบนเส้นผมของเยียนเอ๋อร์

“ซือจุนเจ้ากำลังไปท้าทายชางหมางไถ ทำไมเจ้าถึงไม่ไปให้กำลังใจมัน?” ด้วยเช่นนั้นร่างจริงเมิ่งฮ่าวก็หันหลังและหายตัวไป

เยียนเอ๋อร์อ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง จากนั้นดูเหมือนว่านางจะนึกถึงบางสิ่งบางอย่างขึ้นมาได้เป็นพิเศษ จึงหมุนตัวมองตรงไปยังภูเขาชางหมาง

“หือ? เสียวเหล่าโถว (ตาเฒ่าน้อย) กำลังไปทดสอบชางหมางไถ? อืม…นั่นไม่ใช่สิ่งที่กลุ่มคนรุ่นเยาว์ไปสร้างชื่อเสียงให้กับตนเอง? เหมือนกับศิษย์ที่มีพรสวรรค์อันโดดเด่นเช่นศิษย์พี่ปี้อวิ๋น?” ดวงตานางแวบประกายขึ้นมาด้วยความไม่อยากจะเชื่อ และจิตใจกำลังเต้นรัว บินตรงไปยังชางหมางไถที่ตั้งอยู่บนยอดเขาในทันที

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!